หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่
“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”
หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ
“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”
“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”
“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”
คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน
“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”
“จริงเหรอลูก”
การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืนพิงประตูรถได้ยินเกือบทั้งหมด แม้ความจริงเขาจะไม่ได้ตั้งใจฟังเท่าไรก็ตาม
ครู่หนึ่งกว่าคนเป็นพ่อจะพาลูกสาวขึ้นรถขับจากไป พิมพ์ปรางหันหลังเดินกลับจะเข้าตึกแต่ก็ต้องชะงักกับเสียงทุ้มที่ดังขึ้น
“อยากรู้จริงๆ ว่าทำไมใครๆ ก็หลงแต่จินตะหรากันทั้งนั้น”
หญิงสาวไม่ได้หันกลับไป เธอก้าวเดินต่อแต่ก่อนจะเอื้อมมือเปิดประตู เสียงทุ้มก็ดังขึ้นแทบจะชิดด้านหลังทำเอาถึงกับสะดุ้ง
“ไม่ว่าจะผู้หญิง เด็ก ผู้ชาย”
พิมพ์ปรางหันกลับมามองอีกฝ่ายด้วยความตกใจ การที่เพิ่งเห็นว่าเขาขยับมาใกล้มากเกินไปทำให้ร่างบางรีบถอยหลังจนชนเข้ากับประตูกระจกทว่าอีกฝ่ายก็ยังก้าวตามมาอย่างคุกคาม
“ทั้งหนุ่มทั้งแก่”
“คุณมีธุระอะไรคะ”
เธอไม่ได้พูดเรื่องเดียวกันกับอีกฝ่ายเพราะรู้ว่าเขากำลังรวนหาเรื่อง
“ทั้งที่ทั้งเนื้อทั้งตัวก็ไม่เห็นจะมีอะไรดี”
เป็นอีกครั้งที่กิตติกรทำปฏิกิริยาเหมือนเดิมเมื่อเผชิญหน้ากันเพียงลำพัง ชายหนุ่มมักกวาดตามองเธอทั้งตัวอย่างดูแคลน และมันก็ทำให้พิมพ์ปรางรู้สึกเหมือนถูกเขาเอามีดคมกริบกรีดลงบนผิวหนัง เธอเกลียดความรู้สึกนี้เหลือเกิน
“ก็แค่ผู้หญิงใจแตก รักผู้ชายของคนอื่น ไม่เจียมตัว”
มือบางของคนที่ได้ยินกำแน่น ขณะพยายามสู้กับแววตาคมกริบที่กำลังเชือดเฉือนเธอ
“ใครมาเหรอปราง”
เสียงเมธาวีก็ดังแทรกขึ้นมา พิมพ์ปรางรีบหันไปเปิดประตูเข้าไปทันที อยากรีบหนีจากสถานการณ์ย่ำแย่นี้ให้เร็วที่สุด โดยมีร่างสูงกว่าตนมากตามเข้ามา
“อ้าว คุณกลาง สวัสดีค่ะ”
เมื่อเห็นคนที่อยู่ด้านหลังชัดเจนมาธาวีก็ทักขึ้นพร้อมยกมือไหว้ด้วยสีหน้าแปลกใจ
“มาหาก้อยเหรอคะ แต่ก้อยไม่อยู่นะคะ นึกว่าจะคุณกลางจะรู้เสียอีก”
“อ้าวเหรอครับ แต่เมื่อเช้าผมโทรนัดแล้วนี่นาว่าจะมารับขึ้นภู”
“พอดีตอนกางวันรถจากภูมารับก้อยน่ะค่ะ บอกว่าพี่มินทร์ป่วยแต่ดื้อยังไปทำงาน ผู้จัดการทำอะไรไม่ได้ก็เลยส่งรถมารับก้อย คงรีบก็เลยลืมบอกคุณกลาง”
มาธาวีอธิบาย ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจ สายตาคมเหลือบมองคนที่รีบเดินเลี่ยงไปแวบหนึ่ง แต่พิมพ์ปรางก็ยังมีมารยาทพอที่จะไม่เดินหนีขึ้นชั้นบน หญิงสาวไปยืนหลังเคานเตอร์ก้มหน้าก้มตาจดรายละเอียดนั่นนี่เหมือนกำลังยุ่งมาก
“ถ้าอย่างนั้นวันหยุดนี้ผมคงไม่ขึ้นภูดีกว่า ให้โอกาสไอ้มินทร์มันอ้อนน้องก้อย”
ชายหนุ่มบอกกลั้วหัวเราะมาธาวีจึงยิ้มตาม
“แล้วสองคนทานอะไรกันหรือยังครับ”
อยู่ๆ กิตติกรก็ถามขึ้นมาทำเอาสาวรุ่นน้องที่คุยกับเขาทำหน้างงแต่ก็ตอบตามตรง
“ยังค่ะ”
“งั้นไปทานอะไรด้วยกันไหมครับ ผมไม่อยากทานคนเดียว ตอนแรกว่าจะไปฝากท้องที่ภูศรีจันก็เลยยังไม่ได้ทานอะไรมา”
“เอ่อ คือว่า...”
“ยินดีค่ะ”
เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลังก่อนจะเห็นร่างโปร่งระหงในชุดเรียบร้อยของข้าราชการเดินออกมา
“คุณหนึ่งอยู่ที่นี่ด้วยเหรอครับ”
=====
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตจะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใครเสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่หมายบำเหน็จจะรีบเสด็จไป ก็รู้เท่าเข้าใจในทำนองด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมย์สมสองไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้อง ทั้งพวกพ้องสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์แต่นี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่นเขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอัน นางรำพันว่าพลางทางโศกา[1] ความงดงามอ้อนช้อยที่ร่างแบบบางกำลังกรีดกรายตามคำตัดพ้อต่อว่า โดยมีร่างกำยำอีกร่างร่ายรำปลอบโยนทำให้กิตติกรจ้องมองไม่วางตาด้วยขุ่นขวางอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกซึมซับประทับใจกับความอ่อนช้อยงดงามเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบทละครนี้เขาเคยมีโอกาสได้ดูมาแล้วเพราะน้องสาวของเขาเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์มีงานให้แสดงเสมอไม่ขาด หลายครั้งก็มักจะเป็นบทละครรำเรื่องอิเหนาอย่างเช่นคราวนี้ และเขาก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมต้องเป
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป“ว่าไงครับน้องก้อย”“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง“พี่กลาง”พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไ
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
โต๊ะอาหารในร้านพื้นเมืองแทบทุกร้านค่อนข้างแน่น แต่พวกเขาก็สามารถหาร้านว่างได้โดยเดินออกมาไม่ไกลมากนักเพราะตกลงกันว่าจะทานร้านที่ไม่ไกลจากบริเวณงานยี่เป็งมากนักภายในโต๊ะมาธาวีมองลำดับการนั่งอย่างขัดเคือง เพราะกลายเป็นว่าพิมพ์ปรางต้องนั่งตรงกลางระหว่างสองพ่อลูก นั่นเป็นเพราะน้องพลอยดันมาขอนั่งแทนที่เธอแล้วพ่อของสาวน้อยก็เข้ามาเสียบอีกด้านทันที หญิงสาวจำต้องนั่งข้างพี่สาวตัวเองอย่างหงุดหงิดแต่ก็ต้องเก็บความรู้สึกเอาไว้ในใจมาธาวีดูออกว่าคุณพ่อเลี้ยงเดี่ยวหนุ่มใหญ่คนนี้คิดอย่างไรพิมพ์ปราง แรกๆ เธอก็ไม่ได้ติดขัดอะไรเพราะอีกฝ่ายก็มีฐานะหน้าตาทางสังคม เป็นถึงข้าราชการระดับซีสูง ทว่าตั้งแต่วันที่หม่อมหลวงกิตติกรอาสาเลี้ยงข้าวมาธาวีได้เห็นปฏิกิริยาชวนสะดุดใจบางอย่างจากชายหนุ่มเขาดูแลพี่สาวเธอตักอาหารให้ตามมารยาท พูดคุยกับเธอแต่ไม่คุยพิมพ์ปราง เธอจำได้ว่าเคยเห็นทั้งสองคนพูดคุยกันบ้างเล็กน้อยบางครั้ง แต่เมื่ออยู่ในกลุ่มคนทั้งสองจะต่างคนต่างอยู่ราวกับไม่รู้จัก ไม่สนิทสนม ทั้งที่ควรจะสนิทเพราะพิมพ์ปรางเคยอยู่ที่บ้านอรรถพันธ์พงศ์มาก่อนกระทั่งเรียนมัธยมปลาย และทุกครั้งที่มีกิตติกรอยู่ด้วยพิมพ์ปราง
“อ้าวน้องพลอย คุณพ่อ สวัสดีค่ะ”มาธาวีเป็นคนทักขึ้นก่อน“สวัสดีค่ะคุณครู”น้องพลอยยกมือไหว้ทั้งสามสาว ก่อนจะไหว้ทุกคนที่เหลือด้วยแม้จะไม่รู้จักก็ตาม“เป็นไงคะน้องพลอย เพื่อนๆ คนอื่นล่ะคะ”กัญญานันเอ่ยถามขึ้น“เพื่อนแยกย้ายไปกับพ่อแม่แล้วค่ะ แต่พลอยอยากถ่ายรูปกับคุณครูน่ะค่ะ พลอยให้คุณพ่อถ่ายรูปกับวิดีโอตอนที่ครูรำเอาไว้เยอะเลยนะคะ คุณพ่อบอกว่าคุณครูสวยมากๆ เลยค่ะ โดยเฉพาะครูปราง”น้องพลอยบอกแล้วเข้ามาเกาะแขนคุณครูคนสวยอย่างอ้อนๆ ในบรรดาสามสาวเด็กน้อยชื่นชอบครูปรางที่สุดเด็กๆ ที่เรียนกับสามสาวไม่ได้พูดภาษาคำเมืองกับพวกเธอเพราะเวลาสอนสามสาวไม่ได้พูดคำเมือง แม้ทั้งกัญญานันและพิมพ์ปรางจะรู้สึกว่าเวลาเด็กๆ พูดคำเมืองแล้วดูน่ารักดีก็ตาม“ขอบใจจ้ะ”พิมพ์ปรางยิ้มให้สาวน้อยอย่างเอ็นดูในขณะที่คนเป็นพ่อยิ้มเก็บอาการที่ลูกสาวทำถูกใจเอาไว้ไม่อยู่ และผู้ใหญ่ทุกคนก็มองออก โดยเฉพาะกิตติกรที่ตาวาววับขึ้นมาทันควันจากนั้นคุณครูทั้งสามก็ถ่ายภาพร่วมกับน้องพลอยจนกระทั่งสาวน้อยพอใจ“แล้วนี่จะไปจุดผางปะตี๊ดหรือแขวนโคมกันไหมครับ”อยู่ๆ พัลลภก็ถามขึ้นมา พิมพ์ปรางไม่คิดอะไรมากจึงตอบไปตามตรง“ก็คิดว่าจะไปอยู่เ
แม้จะแปลกใจแต่กิตติกรก็เอ่ยทักหญิงสาวอย่างเป็นธรรมชาติ อีกฝ่ายยิ้มกว้างเดินมายืนตรงหน้าเขาทันที“ค่ะ พอดีว่าคุณแม่ฝากของมาให้สองน่ะค่ะ ก็เลยแวะเอามาให้ก่อนกลับบ้าน”กิตติกรมองใบหน้าสวยราวกับสนใจในขณะที่สมองพยายามนึกว่าเขาไม่เห็นรถคนอื่นหน้าโรงเรียนนอกจากรถของผู้ปกครองที่ยืนคุยกับพิมพ์ปรางจึงไม่คิดว่ามีคนอื่นอยู่ที่นี่ด้วย“เราไปกันเลยไหมคะ หนึ่งหิวแล้ว”สาวสวยเอ่ยชวนอย่างร่าเริงไม่ได้ขัดเขินที่จะแสดงออกว่าตนเองพอใจชายหนุ่มตรงหน้ามากแค่ไหน จนแม้แต่คนเป็นน้องสาวเองยังแอบส่ายหน้าเบาๆ“อ้อ ครับ”ชายหนุ่มยิ้มรับก่อนจะเหลือบมองไปด้านหลังมาลินี“เชิญเลยครับสาวๆ”“ค่ะ”มาธาวีตอบรับแล้วหันไปพยักหน้าให้เพื่อนหลังเคานเตอร์“ไปเร็วปราง นานๆ ทีจะมีคนเลี้ยงข้าวเราสักที”คนถูกชวนเดินออกมาจากเคานเตอร์โดยไม่มีท่าทางอิดออดแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการดีใจใดๆ“คุณกลางไปกับพี่หนึ่งนะคะ เดี๋ยวสองกับปรางจะไปรถอีกคัน”“ไปด้วยกันก็ได้นี่ครับ”กิตติกรบอกพร้อมมองหน้ามาธาวีคล้ายตั้งคำถามอีกฝ่ายจึงยิ้มกว้าง แต่น้องสาวยังไม่ทันพูดพี่สาวก็เอ่ยขึ้นมาแทน“พอดีว่ารถหนึ่งรวนอีกแล้วน่ะค่ะ ที่มานี่ก็ให้เพื่อนมาส่ง กำลังจะโทรให้ร
หน้าโรงเรียนของสามสาวพิมพ์ปรางเป็นคนพาเด็กนักเรียนที่ตนเองกับมาธาวีสอนลงมาส่งในตอนที่ผู้ปกครองโทรมาแจ้งว่ามารับแล้ว หญิงสาวไหว้อีกฝ่ายและยืนพูดคุยกันอยู่ด้านหน้าตึก ภาพนั้นอยู่ในสายตาของคนที่เพิ่งขับรถมาจอดเลยไปเล็กน้อยเพราะเห็นว่ามีรถขวางอยู่“ได้คุณครูเก่งๆ แบบครูปรางอีกไม่นานลูกพลอยต้องรำเก่งแล้วก็สวยเหมือนคุณครูแน่ๆ ใช่ไหมลูก”หนุ่มใหญ่ที่อยู่ในชุดเรียบร้อยบอกหน้ายิ้มแย้มแล้วหันไปหาลูกสาวอายุประมาณสิบเอ็ดสิบสองขวบที่รีบพยักหน้ารับ“น้องพลอยเก่งอยู่แล้วค่ะ ความจำดี ตัวอ่อน ตั้งวงสวยมากค่ะ”“ใช่ค่ะคุณพ่อ ครูปรางกับครูสองชมตลอดว่าน้องพลอยเก่ง แล้วน้องพลอยก็จะได้ฟ้อนเทียน ต๋ามผาง ปะตี๊ด ส่องฟ้า ฮักษาเมือง ในงานยี่เป็งด้วย คุณพ่อต้องถ่ายวิดีโอเอาไว้นะคะ”“งั้นเหรอลูก เอ...ว่าแต่เมื่อไรจะได้มีโอกาสดูคุณครูแสดงอีกบ้างล่ะครับ ผมยังจำตอนคุณครูเป็นจินตะหราเมื่อเดือนก่อนได้ติดตาอยู่เลย คุณครูสวยมาก”คนเป็นพ่อพูดไปยิ้มหวานไปในขณะที่ลูกสาวเงยหน้ามองอย่างไม่คิดอะไร ส่วนพิมพ์ปรางกระอักกระอ่วน“ครูจะฟ้อนเทียนกับพลอยด้วยค่ะ”“จริงเหรอลูก”การพูดคุยระหว่างคนสามคนนั้น ชายหนุ่มร่างสูงสมาร์ทที่ลงมายืน
หลังจากนั้นก็ไม่มีใครเอ่ยถึงเรื่องของสองคนนั้นอีกเพราะสามสาวไม่ใช่พวกช่างเมาท์และมาธาวีไม่สนใจเรื่องของพี่สาวมากนัก กัญญานันเองก็รู้ดีว่ากิตติกรเป็นคนมีอัชฌาศัยดีกับผู้หญิงสวยๆ อยู่แล้วสามสาวตัดสินใจเลือกร้านที่การตกแต่งดูน่ารักร้านหนึ่งซึ่งอยู่ไม่ไกลสถานที่จัดงานนักเพื่อสั่งอาหารง่ายๆ มาทาน ระหว่างที่กำลังรอของที่สั่งอยู่นั้นสองหนุ่มสาวคู่เดิมก็เดินเข้ามาในร้าน คนที่เห็นก่อนก็คือพิมพ์ปรางแต่เธอแค่มีสีหน้าคาดไม่ถึง ไม่ได้พูดอะไรนอกจากมองนิ่ง มาธาวีจึงมองตามแล้วก็เห็นว่าพี่สาวของตนกับพี่ชายของเพื่อนก็มาร้านเดียวกัน หญิงสาวรีบหันไปเขย่าแขนกัญญานันให้ดูด้วยกัน แม้จะหันมองทั้งสามคนแต่ไม่มีใครยกมือเรียกพวกเขาเพราะต่างก็คิดว่าสองคนนั้นต้องการความเป็นส่วนตัว แต่คนที่เข้ามาทีหลังกลับมองมาทางพวกเธอเสียก่อน แล้วกิตติกรก็เดินนำมาลินีเข้ามาหา“พี่กลาง”กัญญานันลุกขึ้นตามนิสัยที่เป็นคนมารยาทดี สองสาวจึงลุกตามแล้วยกมือไหว้กิตติกร“สวัสดีค่ะ”มาธาวีเอ่ยขึ้นเพราะเธอเพิ่งเจอชายหนุ่ม แต่พิมพ์ปรางแค่ยกมือไหว้“มาทานข้าวกันเหรอ”ชายหนุ่มกวาดตามองสามสาวแวบหนึ่งพร้อมกับถาม“ค่ะ อยากกลับไปนอนกันเลยน่ะค่ะ”
เสียงข้อความเข้าดังขึ้นทำให้คนที่เพิ่งเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วนั่งรอเพื่อนๆ หยิบมือถือของตนขึ้นมาเปิดดู เห็นเป็นข้อความจากพี่ชาย“น้องก้อยมายังไง ให้พี่ไปส่งไหม”กัญญานันเห็นกิตติกรแล้วตั้งแต่ตอนที่แสดงอยู่บนเวทีจึงไม่แปลกใจที่อีกฝ่ายจะถาม หญิงสาวจึงโทรกลับไป“ว่าไงครับน้องก้อย”“พวกเรามารถสองกันน่ะค่ะพี่กลาง”“อ๋อ โอเค งั้นพี่กลับก่อนเลยนะครับ”“ค่ะ ว่าแต่พี่กลางมาที่นี่ได้ยังไงคะ”“ว่าจะทำตลาดเครื่องประดับไทยประยุกต์น่ะ ก็เลยมาหาไอเดีย”“แบบนี้นี่เอง ร้านเป็นยังไงบ้างคะ”“ก็ดีนะ เราเป็นแบนด์ที่คนรู้จักอยู่แล้ว เปิดสาขาเพิ่มคนก็สนใจ ถึงไม่ใช่ว่าคนที่เข้ามาทุกคนจะซื้อ แต่พี่ว่าพอไหว แล้วก็อยากเพิ่มสไตล์พื้นเมืองหรือไทยๆ เข้าไปด้วย น่าจะถูกใจคนที่นี่”“ค่ะ คนสมัยนี้เน้นความเป็นไทย ความเป็นพื้นเมือง ถ้าเขารู้สึกว่าซื้อแล้วจะได้ใช้เขาก็จะซื้อ”ระหว่างที่คุยกันพิมพ์ปรางที่เพิ่งเปลี่ยนชุดเสร็จเดินเข้ามาพร้อมกับถามด้วยสายตาว่าใคร กัญญานันจึงตอบแบบไม่มีเสียง“พี่กลาง”พิมพ์ปรางชะงักไปเพียงนิดเดียวเพื่อนสาวจึงไม่ทันสังเกต ก่อนจะเดินไปนั่งอีกมุมหน้ากระจกเช็ดเครื่องสำอาง“วันศุกร์เดี๋ยวพี่ไ
โอ้ว่าน่าเสียดายตัวนัก เพราะเชื่อลิ้นหลงรักจึงช้ำจิตจะออกชื่อลือชั่วไปทั่วทิศ เมื่อพลั้งคิดผิดแล้วจะโทษใครเสียแรงหวังฝังฝากชีวี พระจะมีเมตตาก็หาไม่หมายบำเหน็จจะรีบเสด็จไป ก็รู้เท่าเข้าใจในทำนองด้วยระเด่นบุษบาโฉมตรู ควรคู่ภิรมย์สมสองไม่ต่ำศักดิ์รูปชั่วเหมือนตัวน้อง ทั้งพวกพ้องสุริยวงศ์พงศ์พันธุ์แต่นี้สืบไปภายหน้า จะอายชาวดาหาเป็นแม่นมั่นเขาจะค่อนนินทาทุกสิ่งอัน นางรำพันว่าพลางทางโศกา[1] ความงดงามอ้อนช้อยที่ร่างแบบบางกำลังกรีดกรายตามคำตัดพ้อต่อว่า โดยมีร่างกำยำอีกร่างร่ายรำปลอบโยนทำให้กิตติกรจ้องมองไม่วางตาด้วยขุ่นขวางอย่างบอกไม่ถูก ไม่รู้สึกซึมซับประทับใจกับความอ่อนช้อยงดงามเลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าบทละครนี้เขาเคยมีโอกาสได้ดูมาแล้วเพราะน้องสาวของเขาเรียนวิทยาลัยนาฏศิลป์มีงานให้แสดงเสมอไม่ขาด หลายครั้งก็มักจะเป็นบทละครรำเรื่องอิเหนาอย่างเช่นคราวนี้ และเขาก็แปลกใจเหลือเกินว่าทำไมต้องเป