"อืม ข้ารู้สึกไม่เวียนหัวเท่าไหร่ ทานไปแล้วก็ไม่รู้สึกอยากอาเจียนไม่รู้ว่ามันคืออะไร ตอนนี้ฤดูใบไม้ร่วงแล้วก็ไม่รู้ว่ามะพร้าวมาจากไหน"เมืองหลวงตั้งอยู่ทางตอนเหนือ ในฤดูใบไม้ร่วงอากาศค่อนข้างหนาว ส่วนมะพร้าวอยู่ทางตอนใต้แต่ว่าตอนนี้แล้วใครจะสามารถเก็บรักษามะพร้าวไว้ได้?อวี่เหวินห่าวเอ่ย "ในวังสิ่งใดที่ต้องการแล้วไม่มี? ถึงไม่มีก็ขอให้คนส่งมาจากทางใต้ได้ องครักษ์เงาของเสด็จปู่นั้นน่าทึ่ง""องครักษ์เงา?""อืม องครักษ์เงาถูกก่อตั้งขึ้นสมัยเสด็จปู่ ครั้งหนึ่งมีชื่อว่าเชิงเว่ยเฟิงคอยสอดแนมข่าวในหมู่ประชาชนและขุนนางต่อมาหลังจากเสด็จพ่อขึ้นครองราชย์ องครักษ์เงาก็เสื่อมถอยลง เป็นผู้ที่คอยจัดการปัญหาให้เสด็จปู่"เป็นครั้งแรกที่หยวนชิงหลิงได้ยิน เธอจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยเห็นราชองครักษ์สวมชุดสีดำสนิททั้งชุด แต่ไม่รู้ว่าเป็นองครักษ์เงา"ข้าเกรงว่าจะคอยวิ่งเป็นธุระรายงานข่าวสารใช่หรือไม่? ข้าเห็นว่าข่าวของไท่ซ่างหวงนั้นว่องไวเป็นอย่างมาก เกรงว่าองครักษ์เงาเหล่านี้ยังคงสืบข่าวให้เขาอยู่” หยวนชิงหลิงกล่าวอวี่เหวินห่าวเอ่ย "ไม่แปลก ไม่มีอะไรน่าตกใจภายในราชวงศ์ ไม่มีอะไรที่จะสามารถหลบซ่อนจากเสด
หยวนชิงหลิงมองเขา “จัดการหมายความว่าอย่างไร?"อวี่เหวินห่าวเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นตอนไปจวนพระชายาจี้อย่างละเอียด รวมทั้งการลงโทษนางข้าหลวงที่อยู่ข้างกายพระชายาจี้ แต่กลับปกปิดเรื่องที่พระชายาจี้เอ่ยกับเขาตอนสุดท้ายไว้ คิดแล้วก็ยังไม่วางใจจึงเอ่ยกำชับ "ถ้าพระชายาจี้หรือผู้อื่นพูดยุยงเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา เจ้าไม่ต้องไม่เชื่อ"หยวนชิงหลิงยิ้มแล้วเอ่ย "ข้าไม่ใช่คนโง่ คิดว่าข้าแยกแยะถูกผิดไม่ได้รึ?"อวี่เหวินห่าวในใจลึก ๆ ก็ยังรู้สึกกังวลเขาและหยวนชิงหลิงมีความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น หลังจากที่นางรักษาอาการป่วยของไท่ซ่างหวง ในใจของนางจะคิดหรือไม่ว่าความจริงเขาอาจจะมีเจตนาอื่นเพราะความกังวลนี้ ความรู้สึกของอวี่เหวินห่าวจึงดิ่งลงเขาอยากได้ยินความจริงจากหยวนชิงหลิงแต่เขากลัวว่าจะทำให้ผู้อื่นคิดว่าเขาต้องการจะปกปิดซุปที่ได้รับจากเสด็จปู่ทำให้หยวนชิงหลิงมีชีวิตชีวาอยู่วันสองวันไม่อาเจียนและก็ทานได้นิดหน่อย ถึงบางครั้งจะรู้สึกคลื่นไส้บ้างแต่เมื่อเทียบกับแบบเดิม มันเป็นเรื่องที่ไม่น่าพูดถึงยิ่งกว่านั้นจากการวินิจฉัยของหมอหลวงนาง นางสามารถลุกออกจากเตียงและเดินในลานได้ทุกวันคือถ้า
"ท่านพี่อยากจะซื้อของที่ดีให้ แต่เขาไม่มีเงิน เงินเดือนที่ได้มาต้องคืนให้กงสี ทุกเดือนต้องแบ่งเงินที่หามาได้ ท่านก็รู้ ฮูหยินรองกำชับนักหนา เงินเดือนก็ไม่ได้มากมายอะไร" หยวนชิงผิงมุ่ยปาก"รู้สิ" หยวนชิงหลิงส่งป๋องแป๋งให้นางข้าหลวงสี่ "เก็บให้ดี"หยวนชิงผิงหยิบเสื้อผ้าชิ้นน้อยขึ้นมาอีกสองชิ้น สีน้ำเงินเข้ม ไม่มีลายปักสัมผัสนุ่มสบาย เอ่ยด้วยหน้าแดงเรื่อ "นี่ข้าเป็นคนทำ"หยวนชิงหลิงรับมันมาแล้วลูบมันด้วยมือไปมาแล้วยิ้ม "เจ้าทำรึ? สวยมากจริง ๆ"นางข้าหลวงฉียิ้มแล้วกล่าว "คุณหนูรองช่างอ่อนหวานนัก เสื้อผ้านี้ทำได้สวยงามนักจน ทำให้ใจคนมองรู้สึกอ่อนนุ่มขึ้นในคราวเดียว”หยวนชิงผิงเอ่ยด้วยความเขินอาย "ข้าทำในฐานะน้า และก็ไม่ได้มีของดี ๆ มามอบให้เขา ดังนั้นจึงทำเสื้อผ้าตัวน้อยสองชิ้นนี้ขึ้น รอให้เขาเกิดออกมาแล้วข้าจะทำอีก"หยวนชิงผิงเป็นคนที่กังวลอยู่เสมอ หยวนชิงหลิงไม่ได้คาดหวังว่าฝีมือการตัดเย็บของนางจะดีมาก กู้ซีเด็กคนนั้นถ้าจะแต่งงานกับนางก็จะต้องมีความสุขมากแน่พูดถึงกู้ซี หยวนชิงหลิงสั่งให้คนด้านในออกไป และปล่อยให้สองคนพี่น้องได้พูดคุยกัน"การแต่งงานของเจ้าจะเป็นไปเยี่ยงไร? หยวนชิงห
หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกสถานการณ์ที่น่าอึดอัดของจวนเสนาบดีในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาจวนเสนาบดีไม่ได้มีคนที่มีอำนาจออกมาเลย ท่านพ่อยังคงดำรงตำแหน่งเป็นรองผู้ช่วยเจ้ากรม ใช้เงินไปไม่น้อย ทุกครั้งที่มีการประเมินในกรม ล้วนต้องฝากฝังให้คนในใช้เส้นสาย มิเช่นนั้นก็คงถูกไล่ออกไปนานแล้วเมื่อต้นปีฮ่องเต้ทรงได้วิพากษ์วิจารณ์ถึงขุนนางบางคนในสำนักผู้ตรวจการ ทรงกล่าวถึงเกี่ยวกับขุนนางบางคน ที่เข้ารับตำแหน่งโดยไม่มีความสามารถใด นั่งกินนอนกินไม่ทำอะไร การประเมินในปีนี้ก็จะทำการคัดคนพวกนี้ออกไปเสนาบดีจิ้งย่อมรู้ได้ทันทีว่าหมายถึงตัวเอง เขาเองก็รู้ตัวเองว่าเป็นคนจำพวกนั้นคนที่จิตใจสูงยิ่งกว่าฟ้า แต่ตัวคนนั้นเบาบางยิ่งกว่ากระดาษ เขานั้นมักถอนหายใจอยู่เสมอ ที่จริงแล้วในใจเขานั้นรู้แจ้งเห็นชัดที่สุด เขาเองนั้นก็ไร้ความสามารถตัวเองก็ไม่มีความสามารถใด ๆ ไปประจบประแจง จึงทำได้แค่เพียงส่งลูกสาวแต่งงานเพื่อผูกสัมพันธ์กับพวกขุนนางในราชสำนัก เพื่อทำให้ตำแหน่งของตัวเองมั่นคงเท่านั้นเขามักแสวงหาไขว่คว้าตำแหน่งอาลักษณ์ของราชสำนัก แต่ทว่าที่จริงในใจเขากลับรู้ดี แค่ยังสามารถปกป้องตำแหน่งรองผู้ช่วยเจ้ากรมของตัวเ
นางข้าหลวงสี่ที่ยกน้ำลูกบ๊วยเข้ามา หยวนชิงหลิงเองก็รู้สึกคอแห้งกระหายน้ำ จึงดื่มในอึดใจเดียวหมดไปแล้วครึ่งถ้วยเล็ก รสชาติเปรี้ยวทำให้ท้องของนางรู้สึกสบายขึ้นมาทันที“ทำไมข้าถึงชอบกินเปรี้ยวจัง?” หยวนชิงหลิงพูดอย่างยิ้มแย้มนางข้าหลวงสี่เองก็ยิ้ม “ชอบกินเปรี้ยวได้ลูกชาย กินเผ็ดได้ลูกสาว ท้องนี้ต้องเป็นลูกชายแน่เพคะ”หยวนชิงหลิงยิ้ม “จะลูกชายก็ดี ลูกสาวก็ดี ไม่เป็นไรทั้งนั้น ขอแค่ปลอดภัยก็ดีแล้ว”“ใช่เพคะ แค่ปลอดภัยก็ดีแล้ว”ผ่านไปสักครู่ ก็พบหยวนชิงผิงพาแม่นางน้อยหน้ากลมท่าทางน่ารักเข้ามานางหลบอยู่ข้างหลังหยวนชิงผิงอย่างกลัว ๆ แววตาชำเลืองมองดูและหลบสายตากล้า ๆ กลัว ๆ เหมือนกระต่ายตัวน้อย“คำนับพระชายาเพคะ!” เสี่ยวหลานก้าวไปข้างหน้า ย่อตัวคำนับอย่างขลาดกลัวหยวนชิงหลิงยิ้มแย้ม “เสี่ยวหลาน ทำไมมากพิธีกับข้าเช่นนั้นล่ะ? รีบนั่งเถอะ!”กับแม่นางคนนี้ นางมีความทรงจำและความรู้สึก เห็นได้ชัดว่าเจ้าของร่างเดิมก็รู้สึกชอบแม่นางคนนี้เสี่ยวหลานมองเห็นใบหน้าอบอุ่นอ่อนโยนของหยวนขิงหลิง ทันใดนั้นนางก็ยิ้มออกมาเผยให้เห็นฟันเขี้ยวสองซี่ ดูน่ารักเป็นพิเศษ“พี่หลิง!” เสี่ยวหลานตะโกนเรียกหยวน
หยวนชิงหลิงซบลงบนไหล่ของเข้าอย่างไร้เรี่ยวแรง “อย่าไปนะ อยู่ที่เป็นเพื่อนข้า”“อ้อนหรือ?” อวี่เหวินห่าวลูบผมนางและหอมแก้มนางอย่างทะนุถนอม หยวนชิงหลิงหลับตาลง แล้วนึกถึงความคิดที่ไม่อยากมีลูกปรากฏขึ้นมาในหัว “ที่ผ่านมาข้าคิดว่า พวกเราคงจะอยู่ด้วยกันแบบ บนโลกใบนี้มีแค่เราสองคนไปอีกหลายปี คิดไม่ถึงเรียกว่าจะมีมาเพิ่มอีกคนเร็วขนาดนี้”“โลกใบนี้มีแค่เราสองคน? โลกใบนี้มีแค่เราสองคนคืออะไร?” อวี่เหวินห่าวมองนางอย่างสงสัย“ก็มีแค่ข้ากับท่านไง?”“จวนอ๋องไม่มีแค่เจ้ากับข้าหรอก ยังมีคนอีกตั้งเยอะ”หยวนชิงหลิงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเซ่อซ่าของเขาแล้วก็หลับตาลง ช่างเถอะ อย่าอธิบายเลยมื้อเย็นกินไม่ลง แต่ว่าโชคดีที่ว่าช่วงประมาณสามทุ่ม ขันทีชางเข้ามาส่งน้ำแกงด้วยตัวเอง รสชาติเหมือนครั้งก่อนไม่มีผิด หลังจากที่หยวนชิงหลิงดื่มลงไปแล้ว ก็รู้สึกสบายขึ้นมา อวี่เหวินห่าวอดไม่ได้ที่ถามขันทีชาง “นี่มันคืออะไรกัน? เขียนให้สูตรข้าไม่ได้หรือ?”ขันทีชางกล่าว “คงจะไม่เพียงพอ แต่ว่าสิ่งที่เห็นผลเร็วย่อมมีอันตรายบางอย่าง ไท่ซ่างหวงเพียงแค่อดไม่ได้ที่พระชายาไม่สบาย ตราบเท่าที่นางยังสามารถทนได้ ก็ไม่มีความจำเป
“อย่าแกล้งกันสิ ดึกดื่นขนาดนี้แล้ว ข้าไม่อยากไปอาบน้ำเย็นนะ”“คำพูดของหมอหลวงต้องจดจำเอาไว้” อวี่เหวินห่าวนอนลง ค่อยๆปรับลมหายใจช้า ๆ แล้วสะกดจิตปรับความคิดตัวเองว่าคนที่อยู่ข้างกายตัวเองนั้น นางปีศาจที่แสนเย้ายวน แตะต้องไม่ได้ จัดการก็ไม่ได้ด้วย “อามิตตาพุทธ!”เดิมทีหยวนชิงหลิงคิดจะหยอกเขาเล่นเท่านั้น เห็นว่าเขาเป็นแบบนี้ช่างน่าขันเสียจริง ๆ ริมฝีปากก็ขยับขึ้น ๆ ลง ๆ“อามิตตาพุทธ!” คำพูดที่ฟังดูไม่ชัดที่หลุดลอดออกมาจากริมฝีปากของเขา สายตาของเขาล้ำลึกขึ้นอย่างกะทันหัน มือที่ค่อย ๆ กอดแผ่นหลังของนางเอาไว้หลังความพยายามหนึ่งถ้วยชาผ่านไป หยวนชิงหลิงยิ้มและนอนลงพูดอย่างเคร่งขรึม “อย่าแตะต้องข้านะ ระหว่ากลางของพวกเรามีเส้นแบ่งเขตแดนอยู่ อามิตตาพุทธ”อวี่เหวินห่าวพูดไปบ่นไปและลุกขึ้นมา หยิบเสื้อผ้าสองชิ้นขึ้นแล้วสวมรองเท้าเตะเท้าตึงตังออกไป“นายท่านจะไปอาบน้ำเย็นอีกแล้วหรือ?” ซูยี่ที่เฝ้ายามอยู่ด้านนอกตอนกลางคืนแบบนี้จนถึงช่วงห้าทุ่มจึงจะกลับไปพักผ่อนได้ ดังนั้นจึงชินกับสถานการณ์นี้“ยุ่ง!” อวี่เหวินห่าวเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองเลยด้วยซ้ำซูยี่ยักไหล่ “หาคนมาปรนิบัติรับใช้ให้ท่านส
อวี่เหวินห่าวโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ แต่ได้ยินน้องสะใภ้ที่พูดอย่างโกรธเกรี้ยวเช่นนี้ นางคงไม่ใช่คนสอนแน่เสียงตะโกนดังโวกเวกเสียขนาดนี้ ย่อมทำให้หยวนชิงหลิงตื่นเป็นธรรมดานางข้าหลวงสี่ประคองนางออกมา นางสวมเสื้อคลุมยาวลากพื้น เพราะเดินไปอย่างรีบร้อน ก้าวประคองกันไปจนร่างดูโดดเด่นคล้ายนกเพนกวินยังไงอย่างงั้น“เกิดอะไรขึ้น?” นางก้าวไปข้างหน้า มองเสี่ยวหลานและหันไปมองใบหน้าโกรธเกรี้ยวของอวี่เหวินห่าว หยวนชิงผิงพูดเรียกร้องความเป็นธรรม “พี่ใหญ่ ไม่คิดเลยว่าท่านอ๋องจะทำเสี่ยวหลาน… เขาทำแบบนั้นได้ยังไง?”อวี่เหวินห่าวที่โกรธจนไม่รู้จะโกรธยังไงแล้วพูดอย่างโกรธแค้นว่า “ข้าอยู่ที่สระผี จู่ ๆ นางก็เข้ามากอดข้าจากด้านหลัง ข้าแค่ลากนางออกมาเท่านั้น”หยวนชิงผิงตกใจมาก “พูดเหลวไหล...”แต่ว่านางหยุดคำที่จะพูดออกมาทันที และหันไปมองเสี่ยวหลาน “เจ้าบอกว่าเจ้าออกไปเดินเล่น ไปเดินเล่นที่ไหน?”แต่ว่า ไม่นะ นางเชื่อใจเสี่ยวหลาน นางออกจะใสซื่อปานนั้นแท้ ๆเสี่ยวหลานที่คุกเข่าอยู่ตรงนั้นพักหนึ่ง ร้องไห้ฟูมฟายออกมา ร้องไห้ออกมาอย่างโศกเศร้า และสิ้นหวัง ไม่มีคำแก้ตัวอธิบายใด ๆ ในตอนนั้นหยวนชิงผิงไม่รู้ข้อเ
ซูยี่อยู่ในห้องของสุนัขป่าเช่นกัน เมื่อเห็นอวี่เหวินห่าวและหยวนชิงหลิงเข้ามา เขาพูดอย่างกังวล "องค์รัชทายาท พระชายา นายน้อยสุนัขป่าไม่กินอะไรเลย หาหมอหลวงดีไหมพ่ะย่ะค่ะ?"อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "เขารักษาอาการป่วยของสุนัขป่าไม่ได้ จะพาเขาไปทำไม?"เขาดูสุนัขป่าน้อยสามตัวนอนอยู่บนเตียงเล็ก ร่างเล็ก ๆ ของพวกมันเบียดเสียดกัน ดูเซื่องซึม บางทีอาจเป็นเพราะพวกมันไม่ได้กินอะไรจึงดูอ่อนแอและซูบผอมเป็นพิเศษ อวี่เหวินห่าวพูดด้วยความประหลาดใจว่า "ผอมลงมากขนาดนี้เลยรึ? สุนัขป่าคงหิวมากแน่ ๆ""สุนัขป่าที่โตเต็มวัย เวลาหิวนั้นกินอาหารหนึ่งมื้อสามารถอยู่ได้นานถึงครึ่งเดือน ตอนนี้พวกมันยังเด็กและต้องกินเนื้อ" ซูยี่เลี้ยงสุนัขป่า และได้ศึกษาการเลี้ยงมามากมายอวี่เหวินห่าวหยิบหนึ่งในนั้นขึ้นมา เห็นสุนัขป่าหิมะตัวน้อยนอนนิ่งอยู่ในมือของเขาเหมือนก้อนสำลีเบาหวิวไม่มีน้ำหนัก "ตัวนี้ของใครกัน?""ของเสี่ยวลั่วหมี่" หยวนชิงหลิงกล่าว "ตัวเล็กที่สุดคือของเสี่ยวลั่วหมี่ ท่านดูสิแยกออกได้เลยเห็นไหม ของ เปาจื่อปากจะแหลมมาก ของทังหยวนก็หน้ากลมกว่า มันแปลกที่จะบอกว่าสุนัขป่าพวกนี้ ทั้งลักษณะนิสัยหรือรูปร่างหน้าตา พว
อวี่เหวินห่าวไม่ได้อธิบายอะไรแทนจิ้งถิง เขาแค่พูดว่า "เขาจะอยู่ในจวนสักพัก ดังนั้นเจ้าควรเปิดตาของเจ้าดูสิว่าเขาจริงใจหรือเสเเสร้ง เจ้าฉลาดมากขนาดนี้ ย่อมต้องดูออกอยู่แล้ว”หยวนชิงหลิงได้ยินถึงความไม่พอใจในน้ำเสียงของเขา ดูเหมือนว่าเขาใส่ใจมิตรภาพนี้จริง ๆหยวนชิงหลิงลองคิดดูแล้ว หลังจากใช้เวลาร่วมกับจวิ้นจู่มาสองสามวัน จวิ้นจู่ก็เป็นคนตรงไปตรงมาและเปิดเผย ดังนั้นนางคงไม่หาสามีที่มีจิตใจล้ำลึกซับซ้อนหรอกนางจึงขอโทษเขา "ข้าคิดมากไป ในอนาคตข้าจะไม่พูดอะไรแบบนี้อีก"อวี่เหวินห่าวเอื้อมมือไปเชยคางนาง และมองหน้านาง "เหล่าหยวน ข้าเองก็เห็นว่านิสัยของเจ้าช่างเถรตรงจริง ๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะดุร้าย เผด็จการ และไม่มีเหตุผล แต่ถ้าเจ้าทำอะไรผิด เจ้าจะต้องขอโทษอย่างแน่นอน เกรงว่าแม้จะเป็นคนรับใช้ก็ยังกล่าวคำขอโทษได้ เจ้านี่นิสัยดี ใช้ได้จริง ๆ"“ข้าเป็นคนไร้เหตุผลตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” หยวนชิงหลิงหัวเราะ “ท่านจะชมข้าก็ชมสิ ทำไมต้องดุกันก่อน”อวี่เหวินห่าวหัวเราะ "รางวัลและบทลงโทษต้องแยกให้ออกจากกันอย่างชัดเจน หากเจ้าทำสิ่งที่ถูกต้อง เจ้าควรได้รับคำชมเชย หากเจ้าทำอะไรผิด ก็ต้องบอกกล่าวตักเตือ
เขากลับมาที่จวนอย่างไม่สบอารมณ์ หยวนชิงหลิงเห็นว่าเขาขมวดคิ้ว นางรู้ว่าเป็นเพราะเรื่องลงนามพันธมิตรอีกเป็นแน่ ดังนั้นนางจึงปลอบเขาอวี่เหวินห่าวพูดด้วยความโกรธ "เสด็จพ่อจงใจทำให้ข้าลำบาก จูกั๋วกงเห็นด้วยหรือไม่นั้นเป็นเรื่องสำคัญขนาดนั้นเลยรึอย่างไร?"หยวนชิงหลิงหัวเราะ "ท่านอยู่ในเกมและกังวลเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเกินไป จึงไม่เข้าใจความหมายของเสด็จพ่อ เสด็จพ่อต้องการให้ท่านเอาแรงสนับสนุนจากจูกั๋วกงมาให้ได้ ไม่ใช่แค่แรงสนับสนุนเรื่องนี้เท่านั้น แต่มันจะเป็นแรงสนับสนุนงานในอนาคตทั้งหมดของท่าน เพราะตอนนี้เขาเป็นคนที่สามารถปราบปรามตี้เว่ยหมิงอย่างออกหน้าได้ นั้นก็คือตัวเขาที่เป็นพ่อตา”อวี่เหวินห่าวตกตะลึงไปครู่หนึ่ง "เจ้าหมายความว่า เสด็จพ่อก็มองตี้เว่ยหมิงออกด้วยหรือ?"หยวนชิงหลิงยืนพิงเขา "เสด็จพ่อย่อมต้องรู้มากกว่าท่านอยู่แล้ว เหมือนที่ท่านเคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าพระองค์ลำเอียงเข้าข้างพี่ใหญ่เสมอ จริง ๆ แล้วพระองค์ทรงรู้อยู่แก่ใจ พระองค์แค่ให้โอกาสพี่ใหญ่เสมอ แต่เมื่อเจอโอกาสที่เหมาะสม ก็ควรจัดการไม่ใช่หรอกหรือ? ความคิดของพระองค์ชัดเจนอยู่แล้ว ดังนั้นจงทำตามที่พระองค์ต้องการเถอะ จัดก
พระชายาจี้พูดจบก็กลับไปนั่งลงบนเก้าอี้เก้าอี้ที่นางนั่งนั้นใหญ่มาก แต่นางผอมมากเนื่องจากป่วยมาเป็นเวลานาน เก้าอี้นั้นยังมีพื้นที่เหลืออีกมาก ผู้หญิงตัวเล็ก ๆ คนนั้นนั่งบนเก้าอี้กว้างตัวใหญ่ประจัญหน้ากับพวกขุนนางกว่าสิบคนที่อยู่ตรงนั้นแม่ทัพซุยไม่กล้าพูดอะไรอีกต่อไป ความโกรธบนใบหน้าของเขาก็ค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความหวาดกลัวคนที่เหลือก็เงียบและก้มหน้าเช่นกันพระชายาจี้รออยู่สักพัก ก่อนที่จะกล่าวอย่างใจเย็นว่า "องค์รัชทายาทคือผู้กำหนดชะตา ถ้าเจ้าปฏิบัติตามให้ดี เจ้าจะมีชีวิตอยู่อย่างมั่งคั่งและมั่งคั่งในภายภาคหน้า วันนี้ข้าพูดได้เพียงเท่านี้ ทุกคนไปเถอะ รักษาตัวด้วย"หลังจากพูดจบ นางก็ยืนขึ้น และเดินออกไปโดยเอามือไพล่หลัง แผ่นหลังบาง ๆ ของนางตั้งตรงดูยิ่งใหญ่ราวกับว่าสามารถแบกท้องฟ้าได้ครึ่งหนึ่งแรงสนับสนุนของอวี่เหวินห่าวสูงขึ้นเรื่อย ๆอย่างไรก็ตาม มีคน ๆ หนึ่งที่มีความคิดเห็นเป็นปฏิปักษ์อยู่เสมอ ถึงกับตำหนิเขาตรง ๆ ต่อหน้าท้องพระโรงทำให้บรรยากาศของวันนั้นแย่เป็นอย่างยิ่ง แม้แต่จักรพรรดิหมิงหยวนก็ยังกริ้วจนหน้าดำจูกั๋วกงคนนี้คือ จูหรูเพ่ย เป็นพ่อตาของตี้เว่ยหมิงเมื่อก่อน
มีแม่ทัพแซ่ซุยอยู่ที่นี่ ซึ่งเคยอยู่กับตี้เว่ยหมิงมาก่อน และตี้เว่ยหมิงได้ติดต่อเขาแล้ว เมื่อได้ยินสิ่งที่พระชายาจี้พูด เขาพูดอย่างเฉยเมยว่า "ข้อเสนอขององค์รัชทายาทที่จะจัดตั้งพันธมิตรกับต้าโจว ไม่ต่างอะไรไปกว่าการกระทำของคนขี้ขลาด คิดว่าด้วยการสนับสนุนของต้าโจว เป่ยถังของเราจะสามารถดำรงอยู่ได้อย่างสงบสุขรึ และเช่นกันด้วยวิธีนี้ เป่ยถังของเราจะต้องมองสีหน้าท่าทีของต้าโจวในทุก ๆ เรื่องงั้นหรือ? นี่คิดว่ามันคงไม่เหมาะกระมั่ง”พระชายาจี้มองเขา น้ำเสียงของนางเย็นชาเล็กน้อย “แม่ทัพซุย แม้ว่าข้าจะเป็นผู้หญิง แต่ข้าก็รู้ด้วยว่าสิ่งที่องค์รัชทายาทเสนอเป็นพันธมิตร มิใช่การยอมจำนน ทำไมเจ้าต้องสังเกตสีหน้าท่าทางต้าโจวทุกอย่างด้วย?”แม่ทัพซุยพูดอย่างแข็งกร้าว "พระชายาคงไม่เข้าใจสินะ? เมื่อพันธมิตรถูกจัดตั้งขึ้น ก็จะมีข้อจำกัดซึ่งกันและกัน ข้อจำกัดทางทหารไม่ใช่เรื่องที่ดี"พระชายาจี้ถึงกับขำ แววตาของนางดูเย็นชาขึ้นมา "จริงหรือ? แล้วทำไมข้าถึงได้ยินว่าสนธิสัญญานี้หมายถึงการไม่รุกรานกัน? หรือว่าแม่ทัพซุยมีความคิดที่จะรุกรานแคว้นอื่น"แม่ทัพซุยตกตะลึง "นี่...ข้าย่อมไม่มีอยู่แล้ว"“ในเมื่อไม่มี เจ
หยวนชิงหลิงไม่สบายใจ อย่างไรก็ตาม เสี่ยวลั่วหมี่ยังมีไข้อยู่นางยิ้มและพูดว่า "เสด็จย่า พวกเขาอาจจะงอแง เกรงว่าจะทำให้พระองค์ทรงเหนื่อยได้เพคะ"ไทเฮาทรงมีสีพระพักตร์นิ่งเฉย และตรัสอย่างไม่พอใจว่า “เกรงว่าคนแก่อย่างข้าจะอ่อนล้า หรือไม่วางใจให้ข้าดูแลพวกเขากัน? กลัวว่าพวกเขาอยู่กับข้าแล้วจะดูแลไม่ดี ไม่มีนมให้กินอย่างนั้นรึ” หยวนชิงหลิงยิ้มและพูดว่า "ดูพระองค์พูดสิเพคะ พระองค์จะปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างเลวร้ายได้อย่างไร? พระองค์ออกจะรักเหมือนเป็นหัวแก้วหัวแหวน... "“บุ้ย ๆ ๆ หัวแก้วหัวแหวนอะไรกัน ไม่ใช่ลูกสาวสักหน่อย แต่เป็นทองคำต่างหาก ทองคำของข้า” ไทเฮาทรงตรัสแปลก ๆ ขณะอุ้มเสี่ยวลั่วหมี่ไว้นางเงยหน้าขึ้นและมองไปที่หยวนชิงหลิงและพูดอย่างเย็นชาว่า "อย่าพูดไร้สาระ แค่อยู่ในวังสักสองสามวัน ไว้หายดีแล้วค่อยให้เจ้ามารับไป หากยังกังวลใจ ให้ไปหาไท่ซ่างหวงให้รับรองให้เจ้าเถอะ”หยวนชิงหลิงได้ยินว่านางถึงกับยกไท่ซ่างหวงออกมาแบบนี้ นางจะกล้าปฏิเสธได้อย่างไร นางจึงจำใจต้องส่งลูกที่เพิ่งครบเดือนให้ห่างอกนางเท่านั้นอย่างไรก็ตาม เมื่อนึกถึงเรื่องการจัดตั้งโรงเรียนแพทย์ ทุกวันนี้นางก็แทบไม่มีเวลา
ในเมื่อเสด็จพ่อเห็นด้วย จะให้เขามาหารือกับเหล่าขุนนางเพื่อเรียกแรงสนับสนุน แล้วทำไมเขาต้องไปหาเสียงเห็นชอบด้วยจักรพรรดิหมิงหยวนมองเขาอย่างแฝงความนัย เขายังเด็กเกินไปจริง ๆ "ไปซะ"อวี่เหวินห่าวออกไปคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ และทันใดนั้นก็ตระหนักได้ว่า มันยังเป็นความเคลื่อนไหวอันเฉียบแหลมของเสด็จพ่อ ที่ไม่ได้แสดงจุดยืนของพระองค์ออกมา และเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของเหล่าขุนนางอย่างเงียบ ๆ หากพระองค์แสดงจุดยืนออกมา หลายคนจะเอียนเอียงคล้อยตามพระองค์ทันที ถ้าพระองค์ไม่พูดอะไร พระองค์ก็จะรู้ความคิดทุกคนจริง ๆ ว่าใครอยู่ข้างตี้เว่ยหมิงอย่างไรก็ตาม หลังจากที่เขาจากไป จักรพรรดิหมิงหยวนก็คิดว่าเรื่องนี้มีข้อดีมากมาย แต่ก็มีข้อเสียเล็ก ๆ น้อย ๆ ด้วยเช่นกัน เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้นักประวัติศาสตร์ในอนาคตเขียนส่งเดชให้เขาเป็นแพะรับบาป การแสร้งทำเป็นบีบบังคับให้ทำในสิ่งที่ไม่น่าทำได้น่าจะเป็นการดีกว่าเขากำลังกินหมานโถ่วและกังวลใจเกี่ยวกับเสี่ยวลั่วหมี่วันนี้เสี่ยวลั่วหมี่มีไข้ อันที่จริงไม่ใช่แค่เสี่ยวลั่วหมี่ แต่เด็กทั้งสามคนมีอาการไอเล็กน้อยเพียงแต่ร่างกายของเสี่ยวลั่วหมี่นั้นไม่ค่อยแข็งแรง เขาจึงมี
หลังจากเลิกว่าราชกิจแล้ว อวี่เหวินห่าวก็ไม่ย่อมไม่พอใจ ดังนั้นเขาจึงไปหอตำราหลวงหาจักรพรรดิหมิงหยวนจักรพรรดิหมิงหยวนมักจะกินอาหารเช้าหลังจากเลิกว่าราชกิจในยามเช้า มีโจ๊กและหมานโถ่วอยู่ในห้องทำงานของจักรพรรดิ หลังจากกินโจ๊กชามหนึ่ง ก็พูดอย่างเรียบเฉยว่า"เป็นเพราะความสัมพันธ์ระหว่าเจ้ากับแม่ทัพเฉินแห่งต้าโจว? ถึงเป็นเหตุผลให้เจ้าวิ่งเต้นขนาดนี้?”อวี่เหวินห่าวไม่ได้กินอาหารเช้าเช่นกัน และตอนนี้เขาหิวมาก เมื่อเห็นว่าเขาหยุดกินโจ๊กแล้ว เขาคิดว่าเขาไม่เอาหมานโถ่วแล้ว จึงเอื้อมมือไปหยิบหมานโถ่ว “ไม่ใช่พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อม..."จักรพรรดิหมิงหยวนหยิบตะเกียบขึ้นมาและชี้ไปที่เขา "วางลงซะ!"อวี่เหวินห่าวถึงกับอ้าปากค้าง เมื่อเห็นสายตาพ่อตัวเองเป็นประกายเช่นนั้น เขาแอบบ่นว่าขี้งกและวางหมานโถ่วกลับที่เดิมจักรพรรดิหมิงหยวนหยิบหมานโถ่วขึ้นมาเช็ด จากนั้นค่อย ๆ ปอกลอกเปลือกนอกออกและกินมัน โดยทิ้งอวี่เหวินห่าวที่อยู่ข้าง ๆอวี่เหวินห่าวพูดอย่างเศร้าใจ "กระหม่อมก็หิวเหมือนกัน เมื่อเช้านี้ตื่นมา แม่นมบอกว่าเสี่ยวลั่วหมี่ตัวร้อนเล็กน้อย กระหม่อมจึงรีบไปดูก่อน ไม่ได้สนใจที่จะกินอาหารเช้า"เมื่อได้ยินว
เขาพูดเสียงดังในท้องพระโรง "เป่ยโม่และเสียนเป่ยเป็นดั่งหมาป่าทะเยอทะยาน พวกเขาจับตามองเป่ยถังมานานแล้ว แต่เป็นเพราะทหารม้าที่แข็งแกร่งของเป่ยถั งและเหล่ายอดนักรบจึงขับไล่พวกเขากลับไปได้เป็นการชั่วคราว แต่ไม่มีอะไรมารับประกันได้ว่าพวกเขาจะไม่กลับมารุกรานอีกตอนนี้ต้าโจวได้พัฒนาอาวุธและรถออกศึกได้ หากทั้งสองแคว้นเป็นพันธมิตรกัน ต้าโจวสามารถช่วยเป่ยถังปรับปรุงอาวุธและยุทโทปกรณ์ ซึ่งสามารถเสริมสร้างการป้องกันทางทหารของเป่ยถังได้ และร่วมกับการพัฒนาเศรษฐกิจ นี่เป็นประโยชน์ระยะยาวสำหรับเป่ยถัง รัชทายาททรงมีพระวินิจฉัยที่ลึกซึ้ง นั่นเป็นผลดีต่อราษฏร และเขายังคิดถึงระยะยาวสำหรับเป่ยถัง ส่วนแม่ทัพตี้เว่ยหมิงที่เจตนาพูดจาให้คนอื่นตกใจนั้นก็มีส่วนต้องรับผิดชอบด้วย ว่าไปแล้วเป่ยถังไม่ได้ไปรุกรานโม่เป่ยกับเสียนเป่ย หากพวกเขาไปรุกรานต้าโจว มีหรือจะปล่อยเป่ยถังไว้? หรือถึงตอนนั้นต้องยกแคว้นให้เพื่อสงบศึกกัน? "ในตอนนั้นเป่ยถังพ่ายแพ้ให้กับเป่ยโม่ ถูกทหารสามหมื่นนายล้อมไว้ ในท้ายที่สุด แม่ทัพตี้เว่ยหมิงถูกส่งไปเจรจาสงบศึก ยกเมืองที่เป่ยโม่ต้องการถึงจะยอมถอยทัพนี่เป็นความอัปยศอดสูของเป่ยถังเสมอ และม