เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย
“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”
กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป
“ว่าไงครับน้องก้อย”
“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”
“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”
“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”
“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”
“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”
“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”
ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง
“พี่กลาง”
พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง
“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไปหานะ ว่าจะไปพักผ่อนบนภูสักหน่อย จะได้รับน้องก้อยกลับบ้านด้วย ไอ้มินทร์บ่นจะแย่แล้วว่าแทบไม่เห็นหน้าเมียเลย”
“เขาก็พูดไปอย่างนั้นเองค่ะ เพิ่งลงมาหาก้อยเมื่อสองวันที่แล้ว”
“เฮ้อ...เรานี่ไม่เข้าใจผู้ชายเลยจริงๆ”
น้องสาวฟังแล้วไม่ได้ตอบโต้อะไร ชายหนุ่มจึงไม่ได้ต่อความยาว
“งั้นแค่นี้ก่อนนะน้องก้อย”
“ค่ะ สวัสดีค่ะพี่กลาง”
กัญญานันวางสายไปแล้วก็เอ่ยขึ้นแม้เพื่อนจะไม่ได้ถาม
“พี่กลางโทรมาถามว่าจะให้ไปส่งไหมน่ะ”
พิมพ์ปรางเพียงแค่เหลือบตามองอีกฝ่ายก็พูดต่อ
“แต่ก้อยบอกไปแล้วล่ะว่ามารถสอง”
“จ้ะ”
หลังจากพิมพ์ปรางตอบรับ ประตูก็เปิดเข้ามาโดยมาธาวี งานนี้เธอไม่ได้ร่วมแสดงด้วย แต่ทำหน้าที่ประสานงานกับทางผู้จัดงานในฐานะตัวแทนของโรงเรียน เพื่อความไม่วุ่นวายหญิงสาวจึงเลือกทำแค่หน้าที่เดียว
“เรียบร้อยแล้วใช่ไหมสาวๆ”
“จ้ะ แล้วสองล่ะมีอะไรอีกไหม”
กัญญานันถามกลับ
“ไม่แล้วล่ะ งานเสร็จ ทุกคนแฮปปี้ก็จบแล้ว แต่ว่าต้องถามพี่หนึ่งก่อนว่าจะเอายังไง เพราะเขายุ่งกว่าเรา”
มาธาวีหมายถึงมาลินีพี่สาวของตนที่เป็นหนึ่งในเจ้าหน้าที่ดูแลการจัดงานครั้งนี้
“สองก็เลยมาดูว่าก้อยกับปรางเสร็จหรือยัง จะได้โทรไปบอกพี่หนึ่งว่าพวกเราพร้อมแล้ว”
พร้อมกับพูดหญิงสาวก็กดเบอร์โทรออก รอสายไม่นานอีกฝ่ายก็รับ
“ว่าไงคะคุณพี่สาว สองกับเพื่อนเรียบร้อยแล้วนะ กำลังจะกลับแล้ว”
“พูดแบบนั้นได้ยังไง”
กัญญานันบ่นเพื่อนแบบไม่มีเสียงอีกครั้งแต่มาธาวียักไหล่
“ย่ะ กลับกันไปเลย ฉันกลับของฉันเองได้”
ปลายสายตอบกลับสั้นๆ
“โทรให้รถที่บ้านมารับเหรอ”
“เปล่า แต่ไม่ต้องห่วงหรอก ถึงไม่มีเธอก็มีคนอยากไปส่งฉันเยอะแยะ”
คนได้ยินเบะปากก่อนจะตอบรับอย่างไม่ใส่ใจ
“โอเค งั้นสองกับเพื่อนกลับแล้วนะคะ”
“อืม”
พี่สาวเอ่ยสั้นๆ แล้ววางสายไป มาธาวีถอนหายใจเบื่อหน่าย ถึงทั้งคู่จะไม่ได้เกลียดกันแต่ก็เป็นพี่น้องที่ไม่กินเส้นกันเอาเสียเลย ความคิด การใช้ชีวิตคนละขั้วสุดๆ
“พี่หนึ่งไม่กลับกับเราเหรอ”
“ใช่”
“แล้วจะกลับยังไง”
“เขาบอกว่ามีคนอยากไปส่งเขาเยอะแยะ”
“พี่หนึ่งอาจจะประชดก็ได้”
มาธาวียักไหล่ เพราะพี่สาวของเธอบอกมาแบบนั้นจะให้ทำอย่างไรได้ กัญญานันได้แต่ส่ายหน้า แม้มาลินีจะเอาแต่ใจและค่อนข้างจุกจิกแต่ก็หวังดีกับเพื่อนของเธอจริงๆ แต่น้องสาวไม่เคยสนใจและเชื่อในสิ่งที่พี่สาวบอกทั้งคู่จึงเดินกันคนละเส้นทางตลอด
แต่เมื่อเช้ารถของมาลินีมีปัญหากลางทางและต้องรีบมางาน แถมรถของที่บ้านก็ต้องไปส่งพ่อเลี้ยงศรากับแม่เลี้ยงมารตีไปเป็นประธานงานแต่งงานหนึ่ง พวกเธอกำลังเดินทางมางานนี้เช่นเดียวกันและต้องผ่านจุดนั้น มาลินีจึงโทรมาบอกว่าจะติดรถน้องสาวมาด้วย เมื่อมาถึงค่อนข้างช้ามาธาวีก็เลยโดนพี่สาวบ่นตามระเบียบ ทว่าเจ้าตัวก็ไม่ได้แคร์
“ในเมื่อเขาบอกมาแบบนั้นแล้วเราก็กลับกันเถอะ สองง่วงมากอ่ะ นอนดึกตื่นเช้า แถมวิ่งไปวิ่งมาดูความเรียบร้อยทั้งโชว์ของเราแล้วก็ของเด็กๆ จากโรงเรียนเราอีกสองโชว์มาทั้งวันแล้ว ล้าไปหมด อยากทิ้งตัวนอนจะแย่อยู่แล้ว”
“แล้วจะไม่โทรถามที่บ้านหน่อยเหรอว่าพี่หนึ่งให้รถมารับหรือเปล่า”
“คงงั้นแหละ ไม่งั้นคงไม่มั่นใจขนาดนั้นว่าตัวเองไม่ต้องพึ่งเรา หรือว่าอาจจะมีคนตามจีบเขาอาสาไปส่งจริงๆ ก็ได้ ใครจะไปรู้”
มาธาวีบอกอย่างไม่แยแส กัญญานันได้แต่หันไปสบตากันเองกับพิมพ์ปรางแบบไม่รู้จะพูดอะไรต่อ เพื่อนของเธอคงเห็นว่างานนี้จบแล้วและไม่ได้เลิกดึกจึงไม่ค่อยคิดมากเท่าไร
สามสาวเพื่อนซี้มายังลานจาดรถสถานที่จัดงาน หลังจากเก็บของและเข้าไปนั่งในรถเรียบร้อยมาธาวีก็เอ่ยขึ้น
“ไปกินอะไรกันก่อนดีกว่าเนอะ เหนื่อยขนาดนี้กลับไปถึงบ้านแล้วก็อาบน้ำนอนเลย”
พูดแล้วหญิงสาวก็สตาร์ทรถเพื่อขับออกจากลานจอดรถ
“อื้ม ดีเหมือนกัน”
กัญญานันตอบรับ พิมพ์ปรางเองก็พยักหน้าเห็นด้วย
“งั้นดูร้านแถวๆ นี้แล้วกันนะ”
มาธาวีตัดสินใจ แล้ววนรถเพื่อไปด้านหน้าทางออก ขณะที่กำลังมุ่งมั่นกับการขับรถเสียงของกัญญานันก็ดังขึ้น
“นั่นพี่กลางนี่”
รถของพวกเธอกำลังผ่านด้านหน้า แล้วเห็นว่ากิตติกรเดินออกมาพร้อมกับผู้หญิงคนหนึ่ง
“พี่หนึ่งนี่นาสอง”
กัญญานันพูดขึ้นอีกครั้งทำให้มาธาวีชะลอรถแล้วเหลือบมองแต่ก็ไม่ได้หยุดเสียทีเดียว
“งั้นที่เขาบอกว่ามีคนไปส่งก็คือพี่ของก้อยเองเหรอ”
เมื่อรถผ่านมาแล้วก็มองทางกระจกหลัง เห็นว่าสองคนคุยกันยิ้มแย้มพี่สาวไม่สังเกตเห็นรถของเธอด้วยซ้ำ
“อะไรกัน สองคนนั้นไปคลิกกันตอนไหนเนี่ย”
คนขับบ่นเบาๆ อย่างไม่ใส่ใจนัก ขณะที่กัญญานันที่นั่งด้านหน้าด้วยขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มีเพียงพิมพ์ปรางที่นั่งเฉยไม่หันไปมองสองหนุ่มสาวเพราะเห็นว่ามันไม่เกี่ยวกับเธอ
======
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตจะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใครเสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่หมายบำเหน็จจะรีบเสด็จไป ก็รู้เท่าเข้าใจในทำนองด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมย์สมสองไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้อง ทั้งพวกพ้องสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์แต่นี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่นเขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอัน นางรำพันว่าพลางทางโศกา[1] ความงดงามอ้อนช้อยที่ร่างแบบบางกำลังกรีดกรายตามคำตัดพ้อต่อว่า โดยมีร่างกำยำอีกร่างร่ายรำปลอบโยนทำให้กิตติกรจ้องมองไม่วางตาด้วยขุ่นขวางอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกซึมซับประทับใจกับความอ่อนช้อยงดงามเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบทละครนี้เขาเคยมีโอกาสได้ดูมาแล้วเพราะน้องสาวของเขาเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์มีงานให้แสดงเสมอไม่ขาด หลายครั้งก็มักจะเป็นบทละครรำเรื่องอิเหนาอย่างเช่นคราวนี้ และเขาก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมต้องเป
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป“ว่าไงครับน้องก้อย”“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง“พี่กลาง”พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไ
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตจะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใครเสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่หมายบำเหน็จจะรีบเสด็จไป ก็รู้เท่าเข้าใจในทำนองด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมย์สมสองไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้อง ทั้งพวกพ้องสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์แต่นี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่นเขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอัน นางรำพันว่าพลางทางโศกา[1] ความงดงามอ้อนช้อยที่ร่างแบบบางกำลังกรีดกรายตามคำตัดพ้อต่อว่า โดยมีร่างกำยำอีกร่างร่ายรำปลอบโยนทำให้กิตติกรจ้องมองไม่วางตาด้วยขุ่นขวางอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกซึมซับประทับใจกับความอ่อนช้อยงดงามเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบทละครนี้เขาเคยมีโอกาสได้ดูมาแล้วเพราะน้องสาวของเขาเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์มีงานให้แสดงเสมอไม่ขาด หลายครั้งก็มักจะเป็นบทละครรำเรื่องอิเหนาอย่างเช่นคราวนี้ และเขาก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมต้องเป