“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ”
สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋
“น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง”
คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา
“อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ”
พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว
ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา
ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ”
เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ”
สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย”
“อย่าเพ้อเจ้อ”
เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่อนร่วมห้องนัก หลังค่อนขอดเสร็จจึงหมุนปลายเท้าไปทางหน้าห้อง แต่กลับถูกประชิดตัวด้วยความรวดเร็ว
ความไวเป็นเรื่องของปีศาจหรือของพินรีกันแน่
คนตัวใหญ่หยุดการก้าวเท้าไว้เท่านั้น “อะไรอีก”
“เฮียจะไปไหนคะ”
“ไม่เกี่ยวกับเธอ อีกอย่างเธอตกลงกับฉันแล้วว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องของกันและกัน”
หล่อนยู่ปาก “เรื่องแค่นี้เอง”
“แค่นี้หรือแค่ไหนไม่สำคัญ สำคัญคือสัญญาที่เราตกลงกันแล้ว”
ก่อนมาที่นี่วลีย้ำกับเธอว่าตนส่งถึงได้แค่นี้ คือการสานฝันให้ได้มาอยู่กับวสุ แต่หลังจากนี้ขึ้นอยู่กับความสามารถของเธอเองที่จะใช้วิชามารมัดใจเขาได้ ซึ่งการที่ทำตามกฎและอยู่ไปวันๆ มันจะมีประโยชน์อะไร พาตัวเองมาถึงขนาดนี้แล้วไม่ได้หวังแค่มาอยู่ใครอยู่มันกับเขาในห้องเดียวกันเสียหน่อย
เธอหวังเป็นเจ้าสาวของเขาต่างหาก
วสุเดินลิ่วๆ ไปหน้าห้อง พินรีก็เดินตามเหมือนเงา
เขาไม่ไล่ เธอก็ไม่กลับ
อันที่จริงเหมือนเขาจะไล่ทางสายตา แต่เธอไม่สะทกสะท้าน
หลังแทรกตัวเข้ามาอยู่ในลิฟต์ก็พยายามไสหน้าตัวเองไปอยู่ใกล้ๆ เขา “สรุปเฮียจะไปไหนคะ”
นัยน์ตาคมเข้มทอดมองคนถามด้วยความดุดัน ทั้งยังแสร้งปั้นเสียงขรึม “พาเด็กแถวนี้ไปปล่อยวัด”
“พิเหรอคะ”
ผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสส. ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เลิกพูดออกอ่าวออกทะเลก่อนตอบตัดบท “จะไปหาอะไรกิน”
เขาเปลี่ยนเรื่อง เธอก็ตามน้ำได้หมดไม่มีสะดุด “โอ๊ะ! พิหิวพอดีเลยค่ะ”
“ขยับไปหน่อย ที่ว่างเยอะแยะ”
พินรียอมถอยออกมาหนึ่งก้าว เธอรู้ว่าเวลาไหนควรถอยและเวลาไหนควรบุก ดันทุรังมากเกินไปวสุอาจจะรำคาญใจเอาได้
หล่อนสงบปากสงบคำและทำเพียงลอบมองเสี้ยวหน้าคมคายของชายอันเป็นที่รัก อมยิ้มอย่างอิ่มเอมใจโดยไม่ต้องมีคำพูดใด เพราะเท่านี้ก็เกินที่วาดฝันไว้แล้ว เดิมทีพินรีหมดหวังไปแล้วด้วยซ้ำ เธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าจะเอาตัวเองเข้าไปอยู่ในโลกของวสุได้อย่างไร
แต่ตอนนี้เขาอยู่ใกล้ๆ เธอ
ใกล้แค่นี้เอง...
ใกล้จนใจเต้นแรง
กว่าลิฟต์จากชั้นสี่สิบจะลงมาชั้นหนึ่งมันจึงต้องใช้เวลาพอประมาณ ไหนยังมีผู้อาศัยท่านอื่นเข้ามาใช้บริการด้วย พินรีขยับตัวไปทางพี่ชายเพื่อน โดยที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้ถดกายหนีด้วยมีพื้นที่จำกัด เสื้อผ้าเสียดสีกันอย่างมิอาจหลบเลี่ยงได้ พาใจดวงน้อยเต้นระส่ำทั้งยังอมยิ้มจนแก้มนวลพองฟู
หล่อนชำเลืองไปทางชายหนุ่มข้างกายที่ก็หลุบสายตามามองพอดิบพอดี นัยน์ตาดำขลับไร้คลื่นอารมณ์ใด ต่างกับแววตาสุกใสของพินรีที่ทอประกายความสุขสมใจจนเกรงว่าความอิ่มเอมจะล้นทะลักออกมาจากสองตา ริมฝีปากสีระเรื่อถูกเม้มเพื่อกลั้นยิ้ม ก่อนผินหน้าหนีสายตาคมกริบที่ค่อนข้างมีอิทธิพลต่อใจ
เธอคงชอบวสุมากเกินไป ต่อให้เขามองเหมือนหน่ายใจหรืออะไรก็ตาม พินรีก็ขอแค่ได้อยู่ในสายของชายอันเป็นที่รัก เทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่มีโอกาสได้ใกล้ชิด แบบนี้ดีกว่าเป็นไหนๆ
ให้หลังไม่นานนักลิฟต์ก็มาถึงชั้นหนึ่ง ผู้คนทยอยเดินออกเพื่อให้คนใหม่ได้เข้าไปด้านใน
“ไปร้านไหนเหรอคะ”
สาวน้อยจากปราจีนบุรีเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าพี่ชายเพื่อนมุ่งหน้าไปนอกอาคาร โดยที่เธอต้องสับเท้าให้ไวขึ้นด้วยช่วงขาสั้นกว่าวสุพอสมควร
ชายหนุ่มไม่ตอบแต่สืบเท้าเดินไปเรื่อยๆ ขายาวก้าวอาดๆ ไปด้านหน้าอย่างไม่คิดจะรอเพื่อนร่วมห้อง แต่พินรีก็ตามทันอยู่ดี
“เฮีย กินร้านไหนคะ”
วสุยังคงเงียบ กระทั่งเดินมาถึงหน้าร้านสะดวกซื้อถึงได้เข้าใจทุกอย่าง ทั้งสองเข้าไปด้านในโดยที่ฝ่ายชายหยุดอยู่แถวประตูแล้วคว้าตะกร้ามาหนึ่งใบ พินรีก็ทำตามเหมือน Copycat ที่ไม่ว่าคนตัวใหญ่จะทำอะไร เธอก็ลอกเลียนแบบทุกอย่าง เขาเดินไปโซนไหนเธอก็เดินตาม เขาหยุดเธอก็หยุด
“อันนี้อร่อยค่ะ พิเคยกิน” ไม่ว่าเปล่า ยังหยิบขนมปังกลิ่นนมฮอกไกโดลงตะกร้าตัวเองแล้วหันไปพยักหน้าถี่รัวให้คนตัวโต “อร่อยจริงๆ นะคะ มีน้อยด้วย ของแรร์สุดๆ”
ขนมปังถุงสีฟ้าถูกโยนลงไปในตะกร้าตามคำเชียร์ของพินรี ที่พอเห็นว่าเขายอมซื้อของตามตนก็ฉีกยิ้มกว้าง
คนตัวเล็กชวนคุยระหว่างเดินดูของ “พิเปิดตู้เย็นดูแต่ไม่มีอะไรเลย ปกติเฮียไม่ทำกับข้าวเองเหรอคะ”
“ยุ่งยาก” ว่าพลางก้าวเดินไปหยุดอยู่ยังโซนข้าวกล่องและสารพัดอาหารกึ่งสำเร็จรูป ที่แค่โยนใส่ไมโครเวฟก็อิ่มท้อง เขาชอบความสะดวกแบบนี้มากกว่าการพิถีพิถันจัดเตรียมวัตถุดิบ ลงมือทำ ไหนยังต้องเก็บกวาดเช็ดถูหลังทำเสร็จอีก
“แต่พิทำเป็น ทำอร่อยด้วย ให้พิรับผิดชอบส่วนนี้นะคะ เฮียจะได้ไม่ต้องกินของเวฟ โซเดียมมันเยอะนะ”
“ฉันชอบโซเดียม”
หล่อนยิ้มแหย “ถึงว่า”
ชายหนุ่มชะงักมือที่เอื้อมไปคว้าอาหารไว้กลางอากาศแล้วหันไปหรี่ตาแคบใส่คู่สนทนา “อะไร”
“เปล่าค่ะ” ก่อนเสเปลี่ยนเรื่อง “งั้นพิกินด้วย พิก็ยังไม่ได้กินข้าวเย็น”
อันที่จริงแล้วพินรีก็หาใช่พวกรักสุขภาพ แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นนักทำลาย ปกติแล้วเธอทานข้าวที่บ้านโดยที่เป็นฝ่ายจัดการเรื่องอาหารการกินให้ครอบครัว เพราะพ่อและแม่ง่วนอยู่กับการขายของทั้งวัน ขายเสร็จก็ใช่ว่าพักได้ ยังต้องเตรียมของสำหรับขายในวันพรุ่งนี้เช้า พ่อแม่เธอตื่นตั้งแต่ตีสี่ครึ่งเพื่อมาเตรียมของจะได้ขายทันช่วงเช้า ตกเย็นก็ขายซาลาเปาขนมจีบกว่าจะทำทุกอย่างเสร็จสรรพก็มืดค่ำดึกดื่น อะไรที่พอจะช่วยแบ่งเบาภาระพ่อแม่ได้ พินรีก็อยากทำ
การที่เธอมาอยู่ที่นี่ก็ได้แต่หวังว่าพ่อแม่จะไม่เหนื่อยจนเกินไป แต่จะทำอย่างไรได้ ภารกิจจีบเฮียสี่ก็สำคัญ
คิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยหล่อนก็นิ่งงันไปจนวสุยังผิดสังเกต เขาว่า “เป็นอะไรอีกล่ะ”
“เฮีย พิลืมหยิบกระเป๋าตังมาค่ะ”
เพราะทันทีที่วสุเดินออกมาจากห้อง พินรีก็ปรี่เข้าหาจนไม่ได้หยิบอะไรติดมือมาสักอย่าง ทั้งกระเป๋าสตางค์ที่ตั้งอยู่ตรงหน้า ทั้งมือถือที่ตอบแชตลูกค้าอยู่ เธอทิ้งหมด
ชายหนุ่มหรี่ตาแคบ “ฉันเกลียดมุกนี้จริงๆ กลับไปเอา”
สาวเจ้าย่นหัวคิ้วเข้าหากันอย่างไม่อยากเชื่อหูตัวเอง “ต้องให้พิกลับขึ้นไปที่ห้องน่ะเหรอคะ” เจ้าของร่างกำยำเพียงแค่พยักหน้ารับอย่างไม่ทุกข์ร้อนใดๆ “แต่มันชั้นสี่สิบนะ”
“ไปเอามา”
“ออกให้พิก่อนได้ไหม เดี๋ยวกลับห้องแล้วพิคืนเลย ไม่บิดหรอกค่ะ”
ใบหน้าคมคายส่ายไปมาเพื่อปฏิเสธ ก่อนติเตียน “เดี๋ยวเธอจะย่ามใจ ไม่รอบคอบ”
“เฮียอย่าใจร้ายกับพินักสิ เรื่องแค่นี้เอง ไหนก่อนหน้านี้เฮียยังถามพิว่ามีเงินใช้หรือเปล่า ถ้าไม่มีจะให้ยืม นี่ไงคะ พิขอยืม”
วสุกล่าวเสียงแข็ง “คนละกรณีกัน กลับไปเอามา เดี๋ยวรอ”
“โธ่เฮีย ยืมนี่ก็ไม่ใช่จะยืมเยอะยืมนาน กลับห้องก็จ่ายให้แล้ว”
“งั้นก็กลับห้องแล้วไปเอามาจ่ายเองเลยสิ ไป อย่าลีลา”
พินรีกระแทกลมหายใจใส่ชายตัวโตแล้ววางตะกร้าของตัวเองลงใกล้ๆ กับเขา ก่อนหมุนตัวเดินออกจากร้านสะดวกซื้อเพื่อกลับไปยังตึกสูงระฟ้าด้วยสีหน้าบึ้งตึง
วลีเคยเตือนแล้วว่าวสุเป็นพวกหน้าเลือด แต่ก็ไม่คิดว่าจะอาการหนักขนาดนี้ ออกให้เธอก่อนก็ไม่ทำให้เขาขาดสภาพคล่องทางการเงินแต่อย่างใด ที่หยิบๆ ไปมันจะสักเท่าไรเชียว ถึงสองร้อยหรือเปล่าก็มิอาจทราบ แต่เงินแค่นี้เขากลับออกให้ก่อนไม่ได้ เธอก็ใช่ว่าจะไม่คืนเสียหน่อย
สงสัยพี่ชายยายรี่กินเป็นแต่โซเดียมถึงได้เค็มยิ่งกว่าเกลือ ได้เป็นเมียเมื่อไรจะเอาคืนร้อยเท่าพันทวีเลยคอยดู!
♡⃛ ──────── ♡⃛
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
บทนำ... ณ บ้านหลังงามของตระกูลพ่อค้าทองคำแห่งเมืองสมุนไพรอย่างโรจนวาณิชย์ บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อที่เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานรักของลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน วลี โรจนวาณิชย์ เจ้าของร้านเครื่องประดับสุดหรูของปราจีนบุรีอย่าง Larimar Jewelry ที่ควงคู่ทายาทร้านอะไหล่จากมิตรภาพยานยนต์เช่น แทนคุณ วงศ์ชวาลา เข้าประตูวิวาห์หลังจากทั้งคู่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เป็นเวลาเก้าปีของบ่าวสาวที่ช่วยกันปลูกต้นรักจนสุกงอมได้ที่ พร้อมผลิดอกออกผลในวันที่ทั้งคู่โตพอจะสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างวันนี้ โดยมีใครบางคนที่ปีติไม่ต่างจากบ่าวสาว ใครคนนั้นที่อยู่เคียงข้างคู่รักมาตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ด้วยฝ่ายชายอายุมากกว่าสองปี มีช่วงที่แทนคุณเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง รักทางไกลย่อมมีปัญหาบ้าง ก็ได้ใครคนนั้นช่วยเป็นตัวกลางคอยเชื่อมให้เสมอ วันนี้ใครคนนั้นมาในฐานะเพื่อนเจ้าสาว...พินรี เพื่อนที่ดีที่สุดของน้องเล็กแห่งบ้านพ่อค้าทองคำ เจ้าหล่อนมองดูเพื่อนสนิทในชุดเจ้าสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยตนเองมีความสุขไม่ต่างจากบ่าวสาวเลย เพราะนอกจากจะได้ส่งเพื่อนรักและรุ่นพี่เข้าประตูวิวาห์แล้วนั้น ว
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ