หนึ่งสัปดาห์ให้หลังพินรีก็เดินทางออกจากบ้านเกิดเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวง โดยที่วิไลอาสาพาไปเองเลยด้วย หญิงสาวให้เหตุผลกับพ่อแม่ว่าจะไปหางานทำอย่างที่เคยนัดแนะไว้กับเจ้าของห้างทอง ตอนแรกพ่อแม่ก็เป็นกังวลเพราะอยู่ที่บ้านเกิดก็ใช่ว่าจะอดตาย งานการก็มีทำแล้ว แต่ในเมื่อลูกอยากออกไปก็ยากจะหักห้าม ไหนวิไลยังให้คำมั่นสัญญาว่าที่นั่นจะมีวสุคอยดูแลอย่างดี พวกเขาถึงได้เบาใจ
และเพราะมีชื่อของวสุเข้ามาเกี่ยวข้อง ณรงค์และดวงพรจึงเดาได้ไม่ยากว่าทำไมลูกถึงอยากไป นาทีนี้ต่อให้แผ่นดินหรือแผ่นฟ้าก็มิอาจขวางกั้นลูกสาวตนเองได้
ระหว่างทางพินรีเนื้อเต้นด้วยความดีใจ นับจากวันนั้นที่วิไลมาหาถึงบ้าน เธอก็ติดต่อหาเพื่อนสนิทจนได้ทราบแผนการทุกอย่างว่ามีความเป็นมาอย่างไร แต่วลีบอกให้เหยียบไว้ด้วยมันมีความซับซ้อนอยู่มาก อาทิ สดายุไม่ทราบว่าเรื่องที่จะส่งพินรีไปอยู่กับวสุเป็นสิ่งที่สาวๆ คุยกันไว้แล้ว แต่พี่ชายคิดว่ามันเป็นความคิดของเธอคนเดียวที่นึกครึ้มอยากจับคู่ให้คนอื่น มารดาไม่ทราบว่าวลีเป็นคนออกหัวเพราะเธอบงการพี่ชายอยู่เบื้องหลัง และคิดไปเองว่าวสุพาสาวมากกไว้จริงๆ หรือวสุที่จะไม่มีทางรู้ว่าเบื้องหลังมีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับวลี สดายุและพินรีที่ไม่รู้แน่ชัดถึงเหตุผลที่วสุยอมทำตามคำของคุณนายวิไล
ในสมการนี้ทุกคนล้วนโดนหลอกและหลอกคนอื่น จะมีก็แต่เหยื่อบริสุทธิ์ที่โดนเล่นงานจากทุกภาคส่วนอย่างผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสส.
สำหรับพินรีแล้วรู้อยู่เต็มอกว่าสิ่งที่ทำไม่ใช่เรื่องที่ดี แต่คนเราก็แบบนี้ รู้แต่เกินหักห้ามใจ
แมลงเม่ายังบินเข้ากองไฟ แล้วเธอเป็นใครจะไม่บินตามล่ะ
ก็ถ้ามันทำให้ได้อยู่กับวสุ นั่นน่าเสี่ยงดูมิใช่หรือ เพราะหากอยู่ที่บ้านเกิดก็คงมีแต่รอเขาพาสาวชาวกรุงมาเปิดตัว เพื่อนๆ จะได้หัวร่อเอาที่เธอต้องอกเดาะ และคงจะยอมให้เป็นเช่นนั้นไม่ได้
เธอรักของเธอมาตั้งนาน หน้าไหนจะแย่งไปไม่ได้เด็ดขาด
ด้วยประการทั้งปวง แม้จะเป็นทางเดียวที่สามารถไต่ไปถึงที่หมายได้ ผิดถูกไม่สน เธอขอไปให้ถึงกลางใจเขาเป็นพอ
“ตื่นเต้นเหรอพิ”
เจ้าของชื่อหันไปทางหญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย ที่แม้อายุจะเข้าเลขหกแล้วแต่ก็ยังสวยไม่สร่าง ผิวพรรณขาวผ่องเหมือนคุณนายในละครหลังข่าว
เด็กสาวคราวลูกฉีกยิ้มยิงฟันให้เจ้าของคำถาม “นิดหนึ่งค่ะ เมื่องานแต่งรี่ที่ได้เจอเฮียสี่ เฮียเขาหล่อกว่าเดิมอีก พอคิดว่าจะได้อยู่กับคนหล่อๆ แบบเฮีย พิก็อดจะตื่นเต้นไม่ได้จริงๆ ค่ะป้าวี่”
พินรีก็เป็นแบบนี้มาแต่ไหนแต่ไร หลังผ่านการลั่นวาจาว่าอยากเป็นเจ้าสาวของวสุกลางคนเยอะๆ การที่เธอจะพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้ใหญ่หาใช่เรื่องแปลก
“ชอบล่ะสิ” สาวเจ้ายิ้มเขินอาย แก้มนวลแดงปลั่งเหมือนลูกตำลึงสุก พาคนมองยิ้มตามไปด้วย ก่อนเอ่ยด้วยท่าทีสบายอารมณ์ “ทำให้เฮียเขามาชอบเราสิ ถ้าเป็นพิ ป้ายินดีให้เป็นสะใภ้นะ”
สิ้นประโยคนั้นพินรีก็คล้ายกับถูกสูบวิญญาณออกจากร่าง เธอรู้ว่าคนบ้านนั้นไม่ได้ต่อต้านหรือรังเกียจรังงอนอะไรกัน แต่นี่นับเป็นครั้งแรกที่วิไลสนับสนุนอย่างตรงไปตรงมา
วิไลว่าต่อ “ป้าเดาว่าตาสี่ก็คงไม่ได้ปิดกั้นตัวเองอะไรนักหรอก” ไม่อย่างนั้นคงไม่พูดเรื่องลูก และจำเป็นต้องส่งพินรีไปขัดขวางก่อนที่หล่อนจะได้หลานจากผู้หญิงคนนั้นที่ไม่เข้าท่าเอาเสียเลย คร้านจะมีปัญหาแม่ผัวลูกสะใภ้ ที่ผ่านมาหล่อนก็ไม่เคยมีประวัติเช่นนั้นด้วยเพราะเข้ากับผลินได้อย่างดี “น่ารักแบบหนูพิน่ะ ทำได้แน่”
“ขอบคุณป้าวี่มากนะคะที่เอ็นดูพิ พิจะพยายามค่ะ กับเรื่องความเคลื่อนไหว” ...ปลอมๆ “ของเฮียสี่กับผู้หญิงคนนั้นพิก็จะรายงานให้ทราบตลอดค่ะ”
“ขอบใจเรามากนะ ถ้าไม่ได้พิป้าก็ไม่รู้จะหันไปพึ่งใคร ทุกวันนี้นอนเอามือก่ายหน้าผากทุกวัน กลัวตาสี่จะได้เมียไม่ดี”
เธอนึกละอายใจแต่ก็กลืนก้อนความรู้สึกนั้นลงคอ การจะได้อะไรมาสักอย่างมันก็ต้องยอมแลกยอมเสียกันบ้าง ที่จริงเธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าวลีจะมาไม้นี้ และเรื่องดำเนินไปแล้วก็มีแต่ต้องตามน้ำเท่านั้น
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ หนูเต็มใจ หนูจะช่วยสุดความสามารถค่ะ”
จากปราจีนบุรีไปกรุงเทพฯ ใช้เวลาแค่สองชั่วโมงกว่าเท่านั้น เมื่อมาถึงที่หมายสองสาวต่างวัยก็เข้าไปติดต่อนิติบุคคลของทางคอนโดมิเนียม ก่อนวิไลและพินรีจะช่วยกันขนสัมภาระไปยังชั้นที่สี่สิบซึ่งเป็นชั้นที่ตั้งของห้องพักคณะติดตามท่านสส. สัตรา
ภายในกล่องสี่เหลี่ยมที่ทะยานขึ้นที่สูงมีเสียงพูดคุยของคนสองวัยเคล้าคลอพอให้คลายเหงา
“ตาสี่เขาเลิกงานไม่เป็นเวลา แต่ก็ช่วงเย็นๆ ค่ำๆ นั่นแหละ แล้วแต่ว่าวันนั้นมีงานอะไร บางงานก็เลิกมืดค่ำพิอยู่ห้องคนเดียวได้นะ”
“สบายมากค่ะ พิก็ขายของ แพ็กของแล้วก็ไปส่ง แค่นั้นแหละค่ะ”
คนอายุมากกว่าระบายยิ้มรับ พอดีกับที่มาถึงชั้นที่หมายจึงก้าวเดินออกไปนอกลิฟต์ เข้าไปภายในห้องที่ไร้ผู้คนเนื่องจากเจ้าของห้องไปทำงานตั้งแต่ช่วงเช้า กว่าจะกลับอีกทีก็ตะวันตกดิน
สิ่งแรกที่วิไลทำหลังเข้ามาภายในห้องคือการสอดส่องสายตามองไปรอบๆ เพื่อดูความผิดปกติ อย่างเช่นข้าวของที่บ่งบอกว่าเป็นของเพศตรงข้าม รองเท้าเอย อะไรเอย หล่อนดูหมด ทว่ากลับไม่พบพิรุธเลยสักอย่าง
เพราะรู้ว่าแม่จะมากระมังถึงได้เก็บไว้มิดชิด
พื้นฐานหล่อนไม่ใช่คนเช่นนี้ด้วยซ้ำ อย่างผลินก็ไม่ใช่ลูกเศรษฐีที่ไหน แต่เพราะเป็นคนที่จิรัชรักและเจ้าตัวก็ขยันขันแข็ง หนุ่มสาวจะคบหากันหล่อนเคยขัดขวางที่ไหน มีแต่สนับสนุน แต่ไม่ใช่กับคนไม่ดี
“ตาสี่บอกว่าห้องแรกคือห้องว่าง พินอนในนี้นะ” ว่าพลางเปิดประตูเข้าไป ภายในห้องถูกจัดเตรียมไว้อย่างดี มีที่นอนครบชุด ทั้งยังสะอาดสะอ้าน
“ค่ะ”
วิไลอยู่ที่นั่นไม่นานนักก็ขอตัวเดินทางกลับปราจีนบุรี ทำให้ห้องทั้งห้องหลงเหลือเพียงพินรีคนเดียว
เธอง่วนอยู่กับการจัดข้าวของให้เข้าที่เข้าทางและเดินสำรวจรอบๆ ห้องอย่างใคร่รู้ เดินเข้าไปในส่วนของครัว เปิดตู้เย็นเพื่อดูว่าเขามีอะไรแช่ไว้บ้าง ปรากฏว่ามีแต่น้ำเปล่า ไข่ไก่ เบียร์ และผลไม้อีกนิดหน่อย นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลย
เหมือนเขาจะไม่ได้เข้าครัวเพราะนอกจากไร้เงาวัตถุดิบ เครื่องใช้ในครัวยังแทบไม่มีอะไร เตาไฟฟ้าใหม่เอี่ยมเหมือนไม่เคยผ่านการใช้งานมาก่อน และมีไมโครเวฟ จานชามก็มีไม่มาก ส่วนหม้อหุงข้าวไม่มี อุปกรณ์อื่นๆ ก็ไร้วี่แววว่าจะมีอยู่ที่นี่
ก็นั่นแล ผู้ชายอยู่คนเดียวมันจะอะไรให้วุ่นวาย
สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมหรูนั่งๆ นอนๆ อยู่พักใหญ่ เจ้าของห้องก็ยังไม่กลับมา ทว่ากลับมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นเพื่อเรียกความสนใจจากเธอ
เป็นนายแพทย์หนุ่มไฟแรงที่ทำสาวน้อยสาวใหญ่ในโรงพยาบาลเจ้าพระยาอภัยภูเบศรตกหลุมรักไปตามๆ กัน
เธอรู้จักกับเขาผ่านเพื่อน พูดคุยกันตามประสา ไลก์รูปภาพ สเตตัส คอมเมนต์บ้างเป็นครั้งคราว และหมอก็ตามเทียวไล้เทียวขื่ออยู่บ่อยครั้ง แม้ว่าคลื่นความรู้สึกของคนทั้งสองจะเชื่อมกันไม่ได้ พินรีก็ไม่คิดว่าต้องตัดเยื่อใยในความเป็นเพื่อนพี่น้องทิ้ง ในขณะเดียวกันก็มิอาจสานสัมพันธ์ไปมากกว่าที่เป็นอยู่ได้
Singkhon Sereechai: น้องพิย้ายไปอยู่ที่กรุงเทพฯ เหรอครับ
พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: ค่ะ ใครบอกหมอคะ
Singkhon Sereechai: น้าพรบอกครับ ไปที่บ้านมาแล้วไม่เห็นเลยถามดูSingkhon Sereechai: ทำไมถึงไปอยู่ที่อื่นล่ะครับพิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: พิมาหางานทำน่ะค่ะSingkhon Sereechai: งานของน้องพิทำที่นี่ก็ได้ไม่ใช่เหรอครับพิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: พิอยากหางานเสริมด้วยก็เลยมาอยู่ที่นี่ค่ะSingkhon Sereechai: แล้วจะอยู่ที่นั่นนานไหมครับ จะกลับมาที่นี่อีกหรือเปล่าพิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย: ไม่แน่ใจค่ะ แต่ก็อยากอยู่ยาวด้วยเธอไม่ทราบแน่ชัดว่าวสุจะลงหลักปักฐานที่ไหน อาจจะเป็นเมืองหลวงหรือบ้านเกิดก็ได้ เพราะไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนเขาก็มีงานมีการรองรับ อยู่ที่นี่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัวสส. ระดับประเทศ กลับบ้านไปก็มีกงสี ชีวิตเขามีทางเลือกหลายทาง ต่างกับเธอนักที่แม้จะไม่ได้ขัดสนแต่ก็มีทางให้เดินเพียงน้อยนิด ถ้าไม่ใช่เพราะวลี วันนี้เธอไม่มีทางพาตัวเองมาอยู่ที่นี่ได้อย่างแน่นอน หรือถ้ามาตัวเปล่าก็คงต้องเช่าห้องรูหนูไว้ซุกหัวนอนเพราะคงมิอาจอาศัยในห้องราคาแพงได้ ประเดี๋ยวมันจะเป็นการเบียดเบียนเงินตนเองโดยใช่เหตุ
หมอหนุ่มส่งข้อความมาอีกหน แต่พินรีไม่ได้สนใจที่จะตอบเมื่อมีเสียงกุกกักดังมาจากหน้าห้อง ให้หลังไม่ถึงห้าวินาทีมันก็ถูกเปิดออกโดยชายร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตเข้าคู่กับกางเกงสแลคที่ยังคงความเรียบร้อยไว้
นัยน์ตาดำขลับตวัดมายังร่างระหงที่รีบปรี่มายืนจังก้าอยู่หลังบานประตูราวกับต้องการมาต้อนรับ
คนตัวเล็กฉีกยิ้มกว้างไม่ต่างกับทุกครั้งที่เห็นหน้าเขา “สวัสดีค่ะเฮียสี่ ขอพิอยู่ด้วยคนนะคะ”
วสุพยักหน้ารับคำอย่างขอไปที ก่อนเดินเลยหญิงสาวไปทิ้งตัวนั่งลงที่โซฟาในส่วนของห้องนั่งเล่น เขารู้อยู่แล้วว่าพินรีจะเดินทางเข้ามาในวันนี้ และรู้ดีว่าตนเองจะได้เจอกับสมาชิกใหม่เมื่อกลับมาถึงคอนโดฯ ที่หากไม่มีผลประโยชน์อันหอมหวานเป็นที่ดินผืนงามที่เขาใหญ่ เขาไม่มีวันยอมแชร์ห้องกับใครเด็ดขาด
โดยเฉพาะเพื่อนน้องสาวอย่างพินรี!
♡⃛ ──────── ♡⃛
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
“มาทำงานกับหนูไหมคะ” คำเชื้อเชิญของเด็กสาวเจ้าของ Aroma & Sound ส่งผลให้พินรีนิ่งงันไปหลายวินาที เธอยังคงสับสนกับสถานะของคนทั้งสองว่าจริงๆ แล้วมันมีความเป็นมาเช่นไร เหตุใดวสุต้องบอกว่าเป็นลูกสาว ทั้งที่ดูอย่างไรก็ไม่ใช่พ่อลูก ตัวอิสรีเองก็เรียกชายหนุ่มว่าพี่ หรือเขาแค่หยอกให้เธอใจฝ่อจนอยากยอมแพ้ในการจีบ ต่อให้มีลูกแล้วก็จะจีบเถอะ ถ้ายังยืนยันว่าโสดไม่มีเมียน่ะ พิคนนี้ดับเครื่องชนหมด! เท่าที่สังเกตดูเหมือนอิสรีจะเป็นคนที่วสุเอ็นดูมากพอสมควร ดูได้จากตอบโต้บทสนทนา สายตาที่ใช้มอง ทั้งยังยิ้มให้อย่างอบอุ่น ยิ้มแบบที่เธอก็เคยได้รับตอนยังเป็นเด็กๆ แต่หลังจากทำตัวเป็นกบฏก็ไม่เคยเห็นมันอีกเลย วสุเริ่มเหินห่างไปเรื่อยๆ จนเธอเข้าใจไปว่าเขาเป็นคนยิ้มยาก แต่เขาแค่ไม่มีมันให้เธอเท่านั้น กับคนอื่นก็ยังได้รับเป็นปกติ ความเฉยชาของพี่ชายเพื่อนถูกสงวนไว้ใช้แค่กับเธอคนเดียว ด้วยประการทั้งปวง เธอควรตกลงหากอยากอยู่ใกล้ชิดกับวสุ พินรีต้องการทีมสนับสนุนจำนวนมากเพราะกำแพงน้ำแข็งนั้นทำลายยากจนอาจจะเกินกำลังจะสู้เพียงลำพัง “ทำเกี่ยวกับเทียนหอมอย่างเดียวเลยเหรอคะ” “ค่ะ ทำเทียนหอมขาย” เจ้าของร้านวัยแรกรุ่
พินรีจมกับความคิดของตัวเองอยู่นาน กระทั่งรถแล่นเข้ามายังบ้านหลังใหญ่ที่สามารถดึงความสนใจของหล่อนจากการครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรให้จีบคนอย่างวสุติดภายในหนึ่งเดือน เพื่อหันมาสอดส่องสายตามองดูบ้านหลังงามด้วยความตื่นเต้น ก่อนดึงสายตาไปยังชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย “เฮียมารับใครในที่แบบนี้เหรอคะ” “ลูกสาว” ดวงตาสีน้ำตาลเบิกโตด้วยความตกใจ หล่อนอ้าปากพะงาบๆ คล้ายมีสิ่งที่อยากเอ่ยทว่าไม่มีเสียงที่จะเล็ดลอดออกไป กระทั่งรถจอดลงยังส่วนของหน้าบ้าน พินรีถึงได้หาเสียงของตัวเองเจอ “เฮียมีลูกเหรอคะ” คนขี้แกล้งเพียงยิ้มน้อยๆ แต่ไม่ยอมตอบให้กระจ่าง จากนั้นก็เปิดประตูลงไปโดยที่หนนี้ผู้โดยสารไม่ได้ตามลงไปด้วย เธอยังประมวลข้อมูลที่ได้รับมาไม่ครบถ้วนจึงยังอยู่ในสภาพจังงัง เป็นไปได้หรือที่วสุจะมีลูกมีเมียแล้ว ล้อกันเล่นแน่ๆ หากนั่นคือเรื่องจริงคนในครอบครัวย่อมรู้ และวลีก็ต้องรู้ ซึ่งถ้าแม่นั่นรู้มีหรือที่จะไม่บอกเธอ ไหนยังส่งเธอมาอยู่กับพี่ชายตัวเองอีก แต่กรณีที่เขาแอบไข่ทิ้งไว้แล้วไม่บอกใครเลยก็....ไม่จริง เป็นไปไม่ได้ ครู่สั้นๆ ก็มีกลุ่มคนเดินออกมาจากบ้านหลังงาม เป็นหญิงวัยกลางคนท่าทางแลดูภูมิฐา
บทที่ 4ลูกเจี๊ยบเดินเกม... หนุ่มสาวจากชั้นสี่สิบพากันมายังส่วนของลานจอดรถ หลังก่อสงครามประสาทกันอยู่พักใหญ่เพราะเจ้าของห้องไม่ปรารถนาจะให้มีป้ายบาดตาอยู่บนประตู แต่คนทำกลับยืนกรานที่จะติดมันไว้ ลูกดื้อของพินรีนั้นมีเหลือล้น และวสุก็ป่วยการจะเอาชนะ จึงปล่อยให้พวกมือบอนทำตามใจตัวเอง เมื่อมาถึงเอสยูวีที่ชายหนุ่มเป็นเจ้าของ เขาไม่รอช้าที่จะสอดกายเข้าไปด้านในโดยมีคนตัวเล็กตามขึ้นมานั่งที่เบาะข้างคนขับ นัยน์ตาคู่คมถูกทิ้งไปที่ร่างแน่งน้อย เอ่ยเสียงเรียบ “ไปนั่งข้างหลัง” “คะ?” “เดี๋ยวมีคนมานั่งตรงนี้ เธอไปนั่งข้างหลัง” พินรียังคงไม่ขยับเขยื้อนไปตามประโยคแกมสั่งของเขา แต่เลือกที่จะนั่งอยู่ที่เดิมพร้อมเปิดปากถามในสิ่งที่ตนสงสัย “เราไม่ได้จะไปกันแค่สองคนเหรอคะ” “ตอนแรกจะไปแค่สองคน แต่เธอขอมาด้วยเลยเป็นสาม” หญิงสาวเอียงคอมอง “หมายถึงพิเป็นคนที่สามน่ะเหรอ” เขาแกล้งกระทบกระเทียบ “ฉลาดนี่” ทว่าพินรีไม่หยิบมาใส่ใจ แต่ยิงคำถามไปอีกหน “แล้วคนที่สองคือใครคะ” “ไปนั่งข้างหลังเดี๋ยวก็รู้เอง” “ผู้หญิงผู้ชาย?” บางทีอาจจะเป็นหนึ่งในพลพรรคของเขาก็เป็นได้ ใครสักคนบนชั้นสี่สิบที่เธอยังไม่ค่อยรู
ไก่เน่าท่านหนึ่งนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ในเอสยูวีสัญชาติญี่ปุ่นเมื่อนึกถึงสิ่งที่เจ้าชายน้ำแข็งเพิ่งทำลงไป พินรีไม่ได้หวังว่าวสุจะใจดี ด้วยที่ผ่านมาเขาก็ทำตัวอย่างกับยักษ์กับมารใส่เธอตลอด แต่อีกฝ่ายกลับทำอย่างที่ลั่นวาจาไว้ด้วยการบอกให้สดายุที่รับหน้าที่ดูแลอัปสราอยู่ที่ชาเฮาส์มารับเธอกลับคอนโดฯ เพราะเจ้าตัวไปต่างจังหวัดกับเจ้านาย ผู้ช่วยสส. ที่ถูกโยกย้ายมาดูแลคนท้องชำเลืองมองสาวน้อยข้างกายพร้อมรอยยิ้มบางๆ บนดวงหน้าคม พินรีก็เหมือนน้องสาวเขาอีกคน “พออยู่ได้ไหม” เจ้าหล่อนผินหน้าไปทางชายหนุ่มที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัย พยักหน้าติดกันหลายหน “อยู่ได้ค่ะ สบายมาก” สารถียกยิ้มแต่ก็นึกเห็นใจคนที่ตนมองเป็นน้องสาวไม่ได้ “อยู่กับเฮียสี่ต้องทำใจหน่อยนะพิ” “...คะ?” “มันหน้าเลือด ไหนยังเค็มยิ่งกว่าเกลือ” ได้รับคำตอบเช่นนั้นเสียงหัวเราะก็ถูกพ่นออกมาจากปากสีหวาน “ไม่เท่าไรค่ะ พิไหว” เขาถอนหายใจพรืด “เฮียขอเอาใจช่วยเราแล้วกัน มีปัญหาอะไรก็ปรึกษาได้ตลอดนะ” “ค่ะ” เรื่องพฤติกรรมการใช้เงินของวสุไม่ใช่ปัญหา หากมองอย่างเป็นกลางเขาย่อมทำถูกทุกอย่าง คนอยู่ด้วยกันก็ต้องช่วยแบ่งเบาภาระซึ่งกันและกัน ค่าน
พื้นฐานแล้วพินรีไม่ใช่คนตื่นสาย อาจจะไม่ได้ตื่นเช้าเท่าพ่อและแม่ที่ตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สว่างเพื่อเตรียมตัวเปิดร้านน้ำเต้าหู้ปาท่องโก๋ให้ทันคนไปทำงานตอนเช้า ผนวกกับต่างที่จึงทำให้รู้สึกตัวตั้งแต่หกโมงครึ่ง ห้องของเธอไม่มีห้องน้ำในตัว ต่างจากห้องของวสุ พินรีลุกจากเตียง เก็บที่นอนให้เรียบร้อยแล้วคว้าผ้าขนหนูผืนเล็กมาพาดบ่า ก้าวเดินออกไปยังพื้นที่ส่วนกลางด้วยสภาพผมฟู หน้ายังไม่ได้ล้าง แลดูมอมแมมสมเป็นไก่เน่า ทว่าเมื่อพาตัวเองออกมาจากห้องนอนกลับพบใครบางคนนั่งอยู่ที่โซฟาพร้อมแก้วกาแฟที่ส่งกลิ่นหอมกรุ่นไปทั่วบริเวณ ชายร่างสูงทิ้งสายตาไว้ที่หน้าจอสี่เหลี่ยมในมือ แต่เสียงเปิดประตูของเพื่อนร่วมห้องก็เรียกสายตาให้ชำเลืองไปมอง พินรียืนผมฟูฉีกยิ้มให้เขาก่อนเปล่งเสียงหวานให้ลอยมาตามลม “ตื่นเช้าจังเลยค่ะ” “มีงานมีการต้องทำ” “ชอบจังคนตื่นเช้า” เจ้าของห้องปั้นหน้าตึง “ปกติไม่ได้ตื่นเช้าเท่าไร” “ตื่นสายก็ชอบค่ะ” คนตัวใหญ่อดถอนหายใจออกมาไม่ได้ “ถ้ายังลามปามมาเล่นหัวฉันไม่เลิก ฉันจะไม่ให้อยู่ด้วยจริงๆ นะพิ” หล่อนไหวไหล่แล้วมุ่งหน้าไปยังห้องน้ำ วสุดึงสายตากลับมาที่เดิม เขายังคงไม่ชินที่มีคนมา
ฟังก์ชันบล็อกผลิตมาเพื่อปิดการมองเห็นคนที่ไม่อยากเห็นและไม่อยากให้เห็นความเคลื่อนไหวใดๆ เขาถึงได้บล็อกพินรีไป เพราะเกรงว่าเธอจะทำตัวยุ่มย่าม อาทิ แสดงความคิดเห็นเชิงลบต่อความรู้สึกของเขา การไม่เห็นเธอในแพลตฟอร์มออนไลน์เป็นทางออกที่ดีที่สุด ชายหนุ่มระบายลมหายใจอย่างคิดไม่ตก “ฉันไม่อยากเป็นเพื่อนกับเธอในนั้นนะ” “โอเค เฮียจ๋าว่าไงพิก็ว่างั้นค่ะ ไม่ตื้อ” หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน “อย่าเรียกแบบนี้” “ปลดบล็อก” “พิ” คนตัวเล็กทำตาแป๋ว “จ๋า” มือหนาล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงก่อนหยิบสมาร์ตโฟนออกมา แตะไปที่เฟซบุ๊กเพื่อทำการปลดบล็อก ‘พิ เป็นไก่เน่าทุกทีเยย’ เสร็จสรรพแล้วจึงยัดมือถือกลับเข้าที่เดิม “ถ้าเธอเรียกแบบนี้อีกฉันจะบล็อกอีกครั้ง” หล่อนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย “รับแอดหน่อยค่ะ” “ไม่” วสุปฏิเสธเสียงแข็งกับพวกได้คืบจะเอาศอก ได้ศอกจะเอาวา เป็นเหตุให้พินรีทำหน้าหงอย ซึ่งเขาก็หาได้นึกสงสารแต่อย่างใด เด็กพรรค์นี้หากตามใจก็มีแต่จะยิ่งเรียกร้อง อนาคตหากยังต้องอยู่ร่วมกันเขาจะลำบากเอาได้ “งั้นเรียกเฮียจ๋า” “เชิญ แต่บล็อก” ว่าจบก็หันมาสนใจข้าวและหน้าจอทีวี ไม่คิดจะง้องอนคนตัวเล็กที่ปั้นหน้
บทที่ 3ลูกเจี๊ยบไม่เด็กแล้ว... สมาชิกใหม่ของคอนโดมิเนียมราคาแพงก้าวออกจากลิฟต์เมื่อมาถึงชั้นที่หมาย แต่ก็เป็นอันต้องชะงักเท้าไว้อย่างนั้นเมื่อพบกับคนที่ยืนอยู่ด้านหน้า สองมือบางถูกยกขึ้นแนบอกก่อนค้อมศีรษะลงเพื่อทำความเคารพ ปากสีหวานเบนกว้างอย่างกับมีพระอาทิตย์มาโคจรอยู่ใกล้ๆ เพราะรังสีความสดใสแผ่กระจายทั่วทุกซอกทุกมุม “สวัสดีค่ะ” หล่อนจำได้ว่าพวกผู้ชายตรงหน้าคือคณะทำงานของสส. เซียง เช่นเดียวกับที่สองหนุ่มผู้ชำนาญการอย่างไมยราพและไตรทศก็จำได้ว่าคนตัวเล็กที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์คือ ‘ว่าที่พี่สะใภ้’ ของสดายุ ครั้งแรกที่พวกเขาทราบก็ที่งานแต่งเจ้านาย ครั้งแรกที่ได้เจอตัวจริงก็ที่งานแต่งของวลี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอกันที่นี่อีกครั้ง ดูเหมือนอาจจะมีงานแต่งให้พวกเขาต้องไปร่วมงานในเร็วๆ นี้กระมัง หนุ่มวัยสามสิบสองทั้งคู่ค้อมศีรษะอย่างมีมารยาท “สวัสดีครับ” สิ้นประโยคนั้นพินรีก็เอ่ยทักทายอย่างเป็นมิตร แม้ว่าจะไม่เคยพูดคุยกันมาก่อนก็ตาม “พิจำพวกคุณได้ค่ะ จำพิได้เหมือนกันใช่ไหมคะ” หล่อนเอียงคอมองด้วยท่าทีใสซื่อ ไตรทศเอ่ย “ครับ ผมตงครับ” แล้วพยักพเยิดไปทางคนข้างกาย “นี่เมือง พวก
“ถ้าพิทำแบบนั้นจะยอมให้เฮียเอาให้ตายเลยค่ะ” สิ้นประโยคของสมาชิกใหม่ หมอนอิงที่อยู่ใกล้มือหนาก็ถูกคว้ามาเคาะกะโหลกแข็งๆ ของผู้พูดจนสาวเจ้าเผลอหลับตาปี๋ “น้อยๆ หน่อยแม่คุณ เป็นสาวเป็นนาง” คนตัวเล็กยกมือมาลูบศีรษะป้อย ๆ หาได้รู้สึกเจ็บแต่อย่างใดเพราะแรงที่วสุใช้นั้นน้อยนิดเหลือคณา “อะไรเล่า เฮียเป็นคนพูดก่อนด้วยซ้ำ” พอโดนย้อนเช่นนั้นชายหนุ่มก็ทำเพียงทิ้งหางตาไปที่ร่างระหง ก่อนยันตัวลุกขึ้นยืนเต็มความสูงโดยที่ครั้งนี้ไม่มีใครรั้งไว้แต่อย่างใด เขาจึงแยกเข้าห้องนอนเพื่อจัดการธุระส่วนตัว ให้หลังเกือบยี่สิบนาทีวสุจึงเดินออกมาด้านนอก ชุดที่สวมใส่ยังคงเป็นชุดทำงาน เพียงแค่ปลดกระดุมเพื่อให้ผ่อนคลายขึ้น แขนเสื้อเชิ้ตถูกพับอยู่แถวข้อศอก มือข้างหนึ่งถือกระเป๋าสตางค์ไว้ สายตาถูกทิ้งไปที่โซฟากลางห้องที่มีร่างแน่งน้อยนั่งก้มหน้าก้มตาสนใจเครื่องมือสื่อสาร ทว่าเมื่อได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวจากเขา ใบหน้านวลก็ค่อยๆ ผินมาหา ริมฝีปากสีหวานเบนกว้างเป็นรอยยิ้ม “ออกมามีอะไรจะคุยกับพิเหรอคะ” เขามุ่นคิ้ว “นี่ห้องฉันด้วยซ้ำ” สาวเจ้าไหวไหล่ “ก็นึกว่าอยากคุยด้วย” “อย่าเพ้อเจ้อ” เขาเองก็ไม่อยากจะแยแสเพื่
ให้หลังเพียงหนึ่งลมหายใจ ร่างแน่งน้อยก็เดินมาทิ้งตัวนั่งลงข้างกาย เขาขยับไปทางขวาเล็กน้อยเพื่อเว้นระยะห่างกับสาวเจ้า แต่อีกฝ่ายกลับขยับตาม เขาขยับหนีอีกครั้ง หล่อนก็ทำเหมือนเดิม ท้ายที่สุดวสุจึงเลิกหลีกหนีแล้วผินหน้าไปหาเพื่อนร่วมห้องที่ส่งยิ้มให้เขาเหมือนพวกที่ลืมวิธีหุบยิ้มก็ไม่ปาน สุ้มเสียงเข้มดังแหวกอากาศไปเข้าหูคู่สนทนา “มีอะไร” ไหล่เล็กไหวพอประมาณ “ไม่มีอะไรค่ะ” “แล้วมานั่งเบียดทำไม ที่ว่างเยอะแยะ” “อยากนั่งใกล้เฮีย” หนุ่มวัยสามสิบกลางๆ ลอบถอนหายใจ ปั้นหน้าจริงจังเพื่อพูดคุยในประเด็นสำคัญกับเพื่อนสนิทของน้องสาว “ถ้าเราจะอยู่ด้วยกันมันต้องมีกฎ” พินรียังคงนั่งยิ้มหน้าระรื่นอยู่ไม่ห่างจากเขานัก พยักหน้าขึ้นลงถี่รัวราวเป็นคนว่าง่าย “ค่ะ” “หนึ่ง เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน” สาวเจ้าเงียบไปเกือบสิบวินาที “แต่เฮียรู้เรื่องของพิได้นะคะ พิไม่หวง” “หน้าฉันเหมือนคนอยากรู้เรื่องของเธอนักหรือไง” “แล้วไม่อยากรู้เหรอคะ” คิ้วเข้มเริ่มขมวดเข้าหากัน เขารู้ดีเลยว่าเด็กนี่เป็นคนพูดยากขนาดไหน แต่มันไม่ใช่ปัญหาเมื่อเขาและเธอต่างคนต่างอยู่ เธออยู่ที่บ้านเกิด เขาทำงานในเมืองกรุ