แชร์

บทที่ 634

ผู้แต่ง: จูน
last update ปรับปรุงล่าสุด: 2024-10-29 19:42:56
หยวนชิงหลิงกัดฟันแน่น ทนความเจ็บปวดอยู่ครู่หนึ่ง และไปพันแผลให้หมานเอ๋อร์ ตอนนี้รอช้าไม่ได้แล้ว น้ำได้เริ่มท่วมเข้ามาแล้ว เรือลำนี้กำลังจะจม

หมานเอ๋อร์ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนเกือบจะหมดสติแล้ว แต่ความเจ็บปวดทำให้นางฟื้นคืนสติขึ้นมา เมื่อเห็นน้ำเริ่มท่วมทะลักเข้ามาแล้ว นางจับมือของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างยากลำบาก "พระชายา ท่านกอดท่อนซุงนี้แล้วโดดลงไป อดทนรอจนกว่าเรือลำอื่นจะมาช่วยท่านนะเพคะ"

หยวนชิงหลิงพยายามช่วยพยุงนางลุกขึ้น และพูดขึ้นอย่างร้อนรน "หมานเอ๋อร์ เจ้ายังพอมีเรี่ยวแรงเหลืออยู่ไหม? มีเรือชูชีพอยู่ที่นี่ เอาแพชูชีพลงน้ำ พวกเราจะได้หนีออกไปจากที่นี่ได้"

แววตาของหมานเอ๋อร์มีประกายแสงแห่งการมีชีวิตรอด นางพยายามฝืนจะลุกยืนขึ้น แต่นางลุกขึ้นไม่ไหว ลองพยายามอยู่หลายครั้ง แต่ก็ล้มลงกับพื้นอย่างแรง หนำซ้ำยังทำให้อาการบาดเจ็บรุนแรงขึ้นอีก

หยวนชิงหลิงรู้ว่านางถึงขีดจำกัดแล้ว และคงช่วยนางปล่อยแพชูชีพลงน้ำไม่ได้แล้ว

นางกัดฟันลุกขึ้นยืน ถือมืดสั้นเดินไปอย่างลำบาก น้ำท่วมมาถึงข้อเท้าของนางแล้ว นางค่อย ๆ เดินเท้าเปล่าไปอย่างโงนเงนไม่มั่นคง คลื่นซัดเข้าหานาง ถึงคลื่นไม่สูงเท่าไหร่ แค่ระด
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อเรื่องนี้บน Application

บทที่เกี่ยวข้อง

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 635

    ทั้งสามคนไม่มีเรี่ยวแรงเหลือแล้ว แต่ทว่าเรือกำลังจม ถ้าไม่รีบพายออกไปให้เร็วที่สุด แพชูชีพจะถูกกระแสน้ำดูดเข้าไปด้วยเพื่อเอาชีวิตรอด ฉู่หมิงชุ่ยจึงหมอบลง และพายเรือกวักน้ำอย่างแข็งขัน ด้วยแรงและการพายไปในทิศทางเดียวกัน เรือชูชีพแล่นออกจากระยะน้ำดูดของเรือใหญ่ที่จมลงหยวนชิงหลิงนอนฟุบอยู่บนแพชูชีพ มองดูเรือค่อย ๆ จมลงไป และในที่สุดกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ก็ก่อตัวขึ้น ซึ่งดึงดูดขยะและกิ่งไม้รอบ ๆ บริเวณนั้นลงไปในน้ำหมานเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติไปแล้วฉู่หมิงชุ่ยหายใจหอบอย่างหนัก ทันใดนั้นนางลุกขึ้นยืน และพุ่งไปหาหยวนชิงหลิงที่นอนแผ่อยู่ หยวนชิงหลิงไม่ได้เตรียมพร้อมตั้งตัวสำหรับการลงมือจู่โจมอย่างกะทันหันเช่นนี้“หยวนชิงหลิง เจ้าตายซะเถอะ!” ฉู่หมิงชุ่ยตะโกนด้วยความโกรธเกรี้ยว ใบหน้าของนางดูดุร้ายบ้าคลั่ง มือของนางที่ดูย่ำแย่ไม่ต่างจากกรงเล็บผีที่บีบลงบนคอของหยวนชิงหลิง นางบ้าคลั่งไปแล้ว มีรอยแผลที่มีเลือดไหลซิบบนใบหน้านางมากมาย และเลือดที่ไหลหยดจากบาดแผลพวกนั้น ยิ่งทำให้ดูน่ากลัวและสยดสยองอย่างสุดจะพรรณนาหยวนชิงหลิงที่ไม่เหลือเรี่ยวแรงแล้วสักนิด ไม่สามารถขยับได้เลย หายใจไม่ออก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 636

    ตอนที่เขาอุ้มหยวนชิงหลิงกลับไปยังจวนอ๋องฉู่ อวี่เหวินห่าวยังคงตัวสั่นไม่หยุดด้วยความหวาดหวั่นใจเขาไม่กล้าคิดถึงเหตุการณ์หลังจากนั้น ถ้าหากเขามาช้ากว่านี้อีกแค่ก้าวเดียวตอนที่เขาเห็นฉู่หมิงชุ่ยบีบคอหยวนชิงหลิงจากที่ไกล ๆ ความสิ้นหวังมันเอ่อเต็มหัวใจของเขาในตอนนั้นไปหมดจวนอ๋องฉีถูกวางเพลิง เจ้าเจ็ดติดอยู่ในกองไฟ อีกทั้งเพลิงลุกไหม้อย่างรวดเร็ว จนทำให้เจ้าเจ็ดหนีออกมาไม่ได้และที่สำคัญที่สุดคือ เจ้าเจ็ดหมดสติ เขาไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีไฟไหม้องค์รักษ์เงาที่มาถึงก่อน แต่ตอนนั้นไฟมันก็ลุกไหม้จนไม่สามารถควบคุมได้แล้ว เมื่อไฟลุกไหม้ขึ้นในระยะสิบฟุตยังรู้สึกถึงเปลวไฟได้ตั้งแต่ไหนแต่ไร เจ้าเจ็ดเองก็เป็นคนมีรสนิยมดี ในจวนส่วนใหญ่ทำมาจากไม้และประตูบ้านทั้งหมดทำจากไม้จวี้ เมื่อถูกไฟไหม้ เพลิงจึงลุกไหม้จนกลายเป็นทะเลเพลิง และองค์รักษ์เงาไม่สามารถเข้าใกล้ได้แม้แต่น้อย แม้จะพยายามดิ้นรนฝ่าเข้าไปอย่างสิ้นหวัง ก็ไม่มีทางฝ่าเข้าไปพาตัวอ๋องฉีมาได้เลยตอนที่พวกเขามาถึง เพลิงก็ควบคุมไม่ได้ และลุกลามไปยังบริเวณโดยรอบแล้วเพื่อไม่ให้ไหม้ไปบ้านเรือนบริเวณใกล้เคียง จำต้องดับไฟให้เร็วที่สุดเขาและเจ้าสา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 637

    ถังหยางถึงกับอึ้งไปเลย "นี่มัน..."“วางเพลิงเผาจวนอ๋องฉี ข้าเชื่อว่านางสามารถทำได้ แต่ในความจริงแล้วจะวางเพลิงนั้นไม่ง่ายเลย นอกจากนี้ขนาดในจวนอ๋องซุน นางสามารถล่อลวงพวกคนชั่วเข้ามาในจวนได้ด้วยตัวนางเอง ทั้งปล้นฆ่า จากนั้นจัดเตรียมเส้นทางหลบหนี และหาจัดหาเรือ นั้นไม่ใช่สิ่งที่นางสามารถทำคนเดียวได้"การจะติดต่อพวกมือสังหารได้นั้น ย่อมต้องมีเส้นสายบุคคลอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยต้องมีการวางแผนอยู่เบื้องหลังพวกองค์กรนักฆ่า พวกเขาไม่มีทางยอมรับคำสั่งส่วนตัวได้ง่ายดายอยู่แล้วยิ่งกว่านั้น พวกเขายังมีกฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่เคร่งครัด โดยพื้นฐานคือจะไม่รับงานของพวกราชวงศ์ และเจ้าหน้าที่ขุนนางมาทำ เพื่อไม่ให้ถูกคนตามสืบสาวราวเรื่องได้แต่พวกเขากลับตรงไปที่จวนอ๋องซุน สำหรับเพลิงไหม้ในจวนอ๋องฉี พวกเขาสามารถวางเพลิงช่ำชอง และไม่ใช่สิ่งที่สาวใช้จะทำได้คนสองกลุ่มดำเนินแผนก่อการร้ายไปพร้อมกันได้ ฉู่หมิงชุ่ยสามารถควบคุมมันได้ด้วยตัวคนเดียวหรือ?ถังหยางที่ได้สติกลับมาแล้วพูดด้วยใบหน้าซีดเผือด "ท่านอ๋องรอบคอบนัก ข้าน้อยคิดน้อยเกินไป"อวี่เหวินห่าวนั่งข้างเตียงของหยวนชิงหลิง และพูดอย่างเย็นชา "เจ้ากลัว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 638

    เขายื่นมือออกไปประคองนางไว้ และพูดออกมาเบา ๆ "อย่าขยับ นอนพักสักหน่อย อีกประเดี๋ยวก็ไม่เจ็บแล้ว"หยวนชิงหลิงมองเข้าไปในดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดของเขา ทันใดนั้นนางก็นึกถึงอาซื่อขึ้นมา และรีบถามอย่างกระวนกระวายใจ "อาซื่อเล่า?"อวี่เหวินห่าวเลยตอบคลายกังวลให้นาง "นางได้รับบาดเจ็บที่ท้อง แต่อาการไม่สาหัส นางถูกพากลับไปรักษาตัวที่จวนตระกูลหยวนแล้ว"“แล้วหมานเอ๋อร์?”อวี่เหวินห่าวส่ายหน้า "ข้าไม่รู้เหมือนกันว่าตอนนี้นางอยู่ไหน"“พยายามอย่างเต็มที่ ช่วยนางให้ได้นะ" หยวนชิงหลิงคว้ามือของเขา เส้นผมของนางกระจัดกระจายอยู่บนหมอน ที่ปลายบางส่วนยังคงมีเลือดเปื้อนอยู่ "ถ้าไม่ใช่เพราะนาง ข้าคงตายไปนานแล้ว”แววตาของเขาหม่นแสงลง และเอ่ยขึ้นด้วยเสียงแหบแห้งว่า "เจ้าวางใจเถอะ นางจะต้องไม่เป็นอะไร นางเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ พื้นฐานร่างกายของนางดีกว่าเจ้านัก อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ไม่ใช่จุดสำคัญ แต่แค่เหนื่อยล้าใช้แรงมากเกินไป พักสักหน่อยก็ไม่เป็นไรแล้ว"หยวนชิงเอนศีรษะของนางซบบนหมอน ตะแคงข้างมองเขา ร่องรอยเลือดฝาดปรากฏขึ้นบนใบหน้าขาวซีดของนางเล็กน้อย "ฉู่หมิงชุ่ยล่ะ?"เขายกนิ้วแตะริมฝีปากนาง แววตาพลันเ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 639

    ถังหยางได้ตรงมาที่จวนและได้พูดคุยกับท่านมหาเสนาบดีก่อน เมื่อได้ยินคำขอของอ๋องฉู่ ท่านมหาเสนาบดีก็เงยหน้าขึ้นมองถังหยางด้วยสายตามเฉียบคม "หากเขาต้องการเช่นนี้ ก็มีแต่สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อนเปล่า ๆ เจ้ากลับไปบอกเขาก่อนเกี่ยวกับเรื่องนี้ เรื่องนี้ข้ายังสามารถชะลอยับยั้งมันออกไปก่อนได้ และขุนนางในท้องพระโรงหรือเจ้ากรมอื่น ๆ ก็ยังไม่มีคนมาไล่ติดตามเรื่องนี้ แต่คนที่ควรตาย ย่อมสมควรต้องตายแล้ว"ถังหยางได้กระซิบถามขึ้นมาเบา ๆ "ท่านมหาเสนาบดี เรื่องนี้ท่านคิดว่าพระชายาฉีทำคนเดียวได้หรือไม่?"ท่านมหาเสนาบดีตกใจนิ่งไปเล็กน้อย และค่อย ๆ หรี่ตาลงด้วยท่าทางสง่างาม เปล่งบารมีน่าเกรงขาม “ข้าเข้าใจแล้ว เรียกคนพาตัวไปเถอะ”ถังหยางประสานมือคาวระและถอยกลับไปต่อมามีคนจากจวนจิงจ้าวพาตัวฉู่หมิงชุ่ยออกไปคุกในจวนจิงจ้าวทั้งมืดและชื้นฉู่หมิงชุ่ยได้รับการปฏิบัติอย่างดี ได้อยู่ห้องขังที่ค่อนข้างสว่าง เพราะโคมไฟในคุกทั้งหมดถูกวางอยู่ในรูเล็ก ๆ บนกำแพง และวางไม้สนขัดเรียบไว้เพื่อกระจายแสงสว่างแสงริบหรี่ตรงข้ามกับห้องขังของฉู่หมิงชุ่ยสะท้อนลงบนใบหน้าที่ซีดเซียวและว่างเปล่าของนางตั้งแต่นางเข้ามาในห

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 640

    พระชายาซุนนั่งลงข้างเขาอย่างเงียบ ๆ พิงศีรษะลงไหล่ที่หนาเต็มไปด้วยเนื้อของเขา หัวใจของยังคงเต้นระส่ำไปหมดอ๋องซุนยกแขนขึ้นกอดพระชายาเอาไว้ และพูดออกมาเบา ๆ ว่า "ไม่ต้องกลัว ทุกอย่างจบลงแล้ว ข้าอยู่ที่นี่แล้ว"อ๋องซุนมักเป็นฝ่ายที่ได้รับการปลอบโยนเสมอพระชายาซุนเป็นคนที่มีความรับผิดชอบสูง นางสามารถดูแลทุกอย่างในจวนได้ด้วยตัวเองตอนนี้นางทั้งกลัวและอ่อนแอ เมื่ออ๋องซุนพูดแบบนี้ออกมา ขอบตาของนางแดงก่ำไปหมด นางพูดด้วยเสียงขึ้นจมูกออกมา “อื้อ!""เจ้าห้าจะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปแน่ หากเรื่องนี้ขึ้นศาลเข้าสู่การพิจารณาคดี เจ้าก็แค่พูดไปตามจริง และไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับชื่อเสียงของจวนอ๋องซุน" อ๋องซุนพูดอย่างแผ่วเบา“ข้ารู้แล้ว” พระชายาซุนรู้สึกเสียใจต่อพวกบ่าว และคนรับใช้ที่ตายไป และยิ่งเกลียดฉู่หมิงชุ่ยเข้ากระดูกดำเรื่องราวในวังหลวงกลับตาลปัตรเพราะเรื่องนี้ หลังจากที่จักรพรรดิหมิงหยวนได้ยินเรื่องนี้แล้ว เขาก็รู้สึกมันเหลวไหลไร้สาระ ฉู่หมิงชุ่ยแค่คนเดียวเผาจวนอ๋องฉีได้หรือ? อีกทั้งยังทำร้ายคนตระกูลหยวนจนบาดเจ็บสาหัส และยังลักพาตัวพระชายาฉู่ได้อีก?ฟังดูแล้วเป็นเรื่องตลกเสียจริงแต่พวกคนที่

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 641

    เขาดูอ่อนโยนนุ่มนวล ไม่เหมือนกับที่คนอื่นบอกเลยว่าทั้งดุร้ายและโหดเหี้ยมนางจึงผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อยและไปนั่งด้วยกันอ๋องจี้เทเหล้าและหรี่ตาลง พร้อมยิ้มบาง ๆ ออกมา “เจ้าดื่มได้ไหม?”ฉู่หมิงหยางจัดชายเสื้อของนางเล็กน้อย เทียนสีแดงสะท้อนใบหน้าแดงก่ำ หางตาของนางก็แดงระเรื่อเล็กน้อย "ดื่มได้นิดหน่อยเพคะ"เขาจับมือนางและยิ้มออกมา ปลายนิ้วที่ลูบหลังมือของนาง แล้วพูดออกมาเบา ๆ ว่า "หลังจากดื่มเหล้าจอกนี้แล้ว จากนี้ไปเจ้าจะเป็นชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางกระพริบตา "ชายา?"อ๋องจี้ยิ้มด้วยสายตาเป็นประกาย "ใช่แล้ว ในใจข้า เจ้านั้นคือชายาของข้า"ฉู่หมิงหยางเงยหน้าขึ้นมองเขา กระพริบตาจนแพขนตาขยับปริบ ๆ นางหลุบตาลงด้วยใจที่เต้นระรัวเล็กน้อยหลังจากคล้องแขนแลกจอกเหล้าดื่มกันแล้ว แววตาของอ๋องจี้ก็หรี่มืดลง เขาอุ้มนางไว้ในอ้อมแขนแล้วเดินไปที่เตียงฉู่หมิงหยางฝังหน้าลงกับหน้าอกของเขา นางกำแขนเสื้อตัวเองแน่น และอยู่นิ่งไม่ขยับตัวนางถูกวางลงบนเตียงอย่างระมัดระวัง อ๋องจี้ก็ลูบแก้มของนางราวกับลูบสมบัติล้ำค่า ดวงตาของเขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความทะนุถนอมฉู่หมิงหยางเคยเห็นแววตาแบบนี้มาก่อน ในสายตาของอวี่เหวิ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 642

    ในเช้าวันรุ่งขึ้น อวี่เหวินห่าวและถังหยางกลับไปที่สำนักผู้ตรวจการ และนำพระราชโองการมาถึง สั่งให้กรมอาญาร่วมพิจารณาในคดีนี้ด้วย และเริ่มการพิจารณาคดีในช่วงบ่ายก่อนการสอบสวน เขาได้เรียกองค์รักษ์เงามาสอบถามก่อนเป็นการส่วนตัวองค์รักษ์เงาถูกส่งไปเพื่อปกป้องหยวนชิงหลิงตามพระบัญชาของไท่ซ่างหวง และพวกเขาจะไม่ปลีกตัวออกไปง่าย ๆ อย่างเด็ดขาดอย่างไรก็ตาม เหตุการณ์เพลิงไหม้ที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขารีบออกไปทันที ปล่อยให้หยวนชิงหลิงอยู่คนเดียว และต้องมีจุดประสงค์อย่างอื่นแอบแฝงอยู่แน่หลังจากได้สอบถามโดยละเอียด ก็ได้รู้ว่าองค์รักษ์เงามีรายงานลับเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา มีคนไปที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ ว่าต้องการหัวของอ๋องฉี และให้ค่าหัวราคาห้าหมื่นตำลึงแต่องค์รักษ์เงาไม่ได้ส่งรายงานลับกลับมา และความถูกต้องของเนื้อหานั้นก็ไม่แน่นอน ดังนั้นไท่ซ่างหวงจึงสั่งให้ผู้คนจับตาดูโรงเตี้ยมหมิงเยว่และสำนักมือสังหารอื่น ๆ สำหรับสาเหตุที่ต้องจับตามองที่โรงเตี้ยมหมิงเยว่ แทนที่จะเป็นจวนอ๋องฉี เป็นเพราะไท่ซ่างหวงเชื่อว่ารายงานลับเป็นเท็จ จุดประสงค์ที่แท้จริงอาจไม่ใช่อ๋องฉี แต่มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นตัวอ๋องฉู่ต่

บทล่าสุด

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1015

    ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1014

    อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1013

    เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1012

    พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ ​​หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1011

    มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1010

    หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1009

    ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1008

    หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว

  • ใต้หล้าสยบรัก   บทที่ 1007

    เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม

DMCA.com Protection Status