ตอนที่[8]อาหารเป็นเหตุ “เจ้ากลัวข้าหรือไม่” หลังจัดการทุกอย่างเรียบร้อย แม้กระทั่งฮ่องเต้ผู้ที่มีแต่ความเคลือบแคลงต่อนางผู้นั้นให้ออกจากตำหนักนางไป เมื่ออยู่ตามลำพังสองคนกับเด็กน้อยหลังจากที่ให้คนพาเขาไปอาบน้ำสวมอาภรณ์ใหม่ นางไม่รอช้าที่จะเอ่ยถามคำถามกับเขา“ทะ ท่านคือซูกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ เหตุใดจึงไม่บอก…” องค์ชายน้อยจูจิ่งหลงไม่กล้าเงยหน้าสบตาคู่สนทนาเลยแม้แต่น้อย มิใช่เพราะกลัวแต่เป็นเพราะไม่รู้จะทำตัวอย่างไรดี เขาเคยคิดว่านางเป็นเพียงนางกำนัล แต่นางเป็นถึงซูกุ้ยเฟย คนที่เขาหวาดกลัวมาโดยตลอด “ข้ายังเป็นสหายคนเดิมของเจ้า ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” “เหตุใดตอนนั้นท่านถึงบอกว่าตนเองกำลังหนีคนผู้หนึ่งมา” เด็กน้อยคล้ายจะกล้าพูดคุยขึ้นมาบ้างหลังได้ยินประโยคก่อนหน้าของซูซีหลิน “ข้าก็กำลังหนีจริง ๆ ก็หนีฝูมามาเพื่อไปหาเจ้าอย่างไรเล่า” “เหตุใดต้องมาหาข้าหรือ” เขาและนางไม่เคยรู้จักกันมาก่อน “เพราะข้าคิดว่าเจ้าอยู่คนเดียวอาจจะเหงา จึงอยากชวนเจ้ามาเล่นกับข้าบ้าง ที่ตำหนักข้ามีเรื่องสนุกให้ทำมากมาย แต่เมื่อเห็นว่าแท้จริงแล้วเจ้าเป็นอยู่อย่างไร จึงได้คิดที่จะพาเจ้ามาอยู่ด้วย แล้วเหตุใดเจ้าจึงเล
ตอนที่[9]โง่ไปคนเดียวเถิด “ฝูมามาเหตุใดจึงกล่าวหาข้าเช่นนั้นเล่า มิใช่ว่าวันนั้นท่านเป็นคนมาบอกข้าด้วยตนเองมิใช่หรือ ว่าองค์ชายชอบเสวยอาหารรสจัดและของทอดต่าง ๆ กินได้ชนิดที่ว่าผู้ใหญ่ยังยอมแพ้ แต่นี่องค์ชายเพิ่งเสวยไปไม่เท่าไรเอง จะเกิดอันใดขึ้นได้อย่างไร” “กุ้ยเฟยอย่าปรักปรำหม่อมฉันเลยเพคะ หม่อมฉันไม่เคยบอกอะไรเช่นนั้นไปเลย” ดวงตาของฝูมามาเริ่มมีน้ำตาคลอ ใบหน้าเลื่อนไปทางฮ่องเต้ราวกับขอความยุติธรรม ระหว่างนั้นหมอหลวงก็มาถึง ทันทีที่เขาได้ตรวจอาหารขององค์ชายดวงตาก็เบิกกว้างขึ้น “นี่องค์ชาย!!” ฝูมามาที่เห็นท่าทางเช่นนั้นของหมอหลวงก็ลอบเหยียดยิ้มในใจ ก่อนจะแสดงท่าทางเดือดดาล “ซูกุ้ยเฟย พระองค์มันสตรีร้ายกาจ หม่อมฉันก็หลงดีใจคิดว่าพระองค์จะดีต่อองค์ชาย จึงได้ทำใจปล่อยองค์ชายให้มาอยู่กับพระองค์ แต่นี่พระองค์คิดจะเอาชีวิตองค์ชายเลยหรือ หม่อมฉันจะไม่ยอมให้พระองค์ทำร้ายองค์ชายเด็ดขาด” ฝูมามาว่าแล้วก็ปรี่จะเข้าทำร้ายซูซีหลินทันที “ฮ่า ๆ ๆ” ทว่าระหว่างนั้นกลับได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังขึ้นมาท่ามกลางความเงียบจากอีกด้านหนึ่ง “ฝ่าบาท….” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้นั้นแม้จะแย้มพระสรวลแต่สายพระเ
ตอนที่[9]โง่ไปคนเดียวเถิด“แต่ฝูมามา ทุกคนไม่ได้โง่จนมองแผนการของท่านไม่ออกหรอกนะ” ฮ่องเต้เผยรอยยิ้มเหยียดหยาม“แต่ฝ่าบาทองค์ชายยามนี้ก็ไม่เป็นอันใดไม่ใช่หรือเพคะ หากองค์ชายมีภาวะเช่นนั้นจริง เมื่อครู่กินอาหารไปมากมายเหตุใดยามนี้จึงยังคงยืนได้ปกติเช่นนั้น” “เพราะเขาไม่ได้กินอาหารที่ว่าอย่างไรเล่า!!” “เป็นไปไม่ได้” สมองของฝูฉางอินตีรวนไปหมด นี่มันเกิดอะไรขึ้น“เมื่อครู่ ท่านเร่งเข้ามาโวยวายให้ซูกุ้ยเฟยจนไม่ได้ดูเลยแม้แต่น้อยว่าบนโต๊ะอาหารถึงจะมีอาหารรสจัดมากมาย แต่อาหารที่องค์ชายเสวยกลับไม่ใช่อาหารพวกนั้นเลยแม้แต่น้อย และอาการที่เขาเป็นเมื่อครู่ก็เพื่อทำให้ท่านเผยแผนการทั้งหมดออกมาก็เท่านั้น “…..”“อย่าพยายามแก้ต่างอันใดให้ตัวเองเลย จากนี้ก็ไปเฝ้ารอในคุก เพื่อรอดูจุดจบว่าเราจะมอบความตายแบบใดให้ท่านเถิด” ฝูมามาถูกควบคุมตัวไปพร้อมกับคนในตำหนักซิงเยียนมากมาย คนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างลอบสูดหายใจในสิ่งที่ได้รับรู้ในวันนี้ที่แท้ฝูมามาคนเก่าแก่ของไทเฮาก็เป็นผู้ที่ร้ายกาจถึงเพียงนี้ ทำร้ายได้แม้กระทั่งเด็กน้อยที่ตนดูแลอยู่ทุกวัน ผู้ใดก็รู้ว่าองค์ชายจูจิ่งหลงเป็นพระราชนัดดาที่ฝ่าบาทเอ็นด
ตอนที่[10]อาจารย์คนใหม่ โดนใจจริง ๆ นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนวังหลังที่ทุกคนไม่คาดคิด นางก็ไม่ได้พบฮ่องเต้อีก เขาเพียงส่งคนมาบอกว่าให้นางดูแลหลงเออร์ให้ดี และอย่าพยายามก่อความวุ่นวายอะไรอีก นี่มันเป็นการใส่ร้ายกันชัด ๆ นางจะไปก่อความวุ่นวายอะไรได้ นอกจาก… อั่ก! “กรอกใส่ปากนางให้หมด” วางยาฝูมามา….. “ท่านคิดจะทำให้หลงเออร์พบกับความทรมานจนตาย แต่ข้าไม่สามารถทำให้ท่านตายในตอนนี้ได้ เพราะยังมีโทษประหารรอท่านอยู่ เช่นนั้นก็รับความทรมานที่หลงเออร์จะได้รับหากว่าแผนการสำเร็จไปก่อนแล้วกัน” “หึ ซูซีหลิน อย่าได้มาอ้างเรื่ององค์ชาย เจ้ามิใช่คนใส่ใจในเด็กผู้หนึ่งถึงเพียงนั้น เจ้าแค่แค้นใจข้าที่วางแผนเล่นงานเจ้าก็เท่านั้น” ฝูมามาที่มีคราบยาไหลเปรอะเปื้อนไปทั่วกายมองไปที่ซูซีหลินอย่างเคียดแค้น แผนการที่จะทำให้ซูซีจ้านและจือหลินซวงต้องเจ็บปวดเจียนตายไม่สามารถทำให้สำเร็จได้ด้วยมือของตนเองแล้ว “หากกล่าวถึงความใส่ใจ แน่นอนว่าข้ามีให้เขามากกว่าท่านที่ดูแลเขามาถึงสองปีแน่ พวกเจ้ากรอกยาให้นางอีก” ซูซีหลินหันไปสั่งการสองนางกำนัลที่นางตั้งใจคัดเลือกมาเป็นอย่างดี หลังจากที่ได้สร้างความ
ตอนที่[10]อาจารย์คนใหม่ โดนใจจริง ๆ บนโต๊ะอาหารนั้นไม่ได้มีการพูดคุยอันใดนัก เพียงแค่กินอาหารไปทั้งอย่างนั้น แต่ทว่าหลังจบมื้ออาหารเขากลับรั้งนางเอาไว้เพื่อพูดคุยบางอย่าง“ฝากเจ้าดูแลหลงเออร์ให้ดี เพราะหากเจ้าดูแลเขาไม่ดี และทำเช่นฝูมามาแล้วละก็….” ว่าแล้วก็ส่งสายตาเยียบเย็นมาให้ นั่น เขาขู่นางอีกแล้ว คนน่ารัก นิสัยดีเช่นนางจะไปทำอันใดเด็กน้อยได้ “หม่อมฉันจะดูแลองค์ชายให้ดีเพคะ ฝ่าบาททรงมั่นใจเถิด” ตราบใดที่นางยังอยู่ที่นี่จะไม่มีผู้ใดทำร้ายหลงเออร์ได้แน่ “อ้อ แล้วก็ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปหลงเออร์จะต้องเข้าศึกษากับอาจารย์ที่ข้าเตรียมไว้ให้ ให้ไปเรียนตำหนักซิ่วลี่อยู่ไม่ไกลจากตำหนักซิ่วอิง หลงเออร์จะได้ไม่ต้องเดินทางไกล ฝากเจ้าดูแลความเรียบร้อยให้เขาก่อนไปเรียนด้วย” “เพคะ” อวี๋กงซู่ฮ่องเต้เห็นว่าสตรีตรงหน้าไม่กล่าวอันใดหนำซ้ำยังดูเหม่อลอยจึงได้ลอบสังเกตว่านางยังมีความคิดชั่วร้ายอันใดหรือไม่ “เรื่องที่เจ้าส่งคนไปลอบทำร้ายคุณหนูช่าย ข้ายังมิได้เอาโทษอันใดเจ้า เพราะยามนี้เจ้าต้องดูแลหลงเออร์ แต่ข้าก็ไม่ได้ลืมเลือนเรื่องนี้ไป หวังว่าเจ้าจะทำตัวดี ๆ อย่าให้เกิดเหตุการณ์เช่
ตอนที่[11]ต้องสำรวมกิริยา สามวันให้หลังอวี๋กงซู่เริ่มรู้สึกได้ว่ามีหลายอย่างผิดแปลกไป นับตั้งแต่ซูซีหลินกล่าวว่าจะไม่มาข้องเกี่ยวกับเขาอีกนางก็ไม่มาหาเขาอีกเลย มีแต่เขาเสียอีกที่เป็นฝ่ายไปหานางที่ตำหนัก ไม่สิ เขาไปหาหลงเออร์มากกว่า แต่อย่างไรแล้วอวี๋กงซู่ก็ไม่รู้เช่นกันว่ามีอะไรที่รบกวนใจเขา “หลงเออร์เป็นอย่างไรบ้าง” แม้ว่าสหายอย่างเจิ้งชงอวี้จะมารายงานเขาทุกวันว่าการเรียนของหลงเออร์เป็นอย่างไร แต่เขาก็มักจะถามเช่นนี้กับเผยกงกงเพื่อฟังข้อมูลอีกด้านหนึ่งเสมอ ทูลฝ่าบาท องค์ชายตั้งใจเล่าเรียนเป็นอย่างมากพ่ะย่ะค่ะ แม้เรียนเพียงไม่กี่วันก็สามารถจดจำและเข้าใจตำราพื้นฐานที่อาจารย์เจิ้งสอนไปทั้งหมดได้แล้ว “ดี หากเป็นเช่นนี้ต่อไป วันใดที่เขาอยากจะฟื้นฟูแคว้นจ้าว หนทางข้างหน้าจะได้ไม่ลำบากมากนัก” อย่างไรจูจิ่งหลงก็เป็นเชื้อพระวงศ์ที่เหลืออยู่เพียงคนเดียวของแคว้นจ้าว แม้วันนี้แคว้นจ้าวจะอยู่ในความดูแลของแคว้นหลงหยวน แต่สักวันก็ต้องคืนให้กับเจ้าของที่แท้จริง “แล้วนางเล่า วุ่นวายอันใดหรือไม่” เผยกงกงเผยสายตาเลิ่กลั่กเล็กน้อยไม่นานก็ตอบคำถามองค์เหนือหัว “ทูลฝ่าบาทพระสนมก็ดูแลองค์ชายดี
ตอนที่[11]ต้องสำรวมกิริยา “ซูกุ้ยเฟยไฉนเมื่อครู่ยังดี ๆ แต่พอเรามากลับคล้ายคนไร้เอ็นเช่นนั้นเล่า” ไม่ทันที่ทุกคนจะได้เอ่ยสิ่งใดก็เป็นอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ที่เอ่ยทักหญิงสาวที่ยังเดินไม่พ้นจากศาลาเสียก่อน “ถวายพระพรฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันสบายดี เพียงแต่ว่าเมื่อครู่ยังเคี้ยวอาหารไม่ละเอียดก็เลยอยากจะเคี้ยวให้ละเอียดก่อนแล้วค่อยออกมาต้อนรับฝ่าบาทเพคะ” “อ้อ เจ้าจะบอกว่าเรามารบกวนเวลากินอาหารของเจ้าหรือ” เจิ้งชงอวี้เห็นท่าไม่ดีเลยได้รีบเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาท ทรงเสวยพระกระยาหารมาหรือยังพ่ะย่ะค่ะ เที่ยงนี้พระสนมทำอาหารและของหวานมามากมาย พระองค์จะเสวยด้วยกันหรือไม่” ฮ่องเต้หนุ่มกวาดสายตามองไปยังอาหารเหล่านั้นไกล ๆ ก่อนมองหญิงสาวที่ทำปากขมุบขมิบอยู่เพียงผู้เดียว แล้วหันมาตอบสหายว่า “ไม่” ในตอนนี้ซูซีหลินลอบดีใจ แต่ทว่า “เราอยากให้หลงเออร์ได้กินอาหารเยอะ ๆ วันนี้เราจึงจะไม่แย่งเขา ดังนั้น ซูกุ้ยเฟย ในฐานะที่เจ้าเป็นภรรยาของเรา เที่ยงนี้ก็ขอให้กุ้ยเฟยไปทำอาหารให้เรากินที่ตำหนักเฉินไท่เถิด รีบมาเล่า เราหิวมากแล้ว” ตรัสจบแล้วก็แค่นยิ้มก่อนจะหมุนจากไปทันทีโดยไม่ให้ซูซีหลินได้กล่าวปฏิเสธอันใดเลยแ
ตอนที่[12]นางกำนัลคนสนิท กว่าจะกลับมาจากตำหนักเฉินไท่หลงเออร์ก็รออยู่ที่ตำหนักซิ่วอิงเสียแล้ว “หลงเออร์ เรียนวันนี้เป็นอย่างไรบ้าง” นี่เป็นคำถามที่นางถามเขาอยู่ทุกวัน ดวงหน้าที่แม้อายุเพียงเจ็ดหนาวเมื่อได้รับการดูแลที่ดีก็เริ่มมีเค้าของความหล่อเหลาปรากฏแล้ว จูจิ่งหลงแย้มยิ้มอย่างมีความสุขก่อนจะตอบ “วันนี้ท่านอาจารย์สอนบทเรียนใหม่แล้วพ่ะย่ะค่ะ แม้จะยากขึ้นแต่ก็น่าสนใจไม่น้อย” ในการร่ำเรียนเพียงไม่กี่วันก็ทำให้เขามีความสุขุมยิ่งขึ้น ซูซีหลินลอบชื่นชมเจิ้งชงอวี้อาจารย์ของเด็กน้อยที่สามารถสอนเด็กเจ็ดหนาวให้อยู่ในร่องในรอยได้ภายในเวลาเพียงไม่กี่วัน “เช่นนี้หลังจากกินอาหารเย็นแล้ว เรามาทบทวนบทเรียนกันเสียหน่อย” ว่ากันว่าเมื่อเรียนมาแล้ว หากได้ทบทวนอีกรอบก็จะยิ่งเข้าใจและจดจำในบทเรียนได้มากยิ่งขึ้น นางเห็นว่าอนาคตของหลงเออร์นั้นต้องยิ่งใหญ่เป็นแน่ หลังผ่านความตายมาแล้ว เห็นได้ว่าเส้นทางชีวิตของเขาต้องเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแน่ ดังนั้น นางจะพยายามช่วยเหลือเขาให้มากที่สุด ยามค่ำคืนตำหนักซิ่วอิงมิได้เงียบเหงา ยังคงมีเสียงพูดคุยกันเป็นระยะระหว่างเจ้าของตำหนักและองค์ชายที่รู้ความตั้งใจท
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว จะเห็นได้ว่าสีหน้าของคนทั้งสี่ปราศจากแววตาล้อเล่นสนุกสนานดังที่เคยไป หนำซ้ำยังแดงก่ำราวกับคนจะปล่อยโฮออกมาอยู่รอมร่อ อวี่กงซู่อยากจะห้ามแต่เขาเห็นความหวังและความมุ่งมั่นในตาของลูก ๆ จึงได้แต่ปล่อยเด็ก ๆ ไปด้วยกัน “พวกเจ้าต้องดูแลตนเองให้ดี ห้ามเป็นอันใดไปเด็ดขาด” มิได้บอกเพียงลูก ๆ แต่อวี๋กงซู่ยังบอกจู่จิ่งหลงด้วย “พ่ะย่ะค่ะ/เพคะ”“เนื่องจากว่าวันนี้มืดค่ำแล้ว พวกเราต้องรอพรุ่งนี้เช้าถึงจะออกเดินทางได้” ก่อนออกเดินทางจู่จิ่งหลงรีบหันไปสั่งการบางอย่างกับคนของตน ก่อนจะเผยแววตาอันเยือกเย็นเต็มไปด้วยรังสีสังหารแผ่ออกมา ใครกล้าคิดร้ายกับเสด็จป้าของเขามันต้องไม่ตายดี!! จากนั้นห้าคนพี่น้องรวมถึงผู้ติดตามจึงได้พากันเดินทางไปยังป่าทางตอนใต้ของแคว้นที่มีความชื้นมากเป็นพิเศษ ค้นหาอยู่ทั้งวันก็ไม่พบสิ่งที่ใกล้เคียงกับสมุนไพรที่ว่านั้นเลย ระหว่างที่หลายคนเริ่มใจเสีย หางตาของจูจิ่งหลงก็หันไปพบกับบางอย่าง ทว่าระหว่างที่เขากำลังคิดจะไปเก็บมัน กลุ่มคนร้ายกลุ่มใหญ่ก็ปรากฏตัวขึ้น “ฝ่าบาทในที่สุดก็มาถึงวันนี้ วันที่ข้าไม่ต้องก้มหัวให้กับเด็กน้อยปากไม่สิ้นน
ตอนพิเศษที่[2]ฮ่องเต้แห่งแคว้นจ้าว นับตั้งแต่ที่วันนั้นเดินทางจากที่ที่เคยเติบโตมากว่าสิบปีเพื่อมาอยู่ที่แคว้นที่ตนกำเนิดมา เด็กน้อยที่เคยผอมแห้งแรงน้อยและหวาดกลัวผู้คนบัดนี้ได้เติบใหญ่สูงสง่า ท่าทางองอาจ รูปลักษณ์หล่อเหลาไม่แพ้ผู้เป็นพระปิตุลาที่อยู่แคว้นหลิวหยวนเลยแม้แต่น้อย จูจิ่งหลงฮ่องเต้ จักรพรรดิที่ปกครองแผ่นดินด้วยอายุน้อยที่สุดของแคว้นจ้าว ครองราชย์ตั้งแต่พระชนม์มายุสิบหกชันษา จากวันนั้นผ่านมาเจ็ดปี บัดนี้ก็ยี่สิบสองชันษาแล้ว แม้เหล่าขุนนางและคนภายนอกจะมองว่าเขามากความสามารถและน่าเกรงขามเพียงใด แต่ยามนี้พระพักตร์หล่อเหลากลับเต็มไปด้วยการรอคอย ราวกับเด็กน้อยที่รอเพื่อจะได้กินของอร่อยที่สหายคนแรกเคยแอบนำมาให้ เมื่อครั้งยังอยู่ที่ตำหนักซิงเยียน ใช่แล้ว เขากำลังรอคอยสหายหรือยามนี้ที่เขาเรียกว่าเสด็จป้า เดินทางมาเยี่ยมเยียนเขาที่แคว้นจ้าวเฉกเช่นทุกปี ยามนี้คงใกล้ถึงแล้วกระมัง “พี่จิ่งหลงพวกเรามาแล้ว” และคนที่เขารอคอยก็มาถึง เริ่มต้นด้วยเสียงอันเป็นเอกลักษณ์ของเหล่าลูกลิงทั้งสี่ แม้จะเติบใหญ่กันแล้ว แต่พวกเขาก็ยังทำตัวเป็นเด็กน้อยที่สดใส โดยเฉพาะอวี๋กงจวิ้นที่แม้จะอายุเ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้“ข้าขอแสดงความยินดีกับพวกท่านทั้งสองด้วยนะ ขอให้พวกท่านครองรักกันตลอดไปไร้ซึ่งอุปสรรค”“ขอบพระทัยเพคะฮองเฮา ไว้หม่อมฉันส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่น่าสนใจจากด้านนอกมาให้ฮองเฮาปลูกอีกนะเพคะ” ช่วงนี้นางกำลังชื่นชอบการปลูกพืชชนิดต่าง ๆ ช่ยเฟิ่งจิ่วก็ชอบส่งเมล็ดพันธุ์พืชที่แปลกใหม่และน่าสนใจมาให้นางเรื่อย ๆ“ดีจริง ขอบใจเจ้าล่วงหน้าด้วยนะ” ซูฮองเฮาฉีกยิ้มด้วยความดีใจพลางจับมือของช่ายเฟิ่งจิ่วเอาไว้ คราแรกช่ายเฟิ่งจิ่วไม่คิดอะไร แต่ทว่าเมื่อเห็นพระเนตรของฮ่องเต้แล้ว จึงทำท่าขยับกายเข้าใกล้ฮองเฮาแล้วกระซิบบางอย่าง หากมองจากมุมที่ฮ่องเต้ทอดพระเนตรมา คงคล้ายกับว่านางกำลังหอมแก้มฮองเฮากระมัง “องค์รัชทายาทดูแลคู่หมายของท่านให้ดี อย่าได้มายุ่งกับคนของผู้อื่น!” อวี๋กงซู่รีบเดินเข้ามาแยกทั้งคู่ออกจากกัน แต่ราวกับไม่ทันใจเขาจึงได้ช้อนกายของฮองเฮาลอยหวิวขึ้น “ว้าย” “กลับตำหนักเรากันเถิด” แม้ว่าซูซีหลินจะทุบไปที่ต้นแขนเขาอย่างไร เขาก็ไม่ปล่อยนางลงด้านข่ายเชี่ยนหยุนและช่ายเฟิ่งจิ่วที่มองภาพนั้นจากด้านหลังทั้งคู่ พวกเขาหันมามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา “พระองค์สัญญากับ
ตอนพิเศษที่[1]ผู้ใดก็ห้ามเข้าใกล้ นับตั้งแต่ที่มีการแต่งตั้งฮองเฮาก็เป็นอันรู้กันจนทั่วเมืองหลวงว่าฮ่องเต้นั้นมีความรักลึกซึ้งต่อซูฮองเฮามากเพียงใด ไม่ว่าจะเสด็จไปประพาสที่ใดก็มักจะพาซูฮองเฮาไปด้วยเสมอ ทั้งสองพระองค์มักจะพากันไปกินของอร่อยที่เป็นร้านรวงของชาวบ้านตามสถานที่ต่าง ๆ โดยฝ่าบาทมักจะเป็นฝ่ายคีบอาหารให้ฮองเฮาด้วยพระพักตร์เปื้อนรอยยิ้มเสมอ ภายนอกผู้คนมักมองว่าสองผู้สูงศักดิ์ช่างรักใคร่กลมเกลียวต่อกันยิ่งนัก และยามนี้อวี๋กงซู่ก็เป็นที่ชื่นชมของประชาชนหลายคนในความมั่นคงที่มีรักเดียว เหล่าสตรีได้แต่คิดว่าหากมีสามีก็ต้องการหาบุรุษที่เป็นเฉกเช่นฮ่องเต้ ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ก็ไม่นับว่าเกินจริงแต่อย่างใด ทว่ามันกลับมีหลายอย่างที่มากกว่านั้น “จินจู เจ้าลองกินขนมนี้ดู ข้าว่าอร่อยมาก” ระหว่างที่ซูฮองเฮากำลังยื่นขนมไปป้อนให้นางกำนัลคนสนิทกลับพบว่าผู้ที่รับขนมนั้นไปมิใช่จินจูแต่เป็นพระสวามี “ฝ่าบาท!” “ทำไมเห็นเราจะต้องตกใจด้วย” “ก็ฝ่าบาทมาไม่ให้สุ้มให้เสียงจะมิให้ตกใจได้อย่างไรเพคะ” “เป็นเจ้าที่ไม่สนใจการมาของเรามากกว่า มัวแต่ไปป้อนขนมให้ผู้อื่น” จินจูที่ได้ยินเช่นนั้นก็ร
ตอนที่[24]นางร้ายที่ได้เริ่มต้นใหม่ (ตอนจบ) วันเวลาผันผ่านไปอีกหลายปีทว่าคนในวังหลวงของแคว้นหลิวหยวนกลับยังเต็มไปด้วยความอบอุ่นใจ รักใคร่ปรองดองกัน โดยเฉพาะอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ที่หลังจากว่างเว้นจากงานบ้านเมืองก็มักจะพาตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ ที่เป็นตำหนักที่ประทับของซูฮองเฮาและพระราชโอรสทั้งสอง ผ่านไปห้าปีมีสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมากมาย ซูฮองเฮาหลังได้รับการแต่งตั้งก็ถูกย้ายจากตำหนักซิ่วอิงมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้ เหตุผลนั่นก็เพราะตำหนักหงอี้อยู่ใกล้กับตำหนักเฉินไท่ของฝ่าบาทมากที่สุด ที่จริงฮ่องเต้ผู้นั้นอยากจะย้ายตนเองมาอยู่ที่ตำหนักหงอี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด ติดก็ตรงที่เผยกงกงเอาแต่บอกว่าไม่เหมาะสม ๆ อยู่นั่น “เผยกงกงขัดใจอันใดมาหรือเพคะ” ซูซีหลินเอ่ยถามพระสวามีที่มีพระพักตร์บูดบึ้งราวกับไม่พอใจบางอย่าง ซึ่งไม่ต้องเดาว่าเรื่องอันใด ต้องเป็นฝีมือเผยกงกงเป็นแน่ “ก็เผยกงกงบอกว่าเรามาค้างที่ตำหนักหงอี้มากเกินไป เดี๋ยวพวกขุนนางเฒ่าจะหาว่าข้าลุ่มหลงในฮองเฮาได้ แล้วมันไม่จริงหรืออย่างไร ก็เราลุ่มหลงในตัวเจ้าจริง ๆ” จากใบหน้าบูดบึ้งจู่ ๆ ก็แปรเปลี่ยนเป็นความเจ้าเล่ห์ หนำซ้ำมือปลาหมึกยังเลื้
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด “เจ้าก็ควรถอดเช่นกันนะ” “…..” เมื่อเห็นว่าหญิงสาวยังคงนิ่ง ชายหนุ่มก็คิดว่าตนไม่อาจรั้งรอได้อีก จึงได้ถือวิสาสะเข้าไปช้อนกายภรรยาก่อนจะรีบพาไปที่เตียงทันที “หลินเออร์ คืนนี้เรามาสร้างความแนบแน่นกันเถิด” “…..” “แล้วก็หากเจ้าได้เราแล้ว ก็ห้ามทิ้งเราไปที่ใดเล่า” นี่มันอันใดกัน ใครได้ใครกันแน่ ในเมื่อสายตาของเขาตอนนี้แทบจะกลืนกินนางทั้งตัวแล้ว! “เหตุใดจึงเงียบ รับปากเราสิ” ระหว่างที่รอคำตอบพระเนตรของจักรพรรดิก็เอาแต่จับจ้องริมฝีปากของฮองเฮาอย่างไม่ละสายตา และยามที่นางเอื้อนเอ่ย “หม่อมฉัน อื้อ” “ข้ารอไม่ไหวแล้ว” ริมฝีปากหนารีบเข้าฉกชิงความหอมหวานจากริมฝีปากของอีกฝ่ายทันที ลิ้นของเขาพยายามเกี่ยวกระหวัดและหยอกล้อหญิงสาวอยู่เนิ่นนาน มือที่ว่างอยู่ก็พยายามแตะไปยังจุดอ่อนไหวของภรรยาจนทั่วร่าง “ฝ่าบาท” รู้ตัวอีกทีซูซีหลินก็ไม่เหลืออาภรณ์ปิดกายแม้แต่ชิ้นเดียวแล้ว “เจ้างดงามและหอมหวานถึงเพียงนี้ ก็อย่ามาโทษว่าเราเอาแต่ใจเล่า” ว่าแล้วก็ก้มใบหน้าลงไปฉกฉวยบุปผางามที่พยายามชูช่อดึงดูดสายตาของเขาอย่างอดใจไม่ไหว และไม่เพียงแค่บุปผางามที่ทั้งขาว
ตอนที่[23]ฮองเฮาพวกเราเข้าหอกันเถิด หลังแล้วเสร็จงานเลี้ยงฉลองที่โจวหย่วนถูกประกาศว่าเป็นกบฏต่อแผ่นดินเรียบร้อยแล้ว แคว้นหลิวหยวนก็มีพิธีการที่สำคัญจัดขึ้นอีกหนึ่งพิธีการ นั่นก็คือการแต่งตั้งฮองเฮา มารดาแผ่นดินผู้ที่จะอยู่เคียงข้างกับองค์จักรพรรดิเพื่อปกครองแผ่นดินร่วมกัน ซูฮองเฮานั้น ยามที่หลายคนได้แอบเงยหน้าตนเพื่อยลโฉมอีกฝ่ายก็ได้พบกับความจริงว่าฮองเฮานั้นเป็นสตรีที่อยู่เหนือผู้คนจริง ๆ และข่าวลือต่าง ๆ ที่ร่ำลือกันมาตลอดหลายเดือนก็เป็นอันต้องเงียบไป ตั้งแต่ฝ่าบาทครองราชย์กลับมีสตรีเพียงคนเดียวคือซูกุ้ยเฟย ข่าวลือต่าง ๆ ได้เล่าลือว่า ที่ตำแหน่งฮองเฮายังว่างก็เพราะว่าฝ่าบาทรอสตรีในดวงใจเพื่อที่จะมอบตำแหน่งฮองเฮาให้กับสตรีผู้นั้น แต่วันนี้สตรีที่รับการแต่งตั้งคือสตรีที่เคยเป็นกุ้ยเฟยในอดีต เรื่องนี้หมายความว่าอย่างไร ก็หมายความว่าสตรีที่อยู่ในใจฝ่าบาทมาตลอดนั่นก็คือซูฮองเฮาอย่างไรเล่า ทั้งฝ่าบาทยังได้เปรย ๆ ออกมาว่าซูฮองเฮาจะเป็นสตรีเพียงผู้เดียวที่อยู่เคียงข้างพระองค์ตลอดไปอีกด้วย ราชบัลลังก์เดิมก็แข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสตรีมากหน้าหลายตามาคอยคานอำนาจหร
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น “หม่อมฉันรับรู้มาว่าโจวหย่วนร่วมมือกันกับฝูมามา สุดท้ายก็จะสังหารหม่อมฉันแล้วโยนความผิดให้ฝ่าบาท ทั้งหมดนี้ก็เพียงหวังยั่วยุให้ท่านพ่อยกกองทัพเจี้ยนคังมาที่เมืองหลวงเพื่อก่อกบฏ ทว่าที่แท้จริงเขานั่นแหละที่จะก่อกบฏเสียเอง แล้วโยนความผิดให้ท่านพ่อและอัครเสนาบดีช่าย จากนั้นเขาก้คิดจะจัดการฝ่าบาทแล้วขึ้นครองบัลลังก์เสียเอง” “นี่….” เรื่องนี้เกินความคาดหมายของอวี๋กงซู่ฮ่องเต้ เขารู้ว่าโจวหย่วนผู้นั้นคิดไม่ซื่ออยู่ตลอด เรื่องคิดจะก่อกบฏเขาก็รู้ แต่เรื่องที่ว่าจะสังหารซูซีหลินเพื่อเรียกให้แม่ทัพใหญ่เข้ามาเป็นหนึ่งในหมากนั้นเขาไม่รู้เลยสักนิด ถึงว่านางถึงพยายามจะจากไป แล้วในจดหมายฉบับนั้นที่นางเขียนถึงครอบครัว ที่บอกว่าห้ามมาเมืองหลวงโดยเด็ดขาด ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เขาเข้าใจแล้ว “แต่หม่อมฉันไม่คาดคิดว่าเรื่องมันจะต่างออกไป ที่ท่านพ่อนำทัพมาเมืองหลวงภายใต้การร่วมมือกับฝ่าบาท และยังมีการช่วยเหลือของตระกูลช่าย จึงทำให้ตลบหลังโจวหย่วนได้เพียงในไม่กี่ชั่วยาม” ย้อนไปในตอนที่นางไปพบกับครอบครัวที่โถงรับรองเมื่อวานนี้ ‘ท่านพ่อ ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่า
ตอนที่[22]ตำแหน่งฮองเฮาเป็นของเจ้าเท่านั้น ด้านอวี๋กงซู่และซูซีหลินเมื่อกลับเข้าไปในราชรถม้าเรียบร้อย เขาก็จับมือหญิงสาวมากอบกุมเอาไว้อีกครั้ง ครานี้ไม่คล้ายมีแววล้อเล่นหากทว่าเต็มไปด้วยความเปิดเปลือยความในใจ“หลินเออร์ ข้าไม่รู้ว่าเมื่อใดตั้งแต่ที่ข้าเลิกให้ความสนใจในตัวของคุณหนูช่าย แรกเริ่มข้าประทับใจในความเก่งกาจรอบด้านของนาง และนางไม่มีนิสัยเฉกเช่นสตรีในห้องหอ อีกทั้งยามนั้นเจ้าก็ทำตัวไม่น่ารัก นั่นทำให้เกิดข้อเปรียบเทียบที่ชัดเจน ทว่าหลังจากวันนั้นที่เราไปหาเจ้าและทำข้อตกลงกับเจ้าที่ตำหนักซิ่วอิง มันก็ทำให้เห็นว่าเจ้าไม่เหมือนเดิมและความไม่เหมือนเดิมนี้เป็นสิ่งที่ดึงดูดให้ข้าอยากเข้าใกล้เจ้ามากยิ่งขึ้น” “ยิ่งมีเรื่องของหลงเออร์เข้ามา นั่นทำให้ข้าเห็นว่าเจ้ามิใช่สตรีร้ายกาจที่นึกถึงแต่ตนเอง เจ้ายังเป็นห่วงผู้อื่น ถึงขั้นวางแผนเป็นขั้นเป็นตอนเพื่อช่วยเหลือ หากไม่เกิดความประทับใจก็ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว” ว่าแล้วก็ขยับกายเข้าไปใกล้หญิงสาวจนตัวแทบจะติดกัน “เอ่อ ไม่ต้องเข้ามาใกล้เช่นนี้ก็ได้เพคะ หม่อมฉันได้ยินที่พระองค์ตรัสอยู่” “ไม่ล่ะ เราอยากให้เจ้าเห็นความจริงใจของเรา รู้ตั