ตอนที่
[1] ตายอย่างสงบ (?) ว่ากันว่าในวาระสุดท้ายของชีวิต คนเรามักอยากจะทำในสิ่งที่ตนเองชื่นชอบมากที่สุดเป็นครั้งสุดท้ายเพราะเดี๋ยวต่อไปก็จะไม่ได้ทำอีกแล้ว เฉกเช่นเดียวกันกับหญิงสาวใบหน้าซีดเซียวที่กึ่งนั่งกึ่งนอนบนเตียงผู้ป่วยในห้องพักพิเศษของโรงพยาบาลสุดหรูที่ไม่ต่างจากห้องพักในโรงแรมหกดาวมากนัก ในมือของเธอถือหนังสือนิยายเล่มหนึ่งที่ดูก็สามารถรู้ได้ว่าเธอได้อ่านมาถึงช่วงตอนสุดท้ายของเนื้อหาแล้ว มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่ไม่นานหลังจากนั้นมือบางที่จับหนังสือเอาไว้จะไร้เรี่ยวแรงปล่อยหนังสือทั้งเล่มร่วงหล่นลงพื้นไปทั้งอย่างนั้น อนิจจายามนี้ ญิชชา สาวน้อยวัย 20 ปีที่รอบกายของเธอรายล้อมไปด้วยหนังสือนิยายที่ชอบอ่านได้จากไปอย่างสงบเสียแล้ว…….. . . . . สงบกับผีอะไรล่ะ!! ด้วยเนื้อหาตอนจบของนิยายเรื่องล่าสุดที่อ่าน โดยเฉพาะบทบาทและจุดจบของนางร้ายมันทำให้เธอของขึ้นอย่างถึงที่สุด!! โง่แบบนางร้ายราคาถูก โหยหาความรักที่ไม่มีวันเป็นไปได้ หนำซ้ำยังคิดแบบที่มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะคิดได้ ด้วยอินกับเนื้อหาในนิยายมากทำให้ณิชชารู้ตัวอีกทีเลือดลมก็ตีขึ้นจนไม่นานสัญญาณชีพก็กลายเป็นเส้นตรงไปเสียแล้ว นอนติดเตียงมาหลายปีพอบทจะตายกลับตายจากนิยายเรื่องหนึ่ง!! นี่มันใช้ได้ที่ไหนกัน!! และมันเรียกได้ว่าสงบจริงหรือ? เดี๋ยวถ้าเธอได้เจอนางร้ายที่ชื่อว่า ซูซีหลิน ในปรโลก แม่จะวีนไม่ให้ได้ไปผุดไปเกิดเลย!! โทษฐานร้ายแบบโง่ ๆ จนตัวตาย หากคิดในทางเป็นจริงแล้ว ณิชชานั้นไม่มีทางที่จะได้พบกับ ซูซีหลินเลยแม้แต่น้อย เพราะอีกฝ่ายเป็นเพียงบทบาทหนึ่งในนิยายเรื่อง คุณหนูอันดับหนึ่งของหลิวหยวน เท่านั้น แต่ผู้ใดจะคาดคิดว่าระหว่างที่ณิชชากำลังล่องลอยไปตามเส้นทางที่มีผู้คนมากมายที่กำลังล่องลอยไปในทิศทางนั้นเช่นกัน เธอจะได้พบกับหญิงสาวที่อยู่ในชุดคล้ายจีนโบราณผู้หนึ่ง เธอคนนั้นมีใบหน้าซีดเซียวและดูอมทุกข์เป็นอย่างมาก ดูแล้วน่าสงสารเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเป็นคนอัธยาศัยดีมาก่อน แม้ว่าจะอยู่ในโลกหลังความตาย ณิชชาไม่รอช้าที่จะลอยเข้าไปพูดคุยกับหญิงสาวคนนั้น ใบหน้าฉีกยิ้มเต็มที่เพื่อเป็นการบอกอีกฝ่ายว่า เรามาอย่างเป็นมิตรนะ แต่ทว่า….ทันทีที่ญิชชารู้ว่าหญิงสาวคนนี้ชื่อว่าอะไรและตายยังไง ใบหน้าที่เป็นมิตรก็แปรเปลี่ยนเป็นโกรธเกรี้ยว หนำซ้ำยังเอามือเท้าสะเอวพร้อมระเบิดอารมณ์อย่างเต็มที่ทันที “อยากเจอตัวอยู่พอดี เกิดเป็นคนทำไมถึงได้โง่แบบนั้น แผนอะไรของเธอ แล้วคนนั้นมันมีอะไรดีหนักหนาเธอถึงได้หลงหัวปักหัวปำ เขาไม่รักก็คือเขาไม่รักจะดักดานอะไรนัก” นอกจากเป็นคนอัธยาศัยดี ณิชชานั้นยังปากดีอีกด้วย หากแต่สิ่งที่เธอรู้สึกทำพลาดมากที่สุดนั่นก็คือในตอนที่เธอกำลังต่อว่าซูซีหลินที่กำลังนัยน์ตาแดงก่ำก้มใบหน้าลงเพราะถูกต่อว่าอยู่นั้น “ทำไมถึงเป็นนางร้ายที่มันฉลาด ๆ ไม่ได้นะ” ซูซีหลินที่ทนให้อีกฝ่ายยืนด่ามานานเริ่มทนไม่ไหว จึงได้ทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมาตอบโต้สตรีที่ท่าทางน่ากลัวและปากจัดจ้านตรงหน้าบ้าง “หากเจ้าเก่งนักก็ไปเป็นข้าเลย คิดว่ามันง่ายนักหรือ” “เออ! เป็นก็เป็นสิ คิดว่ากลัวเหรอ” ณิชชาก็รับคำทันใด ทว่าหลังสิ้นคำร่างทั้งร่างของเธอก็ถูกดูดไปยังหลุมขนาดใหญ่โดยไม่ทันตั้งตัว ไม่วายยังได้ยินเสียงประชดประชันพลางตัดพ้อของซูซีหลินดังลอยมาว่า “เป็นให้ข้าดูที นางร้ายฉลาด ๆ ที่ว่านั่น แล้วอย่าตายเหมือนกันล่ะ หน็อย ซูซีหลินจอมแสบ!! เฮือก!! ราวกับได้ขึ้นมาจากการจมอยู่ในน้ำลึกอันยาวนาน หญิงสาวใบหน้างดงามเรือนร่างเต็มไปด้วยความเย้ายวนประการหนึ่งพยายามสูดลมหายใจเข้าเพื่อให้ตนเองสามารถหายใจได้อย่างเต็มปอด “พระสนม!!” ขณะเดียวกันนั้นก็มีมือเล็กของใครบางคนแตะเข้าที่แขนด้านขวาของนางอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ พระสนม? ณิชชามึนงงเล็กน้อยก่อนจะหันไปพบกับกระจกสีเหลืองนวลที่อยู่ไม่ไกล ทันใดนั้นเธอจึงได้รับรู้ว่าตอนนี้เธอได้กลายเป็น ซูซีหลิน นางร้ายที่เธอต่อว่าในปรโลกผู้นั้นไปเสียแล้ว ซวยแล้ว!! ด้วยตอนนั้นอารมณ์มันคั่งค้างมาจากการอ่านนิยายจึงได้อารมณ์ขึ้นค่อนข้างมากเมื่อได้พบกับซูซีหลินจึงได้เผลอแสดงอารมณ์ไปแบบนั้น แต่พอมาคิดดูดี ๆ แล้วคนดี ๆ ที่ไหนจะอยากเป็นนางร้ายที่มีความตายรออยู่เบื้องหน้ากันแล้ว แม้ว่ามีโอกาสแก้ไขแต่หากว่ามาอยู่ในร่างนี้แล้วมันควบคุมอะไรไม่ได้ล่ะ แบบนั้นเธอได้ตายซ้ำสองแน่ หนำซ้ำยัยซีหลินได้รอหัวเราะอยู่ที่ปรโลกอย่างแน่นอน ไม่ได้!! เธอจะไม่ยอมตายตามรอยเดิมของเจ้าตัวที่ทำไว้เด็ดขาด “จินจู วันนี้เป็นวันอะไร” จินจูนางกำนัลตัวน้อยตัวสั่นไม่น้อยยามที่ถูกผู้เป็นนายสาดคำถามมาอย่างไม่ทันตั้งตัว ก่อนหน้านี้สักหนึ่งก้านธูปตนพบว่ามีบางอย่างเกิดขึ้นกับผู้เป็นนาย ปกติซูกุ้ยเฟยนั้นจะตื่นบรรทมตั้งแต่เช้าเพื่อลุกขึ้นไปสั่งการให้ห้องเครื่องตุ๋นน้ำแกงให้ชามหนึ่ง จะได้นำไปถวายให้ฝ่าบาทเสวยในทุก ๆ วัน แม้ว่าจะถูกปฏิเสธอย่างไรก็ยังคงทำเช่นนี้เหมือนเดิม แต่วันนี้นั้นนอกจากพระองค์จะยังไม่ตื่นตามเวลาที่เคยเป็นแล้ว ยังไม่มีวี่แววที่จะตื่นอีก คราแรกตนไม่กล้าที่จะปลุก แต่เมื่อสังเกตดี ๆ จะพบว่าพระสนมนั้นมีอาการหายใจติดขัดสลับกับการนอนนิ่งที่หมายความว่านอนนิ่งไร้การเคลื่อนไหวและการหายใจอันใด จินจูใบหน้าซีดเผือด หลังจากที่พยายามปลุกผู้เป็นนายทุกวิถีทางแล้ว จึงได้ให้คนไปตามหมอหลวงมา ระหว่างที่กำลังรอหมอหลวงอยู่ ทันใดนั้นเองที่ผู้เป็นนายก็ฟื้นขึ้นมาด้วยท่าทางประหลาด แต่ด้วยความกลัวที่อยู่ภายในจิตใจ หากว่านางตอบคำถามช้า อาจจะโดนลงโทษอีก จึงได้รีบตอบไปทันที ชีวิตนางกำนัลของนางเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นาน ไม่อาจให้จบลงในเร็ววันนี้ได้ ด้านญิชชาหรือยามนี้คือซูซีหลินหลังจากได้รับรู้แล้วว่าตนกลับมาอยู่ในช่วงใดของนิยายก็ได้แต่เบิกตากว้างขึ้นก่อนจะหันไปสั่งการนางกำนัลที่มีนามว่าจินจูความว่า “จินจูช่วยข้าแต่งตัวเร็ว!” ทว่า….ดูเหมือนว่านางจะช้าไปสักหน่อย เพราะไม่ไกลออกไปนั้นนางเห็นคนผู้หนึ่งกำลังเดินรีบเร่งใบหน้าเต็มไปด้วยอารมณ์บันดาลโทสะและเมื่อเขาเข้ามาถึงในห้องนอนของนางก็ตวาดลั่นออกมาทันที “ซูซีหลิน เจ้าไม่อยากมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!!”ตอนที่[2]ต่อรองกับมัจจุราช ร่างสูงในอาภรณ์สีทองลวดลายมังกรดูทรงอำนาจกำลังจดจ้องมาที่นางด้วยสีหน้าที่สามารถดูออกได้ว่ากำลังโกรธเกรี้ยวด้วยเห็นโทสะที่พวยพุ่งขึ้นที่เหนือศีรษะของเขา หากแต่สิ่งที่นางสนใจมิใช่อารมณ์แต่เป็นใบหน้าของเขา บุรุษตรงหน้าของนางนี้หากว่าอยู่ในโลกก่อนต้องไม่พ้นเป็นพระเอกแถวหน้าอย่างแน่นอน ดวงหน้าได้รูป ดวงตาลึกล้ำทรงอำนาจ คิ้วพาดเฉียง จมูกโด่งนั้นดูเชิดขึ้นบ่งบอกว่าเป็นคนเอาแต่ใจไม่น้อย ริมฝีปากไม่หนาหรือบางเกินไป รวม ๆ แล้วกล่าวได้ว่าหล่อเหล่าเกินคน หากว่านี่ไม่ใช่พระรองที่หล่อเหล่าที่สุดแล้วละก็….ก็ไม่รู้ว่าจะเรียกว่ายังไงแล้ว ใช่แล้ว ตรงหน้าของนางคือ สามีของนาง ไม่สิ สามีของซูซีหลินคนก่อน เขาเป็นพระรองที่กึ่งจะไปทางตัวร้ายด้วยซ้ำ อวี๋กงซู่ฮ่องเต้ พระรองที่เกลียดนางร้ายในเรื่องยิ่งกว่าสิ่งใดและทุ่มหัวใจทั้งหมดให้กับนางเอกนิยายอย่าง ช่ายเฟิ่งจิ่ว อย่างไม่เหลือพื้นที่ใดอีก แม้ว่าช่ายเฟิ่งจิ่วจะรักพระเอกอย่าง ข่ายเชี่ยนหยุน จนหมดหัวใจก็ตาม นางร้ายเรื่องนี้แปลกนัก มิได้หลงรักพระเอก แต่กลับหลงรักพระรองเสียอย่างนั้น รักจนกระทั่งทำสิ่งที่โง่ที่สุดแม้กระทั่งถูกค
ตอนที่[3]ทำไมไม่เคยชนะ หลังจากที่สามารถต่อรองกับฮ่องเต้หน้ายักษ์สำเร็จ ซูซีหลินก็นอนแผ่กายบนเตียงอย่างไม่รักษากิริยาใด ภาพนี้ทำให้จินจูทนไม่ไหวต้องรีบไล่เหล่านางกำนัลออกไปด้วยไม่อยากให้เกิดเสียงซุบซิบเกี่ยวกับกุ้ยเฟยที่ไม่ดีออกไป แม้ว่าข่าวลือเกี่ยวกับกุ้ยเฟยที่คนภายนอกตำหนักกล่าวถึงในยามนี้จะไม่ค่อยดีอยู่แล้วก็ตาม แต่ทว่าตั้งแต่ที่กุ้ยเฟยตื่นขึ้นมาในเช้าวันนี้ดูเหมือนจะมีหลายสิ่งเปลี่ยนแปลงไปมากมาย ไหนจะข้อตกลงกับฝ่าบาทนั่นอีก พระนางจะยอมจากไปจริงหรือ นับตั้งแต่ที่ตนได้มีโอกาสรับใช้อีกฝ่ายมา ซูกุ้ยเฟยนั้นเอาใจผูกติดกับตำแหน่งมารดาแผ่นดินมากเพียงใดเหตุใดตนจะไม่รู้ จินจูใช้สายตาลอบมองผู้เป็นนายอย่างไม่เข้าใจ ก่อนจะรีบหลุบสายตาลง ซูซีหลินไม่ได้รับรู้ถึงความคิดของนางกำนัล นางเพียงทบทวนเรื่องราวของนิยายและข้อมูลเกี่ยวกับซูซีหลิน เพื่อจะได้วางแผนว่าจะทำอย่างไรต่อไป ซูซีหลินคือบุตรสาวคนรองของแม่ทัพซู ซูซีซาน แม่ทัพใหญ่ของแคว้นที่ประจำการอยู่ที่เมืองชายแดนอย่างเจินโจว เพื่อรักษาความสงบที่นั่น นานทีปีหนถึงจะได้เข้ามาเมืองหลวง อาจจะเพราะด้วยเจ้าตัวไม่ได้ชื่นชอบบรรยากาศของเมืองหลวงมากนัก
ตอนที่[4]นางทำอันใดอยู่ หลังจากที่ซูซีหลินได้ก้าวเท้าเข้าสู่วังวนวังหลัง ชีวิตก็คล้ายถูกมือมืดของใครบางคนคอยชักจูงอยู่เสมอ ด้วยความเกลียดชัง อคติและความคิดอันตื้นเขิน หญิงสาวจึงมักจะคิดว่าเป็นฝีมือของช่ายเฟิ่งจิ่วอยู่ร่ำไป ทว่าแท้จริงกลับเป็นบุคคลที่ซูซีหลินแทบจะไม่ค่อยได้ไปข้องเกี่ยวเลยด้วยซ้ำ แต่บัดนี้เห็นทีจะต้องไปพัวพันด้วยเสียแล้ว เพื่อที่จะทำให้ซูซีหลินในชาตินี้หรือก็คือตัวนางเองไม่ต้องถูกใส่ร้ายและลงเอยด้วยความตาย รวมถึงเด็กคนนั้นก็ไม่ต้องถูกใช้เป็นเครื่องมือจนสุดท้ายก็ต้องตายอย่างน่าสงสารเช่นกัน องค์ชายจูจิ่งหลง วัยห้าหนาว พระโอรสขององค์ชายรัชทายาทแคว้นจ้าวและองค์หญิงอวี๋กงเชี่ยน หรือก็คือพระขนิษฐาร่วมอุทรของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ ทว่าชีวิตของทั้งคู่ช่างสั้นนัก แคว้นจ้าวถูกแคว้นหมิงโจมตีอย่างรุนแรง ส่งผลให้แคว้นทั้งแคว้นต้องล่มสลายลงในเวลาไม่นาน แต่ทว่าก่อนที่จะเกิดเหตุร้ายขึ้น องค์ชายจูจิ่งหลงได้ถูกพระบิดาและพระมารดาได้เอาตัวไปซ่อนไว้ในที่หลบภัย โดยหลังจากนั้นทั้งคู่ได้ไหว้วานคนที่ไว้ใจได้ให้นำเด็กน้อยไปส่งให้ผู้เป็นลุงอย่างอวี๋กงซูฮ่องเต้ดูแล นับแต่นั้นมาองค์ชายจูจิ่งหลงจึงไ
ตอนที่[5]ไปตำหนักซิงเยียน ในที่สุดก็เผยธาตุแท้แล้วสินะ ที่ผ่านมาคงเป็นแค่การเสแสร้ง ชอบตื่นเช้าอันใด นางเพียงแค่แสร้งเอาใจเขาเท่านั้น ดีแล้วที่เขาไม่สนใจนาง สตรีที่ไม่จริงใจเช่นนี้ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เหยียดยิ้มออกมานัยน์ตาแฝงความเย้ยหยัน โดยที่ชายหนุ่มไม่ได้คิดในมุมหนึ่งเลยสักนิด หากว่าวันนี้ซูกุ้ยเฟยยกน้ำแกงมาเช่นเดิมจริง เขาก็จะคิดว่านางไร้ซึ่งสัจจะ เชื่อถือไม่ได้ นี่แหละหนา ที่เรียกว่าอคติ อีกทั้งซูซีหลินเคยทำไม่ดีมาไว้มากก็ยากที่จะเชื่อใจได้ง่าย ๆ เรื่องที่นางลอบส่งคนไปลอบทำร้ายช่ายเฟิ่งจิ่ว เขายังไม่ได้จัดการนางเลย กว่าที่ซูซีหลินจะตื่นนอนเวลาก็ล่วงเลยไปถึงยามซื่อ (เก้าโมงเช้า) ยามที่ลุกขึ้นมานางไม่คิดจะลงจากเตียงโดยทันที เอาแต่บิดซ้ายบิดขวาไปมาด้วยท่าทางแปลกประหลาดและไม่รักษามารยาทใด ๆ จินจูนั้นยังไม่ชินกับท่าทางเช่นนี้เลยสักนิด แต่ก็ไม่สามารถทำอันใดได้ แม้ว่าซูกุ้ยเฟยจะไม่ได้มีท่าทางเจ้าอารมณ์แบบไม่กี่วันก่อนที่ได้ยินว่าแผนการบางอย่างล้มเหลว แต่ผู้ใดจะรู้ว่าพระองค์จะมีโทสะเช่นนั้นขึ้นมาอีกเมื่อไร “จินจูวันนี้มีของอร่อยอะไรกินบ้างหรือ” นับตั้งแต่ที่ได้มาอ
ตอนที่[6]พี่สาวไว้ใจได้นะ หลังจากที่เด็กน้อยผู้นั้นวิ่งหนีไป ซูซีหลินก็ไม่ได้คิดติดตามอีกฝ่ายไป กลับสำรวจทิศทางเล็กน้อยหญิงสาวก็กลับไปวางแผนที่ตำหนักของตนใหม่ จวบจนกระทั่งวันรุ่งขึ้นเมื่อสบโอกาสก็กลับไปยังตำหนักซิงเยียนอีกครั้ง ครานี้ก็พบกับเด็กน้อยผู้นั้นกำลังเขียนอักษรบางอย่างอยู่เพียงผู้เดียวในห้องนอนที่อยู่ส่วนลึกของตำหนัก เมื่อเขียนเสร็จแล้วก็นำแผ่นกระดาษเหล่านั้นเผาใส่กระถางด้านข้างที่มีไฟทีละแผ่น ซูซีหลินและจินจูมองหน้ากันด้วยความสงสัยจึงได้ค่อย ๆ เดินเข้าใกล้จนสามารถเห็นตัวอักษรที่อยู่บนนั้นได้อย่างชัดเจน จินจูเบิกตากว้างขึ้นด้วยความตกใจ “พระสนม….” มิใช่แค่จินจูที่ตกใจ แม้นางจะเคยอ่านเนื้อหาในนิยายมาแล้ว แต่ก็เป็นการกล่าวผ่าน ๆ หาได้ลงรายละเอียดอย่างชัดเจนเช่นนี้ ในกระดาษทุกแผ่นที่องค์ชายจูจิ่งหลงเขียน คือคำว่า ‘ซูกุ้ยเฟยเป็นสตรีชั่วช้า ห้ามเข้าใกล้เด็ดขาด’ นอกจากนั้นยังมี ‘หากหลีกเลี่ยงไม่ได้ให้บอกว่า ข้าเกลียดเจ้า’ หากแต่นางยังมองเห็นอีกแผ่นที่เด็กน้อยแอบซ่อนเอาไว้ ‘อย่าทำร้ายข้าเลย ข้ากลัวแล้ว’ นางไม่โกรธที่เด็กน้อยผู้นี้เขียนถ้อยคำเช่นนี้ต่อนาง แต่โกรธผู้ที่ปลูก
ตอนที่[6]พี่สาวไว้ใจได้นะแต่ทว่าด้วยเห็นใจในคำว่า ‘ข้ากำลังหนีคนมา’ ของอีกฝ่าย จูจิ่งหลงจึงได้สับสน เพราะว่านางอาจจะกำลังรู้สึกหวาดกลัวใครสักคนเช่นเขาก็ได้ “จะ เจ้าหนีผู้ใดมาหรือ” แต่กระนั้นก็ยังเอ่ยถามด้วยความหวาดกลัว ซูซีหลินเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยอมพูดกับตนแล้วจึงได้ถอนหายใจ “เป็นคนที่ใจร้ายมาก” ว่าแล้วก็ปล่อยมือจากเขาก่อนจะแสร้งทำเป็นเศร้าใจ จูจิ่งหลงยามนี้คิดในใจหรือว่านางกำนัลผู้นี้จะถูกซูกุ้ยเฟยรังแกมา โครก ทว่ายังไม่ได้กล่าวสิ่งใดเสียงท้องร้องของเด็กน้อยก็ดังขึ้น ใบหน้าของเขาขึ้นซับสีด้วยความอับอาย เจ้าท้องนี่มาร้องอะไรยามนี้ น่าอายชะมัด จูจิ่งหลง และจังหวะนี้เองที่ซูซีหลินหยิบขนมที่ตนตั้งใจทำออกมาจากอกเสื้อ จากนั้นจึงลากเด็กน้อยไปนั่งกินด้วยกัน “ข้านำขนมมาด้วย มากินด้วยกันเถิด” ว่าแล้วก็ยัดขนมชิ้นใหญ่ใส่มือของเขา จูจิ่งหลงที่เดิมก็ระแวงทุกอย่างอยู่แล้วจึงมองผู้มาใหม่อย่างไม่ไว้ใจ ซูซีหลินจึงทำเป็นไม่สนใจเขา แล้วกัดกินขนมด้วยความเอร็ดอร่อย เด็กน้อยกลืนน้ำลายลงคอด้วยความยากลำบาก ท่าทางการกินของคนตรงหน้าและขนมในมือนี่ช่างน่ากินเสียจริง สุดท้ายเด็กน้อยก็ยังคงเป็
ตอนที่[7]เริ่มแผนการ ในช่วงเช้าของตำหนักซิงเยียน นางกำนัลที่รับหน้าที่ในการดูแลองค์ชายจูจิ่งหลงในช่วงเช้าได้เข้าไปทำหน้าที่ประจำของตนอย่างที่เคยทำ หากแต่วันนี้องค์ชายน้อยที่เวลานี้มักจะจัดการตนเองในช่วงเช้ากลับไม่มีการมีอยู่แม้เพียงเงา ไม่ว่าจะเดินหาที่ใดของห้องก็ไม่พบ แม้กระทั่งบริเวณรอบ ๆ ตำหนักก็ไร้วี่แววแย่แล้ว!!นางกำนัลน้อยใบหน้าซีดเผือด “เกิดอะไรขึ้น!” และยิ่งสะดุ้งตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงทรงอำนาจของผู้ที่ดูแลตำหนักแห่งนี้ดังขึ้น “เอ่อ คือว่า”หลังจากที่ได้ยินคำรายงาน ฝ่ามือที่นิ้วข้างหนึ่งสวมแหวนแกะสลักลวดลายอสรพิษเคี้ยวคดไปมา ก็ฟาดลงไปบนแก้มบอบบางของนางกำนัลเต็มแรง เพียะ! “ใช้ไม่ได้จริง ๆ!!” “พวกเจ้าเอานางไปโบย 30 ที โทษฐานที่ดูแลองค์ชายไม่ดี ส่วนคนที่เหลือรีบไปตามหาองค์ชายเดี๋ยวนี้!!”ฝูมามาสั่งการอย่างรวดเร็วไม่บิดพลิ้วแม้แต่น้อย นางกำนัลกรีดร้องขอความเห็นใจไปจนสุดเสียง การที่นางทำเช่นนี้ หากผู้ใดที่ไม่รู้คงคิดว่านางเป็นห่วงองค์ชายจูจิ่งหลงหนักหนา แต่ทว่านางเพียงไม่อยากให้เขาหลุดมือไปเพื่อกล่าวอันใดที่ตนไม่สามารถควบคุมได้ต่างหาก“แย่แล้ว องค์ชายจูจิ่งหลงตกน้ำ!!”ในที
ตอนที่[7]เริ่มแผนการ จูจิ่งหลงเมื่อได้ยินว่าเสด็จลุงสอบถามตน ริมฝีปากก็เม้มเป็นเส้นตรง เขามองหน้าฝูมามาที มองหน้าสหายคนใหม่ที ก่อนที่จะกลับไปสบพระเนตรของผู้เป็นลุง “เสด็จลุง หลานได้ยินนางกำนัลพูดกันว่า ในช่วงเช้าดอกบัวจะงดงามนัก วันนี้จึงได้คิดเดินออกมาดู เพราะในแต่ละวันนอกจากอยู่ในตำหนักหลานก็ไม่ค่อยได้ออกไปที่ใดจึงรู้สึกเบื่อหน่ายเล็กน้อยพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่ค่อยได้ออกไปที่ใดงั้นหรือ” “เอ่อ องค์ชายคงหมายถึงด้วยองค์ชายเป็นคนมักเก็บตัว ไม่ค่อยออกไปที่ใด อาจจะรู้สึกเบื่อหน่ายบ้างเพคะ เดิมทีหากองค์ชายเบื่อหม่อมฉันก็มักจะให้นางกำนัลพาเดินไปเปิดหูเปิดตาอยู่แล้วเพคะ” ฝูมามาเห็นว่าฮ่องเต้เกิดความสงสัยจึงได้รีบอธิบาย พลางขมวดคิ้วเล็กน้อย วันนี้ทำไมองค์ชายถึงได้ทำตัวแปลกกว่าเดิมนัก “แล้วครานี้เหตุใดไม่พานางกำนัลไปด้วยเล่าหลงเออร์” พระพักตร์หล่อเหลาที่ยังไม่คลายจากความสงสัยเอ่ยถามหลานชายทันที ทันทีที่เขาได้ยินว่าเกิดสิ่งใดกับหลานชาย เขาก็รีบเร่งมาเป็นการด่วน หากว่าหลานชายตัวน้อยเป็นอันใดไป เขาคงรู้สึกผิดกับพระขนิษฐาเป็นอย่างมาก ที่อุตส่าห์วางแผนส่งบุตรชายมาหาเขาอย่างยากลำบาก “เสด็จลุง
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว จะเห็นได้ว่าสีหน้าของคนทั้งสี่ปราศจากแววตาล้อเล่นสนุกสนานดังที่เคยไป หนำซ้ำยังแดงก่ำราวกับคนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ อวี่กงซู่อยากจะห้ามแต่เขาเห็นความหวังและความมุ่งมั่นในตาของลูก ๆ จึงได้แต่ปล่อยเด็ก ๆ ไปด้วยกัน “พวกเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ห้ามเป็นอันใดไปเด็ดขาด” มิได้บอกเพียงลูก ๆ แต่อวี๋กงซู่ยังบอกจู่จิ่งหลงด้วย “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”“เนื่องจากว่าวันนี้มืดค่ำแล้ว พวกเราต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทางได้” ก่อนออกเดินทางจู่จิ่งหลงรีบหันไปสั่งการบางอย่างกับคนของตน ก่อนจะเผยแววตาอันเยือกเย็นเต็มไปด้วยรังสีสังหารแผ่ออกมา ใครกล้าคิดร้ายกับเสด็จป้าของเขามันต้องไม่ตายดี!! จากนั้นห้าคนพี่น้องรวมถึงผู้ติดตามจึงได้พากันเดินทางไปยังป่าทางตอนใต้ของแคว้นที่มีความชื้นมากเป็นพิเศษ ค้นหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบสิ่งที่ใกล้เคียงกับสมุนไพรที่ว่านั้นเลย ระหว่างที่หลายคนเริ่มใจเสีย หางตาของจูจิ่งหลงก็หันไปพบกับบางอย่าง ทว่าระหว่างที่เขากำลังคิดจะไปเก็บมัน กลุ่มคนร้ายกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น “ฝ่าบาทในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่ข้าไม่ต้องก้มหัวให้กับเด็กน้อยปากไม่สิ้นน
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว นับตั้งแต่ที่วันนั้นเดินทางจากที่ที่เคยเติบโตมากว่าสิบปีเพื่อมาอยู่ที่แคว้นที่ตนกำเนิดมา เด็กน้อยที่เคยผอมแห้งแรงน้อยและหวาดกลัวผู้คนบัดนี้ได้เติบใหญ่สูงสง่า ท่าทางองอาจ รูปลักษณ์หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพระปิตุลาที่อยู่แคว้นหลิวหยวนเลยแม้แต่น้อย จูจิ่งหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ปกครองแผ่นดินด้วยอายุน้อยที่สุดของแคว้นจ้าว ครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุสิบหกชันษา จากวันนั้นผ่านมาเจ็ดปี บัดนี้ก็ยี่สิบสองชันษาแล้ว แม้เหล่าขุนนางและคนภายนอกจะมองว่าเขามากความสามารถและน่าเกรงขามเพียงใด แต่ยามนี้พระพักตร์หล่อเหลากลับเต็มไปด้วยการรอคอย ราวกับเด็กน้อยที่รอเพื่อจะได้กินของอร่อยที่สหายคนแรกเคยแอบนำมาให้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ตำหนักซิงเยียน ใช่แล้ว เขากำลังรอคอยสหายหรือยามนี้ที่เขาเรียกว่าเสด็จป้า เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาที่แคว้นจ้าวเฉกเช่นทุกปี ยามนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง “พี่จิ่งหลงพวกเรามาแล้ว” และคนที่เขารอคอยก็มาถึง เริ่มต้นด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าลูกลิงทั้งสี่ แม้จะเติบใหญ่กันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่สดใส โดยเฉพาะอวี๋กงจวิ้นที่แม้จะอายุเ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้“ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ขอให้พวกท่านครองรักกันตลอดไปไร้ซึ่งอุปสรรค”“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ไว้หม่อมฉันส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่น่าสนใจจากด้านนอกมาให้ฮองเฮาปลูกอีกนะเพคะ” ช่วงนี้นางกำลังชื่นชอบการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ช่ยเฟิ่งจิ่วก็ชอบส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาให้นางเรื่อย ๆ“ดีจริง ขอบใจเจ้าล่วงหน้าด้วยนะ” ซูฮองเฮาฉีกยิ้มด้วยความดีใจพลางจับมือของช่ายเฟิ่งจิ่วเอาไว้ คราแรกช่ายเฟิ่งจิ่วไม่คิดอะไร แต่ทว่าเมื่อเห็นพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว จึงทำท่าขยับกายเข้าใกล้ฮองเฮาแล้วกระซิบบางอย่าง หากมองจากมุมที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมา คงคล้ายกับว่านางกำลังหอมแก้มฮองเฮากระมัง “องค์รัชทายาทดูแลคู่หมายของท่านให้ดี อย่าได้มายุ่งกับคนของผู้อื่น!” อวี๋กงซู่รีบเดินเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ราวกับไม่ทันใจเขาจึงได้ช้อนกายของฮองเฮาลอยหวิวขึ้น “ว้าย” “กลับตำหนักเรากันเถิด” แม้ว่าซูซีหลินจะทุบไปที่ต้นแขนเขาอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยนางลงด้านข่ายเชี่ยนหยุนและช่ายเฟิ่งจิ่วที่มองภาพนั้นจากด้านหลังทั้งคู่ พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา “พระองค์สัญญากับ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ นับตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งฮองเฮาก็เป็นอันรู้กันจนทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้นั้นมีความรักลึกซึ้งต่อซูฮองเฮามากเพียงใด ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสที่ใดก็มักจะพาซูฮองเฮาไปด้วยเสมอ ทั้งสองพระองค์มักจะพากันไปกินของอร่อยที่เป็นร้านรวงของชาวบ้านตามสถานที่ต่าง ๆ โดยฝ่าบาทมักจะเป็นฝ่ายคีบอาหารให้ฮองเฮาด้วยพระพักตร์เปื้อนรอยยิ้มเสมอ ภายนอกผู้คนมักมองว่าสองผู้สูงศักดิ์ช่างรักใคร่กลมเกลียวต่อกันยิ่งนัก และยามนี้อวี๋กงซู่ก็เป็นที่ชื่นชมของประชาชนหลายคนในความมั่นคงที่มีรักเดียว เหล่าสตรีได้แต่คิดว่าหากมีสามีก็ต้องการหาบุรุษที่เป็นเฉกเช่นฮ่องเต้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเกินจริงแต่อย่างใด ทว่ามันกลับมีหลายอย่างที่มากกว่านั้น “จินจู เจ้าลองกินขนมนี้ดู ข้าว่าอร่อยมาก” ระหว่างที่ซูฮองเฮากำลังยื่นขนมไปป้อนให้นางกำนัลคนสนิทกลับพบว่าผู้ที่รับขนมนั้นไปมิใช่จินจูแต่เป็นพระสวามี “ฝ่าบาท!” “ทำไมเห็นเราจะต้องตกใจด้วย” “ก็ฝ่าบาทมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจะมิให้ตกใจได้อย่างไรเพคะ” “เป็นเจ้าที่ไม่สนใจการมาของเรามากกว่า มัวแต่ไปป้อนขนมให้ผู้อื่น” จินจูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร
ตอนที่[24]นางร้ายที่ได้เริ่มต้นใหม่ (ตอนจบ) วันเวลาผันผ่านไปอีกหลายปีทว่าคนในวังหลวงของแคว้นหลิวหยวนกลับยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ รักใคร่ปรองดองกัน โดยเฉพาะอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ที่หลังจากว่างเว้นจากงานบ้านเมืองก็มักจะพาตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ ที่เป็นตำหนักที่ประทับของซูฮองเฮาและพระราชโอรสทั้งสอง ผ่านไปห้าปีมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ซูฮองเฮาหลังได้รับการแต่งตั้งก็ถูกย้ายจากตำหนักซิ่วอิงมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ เหตุผลนั่นก็เพราะตำหนักหงอี้อยู่ใกล้กับตำหนักเฉินไท่ของฝ่าบาทมากที่สุด ที่จริงฮ่องเต้ผู้นั้นอยากจะย้ายตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็ตรงที่เผยกงกงเอาแต่บอกว่าไม่เหมาะสม ๆ อยู่นั่น “เผยกงกงขัดใจอันใดมาหรือเพคะ” ซูซีหลินเอ่ยถามพระสวามีที่มีพระพักตร์บูดบึ้งราวกับไม่พอใจบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาว่าเรื่องอันใด ต้องเป็นฝีมือเผยกงกงเป็นแน่ “ก็เผยกงกงบอกว่าเรามาค้างที่ตำหนักหงอี้มากเกินไป เดี๋ยวพวกขุนนางเฒ่าจะหาว่าข้าลุ่มหลงในฮองเฮาได้ แล้วมันไม่จริงหรืออย่างไร ก็เราลุ่มหลงในตัวเจ้าจริง ๆ” จากใบหน้าบูดบึ้งจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์ หนำซ้ำมือปลาหมึกยังเลื้
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด “เจ้าก็ควรถอดเช่นกันนะ” “…..” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่ง ชายหนุ่มก็คิดว่าตนไม่อาจรั้งรอได้อีก จึงได้ถือวิสาสะเข้าไปช้อนกายภรรยาก่อนจะรีบพาไปที่เตียงทันที “หลินเออร์ คืนนี้เรามาสร้างความแนบแน่นกันเถิด” “…..” “แล้วก็หากเจ้าได้เราแล้ว ก็ห้ามทิ้งเราไปที่ใดเล่า” นี่มันอันใดกัน ใครได้ใครกันแน่ ในเมื่อสายตาของเขาตอนนี้แทบจะกลืนกินนางทั้งตัวแล้ว! “เหตุใดจึงเงียบ รับปากเราสิ” ระหว่างที่รอคำตอบพระเนตรของจักรพรรดิก็เอาแต่จับจ้องริมฝีปากของฮองเฮาอย่างไม่ละสายตา และยามที่นางเอื้อนเอ่ย “หม่อมฉัน อื้อ” “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากหนารีบเข้าฉกชิงความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที ลิ้นของเขาพยายามเกี่ยวกระหวัดและหยอกล้อหญิงสาวอยู่เนิ่นนาน มือที่ว่างอยู่ก็พยายามแตะไปยังจุดอ่อนไหวของภรรยาจนทั่วร่าง “ฝ่าบาท” รู้ตัวอีกทีซูซีหลินก็ไม่เหลืออาภรณ์ปิดกายแม้แต่ชิ้นเดียวแล้ว “เจ้างดงามและหอมหวานถึงเพียงนี้ ก็อย่ามาโทษว่าเราเอาแต่ใจเล่า” ว่าแล้วก็ก้มใบหน้าลงไปฉกฉวยบุปผางามที่พยายามชูช่อดึงดูดสายตาของเขาอย่างอดใจไม่ไหว และไม่เพียงแค่บุปผางามที่ทั้งขาว
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด หลังแล้วเสร็จงานเลี้ยงฉลองที่โจวหย่วนถูกประกาศว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว แคว้นหลิวหยวนก็มีพิธีการที่สำคัญจัดขึ้นอีกหนึ่งพิธีการ นั่นก็คือการแต่งตั้งฮองเฮา มารดาแผ่นดินผู้ที่จะอยู่เคียงข้างกับองค์จักรพรรดิเพื่อปกครองแผ่นดินร่วมกัน ซูฮองเฮานั้น ยามที่หลายคนได้แอบเงยหน้าตนเพื่อยลโฉมอีกฝ่ายก็ได้พบกับความจริงว่าฮองเฮานั้นเป็นสตรีที่อยู่เหนือผู้คนจริง ๆ และข่าวลือต่าง ๆ ที่ร่ำลือกันมาตลอดหลายเดือนก็เป็นอันต้องเงียบไป ตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์กลับมีสตรีเพียงคนเดียวคือซูกุ้ยเฟย ข่าวลือต่าง ๆ ได้เล่าลือว่า ที่ตำแหน่งฮองเฮายังว่างก็เพราะว่าฝ่าบาทรอสตรีในดวงใจเพื่อที่จะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้กับสตรีผู้นั้น แต่วันนี้สตรีที่รับการแต่งตั้งคือสตรีที่เคยเป็นกุ้ยเฟยในอดีต เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าสตรีที่อยู่ในใจฝ่าบาทมาตลอดนั่นก็คือซูฮองเฮาอย่างไรเล่า ทั้งฝ่าบาทยังได้เปรย ๆ ออกมาว่าซูฮองเฮาจะเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดไปอีกด้วย ราชบัลลังก์เดิมก็แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสตรีมากหน้าหลายตามาคอยคานอำนาจหร
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น “หม่อมฉันรับรู้มาว่าโจวหย่วนร่วมมือกันกับฝูมามา สุดท้ายก็จะสังหารหม่อมฉันแล้วโยนความผิดให้ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้ก็เพียงหวังยั่วยุให้ท่านพ่อยกกองทัพเจี้ยนคังมาที่เมืองหลวงเพื่อก่อกบฏ ทว่าที่แท้จริงเขานั่นแหละที่จะก่อกบฏเสียเอง แล้วโยนความผิดให้ท่านพ่อและอัครเสนาบดีช่าย จากนั้นเขาก้คิดจะจัดการฝ่าบาทแล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง” “นี่….” เรื่องนี้เกินความคาดหมายของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ เขารู้ว่าโจวหย่วนผู้นั้นคิดไม่ซื่ออยู่ตลอด เรื่องคิดจะก่อกบฏเขาก็รู้ แต่เรื่องที่ว่าจะสังหารซูซีหลินเพื่อเรียกให้แม่ทัพใหญ่เข้ามาเป็นหนึ่งในหมากนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิด ถึงว่านางถึงพยายามจะจากไป แล้วในจดหมายฉบับนั้นที่นางเขียนถึงครอบครัว ที่บอกว่าห้ามมาเมืองหลวงโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเข้าใจแล้ว “แต่หม่อมฉันไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะต่างออกไป ที่ท่านพ่อนำทัพมาเมืองหลวงภายใต้การร่วมมือกับฝ่าบาท และยังมีการช่วยเหลือของตระกูลช่าย จึงทำให้ตลบหลังโจวหย่วนได้เพียงในไม่กี่ชั่วยาม” ย้อนไปในตอนที่นางไปพบกับครอบครัวที่โถงรับรองเมื่อวานนี้ ‘ท่านพ่อ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น ด้านอวี๋กงซู่และซูซีหลินเมื่อกลับเข้าไปในราชรถม้าเรียบร้อย เขาก็จับมือหญิงสาวมากอบกุมเอาไว้อีกครั้ง ครานี้ไม่คล้ายมีแววล้อเล่นหากทว่าเต็มไปด้วยความเปิดเปลือยความในใจ“หลินเออร์ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใดตั้งแต่ที่ข้าเลิกให้ความสนใจในตัวของคุณหนูช่าย แรกเริ่มข้าประทับใจในความเก่งกาจรอบด้านของนาง และนางไม่มีนิสัยเฉกเช่นสตรีในห้องหอ อีกทั้งยามนั้นเจ้าก็ทำตัวไม่น่ารัก นั่นทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจน ทว่าหลังจากวันนั้นที่เราไปหาเจ้าและทำข้อตกลงกับเจ้าที่ตำหนักซิ่วอิง มันก็ทำให้เห็นว่าเจ้าไม่เหมือนเดิมและความไม่เหมือนเดิมนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ข้าอยากเข้าใกล้เจ้ามากยิ่งขึ้น” “ยิ่งมีเรื่องของหลงเออร์เข้ามา นั่นทำให้ข้าเห็นว่าเจ้ามิใช่สตรีร้ายกาจที่นึกถึงแต่ตนเอง เจ้ายังเป็นห่วงผู้อื่น ถึงขั้นวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อช่วยเหลือ หากไม่เกิดความประทับใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว” ว่าแล้วก็ขยับกายเข้าไปใกล้หญิงสาวจนตัวแทบจะติดกัน “เอ่อ ไม่ต้องเข้ามาใกล้เช่นนี้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันได้ยินที่พระองค์ตรัสอยู่” “ไม่ล่ะ เราอยากให้เจ้าเห็นความจริงใจของเรา รู้ตั