หยวนชิงหลิงรู้สึกว่าความทะเยอทะยานนี้ไม่มีที่สิ้นสุดอย่างแท้จริงแต่ในขณะเดียวกัน นางก็ไม่ค่อยเข้าใจสักเท่าไหร่นัก "เจ้าเมืองจิ้งเป่ยปราบกบฏชาวนา และสร้างขวัญกำลังใจให้กับประชาชน ทำไมถึงเป็นผลงานที่ยิ่งใหญ่ได้?"ถ้าหากว่าการขับไล่ศัตรูที่รุกรานและปกป้องประเทศ ตำแหน่งอ๋องนับว่าเหมาะสมแล้วอวี่เหวินห่าวจึงอธิบายว่า "เนื่องจากพื้นที่รอบ ๆ จิ้งเป่ยไม่ต่างจากหอกข้างแคร่ของราชวงศ์มาโดยตลอด ประชาชนที่อยู่ในจิ้งเป่ยมีเกือบแปดแสนคน และธรรมเนียมประเพณีของผู้คนแถวนั้นก็กล้าหาญ จริงจัง เข้มงวดมาก อีกทั้งตอนสมัยราชวงศ์ก่อน จักรพรรดิเจี้ยได้สั่งให้กวาดโจรทั่วประเทศด้วยกองทัพอันแข็งแกร่ง กลุ่มโจรต่าง ๆ จึงหลบหนีไปทางเหนือของจิ้งเป่ย ซึ่งอยู่ติดกับทะเลทรายทางตอนเหนือ ดังนั้นทางกองทัพจึงไม่ง่ายที่จะโจมตีกวาดล้างมัน ทำให้พวกโจรระแวดระวังจากทางเขตทะเลยทรายมากขึ้น ดังนั้นจักรพรรดิเจี้ยจึงทำได้เพียงปล่อยกลุ่มโจร กลุ่มโจรพวกนั้นจึงได้หยั่งรากอยู่ทางจิ้งเป่ย ดังนั้นพวกเขาจึงเป็นตัวต้นเหตุของหายนะ ทุก ๆ ปีกลุ่มโจรทางตอนเหนือจะไปยังที่ต่าง ๆ ของเป่ยถังทั้ง เผา ฆ่า และปล้น และหนีกลับไปที่จิ้งเป่ยหลังจากการปล
ตอนนี้ท้องของนางใหญ่ขึ้นเล็กน้อย จึงอาบน้ำไม่สะดวกสักเท่าไร และตอนอาบน้ำนางเองก็ไม่ชอบให้นางข้าหลวงสี่และหมานเอ๋อร์รับใช้อยู่ข้าง ๆ อาบคนเดียวบางครั้งก็ลำบากเหมือนกันในห้องอาบน้ำอบอุ่นมาก เพราะได้จุดเตาถ่านรอเอาไว้ก่อน ที่จวนจิ้งโฮ่วมีพระชายาฉู่ผู้แสนล้ำค่าอยู่ ดังนั้นไปทุกที่จึงต้องมีเตาถ่านจุดเอาไว้อยู่อวี่เหวินห่าวเห็นว่าในห้องอบอุ่นมากพอแล้ว จึงให้คนยกเตาออกไป และออกไปเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วกลับเข้ามาตอนนี้ตั้งครรภ์อยู่ หยวนชิงหลิงได้บอกไว้ก่อนว่าไม่อยากแช่น้ำ ดังนั้นด้วยความใส่ใจอย่างยิ่งของหมานเอ๋อร์นางจึงทำเก้าอี้ที่ใช้สำหรับอาบน้ำให้นั่งอาบ ด้านในวางกระบวยยาวสำหรับตักน้ำไว้อาบเอาไว้อวี่เหวินห่าวช่วยนางถอดเสื้อผ้า แม้ว่าเขาจะเกิดในราชวงศ์ แต่เขาก็เป็นทหารมาหลายปี ดังนั้นเขาจึงมีความหยาบกระด้าง ไม่ละเอียดอ่อนอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เขาได้เรียนรู้ความละเอียดอ่อนพิถีพิถันมากขึ้น เรื่องเสื้อผ้าผู้หญิงก็ได้ศึกษาจนกระจ่างแจ้งเมื่อมองดูผิวนาวเนียนเหมือนหน่อไม้ของนาง อวี่เหวินห่าวก็แอบถอนหายใจ เจ้าตุ๊กตาสามตัวนี้มาไม่ถูกเวลาเลยจริง ๆเขาช่วยประคองหยวนชิงหลิงนั่งลงบนเก้าอี้ แล
หยวนชิงหลิงมองไปที่เขา หัวใจเต้นเร็วขึ้นเล็กน้อย และถามเสียงแหบแห้งว่า "หมายความว่าอย่างไร?"นิ้วของเขาค่อย ๆ ชี้ไปที่หัวใจของนาง “ในนี้ เปลี่ยนไปเป็นอีกคน”“หือ?” นางเลิกคิ้วขึ้นแล้วยิ้มอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเฉยเมย "อย่าแสร้งทำเป็นสงบ ในใจเจ้าตื่นตระหนกมากนัก"หยวนชิงหลิงบ่นอืมพึมพัม นางก้มหน้าลงจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย "ท่านบอกข้าทีว่าข้าลุกลี้ลุกลนอะไร"อวี่เหวินห่าวเชยหน้านางขึ้น มองตานางจนหยวนชิงหลิงขนลุกไปหมด “มองอะไรกัน? ท่านอยากจะพูดอะไร”แววตาอวี่เหวินห่าวอ่อนลง “ไม่พูดดีกว่า ไม่อยากเห็นเจ้าพยายามโกหกปิดบังเช่นนี้ เจ้ายังควบคุมคำพูดเจ้าไม่ได้เลย”หยวนชิงหลิงรู้สึกอายมาก "อันใดกันนี่?"อวี่เหวินห่าวยักไหล่ "ข้าไม่รู้ว่าเจ้าเรียนรู้วิชาแพทย์อย่างไร ไม่รู้ว่าทำไมจู่ ๆ กล่องยาก็ขยายใหญ่ขึ้นหรือหดเล็กลงได้ ไม่รู้ว่ายามาจากไหน แม้ว่าการแสดงของเจ้าจะดูสมจริงมากก็ตาม แต่ทุกอย่างก็ไม่ได้กระจ่างชัดนัก "หยวนชิงหลิงพูดอย่างไม่สบอารมณ์ “ในตอนนั้นกลับท่านเชื่อ”"ข้านั้นช่างไร้เดียงสา ข้าเชื่อในตัวหญิงชั่วร้ายอย่างเจ้า ข้าก็คงเป็นมืออาชีพไปแล้วในชีวิตนี้" อวี่เหวินห่าวอุ้มนางขึ้น ห
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ โกรธจนจะลุกเป็นไฟแล้ว ซึ่งมันทำให้ใบหน้าที่คล้ายกันของตระกูลอวี่เหวินยิ่งเพิ่มความดุร้ายขึ้นอีกเล็กน้อยเมื่อเขาเห็นหยวนชิงหลิงเข้ามา ดวงตาของเขาก็ลุกเป็นไฟ และเขาก็จ้องเขม็งไปที่หยวนชิงหลิงทันที เป็นไปตามที่หมานเอ๋อร์พูดเลยว่า เขาโกรธจนจะกินคนได้แล้วในทางกลับกัน หยวนชิงหลิงซึ่งมีใบหน้าสีเลือดฝาด และรอยยิ้มที่มุมปาก นางเข้ามาอย่างช้า ๆ พร้อมกับย่อกายถวายพระพรเล็กน้อย "ไม่รู้ว่าพี่สามจะมาที่นี่ ไม่ได้ไปคารวะเสียนาน ขอพี่สามโปรดอภัย”พูดจบก็ไม่รอเขาพูดอะไร และนั่งลงทันทีแววตาของอ๋องเว่ยดูดุดันขึ้น เขากำลังง้างมือจะตบลงไปบนโต๊ะอย่างแรง“ปัง” เสียง ๆ หนึ่งที่ดังขึ้น มีอะไรที่วางกระแทกลงไปกับโต๊ะอย่างรวดเร็ว เขาเพ่งมองดูสิ่งที่หยวนชิงหลิงกำอยู่ในมือที่ตบลงกับโต๊ะเขาไม่ได้ตาบอด เห็นได้ชัดว่านั้นคือไม้เท้าจักรพรรดิที่ไท่ซ่างหวงประทานให้นางท่าทางใหญ่โตทั้งหลายถูกไม้เท้าจักรพรรดิกดทับไว้ทันทีเขาพูดอย่างเย็นชา "ได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าไปที่จวนอ๋องเว่ย"หยวนชิงหลิงกล่าว “เพคะ พี่สาม พี่สะใภ้สามดีขึ้นบ้างหรือไม่? ยังเจ็บอยู่รึเปล่า? ข้าให้ยาไป
อ๋องเว่ยยกมือค้างไว้กลางอากาศ มองใบหน้าเปี่ยมโทสะของหยวนชิงหลิง แต่ไม่กล้าจะตบลงไปแต่ง้างมือมาขนาดนี้ถ้าไม่ตบลงไปคงขายหน้าเป็นแน่เขาจึงได้กำนิ้วเหลือแค่นิ้วชี้ และชี้ไปที่หน้าผากของหยวนชิงหลิงและพูดข่มขู่ว่า “หากเจ้ายังพูดหยาบคายกับกู้จืออีกคำเดียว มาดูกันว่าข้าจะจัดการกับเจ้าอย่างไร?”หยวนชิงหลิงที่ยืนยืดท้องหลังตรงแบบนี้เหนื่อยล้ามาก แต่ตอนนี้ความกล้าหาญของนางได้เกินตัวไปแล้ว และยังคงยืดตัวตรงพูดไปอย่างเย็นชา “นางหน้าไม่อาย เนรคุณ เสแสร้ง หน้าอย่างลับหลังอีกอย่าง ผู้หญิงซุ้มประตูหน้าไม่อาย เป็นคนที่ข้ารู้สึกรังเกียจและขยะแขยงเป็นที่สุด แบบนี้เรียกว่าด่าหรือไม่? ถ้าไม่ใช่ ข้ายังมีอีก”นางก้าวไปข้างหน้าด้วยความโกรธจนตาลุกเป็นไฟ บีบจนอ๋องเว่ยต้องถอยหลังไป “นางมีเจตนาร้ายแอบแฝง นางใช้วิชามนต์เสน่ห์ทำร้ายผู้คน คิดจะแทนที่พระชายาเว่ย เจ้าเป็นอ๋องเว่ยก็ถูกนางล่อลวงให้ปฏิบัติกับพระชายาเว่ยอย่างอคติไร้ความเป็นธรรม ตอนนี้ยังกล้าให้คนเลวมาฟ้องและมาหาข้า เพื่อถามหาความรับผิดชอบอีกหรือ? หน้าเจ้าอยู่ที่ไหนมิทราบรึ?”อ๋องเว่ยสูดหายใจสงบสติอารมณ์ “เจ้า... เจ้ากล้าพูดถึงวิชาสกปรกอย่างมนต์เสน่ห
อาซื่อรับทราบ และเดินหันออกไปทันทีนางข้าหลวงสี่กล่าวอย่างกังวลใจ “พระชายา ท่านคิดว่าอ๋องเว่ยจะทำร้ายพระชายาเว่ยหรือไม่เพคะ?”หยวนชิงหลิงถอนหายใจ “ข้ายั่วโมโหเขามาขนาดนี้ เขาย่อมต้องไปหาคนมาระบายโทสะ เขาอาจจะพูดเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าพระชายาเว่ยก็ได้”“พระชายา เมื่อครู่ท่านบอกว่ากู้จือคนนั้นใช้มนต์เสน่ห์ภาพลวงตาทำร้ายผู้คน อ๋องเว่ยได้ตกอยู่ในมนต์ลวงตาหรือไม่เพคะ?” หมานเอ๋อร์เอ่ยถาม นางคิดกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า“หมานเอ๋อร์” หยวนชิงหลิงมองนาง “วันนั้นที่เจ้าจับข้อมือนาง เจ้าเห็นว่านางเป็นพวกรู้วิชามนต์สะกดพวกนี้หรือไม่?”“เป็นเพคะ!” หมานเอ๋อร์พยักหน้า “บ่าวได้กลิ่นดอกลำโพงจากตัวนาง และนางยังมีสร้อยข้อมืออีกด้วย”“งั้นเจ้าบอกข้าหน่อยว่า วิชานั้นจะคงอยู่ได้นานเท่าไหร่?” หยวนชิงหลิงเอ่ยถาม“ถ้าเป็นการสะกดให้หลับ ก็น่าจะได้สักประมาณครึ่งชั่วยามถึงสองชั่วยาม และหากได้ใช้ดอกลำโพงกับกระดังงาด้วย ก็...” หมานเอ๋อร์หน้าแดงด้วยความละอายใจ จึงกล่าวอย่างเขินอายไปว่า “หากได้ใช้ผู้ชายก็จะหลงใหล และหากใช้การสะกดควบคู่ไปด้วยกัน ก็อาจจะคงไว้ได้สักสองสามปีเพคะ”“พวกเจ้าตอนนั้นที่ใช้มนต์ใส่เจ
พระชายาเว่ยฟังเขาด้วยสีหน้าสงบนิ่ง สีหน้าของนางแทบไม่เปลี่ยนเลยสักนิด ยกเว้นตอนที่เขาพูดว่าตกหลุมรักกู้จือ แววตาของนางเปลี่ยนไป แต่ก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็วนางใช้มือทั้งคู่กำผ้านวมไว้บนเตียง เงยหน้าขึ้นมองเขา และพูดอย่างนิ่งเฉยว่า "ท่านมาก็ดีแล้ว ข้าเองก็มีเรื่องจะคุยกับท่าน ท่านนั่งลงก่อน"ความเกลียดชังในแววตาของอ๋องเว่ยกำลังลุกโชน พอเจอสีหน้านิ่งเรียบของนางก็แสดงท่าทีไม่ออก แต่มีไฟที่ไม่รู้ว่าอะไรกำลังมอดไหม้อยู่ในใจเขาปล่อยนางออกอย่างช้า ๆ และยืนอย่างเย็นชาข้างเตียง “มีอะไรก็ว่ามา ข้าไม่อยากนั่งที่นี่”พระชายาเว่ยนั่งลงอย่างช้า ๆ มองไปที่เขา และพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า "เรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไม่ค่อยดีเท่าไหร่นัก และข้าก็มารู้ทีหลัง ข้าต้องขอโทษท่านอ๋องด้วย ข้าขอรบกวนท่านอ๋องฝากคำขอโทษของข้าไปบอกกู้จือด้วย"อ๋องเว่ยรู้สึกเหน็บแหนมเหลือเกิน “ไม่ต้องมาเสแสร้งทำเป็นใจดีมีเมตตา เจ้าเกลียดกู้จือจะตาย จะมารู้สึกผิดกับนางได้อย่างไร?”พระชายาเว่ยกล่าวว่า "จริง ๆ แล้ว ข้าเคยเกลียดนาง แต่จากนั้นข้าก็ค่อย ๆ คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เกลียดนางจะมีประโยชน์อะไร นางพยายามอย่างมากเพื่อไล่
พระชายาเว่ยตัวสั่นอยู่สักพัก ใบหน้านิ่งเรียบของนางเหมือนน้ำแข็งแตกร้าว ที่ค่อย ๆ แตกออกมา แววตาเต็มไปด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง นางใช้มือทั้งคู่จับข้อมือเขาไว้และถามออกมาด้วยริมฝีปากสั่นเทา “ท่านพูดอีกทีสิ”พระชายาเว่ยไม่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ หูและสมองของนางแหลกสลายเป็นผุยผง เหลือเพียงเสียงหึ่ง ๆ ในหูของนางเท่านั้นแต่นางรู้ว่าสิ่งที่ตัวเองถามนั้น ได้จ้องที่ริมฝีปากของเขา อ่านทุกคำที่เขาพูด "ลูกของเจ้าและอ๋องชิงหยาง ข้าเป็นคนฆ่าด้วยมือข้าเอง"เศษเสี้ยวแห่งความหวังสุดท้ายแตกสลาย และถ้อยคำที่นางอ่านนั้นเหมือนมีดแหลมคมนับพันทิ่มแทงหัวใจของนาง ทำให้นางคู้ตัวด้วยความเจ็บปวดนางค่อย ๆ ปล่อยมือของเขา มองตาเขาเต็มไปด้วยความไม่คุ้นเคย และความเกลียดชังนางเอนหลังแล้วล้มลงอย่างช้า ๆ ใบหน้าของนางขาวซีดราวตายแล้ว และความสดใสทั้งหมดมลายหายไปในทันทีเมื่อเห็นนางเป็นเช่นนี้ อ๋องเว่ยรู้สึกในใจมีความสุขยิ่งนัก ราวกับว่าในที่สุดความเกลียดชัง และความคับแค้นใจที่ถูกเก็บกดมานานนับปีก็ได้รับการปลดปล่อยในวันนี้เขาพูดอย่างเย็นชา "ข้าจะไปกราบทูลเสด็จพ่อ และมอบหนังสือหย่าให้กับเจ้า เจ้าไม่ต้องมาหวงตำแหน่งข