ทั้งสามคนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว แต่ทว่าเรือกำลังจม ถ้าไม่รีบพายออกไปให้เร็วที่สุด แพชูชีพจะถูกกระแสน้ำดูดเข้าไปด้วยเพื่อเอาชีวิตรอด ฉู่หมิงชุ่ยจึงหมอบลง และพายเรือกวักน้ำอย่างแข็งขัน ด้วยแรงและการพายไปในทิศทางเดียวกัน เรือชูชีพแล่นออกจากระยะน้ำดูดของเรือใหญ่ที่จมลงหยวนชิงหลิงนอนฟุบอยู่บนแพชูชีพ มองดูเรือค่อย ๆ จมลงไป และในที่สุดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น ซึ่งดึงดูดขยะและกิ่งไม้รอบ ๆ บริเวณนั้นลงไปในน้ำหมานเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปแล้วฉู่หมิงชุ่ยหายใจหอบอย่างหนัก ทันใดนั้นนางลุกขึ้นยืน และพุ่งไปหาหยวนชิงหลิงที่นอนแผ่อยู่ หยวนชิงหลิงไม่ได้เตรียมพร้อมตั้งตัวสำหรับการลงมือจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้“หยวนชิงหลิง เจ้าตายซะเถอะ!” ฉู่หมิงชุ่ยตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของนางดูดุร้ายบ้าคลั่ง มือของนางที่ดูย่ำแย่ไม่ต่างจากกรงเล็บผีที่บีบลงบนคอของหยวนชิงหลิง นางบ้าคลั่งไปแล้ว มีรอยแผลที่มีเลือดไหลซิบบนใบหน้านางมากมาย และเลือดที่ไหลหยดจากบาดแผลพวกนั้น ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวและสยดสยองอย่างสุดจะพรรณนาหยวนชิงหลิงที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิด ไม่สามารถขยับได้เลย หายใจไม่ออก
ตอนที่เขาอุ้มหยวนชิงหลิงกลับไปยังจวนอ๋องฉู่ อวี่เหวินห่าวยังคงตัวสั่นไม่หยุดด้วยความหวาดหวั่นใจเขาไม่กล้าคิดถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ถ้าหากเขามาช้ากว่านี้อีกแค่ก้าวเดียวตอนที่เขาเห็นฉู่หมิงชุ่ยบีบคอหยวนชิงหลิงจากที่ไกล ๆ ความสิ้นหวังมันเอ่อเต็มหัวใจของเขาในตอนนั้นไปหมดจวนอ๋องฉีถูกวางเพลิง เจ้าเจ็ดติดอยู่ในกองไฟ อีกทั้งเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เจ้าเจ็ดหนีออกมาไม่ได้และที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าเจ็ดหมดสติ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไฟไหม้องค์รักษ์เงาที่มาถึงก่อน แต่ตอนนั้นไฟมันก็ลุกไหม้จนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เมื่อไฟลุกไหม้ขึ้นในระยะสิบฟุตยังรู้สึกถึงเปลวไฟได้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าเจ็ดเองก็เป็นคนมีรสนิยมดี ในจวนส่วนใหญ่ทำมาจากไม้และประตูบ้านทั้งหมดทำจากไม้จวี้ เมื่อถูกไฟไหม้ เพลิงจึงลุกไหม้จนกลายเป็นทะเลเพลิง และองค์รักษ์เงาไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามดิ้นรนฝ่าเข้าไปอย่างสิ้นหวัง ก็ไม่มีทางฝ่าเข้าไปพาตัวอ๋องฉีมาได้เลยตอนที่พวกเขามาถึง เพลิงก็ควบคุมไม่ได้ และลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบแล้วเพื่อไม่ให้ไหม้ไปบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง จำต้องดับไฟให้เร็วที่สุดเขาและเจ้าสา
ถังหยางถึงกับอึ้งไปเลย "นี่มัน..."“วางเพลิงเผาจวนอ๋องฉี ข้าเชื่อว่านางสามารถทำได้ แต่ในความจริงแล้วจะวางเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากนี้ขนาดในจวนอ๋องซุน นางสามารถล่อลวงพวกคนชั่วเข้ามาในจวนได้ด้วยตัวนางเอง ทั้งปล้นฆ่า จากนั้นจัดเตรียมเส้นทางหลบหนี และหาจัดหาเรือ นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถทำคนเดียวได้"การจะติดต่อพวกมือสังหารได้นั้น ย่อมต้องมีเส้นสายบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยต้องมีการวางแผนอยู่เบื้องหลังพวกองค์กรนักฆ่า พวกเขาไม่มีทางยอมรับคำสั่งส่วนตัวได้ง่ายดายอยู่แล้วยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคร่งครัด โดยพื้นฐานคือจะไม่รับงานของพวกราชวงศ์ และเจ้าหน้าที่ขุนนางมาทำ เพื่อไม่ให้ถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องได้แต่พวกเขากลับตรงไปที่จวนอ๋องซุน สำหรับเพลิงไหม้ในจวนอ๋องฉี พวกเขาสามารถวางเพลิงช่ำชอง และไม่ใช่สิ่งที่สาวใช้จะทำได้คนสองกลุ่มดำเนินแผนก่อการร้ายไปพร้อมกันได้ ฉู่หมิงชุ่ยสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?ถังหยางที่ได้สติกลับมาแล้วพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด "ท่านอ๋องรอบคอบนัก ข้าน้อยคิดน้อยเกินไป"อวี่เหวินห่าวนั่งข้างเตียงของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างเย็นชา "เจ้ากลัว
เขายื่นมือออกไปประคองนางไว้ และพูดออกมาเบา ๆ "อย่าขยับ นอนพักสักหน่อย อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว"หยวนชิงหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอาซื่อขึ้นมา และรีบถามอย่างกระวนกระวายใจ "อาซื่อเล่า?"อวี่เหวินห่าวเลยตอบคลายกังวลให้นาง "นางได้รับบาดเจ็บที่ท้อง แต่อาการไม่สาหัส นางถูกพากลับไปรักษาตัวที่จวนตระกูลหยวนแล้ว"“แล้วหมานเอ๋อร์?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า "ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้นางอยู่ไหน"“พยายามอย่างเต็มที่ ช่วยนางให้ได้นะ" หยวนชิงหลิงคว้ามือของเขา เส้นผมของนางกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ที่ปลายบางส่วนยังคงมีเลือดเปื้อนอยู่ "ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงตายไปนานแล้ว”แววตาของเขาหม่นแสงลง และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า "เจ้าวางใจเถอะ นางจะต้องไม่เป็นอะไร นางเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ พื้นฐานร่างกายของนางดีกว่าเจ้านัก อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่แค่เหนื่อยล้าใช้แรงมากเกินไป พักสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว"หยวนชิงเอนศีรษะของนางซบบนหมอน ตะแคงข้างมองเขา ร่องรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของนางเล็กน้อย "ฉู่หมิงชุ่ยล่ะ?"เขายกนิ้วแตะริมฝีปากนาง แววตาพลันเ
ถังหยางได้ตรงมาที่จวนและได้พูดคุยกับท่านมหาเสนาบดีก่อน เมื่อได้ยินคำขอของอ๋องฉู่ ท่านมหาเสนาบดีก็เงยหน้าขึ้นมองถังหยางด้วยสายตามเฉียบคม "หากเขาต้องการเช่นนี้ ก็มีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่า ๆ เจ้ากลับไปบอกเขาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ข้ายังสามารถชะลอยับยั้งมันออกไปก่อนได้ และขุนนางในท้องพระโรงหรือเจ้ากรมอื่น ๆ ก็ยังไม่มีคนมาไล่ติดตามเรื่องนี้ แต่คนที่ควรตาย ย่อมสมควรต้องตายแล้ว"ถังหยางได้กระซิบถามขึ้นมาเบา ๆ "ท่านมหาเสนาบดี เรื่องนี้ท่านคิดว่าพระชายาฉีทำคนเดียวได้หรือไม่?"ท่านมหาเสนาบดีตกใจนิ่งไปเล็กน้อย และค่อย ๆ หรี่ตาลงด้วยท่าทางสง่างาม เปล่งบารมีน่าเกรงขาม “ข้าเข้าใจแล้ว เรียกคนพาตัวไปเถอะ”ถังหยางประสานมือคาวระและถอยกลับไปต่อมามีคนจากจวนจิงจ้าวพาตัวฉู่หมิงชุ่ยออกไปคุกในจวนจิงจ้าวทั้งมืดและชื้นฉู่หมิงชุ่ยได้รับการปฏิบัติอย่างดี ได้อยู่ห้องขังที่ค่อนข้างสว่าง เพราะโคมไฟในคุกทั้งหมดถูกวางอยู่ในรูเล็ก ๆ บนกำแพง และวางไม้สนขัดเรียบไว้เพื่อกระจายแสงสว่างแสงริบหรี่ตรงข้ามกับห้องขังของฉู่หมิงชุ่ยสะท้อนลงบนใบหน้าที่ซีดเซียวและว่างเปล่าของนางตั้งแต่นางเข้ามาในห
พระชายาซุนนั่งลงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ พิงศีรษะลงไหล่ที่หนาเต็มไปด้วยเนื้อของเขา หัวใจของยังคงเต้นระส่ำไปหมดอ๋องซุนยกแขนขึ้นกอดพระชายาเอาไว้ และพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว"อ๋องซุนมักเป็นฝ่ายที่ได้รับการปลอบโยนเสมอพระชายาซุนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง นางสามารถดูแลทุกอย่างในจวนได้ด้วยตัวเองตอนนี้นางทั้งกลัวและอ่อนแอ เมื่ออ๋องซุนพูดแบบนี้ออกมา ขอบตาของนางแดงก่ำไปหมด นางพูดด้วยเสียงขึ้นจมูกออกมา “อื้อ!""เจ้าห้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ หากเรื่องนี้ขึ้นศาลเข้าสู่การพิจารณาคดี เจ้าก็แค่พูดไปตามจริง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของจวนอ๋องซุน" อ๋องซุนพูดอย่างแผ่วเบา“ข้ารู้แล้ว” พระชายาซุนรู้สึกเสียใจต่อพวกบ่าว และคนรับใช้ที่ตายไป และยิ่งเกลียดฉู่หมิงชุ่ยเข้ากระดูกดำเรื่องราวในวังหลวงกลับตาลปัตรเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกมันเหลวไหลไร้สาระ ฉู่หมิงชุ่ยแค่คนเดียวเผาจวนอ๋องฉีได้หรือ? อีกทั้งยังทำร้ายคนตระกูลหยวนจนบาดเจ็บสาหัส และยังลักพาตัวพระชายาฉู่ได้อีก?ฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลกเสียจริงแต่พวกคนที่
เขาดูอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เหมือนกับที่คนอื่นบอกเลยว่าทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมนางจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและไปนั่งด้วยกันอ๋องจี้เทเหล้าและหรี่ตาลง พร้อมยิ้มบาง ๆ ออกมา “เจ้าดื่มได้ไหม?”ฉู่หมิงหยางจัดชายเสื้อของนางเล็กน้อย เทียนสีแดงสะท้อนใบหน้าแดงก่ำ หางตาของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อย "ดื่มได้นิดหน่อยเพคะ"เขาจับมือนางและยิ้มออกมา ปลายนิ้วที่ลูบหลังมือของนาง แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า "หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางกระพริบตา "ชายา?"อ๋องจี้ยิ้มด้วยสายตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว ในใจข้า เจ้านั้นคือชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา กระพริบตาจนแพขนตาขยับปริบ ๆ นางหลุบตาลงด้วยใจที่เต้นระรัวเล็กน้อยหลังจากคล้องแขนแลกจอกเหล้าดื่มกันแล้ว แววตาของอ๋องจี้ก็หรี่มืดลง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่เตียงฉู่หมิงหยางฝังหน้าลงกับหน้าอกของเขา นางกำแขนเสื้อตัวเองแน่น และอยู่นิ่งไม่ขยับตัวนางถูกวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง อ๋องจี้ก็ลูบแก้มของนางราวกับลูบสมบัติล้ำค่า ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมฉู่หมิงหยางเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน ในสายตาของอวี่เหวิ
ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี่เหวินห่าวและถังหยางกลับไปที่สำนักผู้ตรวจการ และนำพระราชโองการมาถึง สั่งให้กรมอาญาร่วมพิจารณาในคดีนี้ด้วย และเริ่มการพิจารณาคดีในช่วงบ่ายก่อนการสอบสวน เขาได้เรียกองค์รักษ์เงามาสอบถามก่อนเป็นการส่วนตัวองค์รักษ์เงาถูกส่งไปเพื่อปกป้องหยวนชิงหลิงตามพระบัญชาของไท่ซ่างหวง และพวกเขาจะไม่ปลีกตัวออกไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขารีบออกไปทันที ปล่อยให้หยวนชิงหลิงอยู่คนเดียว และต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่แน่หลังจากได้สอบถามโดยละเอียด ก็ได้รู้ว่าองค์รักษ์เงามีรายงานลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไปที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ ว่าต้องการหัวของอ๋องฉี และให้ค่าหัวราคาห้าหมื่นตำลึงแต่องค์รักษ์เงาไม่ได้ส่งรายงานลับกลับมา และความถูกต้องของเนื้อหานั้นก็ไม่แน่นอน ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงสั่งให้ผู้คนจับตาดูโรงเตี้ยมหมิงเยว่และสำนักมือสังหารอื่น ๆ สำหรับสาเหตุที่ต้องจับตามองที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ แทนที่จะเป็นจวนอ๋องฉี เป็นเพราะไท่ซ่างหวงเชื่อว่ารายงานลับเป็นเท็จ จุดประสงค์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่อ๋องฉี แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นตัวอ๋องฉู่ต่