พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง
ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ
พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า
ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ
ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง
พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ”
“มีงานมีการต้องทำ”
“ชอบจังคนตื่นเช้า”
เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร”
“ตื่นสายก็ชอบค่ะ”
คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ”
หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ
วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมาอยู่ร่วมชายคา และมันยิ่งไปกันใหญ่เมื่อคนคนนั้นคือพินรีที่ระดับความหัวรั้นมันพุ่งขึ้นตามอายุ แต่เขาทำอะไรได้นอกจากต้องยอมรับ เพราะให้ผิดใจกับมารดาก็ไม่อยากทำ สำคัญเลยคือสิ่งที่เขาจะได้รับหลังจากนี้
อดเปรี้ยวไว้กินหวาน คนอย่างวสุทำได้อยู่แล้ว
ให้หลังไม่นานนักพินรีก็เดินออกมาจากห้องน้ำ สภาพโดยรวมดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเก่า
เจ้าหล่อนปรี่มาทิ้งกายนั่งลงข้างเขาหลังนำสัมภาระเข้าไปเก็บในห้องนอนเป็นที่เรียบร้อย
“เฮียจ๋า เดี๋ยววันนี้พิออกไปซื้อของเข้าครัวให้น้า เช้าๆ แบบนี้เฮียจะได้มีอาหารอร่อยๆ กินก่อนไปทำงาน”
นัยน์ตาคู่คมเหลือบมองผู้พูด “อย่าผิดสัญญา”
“สัญญาอะไรคะ พิไม่เห็นรู้เรื่อง”
“ฉันไม่ชอบให้เธอเรียกแบบนั้นจริงๆ นะพิ”
ดวงหน้านวลสลดลงเล็กน้อย เธออยากออดอ้อนเขาเผื่อว่ากำแพงน้ำแข็งที่กั้นไว้สูงเสียดฟ้าจะถล่มลงมา พินรีหวังว่าความใกล้ชิดจะทำลายปราการกั้นหัวใจแสนเยือกเย็นของเขาได้ แต่เธอลืมไป ยิ่งอยู่ใกล้น้ำแข็งก็ยิ่งหนาวเหน็บ
หล่อนสะกดกลั้นความน้อยเนื้อต่ำใจแล้วระบายยิ้มกว้างให้กับคู่สนทนา “ขอโทษนะคะ พิไม่แกล้งแล้วค่ะ” ไม่ว่าเปล่า สาวเจ้ายังขยับออกเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างระหว่างกัน
ภายในห้องมีความเคลื่อนไหวเพียงเสียงของผู้ประกาศข่าว วสุที่ให้ความสนใจไปที่หน้าจอไอแพด และเธอที่ลอบมองเขาอยู่เงียบๆ
กาแฟถูกจิบจนหมดแก้ว ร่างสูงจึงผุดตัวลุกขึ้นยืนพร้อมแก้วในมือ ทว่ามันกลับถูกคนตัวเล็กแย่งไปถือ
“เดี๋ยวพิเอาไปเก็บให้ค่ะ” ว่าจบก็ทำตามที่ลั่นวาจาไว้ก่อนกลับมานั่งที่เดิม ใบหน้านวลถูกแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “เฮียมีอะไรที่อยากได้เป็นพิเศษไหมคะ หรือว่ามีของใช้อะไรที่ใกล้หมด พิจะได้ซื้อมาให้”
“ไม่ต้องเผื่อแผ่มาถึงฉันหรอก เธอซื้อแค่ของเธอก็พอ กับข้าวก็ด้วย ไม่ต้องซื้อมาทำให้ฉันกิน หากินเองได้”
“ก็พิอยากทำให้นี่” หล่อนยู่ปากใส่ แต่ครู่เดียวก็ต้องปรับสีหน้าให้เป็นปกติพร้อมแบมือไปตรงหน้าฝ่ายชาย “ขอค่ากับข้าวหน่อยค่ะ”
จากที่วสุดูไม่สบอารมณ์เป็นทุนเดิม ตอนนี้มันทวีหนักกว่าเก่า
เขากล่าวเสียงเข้ม “ไม่ให้ ไม่เกี่ยวอะไรกับฉัน”
“เกี่ยวค่ะ ก็พิจะซื้อมาทำให้เรากินไงคะ ช่วยกันออกก็ถูกแล้ว เพราะถ้าพิต้องออกคนเดียวมันก็หนักอยู่นะ พิไม่ใช่จะรวยด้วยสิ”
“ฉันไม่กิน” ก่อนสำทับเสียงดุ “อย่าต้องให้พูดเรื่องเดิมซ้ำๆ โตๆ กันแล้วพูดคำสองคำให้มันรู้เรื่องบ้าง”
แทนที่พินรีจะสำนึก หล่อนกลับเอียงคอมอง “สรุปเฮียมองว่าพิโตหรือเป็นเด็กกันแน่คะ”
วสุหาเสียงตัวเองไม่เจอไปพักใหญ่
“ไม่กี่วันก่อนเฮียบอกว่าพิไม่โตเลยเป็นเจ้าสาวของเฮียไม่ได้ วันนี้บอกโตแล้ว สรุปว่าในสายตาเฮียตอนนี้พิก็ไม่เด็กแล้วน่ะสิ อย่าบอกนะว่าเป็นเจ้าสาวได้แล้วอะ”
เขาระบายลมหายใจออกอย่างหนักอก “แล้วแต่เธอจะคิดเถอะ”
สิ้นประโยควสุก็ลุกขึ้นยืน ก่อนผละออกไปเพื่อเตรียมตัวไปทำงานเพราะเช้านี้มีเดินทางไปต่างจังหวัด เขาและพลพรรคจึงต้องเริ่มงานเช้ากว่าปกติ
ร่างระหงยันตัวขึ้น หมุนตัวไปทางหน้าห้องจนสายตาคู่งามปะทะเข้ากับร่างแกร่งของชายฉกรรจ์ “สู้ๆ นะคะ พิเป็นกำลังใจให้ค่ะ”
ก่อนจะก้าวถึงประตูเขายังหันกลับมาตอบโต้เพื่อนร่วมห้อง “คนเดียวที่ฉันต้องสู้ด้วยก็เห็นจะมีแต่เธอนี่แหละ”
ริมฝีปากบางเปิดกว้างเพื่อส่งเสียงหัวเราะชอบอกชอบใจที่เขามีปฏิกิริยาตอบโต้ มันก็ดีกว่าเขาเมินเฉยใส่กันเหมือนที่ผ่านมา ที่หน้าก็ไม่ค่อยจะมอง เรื่องที่จะคุยด้วยนั้นปิดประตูไปได้เลย ถ้าไม่มีโอกาสนี้ให้คว้าไว้ เธอไม่มีทางได้พูดคุยกับเขาเป็นวรรคเป็นเวรอย่างตอนนี้แน่นอน
เช่นนั้นแล้วต่อให้จะถูกเขาดุบ้าง บ่นบ้าง ก็ยังดีที่มีปฏิสัมพันธ์ต่อกัน
คล้อยหลังการไปของวสุ พินรีก็ใช่ว่าจะปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ แพลนวันนี้ของเธอค่อนข้างรัดตัว ทั้งส่งของให้ลูกค้า ซื้อของเข้าครัวทั้งของใช้และวัตถุดิบ สำคัญเลยที่นี่คือกรุงเทพฯ ไม่ใช่ปราจีนบุรี
ต้องเผื่อเวลาไปงมถนนหนทางของเมืองหลวงด้วย
ด้วยประการทั้งปวง เธอจึงไม่รีรอที่จะจัดแจงธุระส่วนตัวแล้วออกจากที่พักให้เร็วที่สุด โชคยังดีที่สมัยเรียนเคยมาบ้างจึงไม่งงไปเสียทีเดียว แต่ที่ผ่านมามีวลีอยู่ด้วยตลอด ครั้งนี้เป็นเธอคนเดียวเท่านั้นที่อยู่ท่ามกลางเมืองใหญ่ จะไม่ให้รู้สึกประหม่าก็ใช่ที่ ถึงกระนั้นไก่เน่าตัวน้อยๆ ก็ถูๆ ไถๆ ไปตามครรลองจนสามารถส่งของให้ลูกค้าได้เสร็จสรรพ ก่อนพาตัวเองมาซื้อข้าวของเครื่องใช้สำหรับในครัว
ถึงวสุจะไม่ให้ความร่วมมือ แต่อย่างไรเสียมันก็ถือเป็นของจำเป็น เพราะเธอไม่สามารถซื้ออาหารทานได้ทุกมื้อ ไม่อย่างนั้นเงินที่หามาได้จะไม่เหลือเก็บ ซึ่งนั่นคงไม่ใช่เรื่องที่ดี และถึงจะเป็นเธอที่ออกค่าใช้จ่ายทุกอย่างเพียงคนเดียวแต่ก็ไม่คิดเห็นแก่ตัว อย่างน้อยๆ ห้องที่อยู่ก็เงินของเขา เธอจะทำอาหารเผื่อเขาอย่างที่ตั้งใจไว้
แม้ว่าเขายืนกรานที่จะไม่ทานมันก็ตาม แต่เธอก็อยากแสดงความมีน้ำใจ
พินรีง่วนอยู่กับการเลือกของใช้ในครัว พวกกระทะ ตะหลิว หม้อหุงข้าว และอีกสารพัดอย่าง ซึ่งราคาแต่ละชิ้นนั้นไม่ถูกไม่แพง แต่ก็ทำเอาสาวน้อยต้องกัดฟันสู้อยู่ในที ไหนพอเจอของน่ารักราคามันก็พุ่ง จะไม่ซื้อใจก็เรียกร้องให้หยิบ
ค่าเสียหายสองใบเทานิดๆ พินรีปรับมุมมองว่านี่คือการลงทุนมัดใจวสุ ก็ถ้าเธอได้ทำอาหารให้เขาทานทุกวันคงมีเรื่องให้คุยกันมากขึ้น ความห่างเหินจะค่อยๆ มลายไป ความใกล้ชิดจะมีเพิ่มขึ้น กำแพงหัวใจน้ำแข็งจะถูกความร้อนหลอมละลายในที่สุด
หลังได้เครื่องครัวทั้งหมดก็เปลี่ยนเส้นทางไปซื้อวัตถุดิบ ตอนนี้เธอเหมือนพวกบ้าหอบฟางไม่มีผิด
พินรีเลือกซื้อของที่วสุชื่นชอบเพื่อทำเมนูโปรดของฝ่ายชาย แต่ระหว่างนั้นกลับนึกถึงเรื่องสำคัญได้จึงรีบหยิบมือถือขึ้นมาส่งข้อความหาใครบางคน ที่แม้จะไม่ได้เป็นเพื่อนบนเฟซบุ๊กแต่ก็สามารถส่งข้อความหากันได้
พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: เฮีย ที่ห้องไม่มีข้าวสารใช่ไหมคะ พิจะได้ซื้อเข้าไปเลย
หล่อนรออยู่เกือบสิบนาทีกว่าที่คู่สนทนาจะเปิดอ่าน
Vasu Rojanawanich: เธอจะแบกข้าวสารกลับยังไง เก่งมากมั้ง
พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: พิทำได้ค่ะ อาจจะซื้อถุงเล็กๆ ไปก่อนเพราะวันนี้ซื้อของเยอะแล้ว แล้ววันอื่นค่อยซื้อกระสอบใหญ่Vasu Rojanawanich: ตอนนี้อยู่ไหน
พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: ถามทำไมคะVasu Rojanawanich: มีหน้าที่ตอบก็แค่ตอบ จะได้ให้ยี่ไปรับ
Vasu Rojanawanich: ที่ซื้อของไปทั้งหมดนั่นเก็บบิลไว้ด้วย กลับห้องแล้วจะเคลียร์ให้♡⃛ ──────── ♡⃛
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
บทนำ... ณ บ้านหลังงามของตระกูลพ่อค้าทองคำแห่งเมืองสมุนไพรอย่างโรจนวาณิชย์ บัดนี้เนืองแน่นไปด้วยแขกเหรื่อที่เดินทางมาเพื่อเป็นสักขีพยานรักของลูกสาวคนสุดท้องของบ้าน วลี โรจนวาณิชย์ เจ้าของร้านเครื่องประดับสุดหรูของปราจีนบุรีอย่าง Larimar Jewelry ที่ควงคู่ทายาทร้านอะไหล่จากมิตรภาพยานยนต์เช่น แทนคุณ วงศ์ชวาลา เข้าประตูวิวาห์หลังจากทั้งคู่คบหากันมาตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมปลาย เป็นเวลาเก้าปีของบ่าวสาวที่ช่วยกันปลูกต้นรักจนสุกงอมได้ที่ พร้อมผลิดอกออกผลในวันที่ทั้งคู่โตพอจะสร้างครอบครัวด้วยกันอย่างวันนี้ โดยมีใครบางคนที่ปีติไม่ต่างจากบ่าวสาว ใครคนนั้นที่อยู่เคียงข้างคู่รักมาตั้งแต่ในรั้วโรงเรียน ด้วยฝ่ายชายอายุมากกว่าสองปี มีช่วงที่แทนคุณเข้าไปเรียนมหาวิทยาลัยในเมืองหลวง รักทางไกลย่อมมีปัญหาบ้าง ก็ได้ใครคนนั้นช่วยเป็นตัวกลางคอยเชื่อมให้เสมอ วันนี้ใครคนนั้นมาในฐานะเพื่อนเจ้าสาว...พินรี เพื่อนที่ดีที่สุดของน้องเล็กแห่งบ้านพ่อค้าทองคำ เจ้าหล่อนมองดูเพื่อนสนิทในชุดเจ้าสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม ด้วยตนเองมีความสุขไม่ต่างจากบ่าวสาวเลย เพราะนอกจากจะได้ส่งเพื่อนรักและรุ่นพี่เข้าประตูวิวาห์แล้วนั้น ว
บทที่ 1ลูกเจี๊ยบกับหลุมล่อแมว... “แล้วเฮียมันว่าไง” พินรีถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้กับคำถามของเจ้าสาวป้ายแดง “บอกว่ายังโตไม่พอ” เรียวคิ้วสวยได้รูปของวลีมุ่นเข้าหากันเป็นปม “ฮะ?” ใบหน้าจิ้มลิ้มพยักขึ้นลงอย่างหมดแรง “อื้อ พอถามว่าแล้วต้องโตแค่ไหนถึงจะพอ เฮียเขาก็บอกว่าไม่มีวันพอ แล้วก็เดินไปเลย” วลีผ่อนลมหายใจออกมาพรืดใหญ่ ส่ายหน้าไปมาด้วยรู้สึกไม่เข้าท่าขึ้นทุกวัน “พอๆ คบกับหมอขลุ่ยเถอะ ช่างหัวไอ้พวกขี้เก๊ก เล่นตัวอย่างกับหล่อมากอะ” “นั่นเฮียเธอด้วยซ้ำ” “ก็เพราะยังมีคำว่าเฮียค้ำคอถึงพูดแค่นี้ไง ถ้าไม่ได้เป็นพี่น้องกันฉันคงว่าแรงกว่านี้” พินรีก้มหน้าลงไปตอบข้อความลูกค้าที่ส่งเข้ามาเพื่อสอบถามเกี่ยวกับรายละเอียดของน้ำหอม เสร็จสรรพจึงเงยหน้าขึ้นมาต่อบทสนทนากับเพื่อนสนิท “หรือมันเพราะฉันดูไม่โตจริงๆ” “ไม่เกี่ยวกันพิ ที่เฮียมันพูดคือต่อให้เธอโตกว่านี้ เป็นสาวกว่านี้ มันก็ไม่สน อย่าเสียเวลาเลย” เจ้าของ Larimar Jewelry ทราบดีอยู่แล้วว่าต่อให้พูดอย่างไรก็ไม่เข้าหูแม่ค้าน้ำหอม หากเข้า ก็เข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอะไรไปมิเคยนำพาเพราะพินรีหาทางปีนขึ้นจากหลุมรักของพี่ชายตัวเองไม่ได้ เธอก็อยาก
แผนการที่ถูกกลั่นออกจากมันสมองอันเฉลียวฉลาดของน้องสาว ถูกพี่ชายสานต่ออย่างสามัคคี กลายเป็นคู่หูที่ทำงานด้วยกันอย่างเข้าขา แม้ว่าเขาจะถูกน้องรักหยิกจนหลังเขียวก็ตาม หลังเลิกงานพี่ๆ ในกลุ่มก็เดินทางกลับคอนโดมิเนียมเพื่อพักผ่อน เว้นก็แต่รถคันของท่านสส. ที่มีผู้เชี่ยวชาญอย่างพี่ชายแท้ๆ กับพลขับซึ่งเป็นเพื่อนสนิทของตน ที่วนไปส่งเจ้านายที่เพนต์เฮาส์ กับตัวเขาเองที่ถูกโยกมาดูแลความปลอดภัยของเมียเจ้านายที่ร้านชาเฮาส์ เขาเมินข้อความของคมชาญที่ส่งมาถามในกลุ่มว่าคืนนี้จะออกไปไหนไหม เพราะมีเรื่องสำคัญให้ต้องจัดการ ตอนนี้สดายุนั่งอยู่ในมุมหนึ่งของร้านกาแฟ โดยมีอีกสองชีวิตช่วยกันเก็บร้าน เป็นอัปสราและชื่นพธู คนพี่ท้องได้สามเดือนนิดๆ แต่ไม่ยอมลางาน เพราะไม่มีอาการแพ้ท้องที่รุนแรง เขาจึงถูกส่งมาประจำที่นี่แทนที่จะไปช่วยงานสัตรา คนน้องเพิ่งเรียนจบไม่รู้จะทำอะไร อาศัยทักษะการชงเครื่องดื่มที่มีติดตัวมาสมัครงาน เดิมทีชยินซึ่งเป็นเจ้าของร้านหน้าเลือดไม่คิดจะจ้างใครเพิ่ม แต่เพราะอัปสราตั้งครรภ์จึงไม่อยากให้ทำงานหนัก สุดท้ายก็ยอมจ้างชื่นพธู ส่วนตัวเจ้าของวันนี้ไม่ได้เข้ามาที่ร้านอีกเช่นเคย สองสาวพูดคุ
ภายในห้องนอนขนาดกะทัดรัดอัดแน่นไปด้วยกล่องพัสดุจนแทบไร้ที่ว่าง มันถูกวางทั้งบนโต๊ะคอม เตียงนอนและพื้นห้อง ใกล้กันมีโต๊ะเล็กๆ ไว้วางบรรดาขวดน้ำหอม ถัดไปอีกมุมหนึ่งเป็นมุมสำหรับถ่ายรูปลงอินเทอร์เน็ต เจ้าของห้องนั่งอยู่บนพื้นหน้าโต๊ะน้ำหอม ทำการแบ่งน้ำหอมจากขวดใหญ่ใส่ขวดเล็กเพื่อส่งให้ลูกค้า ห้องทั้งห้องอบอวลไปด้วยกลิ่นหอม ส่งผลให้ตัวแม่ค้าเองก็หอมจนเดินไปไหนมาไหนใครต่างก็พากันเหลียวไปตามกลิ่น นอกจากนั้นหน้าตาของพินรีก็น่ารักจิ้มลิ้ม ผิวขาวอมชมพู ตัวเล็กฉบับสาวไซซ์มินิ มาพร้อมกับผมยาวสีน้ำตาลคาราเมลเหมือนสีดวงตาของเจ้าหล่อน นิยามได้ว่าพินรีเป็นสาวที่ใครๆ จะตกหลุมรักได้ไม่ยาก ยกเว้น ‘เขา’ คนเดียวเท่านั้นที่เลี่ยงหลุมรักของแม่สาวสดใสคนนี้ได้ ช่วงบ่ายที่บ้านเชาว์เจริญมีสองสามีภรรยาช่วยกันเตรียมของเพื่อขายซาลาเปาและขนมจีบ ที่ไม่ว่าจะเป็นสองสิ่งนี้หรือปาท่องโก๋กับน้ำเต้าหู้ ก็ล้วนแต่เป็นการทำเองทั้งหมด ขายมาตั้งแต่แต่งงานกันแรกๆ จนลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนโตเป็นสาว ณรงค์กับดวงพรก็ไม่เคยคิดจะทอดทิ้งธุรกิจนี้เพราะรักและชื่นชอบการค้าขาย ยิ่งตอนนี้พวกเขากลายเป็นร้านที่อยู่คู่ชุมชนมานาน มีลูกค้าประ
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ