ฉางกงกงเมื่อเจอหยวนชิงหลิงจึงทำความเคารพนางก่อน แล้วจึงคารวะฮูหยินเฒ่าหยวนชิงหลิงและฮูหยินเฒ่าจึงทำความเคารพตอบ และต้อนรับพาฉางกงกงเข้าไปด้านในที่ยังถกเถียงกันไม่เสร็จ พอได้ยินว่ามีคนจากในวังมาก็รีบมามุงดูอยู่ข้างนอกฉางกงกงนั่งลงและมองหยวนชิงหลิง “ไท่ซ่างหวงทรงคิดถึงพระชายา จึงเรียกให้กระหม่อมมาเยี่ยมดูว่าพระชายาสบายดีหรือไม่?”เดิมทีหยวนชิงหลิงไม่ได้คิดอยากจะรบกวนไท่ซ่างหวงแม้แต่น้อย แต่เจ้าห้าไปรบกวนพระองค์แล้ว จึงไม่อาจสำรวมได้อีกต่อไป และกล่าวอย่างเศร้าสร้อยว่า “ลำบากทำให้เสด็จปู่คิดถึงแล้ว ข้าไม่ค่อยสบาย กินข้าวไม่ค่อยลง”ฉางกงกงรู้สึกกระวนกระวายเล็กน้อย จึงพูดว่า "พระชายา เรื่องของเรื่อง ร่างกายของท่านเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ท่านต้องกินอะไรบ้าง หากไท่ซ่างหวงทรงทราบ พระองค์ต้องเป็นห่วงท่านแน่"หยวนชิงหลิงสูดจมูก "ข้าเข้าใจแล้ว กงกงรบกวนท่านได้โปรดบอกไท่ซ่างหวงให้ดูแลสุขภาพ ถนอมพระวรกายด้วย"“ไท่ซ่างหวงสบายดีมากพ่ะย่ะค่ะ” ฉางกงพูดต่อ “คำพูดของพระชายา หม่อมฉันจะนำไปกราบทูลให้ทรงทราบเอง”ส่วนข้างนอก ฮูหยินรองเฒ่าที่ได้ยินก็รู้สึกแปลกใจนัก ไม่ใช่ว่าราชวงศ์ขับไล่ไสส่งนางหรอกหรือ
“บ่าว...ไม่ได้ยินจริง ๆ เพคะ” หมานเอ๋อร์กล่าวอย่างตื่นตระหนกหยวนชิงหลิงเห็นว่านางตื่นกลัวมากพอแล้ว จึงยิ้มและกล่าวว่า “เอาล่ะ หมานเอ๋อร์เจ้ากับอาซื่อออกไปเถอะ ไม่ต้องอยู่รับใช้ในนี้หรอก”หมานเอ๋อร์ถอนหายใจด้วยความโล่งอก จึงรีบย่อกายทำความเคารพ และออกไปกับอาซื่ออวี่เหวินห่าวกล่าว “ทำไมไม่ต้องอยู่รับใช้? ข้ามาที่นี่ น้ำชายังไม่ได้ดื่มสักอึกเลย? นี่จะมื้อเที่ยงแล้วมิใช่หรือ? ใครจะมารับใช้ตอนกินข้าวเที่ยงกัน?”หยวนชิงหลิงลุกขึ้นมองเขาอย่างหงุดหงิด “มาวางกล้ามใหญ่โตเป็นท่านอ๋องที่นี่หรือ? ไม่ใช่ว่าท่านมาได้แค่ครึ่งชั่วยามหรอกหรือ?”อวี่เหวินห่าวพูดอย่างโอ้อวดว่า “ตอนนี้อยู่ยาวได้ เสด็จพ่อมีรับสั่งให้ข้ามาจับตาดูเจ้ากินข้าวทุกวัน วันละสามมื้อ วันหลังข้าจะมาที่นี่แต่เช้า”“วันนี้ทำไมท่านไม่มาให้ไวกว่านี้?” หยวนชิงหลิงเดินไปและหาที่เอนตัวลง ช่วงนี้ร่างกายหนักเดินไม่กี่ก้าวก็เหนื่อยแล้วอวี่เหวินห่าวปิดหน้าต่างลง และเรียกให้หมานเอ๋อร์ไปจุดเตาอุ่นหยวนชิงหลิงพูดว่า “เรื่องยังไม่เกิดอย่าตื่นตระหนกไปก่อนเลย จุดเตาถ่านในห้องนี้ก็ไม่ใหญ่มาก หากจุดเตาในห้องปิดทึบมันอันตราย”“อันตรายอย่างไร
หยวนชิงหลิงอดไม่ได้ที่จะตื่นตระหนกขึ้นมา “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? ท่านรีบบอกมาสิ”อวี่เหวินห่าวจับมือนาง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก "บอกข้าที สภาพการตายของคนที่ตายแบบนี้เป็นอย่างไร? เจ้าอาวาสได้บอกเจ้าไว้หรือไม่?"หยวนชิงหลิงมองไปที่เขาและพูดว่า "ว่ากันว่าก่อนตาย จะรู้สึกวิงเวียน อ่อนแรง และอาเจียน ส่วนสภาพการตายนั้น... ไม่ได้บอกไว้"นางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง สำหรับสภาพการตาย แม้ว่าท่านเจ้าอาวาสจะไม่ให้เกียรตินางแค่ไหน มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะมาพูดอธิบายถึงสภาพการตายต่อหน้านาง?ดังนั้นนางจึงนิ่งเงียบไม่พูดถึงดีกว่า“ใบหน้าของคนตายเป็นสีชมพูหรือไม่?” อวี่เหวินห่าวถามนางตกใจ "ก็เป็นไปได้ ท่านเคยเห็นหรือ?"อวี่เหวินห่าวมองนางด้วยสีหน้าจริงจัง "แม่ของน้องเก้า หลัวกุ้ยผิน เจ้าน่าจะเคยได้ยินมาก่อน"“ได้ยินมาว่านางถูกประหารเพราะวางยาพิษฮองเฮาและองค์ชายเก้าก็มีส่วนเกี่ยวข้อง จึงทำให้แต่งตั้งเป็นอ๋องไม่ได้” หยวนชิงหลิงกล่าวฮองเฮาไม่ได้เกลียดองค์ชายเก้าแบบธรรมดา นางไม่แม้แต่อยากจะพบเขาด้วยซ้ำ หากฝ่าบาทไม่ปกป้องเขาไว้ ฮองเฮาอาจฆ่าเขาไปแล้ว"หากสิ่งที่เจ้าพูดเป็นความจริง หลัวกุ้ยผินอาจไ
อวี่เหวินห่าวจูบหน้าผากนาง แต่เขาก็ยังไม่สบายใจอยู่ดี และบอกย้ำอีกครั้งว่า "พรุ่งนี้หากมีโอกาสให้รีบจัดการ ใช้วิธีการที่เจ้าเคยใช้จัดการกับข้าก่อนหน้านี้ได้เลย อย่าใจอ่อนเด็ดขาด"หยวนชิงหลิงหัวเราะขึ้นมา "ข้าไม่ได้จัดการอะไรท่านสักหน่อย""ไม่มีที่ไหน?" อวี่เหวินห่าวจำฝังใจว่า เขาขยับทีไรย่อมโดนฝังเข็มทุกที พอฝังเข็มแล้วก็ขยับเขยือนไม่ได้“รีบไปเถอะ จู้จี้จุกจิกเสียจริง” หยวนชิงหลิงพูดอย่างยิ้มแย้มแววตาของอวี่เหวินห่าวเปี่ยมไปด้วยความคิดถึง "เช่นนั้นข้าไปแล้ว"“ไปเถอะ ๆ” หยวนชิงโบกมือไล่อวี่เหวินห่าวถอนหายใจแล้วหันกลับมา "เหมือนไล่แมลงวันไม่มีผิด ข้ามันน่ารำคาญนักหรือไง? เฮ้อ แต่งภรรยาไม่ดีเลย!"หยวนชิงหลิงอดหัวเราะขึ้นมาไม่ได้แต่ขณะที่กำลังหัวเราะอยู่นั้น จู่ ๆ ในหัวก็นึกถึงใบหน้าอ่อนเยาว์ที่ดูกร้านโลกขององค์ชายเก้าขึ้นมานางจำได้อย่างชัดเจน คือเขาแอบอยู่หลังซุ้มประตูแล้วโผล่หัวออกมาดูให้แน่ใจว่าไม่มีใครอยู่จึงค่อยก้าวออกมาเขาเป็นถึงองค์ชาย แต่ชีวิตของเขากลับเลวร้ายยิ่งกว่าข้าทาสเสียอีกหวังว่าในท้ายที่สุด การรื้อคดีครั้งนี้จะช่วยพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของหลัวกุ้ยผินได้แต
หยวนชิงหลิงจึงถามไปต่อว่า "มีหน้าต่างปิดตายในห้องของโม่โม่คนนั้นหรือไม่?"โม่โม่เอ่ยว่า “มีเพคะ”“ท่านแน่ใจนะ?”โม่โม่พูดว่า "แน่เพคะ ไม่ใช่แค่นางเท่านั้น หน้าต่างในห้องเดิมของข้าก็ปิดสนิท ช่องหน้าต่างนี้ไม่มีบานหน้าต่าง ในฤดูหนาวลมพัดแรงมาก หนาวยิ่งนัก"“ไม่มีบานหน้าต่าง ถ้าฝนตกลงมาเล่า?” หยวนชิงหลิงผงะไป นางไม่เคยเห็นห้องที่โม่โม่อาศัยอยู่ในวังจริง ๆ จึงไม่รู้ว่ามันหน้าตาเป็นอย่างไรโม่โม่ยิ้มแล้วพูดว่า "ฝนไม่สาดหรอกเพคะ หน้าต่างบานเล็กมีขนาดสองรูเท่ากำปั้น แถมมีเฉลียงข้างนอก หน้าต่างก็สูง ฝนไม่สาดเป็นแน่" หยวนชิงหลิงพูดอย่างสงสัย "แปลก ถ้าหน้าต่างบานอื่นถูกปิดด้วย และจุดเตาในฤดูหนาวแบบนี้ ก็มีโอกาสที่จะถูกพิษได้มาก"นางข้าหลวงสี่โบกมือ "พระชายา พวกนางจะไปหาถ่านมาจากไหน แม้ว่าเจ้านายจะให้รางวัล มันก็แค่หนึ่งหรือสองเฉียนต่อเดือน และก็คงทนไม่ได้ที่จะเผาเงินเล่นในคืนเดียว แต่เรื่องการจุดเตาแล้วเป็นพิษนั้น ไม่เคยได้ยินเลย”หยวนชิงหลิงรู้สึกประหลาดใจ จึงพูดไปต่อว่า "ไม่มีถ่าน? แล้วทำไมท่านอ๋องถึงเล่าให้ข้าฟังว่า ตอนที่โม่โม่เสียชีวิต ในห้องก็จุดเตาถ่าน?""บางทีนี่อาจเป็นรางวัลที
“จริงหรือ?” ตาทั้งคู่ของอวี่เหวินห่าวแทบถลนออกมา“เคยพูดเช่นนั้นจริง” ท่านเจ้าอาวาสกล่าวอวี่เหวินห่าวนั่งลงข้าง ๆ เขา "ไม่ใช่ ข้าหมายถึงคนสามารถตายได้จริงหรือ?""ก็ขึ้นอยู่กับว่าอยู่ในนั้นนานแค่ไหน ห้องใหญ่แค่ไหน และอากาศมีการไหลเวียนถ่ายเทอย่างไร"อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า “ห้องเล็กปิดสนิทตลอดทั้งคืน”ท่านเจ้าอาวาสพนมมือขึ้น “นะโมอมิตาพุทธ ถ้าเป็นเช่นนั้น การถูกพิษตายนั้นก็มีความเป็นไปได้สูง”“พิษนั้นมาจากไหน? พิษนั้นเรียกว่าอะไรกัน?” อวี่เหวินห่าวงุนงงไปหมดท่านเจ้าอาวาสมองเขาด้วยสายตาเวทนา คนน่าสงสารผู้นี้ มองดูก็รู้แล้วว่าไม่เก่งเคมีท่านเจ้าอาวาสเริ่มเผยแพร่ความรู้วิทยาศาสตร์บนสารานุกรมไป่ตู้ว่า "เป็นเช่นนี้ เมื่อคนถูกขังอยู่ในพื้นที่ปิด และจุดไฟเผาถ่าน กระบวนการเผาไหม้จะใช้ออกซิเจนในห้องปิด หลังจากนั้นการเผาไหม้ที่ไม่สมบูรณ์ของคาร์บอนและออกซิเจนจะรวมกัน เป็นคาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนมอนอกไซด์สามารถรวมตัวกับฮีโมโกลบินในเลือดได้รวมตัวกันแน่น จนสูญเสียความสามารถในการแลกเปลี่ยนก๊าซ และคนก็เสียชีวิตจากพิษของคาร์บอนมอนอกไซด์ และภาวะขาดออกซิเจนในที่สุด"ท่านเจ้าอาวาสพูดจบก็มองเขาอย่
อวี่เหวินห่าวถามเจ้าอาวาสว่า อยากจะเข้าวังกับเขาไหม ท่านเจ้าอาวาสกล่าวปฏิเสธ “อาตมาไม่เข้าวัง แต่อาตมาจะเขียนจดหมายฉบับหนึ่งเพื่ออธิบายเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพียงแต่ท่านอ๋องต้องเตรียมใจว่า ฝ่าบาทอาจจะไม่อยากรื้อคดีของหลัวกุ้ยผินก็เป็นได้”แววตาของอวี่เหวินห่าวหม่นหมองลง "ข้าเองก็รู้ แต่ก็ต้องลองดู มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับอนาคตของน้องเก้า และชีวิตของทุกคนของตระกูลหลัว ผู้ชายส่วนใหญ่ในตระกูลหลัวถูกส่งไปยังชายแดน ที่ชายแดนยากลำบากนัก มันเป็นเรื่องยากที่จะอยู่รอดเป็นเวลาห้าหรือสิบปี หากไม่รื้อคดี พวกเขาจะไม่มีวันกลับมาที่เมืองหลวงได้อีกตลอดชีวิต และคงตายลงในชายแดนเท่านั้น”แววตาของท่านเจ้าอาวาสเป็นประกาย “ท่านอ๋อง มันเป็นธุระของคนอื่น ทำไมท่านต้องกังวลด้วย?”อวี่เหวินห่าวกล่าวว่า "มีเหตุผลสองประการ ประการแรกคือข้ายังเป็นผู้ว่าการของจวนจิ้งเป่า หากมีคดีที่ตัดสินอย่างไม่ยุติธรรม ข้าก็มิอาจเพิกเฉยได้ ประการที่สองคือข้าต้องการให้ขุนพลหลัวกลับไปที่ที่กององค์รักษ์เงา”“ที่กององค์รักษ์เงาเกิดอะไรขึ้นหรือ?” ท่านเจ้าอาวาสเอ่ยถาม“ข้างในมีคนคิดไม่ซื่อ ไม่จงรักภักดีกับเสด็จปู่”ท่านเจ้าอาวาสตกใจยิ่ง
มหาเสนาบดีฉู่ยังกล่าวอีกว่า "ใช่แล้ว ท่านอ๋อง พรุ่งนี้พระชายาไปที่อารามชีหมิงเยว่ ทางที่ดีท่านอ๋องอย่าเข้าไปวุ่นวายเลย"อวี่เหวินห่าวมองเขาด้วยความประหลาดใจ "ท่านก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ?"มหาเสนาบดีฉู่ตบไหล่ของเขา เด็กคนนี้ตัวสูงเอาการ ค่อนข้างกินแรงอยู่บ้าง "ระหว่างกระหม่อมกับไท่ซ่างหวงไม่มีความลับต่อกันอยู่แล้ว เอาแบบนี้ พรุ่งนี้กระหม่อมจะไปที่คุกใต้ดิน ไปหาขุนพลหลัว หากวันข้างหน้าจะใช้เขา เขาควรมีสุขภาพที่ดีแข็งแรง"อวี่เหวินห่าวที่ได้ยินเช่นนี้ จึงไม่ได้ถามว่าในวันพรุ่งนี้จะมีสิ่งใดเกิดขึ้น และขอตัวจากไปเขาไม่ได้ไปที่จวนจิ้งโฮ่ว แต่ตรงที่จวนอ๋องไปหารือกับถังหยางหลังเขาไปแล้ว มหาเสนาบดีฉู่เปลี่ยนเสื้อ และพกเหล้าไปด้วยสองไห ตรงไปยังที่คุกใต้ดินที่คุกใต้ดินมืดตลอดทั้งวัน พัศดีข้างในนั้นต้องทำงานวันละหกชั่วยาม แต่ขุนพลหลัวต้องทำงานเจ็ดชั่วยาม เพราะรับผิดชอบหน้าที่ทำความสะอาดในที่นี้ใคร ๆ ก็สามารถรังแกเขาได้ในตอนแรกเขายังถูกเคารพเขาในฐานะขุนพล และได้รับการปฏิบัติอย่างสุภาพ แต่หลังจากการเลื่อนตำแหน่งของผู้คุมมาใหม่ครั้งแล้วครั้งเล่า เมื่อเวลาผ่านไป เขาก็กลายเป็นคนที่ถูกคนอื่น
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม