ค่ำนี้บ้านเรือนริมถนนเต็มไปด้วยผางประทีบประดับประดาทว่าไม่มีใครสนใจความงดงามสองข้างทาง ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสีหน้าเคร่งเครียดจนคนนั่งมาด้วยกดดันนั่งไม่ติด รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ หน้าผาก และลำคอ
ไม่กี่นาทีต่อมารถคันหรูก็มาจอดนิ่งหน้าโรงเรียนของสามสาว ‘นาฏช่างฟ้อน’ เป็นชื่อที่ทั้งสามคนช่วยกันคิด พิมพ์ปรางชอบชื่อนี้มาก เธอคิดว่าลงตัวเข้ากับที่นี่และพวกเธอที่มาจากกรุงเทพฯ ดี ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เป็นคนที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาแตกต่างจากเพื่อนสองคนที่ไปกลับบ้านในวันหยุด แต่โดยรวมแล้วทั้งสามสาวมักอยู่โยงที่โรงเรียนเสียมากกว่า
“ฉันลงไปได้หรือยังคะ”
“ลงสิ”
คนตอบตอบเสียงดุ
พิมพ์ปรางลงไปจากรถช้าๆ แล้วเดินไปยังหน้าประตูโดยมีอีกฝ่ายตามลงมา เธอเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่กิตติกรพยักพเยิดให้ไขกุญแจ
หญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือถือคืนให้อีกฝ่ายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงรับไปแล้วใช้สายตาบังคับให้เธอไขกุญแจอีกครั้ง พิมพ์ปรางจึงต้องเปิดประตูอย่างจำใจ และเมื่อเห็นว่าเธอดันเหล็กที่ปิดอยู่ได้ช้า เขาก็เป็นคนจัดการเอง
“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงกว่ายังยืนนิ่งไม่ได้ถอยออกไป
“กุญแจ”
มือหนายื่นมาด้านหน้าแทนราวกับตัดรำคาญ หญิงสาวก้าวถอยหลังไม่อยากให้เขา แต่ถูกดึงมือเอาไว้แล้วแย่งกุญแจไปแทน ในที่สุดกิตติกรก็เปิดประตูกระจก รั้งให้ร่างบางตามเข้ามาด้านใน
“คุณกลาง”
พิมพ์ปรางตาโตเมื่อเห็นอีกฝ่ายล็อกประตู
กิตติกรไม่สนใจอะไรนอกจากลากร่างเล็กกว่าพาขึ้นบันไดไป ไฟจากภายในถูกกดเปิดจากมือของชายหนุ่มทำให้คนถูกลากไม่สะดุดขั้นบันไดหกล้ม ชายหนุ่มจำได้ว่าห้องนอนอีกฝ่ายอยู่ชั้นสาม เพราะเคยขึ้นมาด้านบนในวันที่มาตามหาน้องสาวแล้วบังเอิญเจอพิมพ์ปรางอยู่ในห้อง
หญิงสาวฝืนตัวเอาไว้เมื่อมาถึงหน้าห้อง กิตติกรหันมามองสีหน้าแววตาเข้มกรุ่นไปด้วยอารมณ์ดุดันน่ากลัว เฉยชากับสายตาเว้าวอนขอร้องด้วยความหวาดหวั่นของอีกฝ่าย
ใบหน้าเล็กส่ายไปมาโดยไร้คำพูด แต่ชายหนุ่มก็ยังดึงรั้งให้เธอเข้าไปในห้องพร้อมกับเขา
“คุณทำแบบนี้ไม่ได้นะ”
“ทำไมจะไม่ได้”
เสียงของเขาเบาแต่เข้มดุ
“คุณกลาง ฉันขอร้องนะคะ”
พิมพ์ปรางเสียงเครือ ทว่าอีกฝ่ายไม่สนใจเขาผลักเธอเข้าไปแล้วปิดประตูดังโครมจนหญิงสาวสะดุ้ง
“เธอมันอวดดี”
“ฉันไม่ได้ทำอะไร...”
“ไม่เห็นหัวฉัน พูดจาอี๋อ๋อกับไอ้หมอนั่นแบบหน้าด้านๆ”
“ฉันไม่ได้ทำแบบนั้น”
“ต่อหน้าฉันยังทำขนาดนี้ แล้วลับหลังฉันมันจะไปถึงขนาดไหน หา!”
กิตติกรตวาดเสียงลั่น ไม่สนใจคำแก้ตัวของหญิงสาว
ความรู้สึกถูกกดดันทางจิตใจและโดนกล่าวหาทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดทำให้พิมพ์ปรางหมดความอดทน
“แล้วไงคะ จะไปถึงไหนมันก็ไม่ได้เกี่ยวกับคุณสักหน่อย”
หญิงสาวกัดฟันเชิดหน้าขึ้นท้าทาย เธอสุดที่จะทนแล้วในเมื่อไม่มีทางหนี และกิตติกรก็ไล่บี้โดยไม่มีเหตุผล ไม่เหลือพื้นที่ให้เธอถอยหนีได้ทั้งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดทำให้พิมพ์ปรางเลือกที่จะโต้กลับ
“ว่าไงนะ!”
ชายหนุ่มถามกลับอย่างดุดัน
“นี่เธอกล้าพูดกับฉันแบบนี้เหรอ”
“ทำไมคะ ในเมื่อคุณกับฉันไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกัน เรื่องของฉันไม่ใช่เรื่องของคุณ ฉันจะทำอะไรไปกับใครที่ไหนไม่จำเป็นต้องรายงานคุณนี่คะ”
“นี่หมายความว่าไปกับไอ้หมอนั่นมาแล้วงั้นเหรอ นอนกับมันแล้วใช่ไหม!”
แม้จะโกรธจนหน้าร้อนผ่าวกับคำกล่าวหาของอีกฝ่ายแต่พิมพ์ปรางเลือกที่จะเปิดโหมดพร้อมสู้แทน ไม่ยอมตกเป็นเบี้ยล่างอยู่ฝ่ายเดียว
“นั่นมันเรื่องของฉันค่ะ”
“เธออยากลองดีกับฉันใช่ไหมพิมพ์ปราง”
กิตติกรเข่นเขี้ยวจ้องหน้ามนเนียนใสไม่วางตา ขณะที่หญิงสาวเองก็ไม่ได้หลบสายตาเช่นกัน
“ฉันก็แค่พูดความจริง คุณเองต่างหากจะมาสนใจอะไรอดีตเด็กในบ้านอย่างฉันคะ ในเมื่อต่างคนต่างอยู่ตั้งนานแล้ว ฉันไม่ใช่เด็กในบ้านของคุณแล้ว ไม่ใช่คนที่คุณจะบังคับควบคุมให้ทำอะไรก็ได้ตามใจอีกต่อไปแล้ว ฉันจะทำอะไรมันก็เรื่องของฉัน คุณไม่มีสิทธิ์มายุ่งหรือมีสิทธิ์ในชีวิตของฉันเอง”
หญิงสาวร่ายยาวอย่างอัดอั้นตันใจ แต่ละคำพูดเน้นย้ำให้แสดงความเด็ดเดี่ยวออกมาให้มากที่สุด ทว่าไม่ใช่การตะโกน มันคือการเค้นเสียงจนแหบพร่าไปหมดอย่างน่าสงสาร หากก็ไม่ทำให้ผู้ชายตรงหน้านำพา มีแต่จะสร้างความโกรธจนพลุ่งพล่านให้กิตติกรเพิ่มมากยิ่งขึ้น
“ไม่มีสิทธิ์งั้นเหรอ”
คำถามที่ออกจากปากของชายหนุ่มให้ความรู้สึกน่าขนลุกอย่างประหลาดสำหรับพิมพ์ปราง
“งั้นมาลองดูกันสักตั้งไหมว่าฉันไม่มีสิทธิ์ในตัวเธอจริงหรือเปล่า”
พร้อมคำพูดมือหนาก็คว้าเอวบางเข้าหาตัวเขาอย่างรวดเร็ว หญิงสาวไม่ทันตั้งตัวถลาเข้าไปหาอ้อมอกแกร่ง ใบหน้าคมเคลื่อนลงมาใกล้เธอก็รีบเอียงหลบ
“ไม่นะคะคุณกลาง”
น้ำเสียงพิมพ์ปรางหวาดหวั่นสั่นไหวอย่างชัดเจนแต่นั่นกลับทำให้ชายหนุ่มยิ้มมุมปาก
“หึ เก่งนักไม่ใช่เหรอ จะกลัวทำไม”
คนตัวเล็กเริ่มสั่นเทาอย่างเห็นได้ชัดแต่กิตติกรไม่สนใจ เธอยั่วโมโหเขาเอง เพราะฉะนั้นต้องรับกรรมในสิ่งที่ทำลงไป ชายหนุ่มอุ้มร่างบางขึ้นแล้วพาไปยังเตียงนอน
“อย่านะคะ ไม่ ปล่อยฉัน”
แม้จะดิ้นรนแต่ก็ไม่สามารถหลุดจากอ้อมกอดที่รัดแน่นของอีกฝ่ายได้
“มาขอร้องตอนนี้มันก็สายไปแล้วปราง”
เขาบอกพร้อมวางหญิงสาวลงบนเตียงแล้วตามลงมาทาบทับ ใบหน้าคมหล่อดูไร้ความปรานี ชั่ววูบในความรู้สึกพิมพ์ปรางหวนนึกถึงวันที่แสนเจ็บปวด วันแห่งฝันร้ายในความทรงจำที่เธออยากลืมแต่ไม่เคยลืมมันได้เลย
และกิตติกรก็เป็นคนตอกย้ำฝันร้ายของเธอซ้ำแล้วซ้ำเล่า
=====
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน
“ถ้าเธอไม่ถอดฉันจะทำให้มันขาดให้หมดเลย”พิมพ์ปรางกัดริมฝีปากตนเอง แม้ไม่อยากยอมจำนนแต่ชุดรำที่เธอใส่อยู่เป็นชุดเช่า ถ้าเกิดความเสียหายอย่างน้อยเพื่อนของเธอสองคนก็ต้องสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่มือบางสั่นเทาค่อยๆ ปลดกระดุมที่เหลืออย่างจำใจ เชื่องช้าจนสายตาคมที่มองตามรู้สึกลุ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้อยากให้อีกฝ่ายทำเร็วขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอใจกับการรอคอยอยู่ลึกๆ เมื่อกระดุมถูกปลดออกหมดชายหนุ่มก็ไม่รอช้าแหวกเสื้อออกให้เผยสัดส่วนสล้างต่อสายตาในทันที ถึงจะยังมีเสื้อชั้นในอยู่แต่ความอวบอิ่มชวนมองก็ไม่อาจปกปิดได้ใบหน้าคมลดลงมายังอกคู่สวย พร้อมมือหนาก็ปัดเสื้อหญิงสาวออกจากไหล่มนและแขน แถมยังดันร่างบางขึ้นเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นในของคนตัวเล็กได้อย่างง่าย ปลายจมูกกับปากที่ฝังอยู่บนความอวบอิ่มก็ทำหน้าที่ไล้เลียและเล็มไม่ยอมห่าง เมื่อผ้าลูกไม้ถูกรั้งออกไปปากได้รูปก็ครอบครองยอดอกสีสวยในทันทีเสียงหอบหายใจดังจากร่างบางยิ่งพาให้ชายหนุ่มดูดกลืนอกอวบแรงขึ้น“อืม”กิตติกรครางในลำคออย่างพึงพอใจ รับรู้ว่ามือบางที่ผลักไหล่เขาเริ่มอ่อนแรงเป็นเกาะเกี่ยว มือหนาข้างหนึ่งก็ขยับเคล้นคลึงความนุ่มแน่น
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตจะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใครเสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่หมายบำเหน็จจะรีบเสด็จไป ก็รู้เท่าเข้าใจในทำนองด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมย์สมสองไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้อง ทั้งพวกพ้องสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์แต่นี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่นเขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอัน นางรำพันว่าพลางทางโศกา[1] ความงดงามอ้อนช้อยที่ร่างแบบบางกำลังกรีดกรายตามคำตัดพ้อต่อว่า โดยมีร่างกำยำอีกร่างร่ายรำปลอบโยนทำให้กิตติกรจ้องมองไม่วางตาด้วยขุ่นขวางอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกซึมซับประทับใจกับความอ่อนช้อยงดงามเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบทละครนี้เขาเคยมีโอกาสได้ดูมาแล้วเพราะน้องสาวของเขาเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์มีงานให้แสดงเสมอไม่ขาด หลายครั้งก็มักจะเป็นบทละครรำเรื่องอิเหนาอย่างเช่นคราวนี้ และเขาก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมต้องเป
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป“ว่าไงครับน้องก้อย”“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง“พี่กลาง”พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
“ถ้าเธอไม่ถอดฉันจะทำให้มันขาดให้หมดเลย”พิมพ์ปรางกัดริมฝีปากตนเอง แม้ไม่อยากยอมจำนนแต่ชุดรำที่เธอใส่อยู่เป็นชุดเช่า ถ้าเกิดความเสียหายอย่างน้อยเพื่อนของเธอสองคนก็ต้องสงสัยว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่มือบางสั่นเทาค่อยๆ ปลดกระดุมที่เหลืออย่างจำใจ เชื่องช้าจนสายตาคมที่มองตามรู้สึกลุ้นอย่างไม่อาจห้ามได้ แม้อยากให้อีกฝ่ายทำเร็วขึ้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าพอใจกับการรอคอยอยู่ลึกๆ เมื่อกระดุมถูกปลดออกหมดชายหนุ่มก็ไม่รอช้าแหวกเสื้อออกให้เผยสัดส่วนสล้างต่อสายตาในทันที ถึงจะยังมีเสื้อชั้นในอยู่แต่ความอวบอิ่มชวนมองก็ไม่อาจปกปิดได้ใบหน้าคมลดลงมายังอกคู่สวย พร้อมมือหนาก็ปัดเสื้อหญิงสาวออกจากไหล่มนและแขน แถมยังดันร่างบางขึ้นเพื่อปลดตะขอเสื้อชั้นในของคนตัวเล็กได้อย่างง่าย ปลายจมูกกับปากที่ฝังอยู่บนความอวบอิ่มก็ทำหน้าที่ไล้เลียและเล็มไม่ยอมห่าง เมื่อผ้าลูกไม้ถูกรั้งออกไปปากได้รูปก็ครอบครองยอดอกสีสวยในทันทีเสียงหอบหายใจดังจากร่างบางยิ่งพาให้ชายหนุ่มดูดกลืนอกอวบแรงขึ้น“อืม”กิตติกรครางในลำคออย่างพึงพอใจ รับรู้ว่ามือบางที่ผลักไหล่เขาเริ่มอ่อนแรงเป็นเกาะเกี่ยว มือหนาข้างหนึ่งก็ขยับเคล้นคลึงความนุ่มแน่น
ใบหน้าคมที่แนบลงมาหาพร้อมสัดส่วนแข็งแกร่งเบียดเสียดกับร่างกายเธอทำให้พิมพ์ปรางขนลุกชัน หญิงสาวหลับตาลงเอียงหน้าหลบไม่อยากรับรู้อะไรอีกแม้สัมผัสที่แนบลงมาข้างแก้มแล้วเคลื่อนมาบนริมฝีปากจะไม่ได้รุนแรงทว่าก็หนักหน่วงเอาแต่ใจ ความรู้สึกเดิมๆ วนกลับมาอีกครั้ง กิตติกรมักจะแตะต้องเธอในแบบนี้ เขาไม่เคยทำร้ายร่างกายเธอแต่บีบบังคับเธอด้วยการเรียกร้องให้ตัวเองได้ในสิ่งที่อยากได้เธอไม่เคยเจ็บปวดทางร่างกายเพราะเขา แต่จิตใจแหลกสลายไม่เหลือชิ้นดีกิตติกรผละออกมามองอีกฝ่ายใกล้ๆ ปลายนิ้วโป้งยกขึ้นไล้กลีบปากสีสวยมองนิ่งอยู่อย่างนั้นการกระทำของชายหนุ่มทำให้พิมพ์ปรางต้องลืมตาขึ้นมามอง แล้วก็เห็นว่าตาคมจ้องอยู่ที่ปากเธอ กระแสบางอย่างวิ่งแปลบปลาบไปทั่วทั้งร่างจนหญิงสาวหวาดหวั่น แล้วอยู่ๆ เขาก็เหลือบขึ้นมาทั้งคู่จึงได้สบสายตากันในระยะประชิด ดวงตาคมวูบวาบน่ากลัวก่อนเขาจะเอ่ยขึ้น“เธอ...”เสียงทุ้มเต็มไปด้วยอารมณ์กรุ่นโกรธ“กล้าให้คนอื่นทำแบบที่ฉันทำจริงๆ เหรอ”“ถ้าเขาไม่บังคับฉันก็ยินดี”ขณะพูดพิมพ์ปรางรู้ว่าแววตากับน้ำเสียงของเธอไม่มีความน่าเชื่อถือเลยสักนิด แต่เพราะไม่อยากให้ชายหนุ่มรู้ว่าเธอก็ยังเป็นคน
ค่ำนี้บ้านเรือนริมถนนเต็มไปด้วยผางประทีบประดับประดาทว่าไม่มีใครสนใจความงดงามสองข้างทาง ชายหนุ่มขับรถด้วยความเร็วสีหน้าเคร่งเครียดจนคนนั่งมาด้วยกดดันนั่งไม่ติด รู้สึกถึงเหงื่อที่ซึมออกมาตามฝ่ามือ หน้าผาก และลำคอไม่กี่นาทีต่อมารถคันหรูก็มาจอดนิ่งหน้าโรงเรียนของสามสาว ‘นาฏช่างฟ้อน’ เป็นชื่อที่ทั้งสามคนช่วยกันคิด พิมพ์ปรางชอบชื่อนี้มาก เธอคิดว่าลงตัวเข้ากับที่นี่และพวกเธอที่มาจากกรุงเทพฯ ดี ในขณะเดียวกันหญิงสาวก็เป็นคนที่อยู่ที่นี่ตลอดเวลาแตกต่างจากเพื่อนสองคนที่ไปกลับบ้านในวันหยุด แต่โดยรวมแล้วทั้งสามสาวมักอยู่โยงที่โรงเรียนเสียมากกว่า“ฉันลงไปได้หรือยังคะ”“ลงสิ”คนตอบตอบเสียงดุพิมพ์ปรางลงไปจากรถช้าๆ แล้วเดินไปยังหน้าประตูโดยมีอีกฝ่ายตามลงมา เธอเหลือบมองเขาด้วยความไม่สบายใจ ขณะที่กิตติกรพยักพเยิดให้ไขกุญแจหญิงสาวค่อยๆ ยื่นมือถือคืนให้อีกฝ่ายราวกับเพิ่งนึกขึ้นมาได้ ชายหนุ่มจึงรับไปแล้วใช้สายตาบังคับให้เธอไขกุญแจอีกครั้ง พิมพ์ปรางจึงต้องเปิดประตูอย่างจำใจ และเมื่อเห็นว่าเธอดันเหล็กที่ปิดอยู่ได้ช้า เขาก็เป็นคนจัดการเอง“ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”เสียงแผ่วเบาเอ่ยขึ้น แต่ร่างสูงกว่ายังยืนนิ่งไม
ร่างบางถูกลากจนตัวแทบจะปลิวออกไปทางหน้าร้านซึ่งอยู่คนมุมกับที่ทุกคนนั่งอยู่จึงไม่มีใครมองเห็น“คุณกลางปล่อยฉัน”“เงียบไปเลยนะ ถ้าโวยวายเสียงดังฉันจะอุ้มไปจากตรงนี้ให้คนมองเลย”ชายหนุ่มหันกลับมากระซิบบอกเสียงเครียด ทำให้หญิงสาวต้องชะงักคำพูดทุกอย่างลงในทันทีกิตติกรพาหญิงสาวเดินลัดเลาะฝ่าผู้คนมาตามถนนรอบคูเมืองโดยไม่สนใจความสวยของผางประทีบที่จุดไว้บริเวณต่างๆ รวมถึงประตูท่าแพที่พวกเขาต้องเดินผ่านด้วยเนื่องจากจอดรถไม่ห่างจากประตูท่าแพนัก เมื่อมาถึงก็ดันหญิงสาวเข้าไปในรถแล้วสั่ง“ห้ามลงจากรถเด็ดขาด ถ้าไม่เชื่อกัน คงรู้นะว่าจะเจอกับอะไร เพราะยังไงเธอก็หนีฉันไม่พ้น”แน่นอนว่าพิมพ์ปรางกลัวอีกฝ่ายเกินกว่าจะกล้าขยับตัวจากนั้นชายหนุ่มก็ก้าวเร็วๆ ไปอีกฝั่ง เมื่อมาอยู่หลังพวงมาลัยแล้วเขาก็ล็อกรถทันทีก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตนขึ้นมากดโทรหาน้องสาว“น้องก้อย เดี๋ยวพี่พาปรางกลับไปที่โรงเรียนนะ เพื่อนเราไม่ค่อยสบายน่ะ”“อะไรนะคะ ปรางไม่สบายเหรอคะ”“ครับ”ตอบรับน้องสาวพร้อมกับมองไปยังคนที่เขาอ้างว่าป่วยแล้วก็เห็นอีกฝ่ายมองเขาอยู่แล้วด้วยสายตาวิตก“น้องก้อยขึ้นภูไปกับไอ้มินทร์ได้เลยนะ ไม่ต้องห่วง เรื่องป
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”