บทที่ 4
ลูกเจี๊ยบเดินเกม
.
.
.
หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง
เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ
นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง”
“คะ?”
“เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง”
พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ”
“ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม”
หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ”
เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่”
ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ”
“ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง”
“ผู้หญิงผู้ชาย?”
บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู้จัก แต่เหมือนว่าปล่อยไปเช่นนี้จะไม่ได้การเสียแล้ว ภารกิจต่อไปนอกเหนือจากการพิชิตใจวสุคงไม่พ้นการผูกมิตรกับคนรอบตัวของเขา เธอจำเป็นต้องหาพรรคหาพวกเพื่อให้คนเหล่านั้นดันหลังตัวเอง แม้ว่าเท่าที่มีตอนนี้เส้นเธอจะใหญ่มากแล้วก็ตาม แต่คนใกล้ชิดของเขานั้นละเลยไม่ได้ด้วยน่าจะเป็นแหล่งข้อมูลชั้นดี
รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เธอต้องมีข้อมูลของวสุตุนไว้ในมือจำนวนมากเพื่อเอาชนะใจที่แข็งประหนึ่งครกหินอ่างศิลา
วสุตอบอย่างไม่ปิดบัง “ผู้หญิง”
เรือนคิ้วสวยได้รูปเริ่มขมวดมุ่น นัยน์ตาสีน้ำตาลขุ่นมัว “แฟนเฮีย?”
“ไม่ใช่”
“งั้นคนที่กำลังดูใจ”
ขณะตั้งคำถาม อกข้างซ้ายของพินรีก็บีบรัดอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน เธอเกือบหลุดนิ่วหน้าด้วยความเจ็บปวดทั้งที่ไม่มีส่วนไหนของร่างกายที่ได้รับบาดแผล ลมหายใจเริ่มกระจายตัวได้ไม่ทั่วท้อง
กลัว...
เธอกลัวว่าเรื่องที่ปั้นแต่งขึ้นมาจะเป็นเรื่องจริง
“นั่นก็ไม่ใช่” ก่อนกล่าวเสียงเข้ม “ไปนั่งข้างหลังได้แล้ว ถ้าหัวรั้นแบบนี้ไม่พาไปนะ”
พินรียอมยกธงขาวในที่สุด หล่อนพาตัวเองมานั่งเบาะหลังตามคำสั่งเจ้าของรถ จากนั้นล้อจึงหมุนออกจากบริเวณนี้โดยไม่มีบทสนทนาอะไรเกิดขึ้นภายในห้องโดยสารเลยสักคำเดียว ทั้งที่ปกติแล้วคนอย่างพินรีคงไม่ปล่อยให้ช่วงเวลาเหล่านี้หลุดมือไปอย่างง่ายดาย แต่เธอเสียศูนย์นิดหน่อยจึงหวังถอยกลับมาตั้งหลัก
การจราจรค่อนข้างติดขัด หล่อนจึงใช้โอกาสนั้นในการเปิดไลน์เพื่อส่งข้อความหา ‘วงใน’ ของตัวเอง
ไก่เน่า: เธอๆ รหัสแดง
Ry: ว่า
ไก่เน่า: เรื่องที่บอกว่าเฮียสี่พาสาวมากกน่ะ สรุปแล้วจริงหรือเค้กRy: เอาไรมาจริง เรื่องนี้ฉันแต่งมาเองกับมือ
ไก่เน่า: เอาดี อย่าแกล้งRy: ไม่แกล้ง ทำไมอะ เฮียมันมีสาวจริงๆ เหรอ
Ry: อย่ายอมนะพิ เธอสวยกว่า
ไก่เน่า: ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไร ไว้รู้แล้วจะบอกRy: โอเค
ร่างระหงที่นั่งอยู่เบาะหลังลอบมองเสี้ยวหน้าด้านข้างของสารถีหนุ่มด้วยใจที่เต้นไม่เป็นจังหวะ ริมฝีปากบางถูกเม้มเป็นเส้นตรง หัวคิ้วขมวดแทบจะชนกันอยู่รอมร่อ ภายในหัวคิดไปต่างๆ นานาว่าหากคนที่เขาไปรับอยู่ในสถานะที่เป็นอันตรายต่อหัวใจตัวเอง เธอจะวางตัวเช่นไร
“เฮียสี่”
เสียงหวานดังแผ่วเบา
เขาตอบรับในลำคอ “อื้อ”
“พิรู้มาว่าเฮียโสด แต่พิอยากรู้จากปากของเฮียมากกว่าคนอื่น”
“ฉันโสด”
คล้ายกับต้นไม้เหี่ยวเฉาได้รับแสงแดดและน้ำฝนจนพาให้กลับมาสดชื่นอีกครั้ง
แล้วสำทับมาอีกประโยค “แต่ไม่เคยคิดจะคบกับเธอ”
แล้วมันก็กลับไปเหี่ยวอีกรอบ...
“ให้โอกาสพิได้จีบก่อนสิคะ”
“โอกาสที่รู้ว่ามันจะไม่สมหวัง อย่าเริ่มแต่แรกดีกว่า”
“สิ้นปีนี้ค่ะ”
สารถีใช้ความเงียบในการตอบโต้บทสนทนา เขาไม่สนใจจะถามด้วยซ้ำว่าเธอกำลังพูดเรื่องอะไรอยู่
ถึงกระนั้นเธอก็เลือกที่จะขยายความ “พิขอเวลาแค่ถึงสิ้นปี ถ้าระหว่างนี้พิทำให้เฮียชอบไม่ได้ ขอสัญญาว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวอะไรกับเฮียอีกเลยตลอดชีวิต พิจะย้ายออกจากคอนโดฯ ถ้าเราบังเอิญเจอกันพิจะไม่ทัก ไม่ยิ้มให้ จะไม่ทำเหมือนว่าเราเคยรู้จักกันมาก่อน ให้มองเป็นคนแปลกหน้าคนหนึ่ง ชีวิตของเฮียจะไม่มีพิอีกไม่ว่าช่วงเวลาใด พิสัญญาค่ะ แต่ขอให้พิมีโอกาสได้ลองสักครั้ง”
“...”
“อาจจะเพราะที่ผ่านมาพิไม่เคยรู้เลยว่าถ้าเราไม่ได้เป็นแค่พี่น้องมันจะเป็นยังไง แต่ถ้าให้พิได้ลอง พิก็จะได้รู้ ถ้าจนถึงที่สุดแล้วสิ่งที่พิทำไปทั้งหมดจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยสักนิด พิก็คงเข้าใจและยอมรับได้ว่าควรปล่อย”
พินรีอาจเป็นคนดื้อรั้นและคิดจะพุ่งชนท่าเดียว แต่ทว่า ณ เวลานี้มีแต่ความหนักแน่นและจริงจังเท่านั้นที่ถูกสื่อออกไปให้อีกฝ่ายรับรู้ เธอไม่รู้แน่ชัดว่าหากวันนั้นมาถึงแล้วผลไม่เป็นดั่งใจปรารถนาจะสามารถรับมือได้หรือไม่ แต่ถ้ามันสุดความสามารถก็คงป่วยการจะยื้อ
ขอเพียงก่อนได้ปล่อยมือ ให้เธอได้เอื้อมสุดแรงเพื่อคว้าเขาไว้สักครั้ง
“นะคะ พิขอร้อง ถ้าจนแล้วจนรอดเฮียยังยืนยันหนักแน่นว่าไม่รักพิ พิจะไม่ยื้อเลยค่ะ”
ห้องโดยสารของเอสยูวีสีดำเกิดความเงียบขึ้น ผู้โดยสารเบาะหลังไม่ได้โพล่งสำทับประโยคยาวยืดของตน สิ่งที่หล่อนอยากพูดก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว ที่เหลือก็แค่ให้เขาได้ใคร่ครวญและตัดสินใจ
ในขณะที่สารถีเงียบไปเพื่อใช้ความคิด หากเขาเลี้ยงไข้ไปเรื่อยๆ ก็มองไม่เห็นจุดจบว่าเรื่องระหว่างเขาและเพื่อนน้องสาวจะจบที่ตรงไหน เขามองไม่ออกและมิอาจคาดการณ์ได้เลยว่าคนช่างตื้ออย่างพินรีจะยอมรามือที่จุดใด ในเมื่อที่ผ่านมาเขาก็ไม่เคยให้ความหวังหล่อนเลยสักนิด แต่อีกฝ่ายก็ยังเป็นได้ขนาดนี้ ฉะนั้นแล้วข้อเสนอนี้มันก็น่าเสี่ยง
ทว่าเขาไม่อยากให้พินรีรู้สึกเหนือกว่าจนสามารถกุมบังเหียนได้
เสียงทุ้มเปล่งออกไปอย่างไร้แววล้อเล่น “หนึ่งเดือน”
“คะ?”
“ฉันมีเวลาให้เธอแค่หนึ่งเดือน ถ้าทำให้ฉันเปลี่ยนใจไม่ได้เธอต้องออกไป”
ในส่วนของคุณนายวิไลเขาจะเป็นฝ่ายคุยเอง เพราะมารดาไม่ได้บอกสักหน่อยว่าเขาต้องให้พินรีอยู่ด้วยนานแค่ไหน แม่บอกแค่ ‘ให้อยู่ด้วย’ ซึ่งเขาก็ทำตามที่ตกลงไว้แล้ว ที่ดินแปลงนั้นย่อมต้องตกเป็นของเขา
สาวเจ้ากะพริบตาไล่ความงุนงง “เดือนเดียวจะพอได้ไงคะ”
มุมปากหยักของชายร่างกำยำกระตุกขึ้นอย่างนึกขบขัน “ก็นั่นไง คนอย่างเธอจะไปเปลี่ยนใจใครได้ในเวลาแค่เดือนเดียว”
ลมหายใจอุ่นร้อนถูกกระแทกออกหนักๆ “ตกลงค่ะ หนึ่งเดือน ถ้าครบหนึ่งเดือนแล้วเฮียไม่ออกปากให้พิอยู่ต่อ พิย้ายออกทันที”
♡⃛ ──────── ♡⃛
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
บทนำ... ณ บ้านหลังงามของตระกูลพ่อค้าทองคำแห่งเมืองสมุนไพรอย่างโรจนวาณิชย์ บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อที่เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานรักของลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน วลี โรจนวาณิชย์ เจ้าของร้านเครื่องประดับสุดหรูของปราจีนบุรีอย่าง Larimar Jewelry ที่ควงคู่ทายาทร้านอะไหล่จากมิตรภาพยานยนต์เช่น แทนคุณ วงศ์ชวาลา เข้าประตูวิวาห์หลังจากทั้งคู่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เป็นเวลาเก้าปีของบ่าวสาวที่ช่วยกันปลูกต้นรักจนสุกงอมได้ที่ พร้อมผลิดอกออกผลในวันที่ทั้งคู่โตพอจะสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างวันนี้ โดยมีใครบางคนที่ปีติไม่ต่างจากบ่าวสาว ใครคนนั้นที่อยู่เคียงข้างคู่รักมาตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ด้วยฝ่ายชายอายุมากกว่าสองปี มีช่วงที่แทนคุณเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง รักทางไกลย่อมมีปัญหาบ้าง ก็ได้ใครคนนั้นช่วยเป็นตัวกลางคอยเชื่อมให้เสมอ วันนี้ใครคนนั้นมาในฐานะเพื่อนเจ้าสาว...พินรี เพื่อนที่ดีที่สุดของน้องเล็กแห่งบ้านพ่อค้าทองคำ เจ้าหล่อนมองดูเพื่อนสนิทในชุดเจ้าสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยตนเองมีความสุขไม่ต่างจากบ่าวสาวเลย เพราะนอกจากจะได้ส่งเพื่อนรักและรุ่นพี่เข้าประตูวิวาห์แล้วนั้น ว
บทที่ 1ลูกเจี๊ยบกับหลุมล่อแมว... “แล้วเฮียมันว่าไง” พินรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำถามของเจ้าสาวป้ายแดง “บอกว่ายังโตไม่พอ” เรียวคิ้วสวยได้รูปของวลีมุ่นเข้าหากันเป็นปม “ฮะ?” ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักขึ้นลงอย่างหมดแรง “อื้อ พอถามว่าแล้วต้องโตแค่ไหนถึงจะพอ เฮียเขาก็บอกว่าไม่มีวันพอ แล้วก็เดินไปเลย” วลีผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่ายหน้าไปมาด้วยรู้สึกไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน “พอๆ คบกับหมอขลุ่ยเถอะ ช่างหัวไอ้พวกขี้เก๊ก เล่นตัวอย่างกับหล่อมากอะ” “นั่นเฮียเธอด้วยซ้ำ” “ก็เพราะยังมีคำว่าเฮียค้ำคอถึงพูดแค่นี้ไง ถ้าไม่ได้เป็นพี่น้องกันฉันคงว่าแรงกว่านี้” พินรีก้มหน้าลงไปตอบข้อความลูกค้าที่ส่งเข้ามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของน้ำหอม เสร็จสรรพจึงเงยหน้าขึ้นมาต่อบทสนทนากับเพื่อนสนิท “หรือมันเพราะฉันดูไม่โตจริงๆ” “ไม่เกี่ยวกันพิ ที่เฮียมันพูดคือต่อให้เธอโตกว่านี้ เป็นสาวกว่านี้ มันก็ไม่สน อย่าเสียเวลาเลย” เจ้าของ Larimar Jewelry ทราบดีอยู่แล้วว่าต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่เข้าหูแม่ค้าน้ำหอม หากเข้า ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอะไรไปมิเคยนำพาเพราะพินรีหาทางปีนขึ้นจากหลุมรักของพี่ชายตัวเองไม่ได้ เธอก็อยาก
แผนการที่ถูกกลั่นออกจากมันสมองอันเฉลียวฉลาดของน้องสาว ถูกพี่ชายสานต่ออย่างสามัคคี กลายเป็นคู่หูที่ทำงานด้วยกันอย่างเข้าขา แม้ว่าเขาจะถูกน้องรักหยิกจนหลังเขียวก็ตาม หลังเลิกงานพี่ๆ ในกลุ่มก็เดินทางกลับคอนโดมิเนียมเพื่อพักผ่อน เว้นก็แต่รถคันของท่านสส. ที่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ชายแท้ๆ กับพลขับซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตน ที่วนไปส่งเจ้านายที่เพนต์เฮาส์ กับตัวเขาเองที่ถูกโยกมาดูแลความปลอดภัยของเมียเจ้านายที่ร้านชาเฮาส์ เขาเมินข้อความของคมชาญที่ส่งมาถามในกลุ่มว่าคืนนี้จะออกไปไหนไหม เพราะมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ ตอนนี้สดายุนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านกาแฟ โดยมีอีกสองชีวิตช่วยกันเก็บร้าน เป็นอัปสราและชื่นพธู คนพี่ท้องได้สามเดือนนิดๆ แต่ไม่ยอมลางาน เพราะไม่มีอาการแพ้ท้องที่รุนแรง เขาจึงถูกส่งมาประจำที่นี่แทนที่จะไปช่วยงานสัตรา คนน้องเพิ่งเรียนจบไม่รู้จะทำอะไร อาศัยทักษะการชงเครื่องดื่มที่มีติดตัวมาสมัครงาน เดิมทีชยินซึ่งเป็นเจ้าของร้านหน้าเลือดไม่คิดจะจ้างใครเพิ่ม แต่เพราะอัปสราตั้งครรภ์จึงไม่อยากให้ทำงานหนัก สุดท้ายก็ยอมจ้างชื่นพธู ส่วนตัวเจ้าของวันนี้ไม่ได้เข้ามาที่ร้านอีกเช่นเคย สองสาวพูดคุ
ภายในห้องนอนขนาดกะทัดรัดอัดแน่นไปด้วยกล่องพัสดุจนแทบไร้ที่ว่าง มันถูกวางทั้งบนโต๊ะคอม เตียงนอนและพื้นห้อง ใกล้กันมีโต๊ะเล็กๆ ไว้วางบรรดาขวดน้ำหอม ถัดไปอีกมุมหนึ่งเป็นมุมสำหรับถ่ายรูปลงอินเทอร์เน็ต เจ้าของห้องนั่งอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะน้ำหอม ทำการแบ่งน้ำหอมจากขวดใหญ่ใส่ขวดเล็กเพื่อส่งให้ลูกค้า ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ส่งผลให้ตัวแม่ค้าเองก็หอมจนเดินไปไหนมาไหนใครต่างก็พากันเหลียวไปตามกลิ่น นอกจากนั้นหน้าตาของพินรีก็น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวขาวอมชมพู ตัวเล็กฉบับสาวไซซ์มินิ มาพร้อมกับผมยาวสีน้ำตาลคาราเมลเหมือนสีดวงตาของเจ้าหล่อน นิยามได้ว่าพินรีเป็นสาวที่ใครๆ จะตกหลุมรักได้ไม่ยาก ยกเว้น ‘เขา’ คนเดียวเท่านั้นที่เลี่ยงหลุมรักของแม่สาวสดใสคนนี้ได้ ช่วงบ่ายที่บ้านเชาว์เจริญมีสองสามีภรรยาช่วยกันเตรียมของเพื่อขายซาลาเปาและขนมจีบ ที่ไม่ว่าจะเป็นสองสิ่งนี้หรือปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ ก็ล้วนแต่เป็นการทำเองทั้งหมด ขายมาตั้งแต่แต่งงานกันแรกๆ จนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนโตเป็นสาว ณรงค์กับดวงพรก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งธุรกิจนี้เพราะรักและชื่นชอบการค้าขาย ยิ่งตอนนี้พวกเขากลายเป็นร้านที่อยู่คู่ชุมชนมานาน มีลูกค้าประ
“ช่วยย้ายเข้าไปอยู่กับตาสี่ให้ป้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ” แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าแผนของเพื่อนนั้นดำเนินการอย่างไร และรู้ทั้งรู้ว่าการที่วิไลมาขอความช่วยเหลือก็คงเป็นเพราะการเดินเกมของวลี แต่อย่างไรก็ตาม พินรีตกใจอย่างไม่อาจเสแสร้งที่สิ่งนี้มันเกิดขึ้นจริง วงโคจรของเธอและคุณรักแรกขยับเข้าใกล้กันอย่างที่เคยวาดฝันไว้มาตลอด เสียงละมุนแลดูอ่อนโยนยังดังกระทบใบหู “ช่วยป้าหน่อยนะพิ ป้าไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว มีแค่พิคนเดียวเท่านั้นที่ป้าไว้ใจให้ช่วย” สาวเจ้าเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนคลายมันออกเพื่อสอบถามให้หายสงสัย “ใช่ว่าพิช่วยไม่ได้หรอกนะคะ แต่พิถามได้ไหมว่าเฮียสี่มีปัญหาอะไร” คราวนี้วิไลระบายลมหายใจอย่างเครียดจัด คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน ความกังวลฉายชัดในแววตา “ป้าไม่อ้อมค้อมเลยนะ ตาสี่กำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งจนหน้ามืดตามัวเสียเงินเสียทองให้หลายบาทแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ขยันสูบเลือดสูบเนื้อ ป้าทนให้ลูกตัวเองตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นไม่ได้หรอก ก็เลยหวังจะให้พิไปอยู่คอยกันผู้หญิงคนนั้นออกจากตาสี่ ทำยังไงก็ได้ให้แม่นั่นหายไป ไม่มาวุ่นวายกับลูกชายป้าอีก” พินรีเงียบไปทันที จบเรื่องนี้หล่อนจำเป็นต้องถามไถ่เพื่อนสนิทว
บทที่ 2ลูกเจี๊ยบในเมืองใหญ่... วสุเป็นหนุ่มโสด รักอิสระ ชอบใช้ชีวิตคนเดียว เพราะลำพังทำงานกับเจ้านายที่ชอบใช้แรงงานทาสก็สูบพลังงานที่มีใช้ต่อวันไปเกือบหมดแล้ว หมอนั่นมันใช้งานเขาสารพัด มืดค่ำดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ยังขยันโทร. มาสั่งงาน งานราษฎร์งานหลวงก็ต้องทำให้หมด ถ้าไม่ติดว่านับถือมันเป็นพี่ชายคนสนิท เขาลาออกไปเฝ้าร้านทองของที่บ้านนานแล้ว ด้วยประการฉะนั้น วสุมักใช้เวลาหลังเลิกงานในการพักผ่อน ซื้ออาหารมาทาน เปิดหนังดูสักเรื่อง นานๆ ทีจะออกไปท่องราตรีแล้วดีลสาวที่ถูกใจสักคน ไม่เหมือนน้องๆ ที่ขยันออกอย่างกับเป็นสัตว์กลางคืน และเพราะใช้ชีวิตแบบนั้นทุกคนจึงต้องการพื้นที่ส่วนตัว แม้คณะติดตามสส. เซียงจะอยู่ที่คอนโดมิเนียมเดียวกัน ชั้นเดียวกัน แต่ก็จับจองกันคนละห้อง เขาที่รักอิสระมากๆ ยังไม่อยู่ห้องเดียวกับน้องชายเลย แล้วจะยอมให้เด็กนั่นมาอยู่อาศัยร่วมชายคาด้วยน่ะหรือ สิ้นคิด! สายของมารดายังไม่ถูกวางเพราะเขายังไม่กระจ่าง “แล้วพิจะมาอยู่กรุงเทพฯ ทำไมครับ” (น้องจะไปหางานทำ) “ก็ทำอยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ” เขาเงียบไปชั่วครู่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังหลุดประเด็น ที่จริงพินรีจะทำงานที่ไหนมันก็ไม่เ
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ