Share

บทที่ 630

Author: จูน
last update Last Updated: 2024-10-29 19:42:56
หยวนชิงหลิงรู้สึกโล่งใจขึ้นบ้าง นอกจากตัวเองโล่งใจแล้ว ก็ยังรู้สึกโล่งใจแทนคนอื่นด้วย

ถ้าเป็นเพราะนั่งอยู่ไกล และนางเคยกินยาคลายกังวลนั้น พิษนั่นก็คงไม่ได้ร้ายแรงนัก หมอหลวงคงจะแก้พิษได้

แต่หยวนชิงหลิงก็ยังคงให้ความร่วมมือกับฉู่หมิงชุ่ยแต่โดยดี ฉู่หมิงชุ่ยที่เกือบเสียสติไร้เหตุผลแบบนี้ ยั่วยุนางไปก็ไร้ประโยชน์

ฉู่หมิงชุ่ยเองคงไม่มีทางยอมให้นางตายสบายแน่ คิดจะหาที่ค่อย ๆ จัดการนาง ดังนั้นถึงได้ใช้ชีวิตคนอื่นเป็นเครื่องต่อรองเช่นนี้

ไม่รู้ว่าเป้าหมายของนางคืออะไร ถึงยังไม่ได้ลงมือสักที

นางไม่รู้ว่าองค์รักษ์เงามีวรยุทธ์สูงส่งแค่ไหน ดังนั้นจึงไม่เสี่ยงชีวิตตัวเอง และจะดูด้วยว่านางคิดจะทำอะไรกันแน่

เมื่อรถม้ามาถึงท่าเรือ ฉู่หมิงชุ่ยได้ลงมาก่อน และได้ยื่นมือไปหาหยวนชิงหลิง

หยวนชิงหลิงจับมือนางแล้วลงมา มีกุลีสองคนเข้ามาจับประกบตัวนางซ้ายขวา

ที่ท่าเรือมีเรือบรรทุกสินค้าจอดเทียบท่า มีชาวบาอัลวิ่งเข้าไปขนกระสอบ และมีหนึ่งคนชนหยวนชิงหลิง หยวนชิงหลิงยื่นมือไปคว้าอย่างไม่ตั้งใจ แต่กุลีคนนั้นก็ผลักออก และตะโกนด่าไป “ตาเจ้ามันตาสุนัขเรอะ อีกนิดเดียวเมียข้าจะล้มแล้ว”

ชาวบาอัลคนนั้นรีบขอโทษ แ
Locked Chapter
Continue to read this book on the APP

Related chapters

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 631

    หยวนชิงหลิงยิ้มเย้ยหยันกับสิ่งที่นางพูดออกมา “คนในจวนอ๋องซุนได้ตายด้วยน้ำมือของเจ้าตั้งหลายคนขนาดนี้แล้ว นี่ไม่เป็นการฆ่าผู้บริสุทธิ์ตามอำเภอใจหรอกหรือ?"ฉู่หมิงชุ่ยหัวเราะเหยียดหยาม “มันก็แค่พวกมดปลวกไร้ค่า เจ้าห่วงตัวเองเถอะ”หยวนชิงหลิงมองนาง “เจ้าจะฆ่าข้าอย่างไร?”ฉู่หมิงชุ่ยมองตรงมาที่นาง และยิ้มอย่างมีเลศนัย "อย่ากังวลไปนักเลย ท้องเรือลำนี้แตกแล้ว น้ำจะค่อย ๆ ทะลักเข้ามา เมื่อถึงตอนที่มันจมลงไป ข้ากับเจ้าก็จะตายไปด้วยกัน อาจจะต้องใช้เวลาเล็กน้อย เจ้าก็ค่อย ๆ หวาดกลัวอยู่เช่นนั้นไปอย่างช้า ๆ ถ้าหากตายที่นี่ คงหาศพไม่เจอ และเป็นผีพรายน้ำอยู่ที่นี่ตลอดไป"หยวนชิงหลิงรีบไปหารอยรั่วทันที เมื่อลงไปเจอรอยรั่วที่ท้องเรือขนาดเท่ากำปั้นคน และน้ำกำลังค่อย ๆ ไหลทะลักเข้ามานางลองคำนวนดูแล้วน่าจะใช้เวลาอีกครึ่งชั่วโมงเรือถึงจะจมกุลีพวกนั้นคงไม่ยอมตายที่นี่แน่ พวกเขาต้องเตรียมเรือชูชีพไว้ นางจึงลองเดินหาไปจนถึงท้ายเรือ และก็ได้เจอเรือท้องแบนลำหนึ่งพวกเขาคงรอให้เรืออยู่ห่างจากท่าเรือออกไปก่อน แล้วค่อยหนีไป และทิ้งพวกนางไว้ที่นี่นางว่ายน้ำไม่เป็น ถ้าหากนางจะหนี นางก็ต้องลงเรือลำนี้แ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 632

    หยวนชิงหลิงดูสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อยของนาง แค่นี้ก็พอยืนยันสิ่งที่นางคาดเดาได้แล้วฉู่หมิงชุ่ยกลัวตาย มิฉะนั้นเมื่อตอนที่นางอยู่ที่จวนอ๋องซุน นางคงจะไม่แสร้งทำเป็นถูกจับเป็นตัวประกันหรอกคน ๆ นี้เสแสร้งตอแหลมาทั้งชีวิต มาถึงขั้นนี้แล้ว นางก็ยังไม่ยอมถอดหน้ากากเพื่อยอมรับความจริง และเผชิญหน้ากับตัวเองว่าเป็นคนเช่นไรไม่ได้ฉู่หมิงชุ่ยมองตาขวางใส่นาง "แล้วอย่างไร? ข้าตายหรือไม่ เจ้าก็ไม่เห็นเหมือนกัน"หยวนชิงหลิงฉีกยิ้มชั่วร้าย และขยับเข้าไปใกล้นาง "เช่นนั้นแล้ว ข้าจะบอกว่าเจ้าต้องตายก่อนข้า ข้าจะได้สบายใจได้"“น่าเสียดาย เจ้าฆ่าข้าไม่ได้หรอก” ฉู่หมิงชุ่ยเอ่ยอย่างเย็นชา“นั่นก็ไม่แน่สักหน่อย..." หยวนชิงหลิงยังไม่ทันจะพูดจบ นางก็หยิบมีดผ่าตัดออกมาปาดเข้าที่ข้อมือของฉู่หมิงชุ่ยนางเข้าใกล้ฉู่หมิงชุ่ย และนางก็ลงมือได้แม่นยำมาก มีดเล่มนั้นกรีดตัดตรงเส้นเลือดแดงที่ข้อมือของนาง เลือดสด ๆ ก็พุ่งทะลักออกมาฉู่หมิงชุ่ยไม่คิดจะตายอยู่แล้ว นางจึงต้องกลับไปที่ฝั่งเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นนางจึงต้องบีบบังคับให้พวกเขาเอาเรือชูชีพลงมาก่อนเวลาฉู่หมิงชุ่ยทั้งโกรธและตกใจมาก นางจับข้อมือของน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 633

    สิ่งที่สำคัญที่สุดในการทำงานหนักคือได้เงินมาต่างหาก หากฉู่หมิงชุ่ยตายไป การทำงานหนักของพวกเขาก็จะสูญเปล่าฉู่หมิงชุ่ยพูดด้วยน้ำเสียงเฉียบขาด "พวกเจ้าฆ่าเลย อย่าพูดถึงเรื่องอื่น เครื่องประดับบนตัวนางกับข้าที่ใส่อยู่ก็มีราคาเกินหนึ่งพันตำลึงแล้ว บนตัวนางยังมีสร้อยไข่มุกอยู่เส้นราคาหนึ่งหมื่นตำลึง เจ้าไม่เชื่อก็ไปหาดู"ในแววตาของกุลี ปรากฏแสงแห่งความโลภขึ้นมาทันทีหมื่นตำลึง จบงานครั้งนี้พวกเขาพี่น้องก็รามือได้ไม่ต้องทำงานแล้ว และพวกเขาไม่ต้องทำงานถือดาบเปื้อนเลือดอีกต่อไปแล้วแววตาของหยวนชิงหลิงเย็นมืดลง นางกระชากผมของฉู่หมิงชุ่ยและจิกหัวของนาง หยวนชิงหลิงบีบหน้านางให้อยู่นิ่ง ๆ และเอาปลายปิ่นกรีดลงบนหน้านางสองสามรอย และยังแทงใส่หน้านางอีกสองรูฉู่หมิงชุ่ยร้องไห้โหยหวนด้วยความเจ็บปวด ใบหน้าของนางเละเต็มไปด้วยเลือด หยวนชิงหลิงลากนางไปเพื่อสร้างช่องว่างให้หมานเอ๋อร์วรยุทธ์ของหมานเอ๋อร์สู้คนเหล่านี้ไม่ได้ก็จริง แต่นางมีพละกำลังอย่างเต็มเปี่ยมแต่พละกำลังนี้มันทำให้นางเจ็บตัวอยู่เสมอ คนเหล่านั้นโลภอยากได้สร้อยไข่มุกของที่หยวนชิงหลิงสวมอยู่ พวกเขาก็ได้บ้าคลั่งเสียสติไปแล้ว พวกเขาแค่อย

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 634

    หยวนชิงหลิงกัดฟันแน่น ทนความเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง และไปพันแผลให้หมานเอ๋อร์ ตอนนี้รอช้าไม่ได้แล้ว น้ำได้เริ่มท่วมเข้ามาแล้ว เรือลำนี้กำลังจะจมหมานเอ๋อร์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะหมดสติแล้ว แต่ความเจ็บปวดทำให้นางฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อเห็นน้ำเริ่มท่วมทะลักเข้ามาแล้ว นางจับมือของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างยากลำบาก "พระชายา ท่านกอดท่อนซุงนี้แล้วโดดลงไป อดทนรอจนกว่าเรือลำอื่นจะมาช่วยท่านนะเพคะ"หยวนชิงหลิงพยายามช่วยพยุงนางลุกขึ้น และพูดขึ้นอย่างร้อนรน "หมานเอ๋อร์ เจ้ายังพอมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ไหม? มีเรือชูชีพอยู่ที่นี่ เอาแพชูชีพลงน้ำ พวกเราจะได้หนีออกไปจากที่นี่ได้"แววตาของหมานเอ๋อร์มีประกายแสงแห่งการมีชีวิตรอด นางพยายามฝืนจะลุกยืนขึ้น แต่นางลุกขึ้นไม่ไหว ลองพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง หนำซ้ำยังทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นอีกหยวนชิงหลิงรู้ว่านางถึงขีดจำกัดแล้ว และคงช่วยนางปล่อยแพชูชีพลงน้ำไม่ได้แล้วนางกัดฟันลุกขึ้นยืน ถือมืดสั้นเดินไปอย่างลำบาก น้ำท่วมมาถึงข้อเท้าของนางแล้ว นางค่อย ๆ เดินเท้าเปล่าไปอย่างโงนเงนไม่มั่นคง คลื่นซัดเข้าหานาง ถึงคลื่นไม่สูงเท่าไหร่ แค่ระด

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 635

    ทั้งสามคนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว แต่ทว่าเรือกำลังจม ถ้าไม่รีบพายออกไปให้เร็วที่สุด แพชูชีพจะถูกกระแสน้ำดูดเข้าไปด้วยเพื่อเอาชีวิตรอด ฉู่หมิงชุ่ยจึงหมอบลง และพายเรือกวักน้ำอย่างแข็งขัน ด้วยแรงและการพายไปในทิศทางเดียวกัน เรือชูชีพแล่นออกจากระยะน้ำดูดของเรือใหญ่ที่จมลงหยวนชิงหลิงนอนฟุบอยู่บนแพชูชีพ มองดูเรือค่อย ๆ จมลงไป และในที่สุดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น ซึ่งดึงดูดขยะและกิ่งไม้รอบ ๆ บริเวณนั้นลงไปในน้ำหมานเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปแล้วฉู่หมิงชุ่ยหายใจหอบอย่างหนัก ทันใดนั้นนางลุกขึ้นยืน และพุ่งไปหาหยวนชิงหลิงที่นอนแผ่อยู่ หยวนชิงหลิงไม่ได้เตรียมพร้อมตั้งตัวสำหรับการลงมือจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้“หยวนชิงหลิง เจ้าตายซะเถอะ!” ฉู่หมิงชุ่ยตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของนางดูดุร้ายบ้าคลั่ง มือของนางที่ดูย่ำแย่ไม่ต่างจากกรงเล็บผีที่บีบลงบนคอของหยวนชิงหลิง นางบ้าคลั่งไปแล้ว มีรอยแผลที่มีเลือดไหลซิบบนใบหน้านางมากมาย และเลือดที่ไหลหยดจากบาดแผลพวกนั้น ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวและสยดสยองอย่างสุดจะพรรณนาหยวนชิงหลิงที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิด ไม่สามารถขยับได้เลย หายใจไม่ออก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 636

    ตอนที่เขาอุ้มหยวนชิงหลิงกลับไปยังจวนอ๋องฉู่ อวี่เหวินห่าวยังคงตัวสั่นไม่หยุดด้วยความหวาดหวั่นใจเขาไม่กล้าคิดถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ถ้าหากเขามาช้ากว่านี้อีกแค่ก้าวเดียวตอนที่เขาเห็นฉู่หมิงชุ่ยบีบคอหยวนชิงหลิงจากที่ไกล ๆ ความสิ้นหวังมันเอ่อเต็มหัวใจของเขาในตอนนั้นไปหมดจวนอ๋องฉีถูกวางเพลิง เจ้าเจ็ดติดอยู่ในกองไฟ อีกทั้งเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เจ้าเจ็ดหนีออกมาไม่ได้และที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าเจ็ดหมดสติ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไฟไหม้องค์รักษ์เงาที่มาถึงก่อน แต่ตอนนั้นไฟมันก็ลุกไหม้จนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เมื่อไฟลุกไหม้ขึ้นในระยะสิบฟุตยังรู้สึกถึงเปลวไฟได้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าเจ็ดเองก็เป็นคนมีรสนิยมดี ในจวนส่วนใหญ่ทำมาจากไม้และประตูบ้านทั้งหมดทำจากไม้จวี้ เมื่อถูกไฟไหม้ เพลิงจึงลุกไหม้จนกลายเป็นทะเลเพลิง และองค์รักษ์เงาไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามดิ้นรนฝ่าเข้าไปอย่างสิ้นหวัง ก็ไม่มีทางฝ่าเข้าไปพาตัวอ๋องฉีมาได้เลยตอนที่พวกเขามาถึง เพลิงก็ควบคุมไม่ได้ และลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบแล้วเพื่อไม่ให้ไหม้ไปบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง จำต้องดับไฟให้เร็วที่สุดเขาและเจ้าสา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 637

    ถังหยางถึงกับอึ้งไปเลย "นี่มัน..."“วางเพลิงเผาจวนอ๋องฉี ข้าเชื่อว่านางสามารถทำได้ แต่ในความจริงแล้วจะวางเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากนี้ขนาดในจวนอ๋องซุน นางสามารถล่อลวงพวกคนชั่วเข้ามาในจวนได้ด้วยตัวนางเอง ทั้งปล้นฆ่า จากนั้นจัดเตรียมเส้นทางหลบหนี และหาจัดหาเรือ นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถทำคนเดียวได้"การจะติดต่อพวกมือสังหารได้นั้น ย่อมต้องมีเส้นสายบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยต้องมีการวางแผนอยู่เบื้องหลังพวกองค์กรนักฆ่า พวกเขาไม่มีทางยอมรับคำสั่งส่วนตัวได้ง่ายดายอยู่แล้วยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคร่งครัด โดยพื้นฐานคือจะไม่รับงานของพวกราชวงศ์ และเจ้าหน้าที่ขุนนางมาทำ เพื่อไม่ให้ถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องได้แต่พวกเขากลับตรงไปที่จวนอ๋องซุน สำหรับเพลิงไหม้ในจวนอ๋องฉี พวกเขาสามารถวางเพลิงช่ำชอง และไม่ใช่สิ่งที่สาวใช้จะทำได้คนสองกลุ่มดำเนินแผนก่อการร้ายไปพร้อมกันได้ ฉู่หมิงชุ่ยสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?ถังหยางที่ได้สติกลับมาแล้วพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด "ท่านอ๋องรอบคอบนัก ข้าน้อยคิดน้อยเกินไป"อวี่เหวินห่าวนั่งข้างเตียงของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างเย็นชา "เจ้ากลัว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 638

    เขายื่นมือออกไปประคองนางไว้ และพูดออกมาเบา ๆ "อย่าขยับ นอนพักสักหน่อย อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว"หยวนชิงหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอาซื่อขึ้นมา และรีบถามอย่างกระวนกระวายใจ "อาซื่อเล่า?"อวี่เหวินห่าวเลยตอบคลายกังวลให้นาง "นางได้รับบาดเจ็บที่ท้อง แต่อาการไม่สาหัส นางถูกพากลับไปรักษาตัวที่จวนตระกูลหยวนแล้ว"“แล้วหมานเอ๋อร์?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า "ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้นางอยู่ไหน"“พยายามอย่างเต็มที่ ช่วยนางให้ได้นะ" หยวนชิงหลิงคว้ามือของเขา เส้นผมของนางกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ที่ปลายบางส่วนยังคงมีเลือดเปื้อนอยู่ "ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงตายไปนานแล้ว”แววตาของเขาหม่นแสงลง และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า "เจ้าวางใจเถอะ นางจะต้องไม่เป็นอะไร นางเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ พื้นฐานร่างกายของนางดีกว่าเจ้านัก อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่แค่เหนื่อยล้าใช้แรงมากเกินไป พักสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว"หยวนชิงเอนศีรษะของนางซบบนหมอน ตะแคงข้างมองเขา ร่องรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของนางเล็กน้อย "ฉู่หมิงชุ่ยล่ะ?"เขายกนิ้วแตะริมฝีปากนาง แววตาพลันเ

Latest chapter

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status