“บ่าว...ไม่ได้ยินจริง ๆ เพคะ” หมานเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นตระหนกหยวนชิงหลิงเห็นว่านางตื่นกลัวมากพอแล้ว จึงยิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะ หมานเอ๋อร์เจ้ากับอาซื่อออกไปเถอะ ไม่ต้องอยู่รับใช้ในนี้หรอก”หมานเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จึงรีบย่อกายทำความเคารพ และออกไปกับอาซื่ออวี่เหวินห่าวกล่าว “ทำไมไม่ต้องอยู่รับใช้? ข้ามาที่นี่ น้ำชายังไม่ได้ดื่มสักอึกเลย? นี่จะมื้อเที่ยงแล้วมิใช่หรือ? ใครจะมารับใช้ตอนกินข้าวเที่ยงกัน?”หยวนชิงหลิงลุกขึ้นมองเขาอย่างหงุดหงิด “มาวางกล้ามใหญ่โตเป็นท่านอ๋องที่นี่หรือ? ไม่ใช่ว่าท่านมาได้แค่ครึ่งชั่วยามหรอกหรือ?”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างโอ้อวดว่า “ตอนนี้อยู่ยาวได้ เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้ามาจับตาดูเจ้ากินข้าวทุกวัน วันละสามมื้อ วันหลังข้าจะมาที่นี่แต่เช้า”“วันนี้ทำไมท่านไม่มาให้ไวกว่านี้?” หยวนชิงหลิงเดินไปและหาที่เอนตัวลง ช่วงนี้ร่างกายหนักเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้วอวี่เหวินห่าวปิดหน้าต่างลง และเรียกให้หมานเอ๋อร์ไปจุดเตาอุ่นหยวนชิงหลิงพูดว่า “เรื่องยังไม่เกิดอย่าตื่นตระหนกไปก่อนเลย จุดเตาถ่านในห้องนี้ก็ไม่ใหญ่มาก หากจุดเตาในห้องปิดทึบมันอันตราย”“อันตรายอย่างไร
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่านรีบบอกมาสิ”อวี่เหวินห่าวจับมือนาง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก "บอกข้าที สภาพการตายของคนที่ตายแบบนี้เป็นอย่างไร? เจ้าอาวาสได้บอกเจ้าไว้หรือไม่?"หยวนชิงหลิงมองไปที่เขาและพูดว่า "ว่ากันว่าก่อนตาย จะรู้สึกวิงเวียน อ่อนแรง และอาเจียน ส่วนสภาพการตายนั้น... ไม่ได้บอกไว้"นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับสภาพการตาย แม้ว่าท่านเจ้าอาวาสจะไม่ให้เกียรตินางแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาพูดอธิบายถึงสภาพการตายต่อหน้านาง?ดังนั้นนางจึงนิ่งเงียบไม่พูดถึงดีกว่า“ใบหน้าของคนตายเป็นสีชมพูหรือไม่?” อวี่เหวินห่าวถามนางตกใจ "ก็เป็นไปได้ ท่านเคยเห็นหรือ?"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง "แม่ของน้องเก้า หลัวกุ้ยผิน เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาก่อน"“ได้ยินมาว่านางถูกประหารเพราะวางยาพิษฮองเฮาและองค์ชายเก้าก็มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงทำให้แต่งตั้งเป็นอ๋องไม่ได้” หยวนชิงหลิงกล่าวฮองเฮาไม่ได้เกลียดองค์ชายเก้าแบบธรรมดา นางไม่แม้แต่อยากจะพบเขาด้วยซ้ำ หากฝ่าบาทไม่ปกป้องเขาไว้ ฮองเฮาอาจฆ่าเขาไปแล้ว"หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง หลัวกุ้ยผินอาจไ
อวี่เหวินห่าวจูบหน้าผากนาง แต่เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี และบอกย้ำอีกครั้งว่า "พรุ่งนี้หากมีโอกาสให้รีบจัดการ ใช้วิธีการที่เจ้าเคยใช้จัดการกับข้าก่อนหน้านี้ได้เลย อย่าใจอ่อนเด็ดขาด"หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา "ข้าไม่ได้จัดการอะไรท่านสักหน่อย""ไม่มีที่ไหน?" อวี่เหวินห่าวจำฝังใจว่า เขาขยับทีไรย่อมโดนฝังเข็มทุกที พอฝังเข็มแล้วก็ขยับเขยือนไม่ได้“รีบไปเถอะ จู้จี้จุกจิกเสียจริง” หยวนชิงหลิงพูดอย่างยิ้มแย้มแววตาของอวี่เหวินห่าวเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง "เช่นนั้นข้าไปแล้ว"“ไปเถอะ ๆ” หยวนชิงโบกมือไล่อวี่เหวินห่าวถอนหายใจแล้วหันกลับมา "เหมือนไล่แมลงวันไม่มีผิด ข้ามันน่ารำคาญนักหรือไง? เฮ้อ แต่งภรรยาไม่ดีเลย!"หยวนชิงหลิงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้แต่ขณะที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น จู่ ๆ ในหัวก็นึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูกร้านโลกขององค์ชายเก้าขึ้นมานางจำได้อย่างชัดเจน คือเขาแอบอยู่หลังซุ้มประตูแล้วโผล่หัวออกมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงค่อยก้าวออกมาเขาเป็นถึงองค์ชาย แต่ชีวิตของเขากลับเลวร้ายยิ่งกว่าข้าทาสเสียอีกหวังว่าในท้ายที่สุด การรื้อคดีครั้งนี้จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหลัวกุ้ยผินได้แต
หยวนชิงหลิงจึงถามไปต่อว่า "มีหน้าต่างปิดตายในห้องของโม่โม่คนนั้นหรือไม่?"โม่โม่เอ่ยว่า “มีเพคะ”“ท่านแน่ใจนะ?”โม่โม่พูดว่า "แน่เพคะ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น หน้าต่างในห้องเดิมของข้าก็ปิดสนิท ช่องหน้าต่างนี้ไม่มีบานหน้าต่าง ในฤดูหนาวลมพัดแรงมาก หนาวยิ่งนัก"“ไม่มีบานหน้าต่าง ถ้าฝนตกลงมาเล่า?” หยวนชิงหลิงผงะไป นางไม่เคยเห็นห้องที่โม่โม่อาศัยอยู่ในวังจริง ๆ จึงไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไรโม่โม่ยิ้มแล้วพูดว่า "ฝนไม่สาดหรอกเพคะ หน้าต่างบานเล็กมีขนาดสองรูเท่ากำปั้น แถมมีเฉลียงข้างนอก หน้าต่างก็สูง ฝนไม่สาดเป็นแน่" หยวนชิงหลิงพูดอย่างสงสัย "แปลก ถ้าหน้าต่างบานอื่นถูกปิดด้วย และจุดเตาในฤดูหนาวแบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะถูกพิษได้มาก"นางข้าหลวงสี่โบกมือ "พระชายา พวกนางจะไปหาถ่านมาจากไหน แม้ว่าเจ้านายจะให้รางวัล มันก็แค่หนึ่งหรือสองเฉียนต่อเดือน และก็คงทนไม่ได้ที่จะเผาเงินเล่นในคืนเดียว แต่เรื่องการจุดเตาแล้วเป็นพิษนั้น ไม่เคยได้ยินเลย”หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจ จึงพูดไปต่อว่า "ไม่มีถ่าน? แล้วทำไมท่านอ๋องถึงเล่าให้ข้าฟังว่า ตอนที่โม่โม่เสียชีวิต ในห้องก็จุดเตาถ่าน?""บางทีนี่อาจเป็นรางวัลที
“จริงหรือ?” ตาทั้งคู่ของอวี่เหวินห่าวแทบถลนออกมา“เคยพูดเช่นนั้นจริง” ท่านเจ้าอาวาสกล่าวอวี่เหวินห่าวนั่งลงข้าง ๆ เขา "ไม่ใช่ ข้าหมายถึงคนสามารถตายได้จริงหรือ?""ก็ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในนั้นนานแค่ไหน ห้องใหญ่แค่ไหน และอากาศมีการไหลเวียนถ่ายเทอย่างไร"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ห้องเล็กปิดสนิทตลอดทั้งคืน”ท่านเจ้าอาวาสพนมมือขึ้น “นะโมอมิตาพุทธ ถ้าเป็นเช่นนั้น การถูกพิษตายนั้นก็มีความเป็นไปได้สูง”“พิษนั้นมาจากไหน? พิษนั้นเรียกว่าอะไรกัน?” อวี่เหวินห่าวงุนงงไปหมดท่านเจ้าอาวาสมองเขาด้วยสายตาเวทนา คนน่าสงสารผู้นี้ มองดูก็รู้แล้วว่าไม่เก่งเคมีท่านเจ้าอาวาสเริ่มเผยแพร่ความรู้วิทยาศาสตร์บนสารานุกรมไป่ตู้ว่า "เป็นเช่นนี้ เมื่อคนถูกขังอยู่ในพื้นที่ปิด และจุดไฟเผาถ่าน กระบวนการเผาไหม้จะใช้ออกซิเจนในห้องปิด หลังจากนั้นการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของคาร์บอนและออกซิเจนจะรวมกัน เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเลือดได้รวมตัวกันแน่น จนสูญเสียความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และคนก็เสียชีวิตจากพิษของคาร์บอนมอนอกไซด์ และภาวะขาดออกซิเจนในที่สุด"ท่านเจ้าอาวาสพูดจบก็มองเขาอย่
อวี่เหวินห่าวถามเจ้าอาวาสว่า อยากจะเข้าวังกับเขาไหม ท่านเจ้าอาวาสกล่าวปฏิเสธ “อาตมาไม่เข้าวัง แต่อาตมาจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ท่านอ๋องต้องเตรียมใจว่า ฝ่าบาทอาจจะไม่อยากรื้อคดีของหลัวกุ้ยผินก็เป็นได้”แววตาของอวี่เหวินห่าวหม่นหมองลง "ข้าเองก็รู้ แต่ก็ต้องลองดู มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของน้องเก้า และชีวิตของทุกคนของตระกูลหลัว ผู้ชายส่วนใหญ่ในตระกูลหลัวถูกส่งไปยังชายแดน ที่ชายแดนยากลำบากนัก มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่รอดเป็นเวลาห้าหรือสิบปี หากไม่รื้อคดี พวกเขาจะไม่มีวันกลับมาที่เมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิต และคงตายลงในชายแดนเท่านั้น”แววตาของท่านเจ้าอาวาสเป็นประกาย “ท่านอ๋อง มันเป็นธุระของคนอื่น ทำไมท่านต้องกังวลด้วย?”อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "มีเหตุผลสองประการ ประการแรกคือข้ายังเป็นผู้ว่าการของจวนจิ้งเป่า หากมีคดีที่ตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ข้าก็มิอาจเพิกเฉยได้ ประการที่สองคือข้าต้องการให้ขุนพลหลัวกลับไปที่ที่กององค์รักษ์เงา”“ที่กององค์รักษ์เงาเกิดอะไรขึ้นหรือ?” ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยถาม“ข้างในมีคนคิดไม่ซื่อ ไม่จงรักภักดีกับเสด็จปู่”ท่านเจ้าอาวาสตกใจยิ่ง
มหาเสนาบดีฉู่ยังกล่าวอีกว่า "ใช่แล้ว ท่านอ๋อง พรุ่งนี้พระชายาไปที่อารามชีหมิงเยว่ ทางที่ดีท่านอ๋องอย่าเข้าไปวุ่นวายเลย"อวี่เหวินห่าวมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?"มหาเสนาบดีฉู่ตบไหล่ของเขา เด็กคนนี้ตัวสูงเอาการ ค่อนข้างกินแรงอยู่บ้าง "ระหว่างกระหม่อมกับไท่ซ่างหวงไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว เอาแบบนี้ พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปที่คุกใต้ดิน ไปหาขุนพลหลัว หากวันข้างหน้าจะใช้เขา เขาควรมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง"อวี่เหวินห่าวที่ได้ยินเช่นนี้ จึงไม่ได้ถามว่าในวันพรุ่งนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น และขอตัวจากไปเขาไม่ได้ไปที่จวนจิ้งโฮ่ว แต่ตรงที่จวนอ๋องไปหารือกับถังหยางหลังเขาไปแล้ว มหาเสนาบดีฉู่เปลี่ยนเสื้อ และพกเหล้าไปด้วยสองไห ตรงไปยังที่คุกใต้ดินที่คุกใต้ดินมืดตลอดทั้งวัน พัศดีข้างในนั้นต้องทำงานวันละหกชั่วยาม แต่ขุนพลหลัวต้องทำงานเจ็ดชั่วยาม เพราะรับผิดชอบหน้าที่ทำความสะอาดในที่นี้ใคร ๆ ก็สามารถรังแกเขาได้ในตอนแรกเขายังถูกเคารพเขาในฐานะขุนพล และได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ แต่หลังจากการเลื่อนตำแหน่งของผู้คุมมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกคนอื่น
มหาเสนาบดีฉู่เห็นเขาเป็นแบบนี้ รู้สึกเศร้าใจยิ่งนักในใจเต็มไปด้วยความรู้สึกต่าง ๆ นา ๆ และหันกลับไปตวาดใส่หัวหน้าผู้คุม “เจ้าบ่าวสุนัขนี่ ใครอนุญาตให้เจ้าปฏิบัติกับเขาเช่นนี้? ยังไม่รีบไปหาที่เงียบ ๆ ให้ข้ากับขุนพลหลัวนั่งอีก?”หัวหน้าผู้คุมจะไปรู้ที่ไหนว่าท่านมหาเสนาบดีจะมาเยี่ยมไอคนที่เรียกว่าขอทานถึงคุกใต้ดินกัน?เขากุลีกุจอออกไปหาห้องเล็ก ๆ ด้วยตัวเอง เช็ดถูโต๊ะเก้าอี้จนไม่เห็นฝุ่นสักเม็ด แล้วโค้งตัวเชิญเข้าห้องมหาเสนาบดีฉู่คุยกับขุนพลหลัว “ดื่มสักหน่อยไหม?”แววตาของขุนพลหลัวดูมืดมนและลังเลอยู่สักพัก ก่อนที่จะเดินเข้าไปก่อนอย่างเงียบ ๆหลังจากเข้าห้องมาแล้ว เขาก็ไม่ได้นั่งลงและพูดเหมือนเดิมว่า “ข้าไม่มีหน้าพบท่าน ท่านอย่ามาเลย”มหาเสนาบดีฉู่สั่งให้คนออกไป และปิดประตูลง เขามองขุนพลหลัวและพูดขึ้นว่า “อ๋องฉู่ให้ข้ามาที่นี่”ขุนพลหลัวเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจ “อ๋องฉู่?”เขากวักมือเรียก “เจ้านั่งลงก่อน เจ้าค่อย ๆ ฟังข้าพูดดี เรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญ”ขุนพลหลัวเห็นว่าเขาไม่ได้มาทำให้อับอาย จึงนั่งลงและกล่าวก่อนว่า “เรื่องความผิดในครั้งนั้น ข้าควรกล่าวขอโทษท่านอย่างจริงจังก่อน