ถังหยางถึงกับอึ้งไปเลย "นี่มัน..."“วางเพลิงเผาจวนอ๋องฉี ข้าเชื่อว่านางสามารถทำได้ แต่ในความจริงแล้วจะวางเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากนี้ขนาดในจวนอ๋องซุน นางสามารถล่อลวงพวกคนชั่วเข้ามาในจวนได้ด้วยตัวนางเอง ทั้งปล้นฆ่า จากนั้นจัดเตรียมเส้นทางหลบหนี และหาจัดหาเรือ นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถทำคนเดียวได้"การจะติดต่อพวกมือสังหารได้นั้น ย่อมต้องมีเส้นสายบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยต้องมีการวางแผนอยู่เบื้องหลังพวกองค์กรนักฆ่า พวกเขาไม่มีทางยอมรับคำสั่งส่วนตัวได้ง่ายดายอยู่แล้วยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคร่งครัด โดยพื้นฐานคือจะไม่รับงานของพวกราชวงศ์ และเจ้าหน้าที่ขุนนางมาทำ เพื่อไม่ให้ถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องได้แต่พวกเขากลับตรงไปที่จวนอ๋องซุน สำหรับเพลิงไหม้ในจวนอ๋องฉี พวกเขาสามารถวางเพลิงช่ำชอง และไม่ใช่สิ่งที่สาวใช้จะทำได้คนสองกลุ่มดำเนินแผนก่อการร้ายไปพร้อมกันได้ ฉู่หมิงชุ่ยสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?ถังหยางที่ได้สติกลับมาแล้วพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด "ท่านอ๋องรอบคอบนัก ข้าน้อยคิดน้อยเกินไป"อวี่เหวินห่าวนั่งข้างเตียงของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างเย็นชา "เจ้ากลัว
เขายื่นมือออกไปประคองนางไว้ และพูดออกมาเบา ๆ "อย่าขยับ นอนพักสักหน่อย อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว"หยวนชิงหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอาซื่อขึ้นมา และรีบถามอย่างกระวนกระวายใจ "อาซื่อเล่า?"อวี่เหวินห่าวเลยตอบคลายกังวลให้นาง "นางได้รับบาดเจ็บที่ท้อง แต่อาการไม่สาหัส นางถูกพากลับไปรักษาตัวที่จวนตระกูลหยวนแล้ว"“แล้วหมานเอ๋อร์?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า "ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้นางอยู่ไหน"“พยายามอย่างเต็มที่ ช่วยนางให้ได้นะ" หยวนชิงหลิงคว้ามือของเขา เส้นผมของนางกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ที่ปลายบางส่วนยังคงมีเลือดเปื้อนอยู่ "ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงตายไปนานแล้ว”แววตาของเขาหม่นแสงลง และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า "เจ้าวางใจเถอะ นางจะต้องไม่เป็นอะไร นางเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ พื้นฐานร่างกายของนางดีกว่าเจ้านัก อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่แค่เหนื่อยล้าใช้แรงมากเกินไป พักสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว"หยวนชิงเอนศีรษะของนางซบบนหมอน ตะแคงข้างมองเขา ร่องรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของนางเล็กน้อย "ฉู่หมิงชุ่ยล่ะ?"เขายกนิ้วแตะริมฝีปากนาง แววตาพลันเ
ถังหยางได้ตรงมาที่จวนและได้พูดคุยกับท่านมหาเสนาบดีก่อน เมื่อได้ยินคำขอของอ๋องฉู่ ท่านมหาเสนาบดีก็เงยหน้าขึ้นมองถังหยางด้วยสายตามเฉียบคม "หากเขาต้องการเช่นนี้ ก็มีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่า ๆ เจ้ากลับไปบอกเขาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ข้ายังสามารถชะลอยับยั้งมันออกไปก่อนได้ และขุนนางในท้องพระโรงหรือเจ้ากรมอื่น ๆ ก็ยังไม่มีคนมาไล่ติดตามเรื่องนี้ แต่คนที่ควรตาย ย่อมสมควรต้องตายแล้ว"ถังหยางได้กระซิบถามขึ้นมาเบา ๆ "ท่านมหาเสนาบดี เรื่องนี้ท่านคิดว่าพระชายาฉีทำคนเดียวได้หรือไม่?"ท่านมหาเสนาบดีตกใจนิ่งไปเล็กน้อย และค่อย ๆ หรี่ตาลงด้วยท่าทางสง่างาม เปล่งบารมีน่าเกรงขาม “ข้าเข้าใจแล้ว เรียกคนพาตัวไปเถอะ”ถังหยางประสานมือคาวระและถอยกลับไปต่อมามีคนจากจวนจิงจ้าวพาตัวฉู่หมิงชุ่ยออกไปคุกในจวนจิงจ้าวทั้งมืดและชื้นฉู่หมิงชุ่ยได้รับการปฏิบัติอย่างดี ได้อยู่ห้องขังที่ค่อนข้างสว่าง เพราะโคมไฟในคุกทั้งหมดถูกวางอยู่ในรูเล็ก ๆ บนกำแพง และวางไม้สนขัดเรียบไว้เพื่อกระจายแสงสว่างแสงริบหรี่ตรงข้ามกับห้องขังของฉู่หมิงชุ่ยสะท้อนลงบนใบหน้าที่ซีดเซียวและว่างเปล่าของนางตั้งแต่นางเข้ามาในห
พระชายาซุนนั่งลงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ พิงศีรษะลงไหล่ที่หนาเต็มไปด้วยเนื้อของเขา หัวใจของยังคงเต้นระส่ำไปหมดอ๋องซุนยกแขนขึ้นกอดพระชายาเอาไว้ และพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว"อ๋องซุนมักเป็นฝ่ายที่ได้รับการปลอบโยนเสมอพระชายาซุนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง นางสามารถดูแลทุกอย่างในจวนได้ด้วยตัวเองตอนนี้นางทั้งกลัวและอ่อนแอ เมื่ออ๋องซุนพูดแบบนี้ออกมา ขอบตาของนางแดงก่ำไปหมด นางพูดด้วยเสียงขึ้นจมูกออกมา “อื้อ!""เจ้าห้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ หากเรื่องนี้ขึ้นศาลเข้าสู่การพิจารณาคดี เจ้าก็แค่พูดไปตามจริง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของจวนอ๋องซุน" อ๋องซุนพูดอย่างแผ่วเบา“ข้ารู้แล้ว” พระชายาซุนรู้สึกเสียใจต่อพวกบ่าว และคนรับใช้ที่ตายไป และยิ่งเกลียดฉู่หมิงชุ่ยเข้ากระดูกดำเรื่องราวในวังหลวงกลับตาลปัตรเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกมันเหลวไหลไร้สาระ ฉู่หมิงชุ่ยแค่คนเดียวเผาจวนอ๋องฉีได้หรือ? อีกทั้งยังทำร้ายคนตระกูลหยวนจนบาดเจ็บสาหัส และยังลักพาตัวพระชายาฉู่ได้อีก?ฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลกเสียจริงแต่พวกคนที่
เขาดูอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เหมือนกับที่คนอื่นบอกเลยว่าทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมนางจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและไปนั่งด้วยกันอ๋องจี้เทเหล้าและหรี่ตาลง พร้อมยิ้มบาง ๆ ออกมา “เจ้าดื่มได้ไหม?”ฉู่หมิงหยางจัดชายเสื้อของนางเล็กน้อย เทียนสีแดงสะท้อนใบหน้าแดงก่ำ หางตาของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อย "ดื่มได้นิดหน่อยเพคะ"เขาจับมือนางและยิ้มออกมา ปลายนิ้วที่ลูบหลังมือของนาง แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า "หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางกระพริบตา "ชายา?"อ๋องจี้ยิ้มด้วยสายตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว ในใจข้า เจ้านั้นคือชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา กระพริบตาจนแพขนตาขยับปริบ ๆ นางหลุบตาลงด้วยใจที่เต้นระรัวเล็กน้อยหลังจากคล้องแขนแลกจอกเหล้าดื่มกันแล้ว แววตาของอ๋องจี้ก็หรี่มืดลง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่เตียงฉู่หมิงหยางฝังหน้าลงกับหน้าอกของเขา นางกำแขนเสื้อตัวเองแน่น และอยู่นิ่งไม่ขยับตัวนางถูกวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง อ๋องจี้ก็ลูบแก้มของนางราวกับลูบสมบัติล้ำค่า ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมฉู่หมิงหยางเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน ในสายตาของอวี่เหวิ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี่เหวินห่าวและถังหยางกลับไปที่สำนักผู้ตรวจการ และนำพระราชโองการมาถึง สั่งให้กรมอาญาร่วมพิจารณาในคดีนี้ด้วย และเริ่มการพิจารณาคดีในช่วงบ่ายก่อนการสอบสวน เขาได้เรียกองค์รักษ์เงามาสอบถามก่อนเป็นการส่วนตัวองค์รักษ์เงาถูกส่งไปเพื่อปกป้องหยวนชิงหลิงตามพระบัญชาของไท่ซ่างหวง และพวกเขาจะไม่ปลีกตัวออกไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขารีบออกไปทันที ปล่อยให้หยวนชิงหลิงอยู่คนเดียว และต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่แน่หลังจากได้สอบถามโดยละเอียด ก็ได้รู้ว่าองค์รักษ์เงามีรายงานลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไปที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ ว่าต้องการหัวของอ๋องฉี และให้ค่าหัวราคาห้าหมื่นตำลึงแต่องค์รักษ์เงาไม่ได้ส่งรายงานลับกลับมา และความถูกต้องของเนื้อหานั้นก็ไม่แน่นอน ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงสั่งให้ผู้คนจับตาดูโรงเตี้ยมหมิงเยว่และสำนักมือสังหารอื่น ๆ สำหรับสาเหตุที่ต้องจับตามองที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ แทนที่จะเป็นจวนอ๋องฉี เป็นเพราะไท่ซ่างหวงเชื่อว่ารายงานลับเป็นเท็จ จุดประสงค์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่อ๋องฉี แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นตัวอ๋องฉู่ต่
อวี่เหวินห่าวทำการสอบสวนฉู่หมิงชุ่ยเป็นไปไม่ได้เลยที่ฉู่หมิงชุ่ยจะมาขึ้นศาล นางได้รับบาดเจ็บสาหัสจนไม่สามารถลุกขึ้นมานั่งได้ด้วยซ้ำเช่นนั้นแล้ว อวี่เหวินห่าวจึงต้องไปที่คุกด้วยตนเองในคุกที่ทั้งมืดและอับชื้น แสงสลัวสะท้องบนใบหน้าซีดเซียวของฉู่หมิงชุ่ย นางนอนพิงบนกองฟาง เมื่อหรี่ตาลงเห็นเสื้อคลุมสีแดงเข้มต่อหน้านาง เฉกเช่นเดียวกันกับวันนั้นที่เห็นตัวเองมีเลือดกระฉูดออกมานางยกยิ้มขึ้นมาอย่างช้า ๆ และค่อยๆ ลืมตาขึ้น ชายคนนั้นยืนถือโคมไฟอยู่ด้านหลัง ถึงเห็นหน้าเขาไม่ชัด แต่นางก็รู้ว่าเขามาที่นี่แล้วนางพูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง "ท่านมาแล้ว!"อวี่เหวินห่าวเข้ามาพร้อมเสื้อคลุมนั้น นัยน์ตาหงส์ที่เรียวยาวของเขาเปี่ยมไปด้วยความเย็นชา "ได้ยินมาว่าเจ้าจะสารภาพก็ต่อเมื่อเจ้าเห็นข้าแล้วเท่านั้น"นางหัวเราะ พยายามหัวเราะหนักมาก จนดูเหมือนก้อนสำลีอุดอยู่ในคอ และนางก็ไอออกมาอย่างหนักเหมือนเอาก้อนสำลีนั้นออกไม่ได้"ข้า..." นางค่อย ๆ ลุกขึ้นพยายามนั่งตัวตรง แต่ก็ไม่มีเรี่ยวแรง และในที่สุดก็วางมือลงอย่างเหนื่อยล้า "เดิมทีข้าคิดว่า ถ้าหากฆ่าหยวนชิงหลิงแล้ว พวกเราจะกลับมาเริ่มต้นใหม่ได้ ทำไมท่านถึง
อวี่เหวินห่าวเอ่ยว่า "ตกลง ข้าสัญญา"“ท่านใช้ชีวิตของหยวนชิงหลิงสาบานสิ!” ฉู่หมิงชุยไม่เชื่อคำพูดเขาอวี่เหวินห่าวกล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย "ข้าขอสาบานด้วยชีวิตของพระชายาฉู่ ข้าจะอยู่เคียงข้างเจ้าจนวาระสุดท้าย"ฉู่หมิงชุ่ยถอนหายใจด้วยความโล่งอก "ข้าจะเชื่อท่านเป็นครั้งสุดท้าย"นางวางมือลงบนพื้นแล้วพยายามดันตัวไปข้างหน้าด้วยแรงที่เหลืออยู่ คราบเลือดสีแดงที่เหมือนรอยแตกร้าวบนกำแพงเมือง คดเคี้ยวไปมาไม่สม่ำเสมอ ภายใต้การสะท้อนของแสงสลัว มันจึงดูน่ากลัวเป็นพิเศษ“คือท่านปู่ของข้าเอง!” นางออกแรงกระซิบสี่คำนี้ใส่หูเขาหลังจากพูดจบ นางก็ถอนหายใจเฮือกใหญ่ และมองเขาอย่างเศร้าสร้อยริมฝีปากของอวี่เหวินห่าวเหยียดโค้งขึ้น เขายิ้มอย่างเคร่งขรึมเย็นชา "ข้าเองก็คิดว่าเป็นเขา ใครจะไปมีแผนการที่ละเอียดถี่ถ้วนเช่นนี้อีก?""ก็ใช่น่ะสิ จะมีใครควบคุมทุกอย่างได้อย่างเขาบ้าง?" แววตาของฉู่หมิงชุ่ยว่างเปล่า "อันที่จริง เขาก็อยากจะฆ่าข้าเช่นกัน? ตั้งแต่แรกตกลงกันแล้วว่าเขาจะช่วยชีวิตข้า แค่ให้หยวนชิงหลิงตายไปซะ เขาจะช่วยข้าจัดการปัญหาทุกอย่าง ข้ายังคงเป็นคุณหนูคนโตของจวนมหาเสนาบดีเหมือนดั่งวันวาน แต่ในความเป