ภายในห้องนอนขนาดกะทัดรัดอัดแน่นไปด้วยกล่องพัสดุจนแทบไร้ที่ว่าง มันถูกวางทั้งบนโต๊ะคอม เตียงนอนและพื้นห้อง ใกล้กันมีโต๊ะเล็กๆ ไว้วางบรรดาขวดน้ำหอม ถัดไปอีกมุมหนึ่งเป็นมุมสำหรับถ่ายรูปลงอินเทอร์เน็ต
เจ้าของห้องนั่งอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะน้ำหอม ทำการแบ่งน้ำหอมจากขวดใหญ่ใส่ขวดเล็กเพื่อส่งให้ลูกค้า ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ส่งผลให้ตัวแม่ค้าเองก็หอมจนเดินไปไหนมาไหนใครต่างก็พากันเหลียวไปตามกลิ่น นอกจากนั้นหน้าตาของพินรีก็น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวขาวอมชมพู ตัวเล็กฉบับสาวไซซ์มินิ มาพร้อมกับผมยาวสีน้ำตาลคาราเมลเหมือนสีดวงตาของเจ้าหล่อน
นิยามได้ว่าพินรีเป็นสาวที่ใครๆ จะตกหลุมรักได้ไม่ยาก ยกเว้น ‘เขา’ คนเดียวเท่านั้นที่เลี่ยงหลุมรักของแม่สาวสดใสคนนี้ได้
ช่วงบ่ายที่บ้านเชาว์เจริญมีสองสามีภรรยาช่วยกันเตรียมของเพื่อขายซาลาเปาและขนมจีบ ที่ไม่ว่าจะเป็นสองสิ่งนี้หรือปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ ก็ล้วนแต่เป็นการทำเองทั้งหมด ขายมาตั้งแต่แต่งงานกันแรกๆ จนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนโตเป็นสาว ณรงค์กับดวงพรก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งธุรกิจนี้เพราะรักและชื่นชอบการค้าขาย ยิ่งตอนนี้พวกเขากลายเป็นร้านที่อยู่คู่ชุมชนมานาน มีลูกค้าประจำมากหน้าหลายตา จึงตั้งใจว่าจะยึดอาชีพนี้ไปตลอดชีวิต
ระหว่างที่ง่วนอยู่กับการเตรียมของก็มีรถยนต์แล่นมาจอดเยื้องๆ กับหน้าร้าน ซึ่งคู่สามีภรรยาจำได้ว่าเป็นรถของบ้านเจ้าของห้างทองเทวาลัย
ประมุขฝ่ายหญิงลงมาจากประตูฝั่งคนขับ ส่งยิ้มเป็นมิตรให้กับคนทั้งสอง “ยังไม่เสร็จเหรอพร”
“ยังเลยจ้ะ อีกพักหนึ่งเลย พี่วี่จะรอก่อนหรือเปล่าล่ะ ถ้าไม่สะดวกเดี๋ยวเสร็จแล้วให้เจ้าพิมันไปส่งก็ได้”
วิไลส่ายหน้า “รบกวนเปล่าๆ พี่ขอนั่งรอแถวนี้แล้วกัน” หลังทิ้งสะโพกนั่งลงที่โต๊ะหินอ่อนก็ทำทีเป็นเอิ้นขึ้น “แล้วไปไหนซะล่ะ หนูพิน่ะ”
“พอห่อซาลาเปาเสร็จก็เข้าไปแพ็กของอยู่ในห้องเขาแหละพี่”
“ขยันจริงๆ” หล่อนเอ่ยตามใจคิด
ดวงพรเผยยิ้มด้วยความภูมิใจ เธอมีลูกเพียงคนเดียวจึงรักพินรีมาก และลูกสาวก็ทั้งน่ารักและนิสัยดี ยิ่งมีคนชมให้ได้ยินคนเป็นแม่จะไปเก็บอาการได้อย่างไร
เศรษฐีวัยกลางคนว่าต่อ “อีกไม่กี่วันจะครบรอบสี่สิบปีของร้านแล้ว นอกจากของสมนาคุณที่เตรียมไว้ก็ตั้งใจจะให้น้ำหอมด้วย ไม่รู้ของหนูพิเขามีสต๊อกไว้หรือเปล่า” ซึ่งนั่นวิไลก็เพิ่งคิดได้สดๆ ร้อนๆ ตอนนี้เลย
ดวงพรหันขวับ คิดแค่ว่าถ้าวิไลมาเป็นลูกค้า ลูกสาวเธอคงจะรับทรัพย์หนักน่าดู “มีนะพี่ พิมันซื้อไว้เยอะเลย” ว่าก่อนหันไปทางสามี “พ่อไปเรียกลูกมาคุยกับพี่วี่หน่อยไป”
“เดี๋ยวๆ เตรียมของกันอยู่แท้ๆ จะให้พี่รบกวนได้ยังไง”
ณรงค์ยิ้มรับ “ไม่เป็นไรครับพี่ เดี๋ยวผมไปเรียกให้”
“ขอพี่เข้าไปคุยกับหนูพิเองได้ไหม จะได้ดูของด้วย”
“อ้อ เชิญข้างในเลยครับ อยู่ห้องที่สอง”
หญิงวัยกลางคนแลดูภูมิฐานเดินเข้าไปในบ้านชั้นเดียวที่ข้าวของทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างเป็นระเบียบ การตกแต่งส่วนใหญ่ดูมินิมอลอย่างที่วัยรุ่นสมัยนี้นิยมชมชอบ ก็คงจะเป็นฝีมือของพินรี หล่อนเดินผ่านห้องนอนห้องแรกไปหยุดอยู่ยังห้องที่หมาย ซึ่งถึงณรงค์จะไม่บอกว่าห้องไหนคือห้องของพินรี หล่อนก็ทราบมันอย่างแน่นอน
บานประตูมีป้ายเล็กๆ ห้อยไว้ว่า ‘ห้องน้องพิ’ กับสติกเกอร์อีกนิดหน่อยที่ถูกแปะพอให้น่ารัก และพอคิดว่าหล่อนกำลังจะส่งเด็กน่ารักแบบพินรีไปอยู่กับลูกชายของตัวเอง ความละอายใจก็ตีตื้นขึ้นมาในอก
หล่อนช่างบาปหนา
ฝ่ามือเหี่ยวย่นตามวัยเคาะลงไปที่เนื้อไม้จนเกิดเสียง
“แม่เหรอ เข้ามาได้เลย พิไม่ได้ล็อก”
วิไลเอื้อมไปหมุนลูกบิดก่อนเปิดประตูจนอ้ากว้าง เผยยิ้มให้เด็กสาวรุ่นลูก “ป้าเองจ้ะ” คนตัวเล็กที่ง่วนอยู่กับการแพ็กสินค้ากุลีกุจอลุกขึ้นยืนหวังทำความเคารพ ทว่าแขกกิตติมศักดิ์กลับยกมือปราม “นั่งๆ ระวังของตก”
เจ้าหล่อนยิ้มแหย “แหะๆ” แล้วจึงนั่งลงกับที่ พนมมือแนบอก “สวัสดีค่ะป้าวี่ ห้องรกหน่อยนะคะ”
“ก็ของซื้อของขายทั้งนั้น ป้าเข้าใจจ้ะ” ว่าพลางทิ้งตัวลงนั่งพับเพียบที่พื้นใกล้ๆ กับเด็กสาว “ทำงานอยู่เหรอ”
“เอ่อ...ป้าวี่ขึ้นไปนั่งบนเตียงก็ได้ค่ะ”
“ทำไมล่ะ นั่งกับเราก็ได้นี่” คนอายุมากกว่าแสดงออกว่าไม่ยี่หระกับที่นั่ง ก่อนชวนเข้าเรื่องเพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา “ป้าว่าจะมาซื้อน้ำหอมจากหนูเพื่อไปเป็นหนึ่งในของสมนาคุณวันครบรอบสี่สิบปีของที่ร้านน่ะจ้ะ พอจะมีแนะนำป้าไหม”
พินรีเอียงคอมอง “หมายถึงว่า...?”
“ป้าคงต้องซื้อเยอะหน่อย เรามีของอยู่ในสต๊อกเยอะหรือเปล่า”
แม่ค้าตัวน้อยเบิกตาโต เดิมทีเธอไม่ทราบจริงๆ ว่ามารดาของวสุจะมาที่นี่ทำไม ตอนเห็นยังนึกตกใจอยู่เลย ผสมปนเปกับความอายที่ท่านต้องมาเห็นสภาพห้องนอนที่เต็มไปด้วยข้าวของระเกะระกะซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นของเกี่ยวกับการค้าขายทั้งสิ้น แต่พอทราบเจตนาก็ทำเอายิ้มแก้มแทบปริ
“มีค่ะ หนูมีไว้เยอะเลย ป้าวี่ต้องการตัวไหนเป็นพิเศษไหมคะ มีกลิ่นหอมหลายแบบมากค่ะ จะสดชื่น เฟรชๆ หวานๆ ก็มีค่ะ กลิ่นไม้ก็มีนะคะ”
ก่อนพินรีจะเริ่มร่ายสรรพคุณเกี่ยวกับสินค้าของตน ทั้งยังนำตัวสินค้าออกมาอวดโฉมเพื่อประกอบการตัดสินใจ วิไลก็เออออไปตามเรื่อง
ด้านคนอยากขายก็พูดด้วยตาเป็นประกายที่จะขายของได้ทีละจำนวนมาก เพราะปกติแล้วยอดขายร้านเธอไม่ได้มากมาย มันก็ใช่ว่าแม่ค้าออนไลน์จะรวยกันทุกคน แต่ก็ยังดีที่เธอมีรายได้ทางนี้เพิ่มอีกทางนอกจากธุรกิจของที่บ้าน ไม่อย่างนั้นฝันที่จะไถ่ที่ดินคืนคงไม่มีวันเป็นจริง
หมายถึงว่าตอนนี้ก็ยังไม่เห็นวี่แววจะเป็นจริงเหมือนกัน
“ป้าเอาเซ็ตนี้จ้ะ” หล่อนชี้ไปที่น้ำหอมยี่ห้อหนึ่งที่ทั้งเซ็ตมีทั้งหมดห้ากลิ่น “เอากลิ่นละห้าสิบขวด”
แม่ค้าสาวนิ่งงันไปหลายวินาที ก่อนดึงสติได้ “ป้าวี่จะซื้อสองร้อยห้าสิบขวดน่ะเหรอคะ”
“ใช่จ้ะ”
“ขวดใหญ่หรือแบ่งคะ”
“ขวดใหญ่เลย”
พินรีใช้สองเท้าเหยียบความดีใจไว้แล้วแจ้งคู่ค้าทางธุรกิจไปตามตรง “พิเป็นร้านเล็กๆ ที่แบ่งน้ำหอมขาย ไม่มีตุนไว้ขนาดนั้นหรอกค่ะ ป้าวี่จะใช้วันไหนเหรอคะ เดี๋ยวพิได้สั่งมาให้ก่อน”
“อังคารหน้าน่ะ”
“ทันค่ะ งั้นเดี๋ยวพิสั่งเลยนะคะ”
“เท่าไรล่ะ ป้าจ่ายเลยแล้วกันเราจะได้มีเงินหมุน”
ใบหน้านวลส่ายพัลวัน “พิออกก่อนได้ค่ะ เดี๋ยวได้ของป้าวี่ค่อยจ่ายให้พิแล้วกัน”
“ไม่เป็นไร เดี๋ยวป้าจ่ายเลย”
แม่ค้ายอมยกธงขาว เผยยิ้มน่ารักให้ผู้ใหญ่เอ็นดู “งั้นพิลดราคาให้นะคะ”
“ราคาเต็มมาเลย ป้าอยากอุดหนุน”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ป้าวี่อุตส่าห์ซื้อตั้งเยอะ ให้พิลดให้นะคะ”
วิไลทอดสายตามองอย่างอ่อนใจ “เจ้าเด็กคนนี้” ก่อนคว้าโทรศัพท์มือถือมาโอนเงินครึ่งแสนให้อีกฝ่าย เพราะตกขวดละสองร้อยนิดๆ
“ขอบคุณนะคะป้าวี่ที่เลือกร้านพิ ไว้ของมาถึงเมื่อไรพิจะรีบไปส่งให้ถึงบ้านเลยค่ะ”
“จ้า ขยันแบบนี้ขอให้ค้าขายร่ำรวยนะ”
พินรียกมือไหว้ปลกๆ “ขอบคุณค่ะ ที่จริงป้าวี่โทร. บอกพิก็ได้ค่ะ พิไปหาที่บ้านได้ ไม่น่าลำบากมาถึงนี่เลย ห้องมันออกจะแคบน่ะค่ะ รกด้วย”
หญิงวัยกลางคนเพียงยิ้ม ก่อนแสร้งทำหน้าสลดพลางทอดถอนลมหายใจราวหนักอกเสียเต็มประดา “ป้าไม่ได้มาแค่เพราะเรื่องน้ำหอมหรอก พอดีมีเรื่องสำคัญอยากมาคุยกับพิด้วย”
“เรื่องอะไรเหรอคะ”
ตอนแรกวิไลแค่แสร้งหนักใจ แต่บทจะต้องพูดออกไปหล่อนกลับหนักใจขึ้นมาจริงๆ ทว่าสุดท้ายก็จำเป็นต้องพูดเพราะไม่อยากให้ลูกชายหลงผิดไปมากกว่าที่เป็นอยู่ และคงมีแค่พินรีคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยครอบครัวโรจนวาณิชย์ได้
“เรื่องของตาสี่น่ะ”
พินรีกะพริบตาถี่ นับตั้งแต่วลีบอกว่าจะช่วย อีกฝ่ายก็ไม่ได้แง้มอะไรให้ทราบถึงแผนการหรือการเคลื่อนไหวใดๆ ทว่านี่คงเป็นหนึ่งในหมากของเพื่อนสนิท
“เฮียสี่ทำไมเหรอคะ”
“ตาสี่กำลังมีปัญหา และป้าคิดว่าพิเป็นคนเดียวที่จะช่วยได้” เธอนิ่งงัน “พิ”
“คะ...คะ?”
“ช่วยย้ายเข้าไปอยู่กับตาสี่ให้ป้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ”
♡⃛ ──────── ♡⃛
“ช่วยย้ายเข้าไปอยู่กับตาสี่ให้ป้าหน่อยได้ไหมจ๊ะ” แม้ไม่รู้แน่ชัดว่าแผนของเพื่อนนั้นดำเนินการอย่างไร และรู้ทั้งรู้ว่าการที่วิไลมาขอความช่วยเหลือก็คงเป็นเพราะการเดินเกมของวลี แต่อย่างไรก็ตาม พินรีตกใจอย่างไม่อาจเสแสร้งที่สิ่งนี้มันเกิดขึ้นจริง วงโคจรของเธอและคุณรักแรกขยับเข้าใกล้กันอย่างที่เคยวาดฝันไว้มาตลอด เสียงละมุนแลดูอ่อนโยนยังดังกระทบใบหู “ช่วยป้าหน่อยนะพิ ป้าไม่รู้จะหันไปพึ่งใครแล้ว มีแค่พิคนเดียวเท่านั้นที่ป้าไว้ใจให้ช่วย” สาวเจ้าเม้มปากเป็นเส้นตรง ก่อนคลายมันออกเพื่อสอบถามให้หายสงสัย “ใช่ว่าพิช่วยไม่ได้หรอกนะคะ แต่พิถามได้ไหมว่าเฮียสี่มีปัญหาอะไร” คราวนี้วิไลระบายลมหายใจอย่างเครียดจัด คิ้วได้รูปขมวดเข้าหากัน ความกังวลฉายชัดในแววตา “ป้าไม่อ้อมค้อมเลยนะ ตาสี่กำลังหลงผู้หญิงคนหนึ่งจนหน้ามืดตามัวเสียเงินเสียทองให้หลายบาทแล้ว ผู้หญิงคนนั้นก็ขยันสูบเลือดสูบเนื้อ ป้าทนให้ลูกตัวเองตกอยู่ในสภาวะแบบนั้นไม่ได้หรอก ก็เลยหวังจะให้พิไปอยู่คอยกันผู้หญิงคนนั้นออกจากตาสี่ ทำยังไงก็ได้ให้แม่นั่นหายไป ไม่มาวุ่นวายกับลูกชายป้าอีก” พินรีเงียบไปทันที จบเรื่องนี้หล่อนจำเป็นต้องถามไถ่เพื่อนสนิทว
บทที่ 2ลูกเจี๊ยบในเมืองใหญ่... วสุเป็นหนุ่มโสด รักอิสระ ชอบใช้ชีวิตคนเดียว เพราะลำพังทำงานกับเจ้านายที่ชอบใช้แรงงานทาสก็สูบพลังงานที่มีใช้ต่อวันไปเกือบหมดแล้ว หมอนั่นมันใช้งานเขาสารพัด มืดค่ำดึกดื่นไม่หลับไม่นอน ยังขยันโทร. มาสั่งงาน งานราษฎร์งานหลวงก็ต้องทำให้หมด ถ้าไม่ติดว่านับถือมันเป็นพี่ชายคนสนิท เขาลาออกไปเฝ้าร้านทองของที่บ้านนานแล้ว ด้วยประการฉะนั้น วสุมักใช้เวลาหลังเลิกงานในการพักผ่อน ซื้ออาหารมาทาน เปิดหนังดูสักเรื่อง นานๆ ทีจะออกไปท่องราตรีแล้วดีลสาวที่ถูกใจสักคน ไม่เหมือนน้องๆ ที่ขยันออกอย่างกับเป็นสัตว์กลางคืน และเพราะใช้ชีวิตแบบนั้นทุกคนจึงต้องการพื้นที่ส่วนตัว แม้คณะติดตามสส. เซียงจะอยู่ที่คอนโดมิเนียมเดียวกัน ชั้นเดียวกัน แต่ก็จับจองกันคนละห้อง เขาที่รักอิสระมากๆ ยังไม่อยู่ห้องเดียวกับน้องชายเลย แล้วจะยอมให้เด็กนั่นมาอยู่อาศัยร่วมชายคาด้วยน่ะหรือ สิ้นคิด! สายของมารดายังไม่ถูกวางเพราะเขายังไม่กระจ่าง “แล้วพิจะมาอยู่กรุงเทพฯ ทำไมครับ” (น้องจะไปหางานทำ) “ก็ทำอยู่ที่บ้านไม่ใช่เหรอ” เขาเงียบไปชั่วครู่เมื่อรู้ตัวว่ากำลังหลุดประเด็น ที่จริงพินรีจะทำงานที่ไหนมันก็ไม่เ
หนึ่งสัปดาห์ให้หลังพินรีก็เดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง โดยที่วิไลอาสาพาไปเองเลยด้วย หญิงสาวให้เหตุผลกับพ่อแม่ว่าจะไปหางานทำอย่างที่เคยนัดแนะไว้กับเจ้าของห้างทอง ตอนแรกพ่อแม่ก็เป็นกังวลเพราะอยู่ที่บ้านเกิดก็ใช่ว่าจะอดตาย งานการก็มีทำแล้ว แต่ในเมื่อลูกอยากออกไปก็ยากจะหักห้าม ไหนวิไลยังให้คำมั่นสัญญาว่าที่นั่นจะมีวสุคอยดูแลอย่างดี พวกเขาถึงได้เบาใจ และเพราะมีชื่อของวสุเข้ามาเกี่ยวข้อง ณรงค์และดวงพรจึงเดาได้ไม่ยากว่าทำไมลูกถึงอยากไป นาทีนี้ต่อให้แผ่นดินหรือแผ่นฟ้าก็มิอาจขวางกั้นลูกสาวตนเองได้ ระหว่างทางพินรีเนื้อเต้นด้วยความดีใจ นับจากวันนั้นที่วิไลมาหาถึงบ้าน เธอก็ติดต่อหาเพื่อนสนิทจนได้ทราบแผนการทุกอย่างว่ามีความเป็นมาอย่างไร แต่วลีบอกให้เหยียบไว้ด้วยมันมีความซับซ้อนอยู่มาก อาทิ สดายุไม่ทราบว่าเรื่องที่จะส่งพินรีไปอยู่กับวสุเป็นสิ่งที่สาวๆ คุยกันไว้แล้ว แต่พี่ชายคิดว่ามันเป็นความคิดของเธอคนเดียวที่นึกครึ้มอยากจับคู่ให้คนอื่น มารดาไม่ทราบว่าวลีเป็นคนออกหัวเพราะเธอบงการพี่ชายอยู่เบื้องหลัง และคิดไปเองว่าวสุพาสาวมากกไว้จริงๆ หรือวสุที่จะไม่มีทางรู้ว่าเบื้องหลังมีอะ
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ