หยวนชิงหลิงมองไปที่เขา หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย และถามเสียงแหบแห้งว่า "หมายความว่าอย่างไร?"นิ้วของเขาค่อย ๆ ชี้ไปที่หัวใจของนาง “ในนี้ เปลี่ยนไปเป็นอีกคน”“หือ?” นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเฉยเมย "อย่าแสร้งทำเป็นสงบ ในใจเจ้าตื่นตระหนกมากนัก"หยวนชิงหลิงบ่นอืมพึมพัม นางก้มหน้าลงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย "ท่านบอกข้าทีว่าข้าลุกลี้ลุกลนอะไร"อวี่เหวินห่าวเชยหน้านางขึ้น มองตานางจนหยวนชิงหลิงขนลุกไปหมด “มองอะไรกัน? ท่านอยากจะพูดอะไร”แววตาอวี่เหวินห่าวอ่อนลง “ไม่พูดดีกว่า ไม่อยากเห็นเจ้าพยายามโกหกปิดบังเช่นนี้ เจ้ายังควบคุมคำพูดเจ้าไม่ได้เลย”หยวนชิงหลิงรู้สึกอายมาก "อันใดกันนี่?"อวี่เหวินห่าวยักไหล่ "ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเรียนรู้วิชาแพทย์อย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ กล่องยาก็ขยายใหญ่ขึ้นหรือหดเล็กลงได้ ไม่รู้ว่ายามาจากไหน แม้ว่าการแสดงของเจ้าจะดูสมจริงมากก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้กระจ่างชัดนัก "หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ในตอนนั้นกลับท่านเชื่อ”"ข้านั้นช่างไร้เดียงสา ข้าเชื่อในตัวหญิงชั่วร้ายอย่างเจ้า ข้าก็คงเป็นมืออาชีพไปแล้วในชีวิตนี้" อวี่เหวินห่าวอุ้มนางขึ้น ห
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ โกรธจนจะลุกเป็นไฟแล้ว ซึ่งมันทำให้ใบหน้าที่คล้ายกันของตระกูลอวี่เหวินยิ่งเพิ่มความดุร้ายขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา ดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ และเขาก็จ้องเขม็งไปที่หยวนชิงหลิงทันที เป็นไปตามที่หมานเอ๋อร์พูดเลยว่า เขาโกรธจนจะกินคนได้แล้วในทางกลับกัน หยวนชิงหลิงซึ่งมีใบหน้าสีเลือดฝาด และรอยยิ้มที่มุมปาก นางเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมกับย่อกายถวายพระพรเล็กน้อย "ไม่รู้ว่าพี่สามจะมาที่นี่ ไม่ได้ไปคารวะเสียนาน ขอพี่สามโปรดอภัย”พูดจบก็ไม่รอเขาพูดอะไร และนั่งลงทันทีแววตาของอ๋องเว่ยดูดุดันขึ้น เขากำลังง้างมือจะตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง“ปัง” เสียง ๆ หนึ่งที่ดังขึ้น มีอะไรที่วางกระแทกลงไปกับโต๊ะอย่างรวดเร็ว เขาเพ่งมองดูสิ่งที่หยวนชิงหลิงกำอยู่ในมือที่ตบลงกับโต๊ะเขาไม่ได้ตาบอด เห็นได้ชัดว่านั้นคือไม้เท้าจักรพรรดิที่ไท่ซ่างหวงประทานให้นางท่าทางใหญ่โตทั้งหลายถูกไม้เท้าจักรพรรดิกดทับไว้ทันทีเขาพูดอย่างเย็นชา "ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าไปที่จวนอ๋องเว่ย"หยวนชิงหลิงกล่าว “เพคะ พี่สาม พี่สะใภ้สามดีขึ้นบ้างหรือไม่? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า? ข้าให้ยาไป
อ๋องเว่ยยกมือค้างไว้กลางอากาศ มองใบหน้าเปี่ยมโทสะของหยวนชิงหลิง แต่ไม่กล้าจะตบลงไปแต่ง้างมือมาขนาดนี้ถ้าไม่ตบลงไปคงขายหน้าเป็นแน่เขาจึงได้กำนิ้วเหลือแค่นิ้วชี้ และชี้ไปที่หน้าผากของหยวนชิงหลิงและพูดข่มขู่ว่า “หากเจ้ายังพูดหยาบคายกับกู้จืออีกคำเดียว มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?”หยวนชิงหลิงที่ยืนยืดท้องหลังตรงแบบนี้เหนื่อยล้ามาก แต่ตอนนี้ความกล้าหาญของนางได้เกินตัวไปแล้ว และยังคงยืดตัวตรงพูดไปอย่างเย็นชา “นางหน้าไม่อาย เนรคุณ เสแสร้ง หน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ผู้หญิงซุ้มประตูหน้าไม่อาย เป็นคนที่ข้ารู้สึกรังเกียจและขยะแขยงเป็นที่สุด แบบนี้เรียกว่าด่าหรือไม่? ถ้าไม่ใช่ ข้ายังมีอีก”นางก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธจนตาลุกเป็นไฟ บีบจนอ๋องเว่ยต้องถอยหลังไป “นางมีเจตนาร้ายแอบแฝง นางใช้วิชามนต์เสน่ห์ทำร้ายผู้คน คิดจะแทนที่พระชายาเว่ย เจ้าเป็นอ๋องเว่ยก็ถูกนางล่อลวงให้ปฏิบัติกับพระชายาเว่ยอย่างอคติไร้ความเป็นธรรม ตอนนี้ยังกล้าให้คนเลวมาฟ้องและมาหาข้า เพื่อถามหาความรับผิดชอบอีกหรือ? หน้าเจ้าอยู่ที่ไหนมิทราบรึ?”อ๋องเว่ยสูดหายใจสงบสติอารมณ์ “เจ้า... เจ้ากล้าพูดถึงวิชาสกปรกอย่างมนต์เสน่ห
อาซื่อรับทราบ และเดินหันออกไปทันทีนางข้าหลวงสี่กล่าวอย่างกังวลใจ “พระชายา ท่านคิดว่าอ๋องเว่ยจะทำร้ายพระชายาเว่ยหรือไม่เพคะ?”หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “ข้ายั่วโมโหเขามาขนาดนี้ เขาย่อมต้องไปหาคนมาระบายโทสะ เขาอาจจะพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าพระชายาเว่ยก็ได้”“พระชายา เมื่อครู่ท่านบอกว่ากู้จือคนนั้นใช้มนต์เสน่ห์ภาพลวงตาทำร้ายผู้คน อ๋องเว่ยได้ตกอยู่ในมนต์ลวงตาหรือไม่เพคะ?” หมานเอ๋อร์เอ่ยถาม นางคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า“หมานเอ๋อร์” หยวนชิงหลิงมองนาง “วันนั้นที่เจ้าจับข้อมือนาง เจ้าเห็นว่านางเป็นพวกรู้วิชามนต์สะกดพวกนี้หรือไม่?”“เป็นเพคะ!” หมานเอ๋อร์พยักหน้า “บ่าวได้กลิ่นดอกลำโพงจากตัวนาง และนางยังมีสร้อยข้อมืออีกด้วย”“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่า วิชานั้นจะคงอยู่ได้นานเท่าไหร่?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม“ถ้าเป็นการสะกดให้หลับ ก็น่าจะได้สักประมาณครึ่งชั่วยามถึงสองชั่วยาม และหากได้ใช้ดอกลำโพงกับกระดังงาด้วย ก็...” หมานเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความละอายใจ จึงกล่าวอย่างเขินอายไปว่า “หากได้ใช้ผู้ชายก็จะหลงใหล และหากใช้การสะกดควบคู่ไปด้วยกัน ก็อาจจะคงไว้ได้สักสองสามปีเพคะ”“พวกเจ้าตอนนั้นที่ใช้มนต์ใส่เจ
พระชายาเว่ยฟังเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สีหน้าของนางแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยกเว้นตอนที่เขาพูดว่าตกหลุมรักกู้จือ แววตาของนางเปลี่ยนไป แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วนางใช้มือทั้งคู่กำผ้านวมไว้บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองเขา และพูดอย่างนิ่งเฉยว่า "ท่านมาก็ดีแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับท่าน ท่านนั่งลงก่อน"ความเกลียดชังในแววตาของอ๋องเว่ยกำลังลุกโชน พอเจอสีหน้านิ่งเรียบของนางก็แสดงท่าทีไม่ออก แต่มีไฟที่ไม่รู้ว่าอะไรกำลังมอดไหม้อยู่ในใจเขาปล่อยนางออกอย่างช้า ๆ และยืนอย่างเย็นชาข้างเตียง “มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่อยากนั่งที่นี่”พระชายาเว่ยนั่งลงอย่างช้า ๆ มองไปที่เขา และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และข้าก็มารู้ทีหลัง ข้าต้องขอโทษท่านอ๋องด้วย ข้าขอรบกวนท่านอ๋องฝากคำขอโทษของข้าไปบอกกู้จือด้วย"อ๋องเว่ยรู้สึกเหน็บแหนมเหลือเกิน “ไม่ต้องมาเสแสร้งทำเป็นใจดีมีเมตตา เจ้าเกลียดกู้จือจะตาย จะมารู้สึกผิดกับนางได้อย่างไร?”พระชายาเว่ยกล่าวว่า "จริง ๆ แล้ว ข้าเคยเกลียดนาง แต่จากนั้นข้าก็ค่อย ๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกลียดนางจะมีประโยชน์อะไร นางพยายามอย่างมากเพื่อไล่
พระชายาเว่ยตัวสั่นอยู่สักพัก ใบหน้านิ่งเรียบของนางเหมือนน้ำแข็งแตกร้าว ที่ค่อย ๆ แตกออกมา แววตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง นางใช้มือทั้งคู่จับข้อมือเขาไว้และถามออกมาด้วยริมฝีปากสั่นเทา “ท่านพูดอีกทีสิ”พระชายาเว่ยไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หูและสมองของนางแหลกสลายเป็นผุยผง เหลือเพียงเสียงหึ่ง ๆ ในหูของนางเท่านั้นแต่นางรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามนั้น ได้จ้องที่ริมฝีปากของเขา อ่านทุกคำที่เขาพูด "ลูกของเจ้าและอ๋องชิงหยาง ข้าเป็นคนฆ่าด้วยมือข้าเอง"เศษเสี้ยวแห่งความหวังสุดท้ายแตกสลาย และถ้อยคำที่นางอ่านนั้นเหมือนมีดแหลมคมนับพันทิ่มแทงหัวใจของนาง ทำให้นางคู้ตัวด้วยความเจ็บปวดนางค่อย ๆ ปล่อยมือของเขา มองตาเขาเต็มไปด้วยความไม่คุ้นเคย และความเกลียดชังนางเอนหลังแล้วล้มลงอย่างช้า ๆ ใบหน้าของนางขาวซีดราวตายแล้ว และความสดใสทั้งหมดมลายหายไปในทันทีเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ อ๋องเว่ยรู้สึกในใจมีความสุขยิ่งนัก ราวกับว่าในที่สุดความเกลียดชัง และความคับแค้นใจที่ถูกเก็บกดมานานนับปีก็ได้รับการปลดปล่อยในวันนี้เขาพูดอย่างเย็นชา "ข้าจะไปกราบทูลเสด็จพ่อ และมอบหนังสือหย่าให้กับเจ้า เจ้าไม่ต้องมาหวงตำแหน่งข
อาซื่อที่ฟังอยู่เงียบ ๆ บนหลังคาอยู่พักหนึ่ง จนแน่ใจแล้วว่าอ๋องเว่ยไม่กลับมาอีก นางจึงจากไปหลังจากกลับมา นางก็เล่าเรื่องไปตามจริงให้หยวนชิงหลิงฟัง และพูดสรุปว่า "จู่ ๆ เขาก็ตบพระชายาเว่ย ข้าคิดว่าลงไปก็เปล่าประโยชน์ ข้าจึงไม่ลงไป มีแต่จะทำให้พระชายาเว่ยยิ่งรู้สึกเจ็บปวดและทรมานเปล่า ๆ"หยวนชิงหลิงที่ได้ยินก็ถอนหายใจออกมา "ข้าเกรงว่าไม่ใช่การตบหรอกที่ทำร้ายนาง แต่เป็นคำพูดของเขาต่างหาก"อาซื่อที่เอ่ยถาม “ที่จริงตอนฟังพวกเขาคุยกัน ข้าเองก็ไม่คิดว่าพระชายาเว่ยจะท้องลูกชายชู้ได้จริง ๆ”หยวนชิงหลิงเอ่ยว่า “เกรงว่าทุกอย่างจะเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม วันนี้พวกเขาเดินมาถึงจุดนี้ ต่อให้วันหลังความเข้าใจผิดนั้นจะกระจ่างชัดแล้ว พวกเขาก็ไม่มีทางอยู่ร่วมกันได้อีก เขาฆ่าลูกวัยหกเดือนของนางด้วยมือของเขาเอง หากพระชายาเว่ยเป็นผู้บริสุทธ์ นั่นก็เท่ากับว่าเขาฆ่าลูกด้วยมือของเขาเอง”หากเทียบกับการที่พวกเขาต้องแยกกัน หยวนชิงหลิงห่วงความรู้สึกของพระชายาเว่ยมากกว่าหากว่ากันนี่จะเป็นแรงกระตุ้นอย่างรุนแรงสำหรับนางอ๋องเว่ยคิดจะหย่ามาโดยตลอด และยกเรื่องนี้ขึ้นมาเป็นการแก้แค้น แต่ตอนนี
ไทเฮากริ้วเสียจนปวดท้องไปหมด หลังจากด่าออกมา จนนางกำนัลคนสนิทต้องเข้ามาปลอบ หลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้วนั้น นางก็พูดสั่งด้วยน้ำเสียงเฉียบขาดว่า “เด็ก ๆ ถ่ายทอดคำสั่งข้า สั่งให้คนพากู้จือไปอารามชีหมิงเยว่ รอคลอดลูกแล้วค่อยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ปล่อยแม่ไป เก็บลูกไว้ ให้นางได้เป็นอิสระ”พระชายาซุนที่ได้ยินก็รับคำสั่งนั้น และเอ่ยเตือนว่า “ไปอารามชีหมิงเยว่เช่นนี้ อ๋องเว่ยจะไม่ตามไปด้วยหรอกหรือเพคะ?”ไทเฮาจึงสั่งการลงไปอีก และเอ่ยด้วยความโมโห “เรียกตัวอ๋องเว่ยเข้าวัง”พระชายาซุนย่อมไม่อยากเผชิญหน้ากับอ๋องเว่ยอยู่แล้ว ดังนั้นนางจึงรีบหลบหลีกออกมาหลังจากเข้าวังแล้วนั้น นางก็ตรงไปที่จวนจิ้งโฮ่ว และเอาเรื่องที่ไทเฮารับสั่งมาเล่าให้หยวนชิงหลิงฟังหยวนชิงหลิงที่ได้ฟังก็ไม่ได้ถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ในใจนางรู้สึกสัมผัสได้ถึงลางร้ายบางอย่างอย่างไรก็ตาม นางก็ยังปลอบใจตัวเอง คิดว่าถ้ากู้จือย้ายออกไป อ๋องเว่ยก็คงจะตามนางไป แบบนี้ก็คงไม่มีอะไรไปกระตุ้นนางได้นางรู้สึกอึดอัดมาก ตอนนี้นางท้องอยู่ แม้ว่านางจะไม่พร้อมที่จะต้อนรับเด็กที่กำลังจะเกิดมา แต่ถ้านางบอกว่าเด็กแท้งแล้ว นางก็คงตรอมใจตายด้