อวี้หมัวมัวขมวดคิ้ว “มีเรื่องอันใดถึงต้องลุกลี้ลุกลนเพียงนี้?”บ่าวรับใช้ผู้นั้นตอบ “นายหญิงใหญ่! นายหญิงใหญ่แย่แล้วเจ้าค่ะ นายท่านให้เชิญคุณหนูกลับไปดูใจนายหญิงใหญ่เป็นครั้งสุดท้ายเจ้าค่ะ!”ฝ่าเท้าของหรงจือจือสั่นระรัว นางเอ่ยขึ้นอย่างยากจะเชื่อ “เจ้าว่าอะไรนะ? ท่านย่าเป็นอะไร?”บ่าวรับใช้ “นายหญิงใหญ่อาเจียนเป็นเลือดออกมาเยอะมาก หมอเทวดาใช้ให้ตระเตรียมงานศพแล้ว...”หรงจือจือเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “เจ้าอย่าพูดซี้ซั้ว! ท่านย่าเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร? ก่อนหน้านี้หมอเทวดาบอกว่าฝังเข็มอีกสามวัน ท่านย่าก็จะหายดีแล้วไม่ใช่หรือ?”บ่าวรับใช้รีบตอบ “เพราะวันนี้ตอนพลบค่ำสาวใช้ในเรือนนายหญิงใหญ่คนหนึ่งหลุดปากพูดออกไป ทำให้นายหญิงใหญ่รู้เรื่องที่คุณหนูถูกสกุลฉีข่มเหงและเหยียดหยาม นายหญิงใหญ่จึงอาเจียนออกมาเป็นเลือดตรงนั้นเลย ตอนนี้อาการย่ำแย่ยิ่งนัก!”หรงจือจือ “อะไรนะ?”นางรู้สึกเพียงในหัวมีเสียงหึ่ง ๆ แว่วดังขึ้นมา เกือบจะสงสัยว่าตัวเองฟังผิดไป ขาและเท้ายิ่งไร้เรี่ยวแรงเข้าไปใหญ่เจาซีรีบพยุงนางเอาไว้ “คุณหนู ใจเย็นก่อนนะเจ้าคะ...”หรงจือจือ “เตรียมรถม้า”ขึ้นไปบนรถม้า หรงจือจือก็
หมอเทวดาก้มหน้า “มารดาบุญธรรม เพราะข้าไร้ความสามารถเอง”นายหญิงผู้เฒ่าหรงส่ายศีรษะ “ไม่โทษเจ้าหรอก และไม่โทษผู้ใดทั้งนั้น ชีวิตก็เป็นเช่นนี้! ลูกชายข้าล่ะ ลูกชายข้าอยู่ที่ใด?”มหาราชครูหรงรีบมาตรงหน้าเตียงแล้วคุกเข่าลงหน้านายหญิงใหญ่ทันที “ท่านแม่ ลูกอยู่นี่ขอรับ”นายหญิงผู้เฒ่าหรงคว้ามือของลูกชายเอาไว้ แล้วเอ่ยกับเขาว่า “ลูกชายข้า หลายปีมานี้เจ้ายุ่งอยู่กับเรื่องในวงการขุนนาง ก็ได้จือจือคอยอยู่ข้างกายเป็นเพื่อนข้า แสดงความกตัญญูแทนเจ้าบ่อย ๆ ”“ตอนนี้แม่จะไปแล้ว สิ่งเดียวที่แม่ยังพะวงก็คือนาง เด็กที่แสนดีเช่นนี้ กลับไม่ค่อยได้รับความเมตตาจากสวรรค์ เจ้าต้องดูแลจือจือให้ดีแทนแม่ ได้ยินหรือไม่?”“หากแม่รู้ว่าเจ้าเองก็ทำอะไรเลอะเลือน ข่มเหงจือจือของแม่เช่นกัน แม่ที่อยู่ในปรโลก จะไม่มีวันอภัยให้เจ้าเป็นอันขาด! เจ้าเข้าใจหรือไม่?”มหาราชครูหรงตอบกลับทั้งน้ำตาไหลพราก “ขอรับท่านแม่ ลูกจำเอาไว้ขึ้นใจแล้ว!”นายหญิงใหญ่หรงฉีกยิ้ม “เยี่ยม เยี่ยม! ชีวิตนี้ของข้า มีลูกชายกตัญญู มีหลานสาวกตัญญู มีบุตรบุญธรรมแสนดี ก็คุ้มค่าแล้ว!”ครั้นนายหญิงใหญ่เอ่ยประโยคนี้จบ ก็มองไปที่หรงจือจือด้วยความเป็น
มหาราชครูหรงเอ่ยขึ้นอย่างเดือดดาล “หากมาก็กันเอาไว้ด้านนอก ไม่จำเป็นต้องมารายงานข้า!”สีหน้าของเฉินเยี่ยนซูเย็นยะเยียบ “ไล่พวกเขากลับไป”คนเฝ้าประตู “ขอรับ!”ในแคว้นต้าฉี ราชเลขาธิการกุมอำนาจของอัครมหาเสนาบดี มิหนำซ้ำสมุหราชเลขาธิการยังเป็นท่านอัครมหาเสนาบดีของฝ่าบาทอีกด้วย ฮ่องเต้องค์ก่อนมอบหมายภารกิจสำคัญของผู้สำเร็จราชการแทนให้อัครมหาเสนาบดี ก่อนที่ฝ่าบาทจะขึ้นมาบริหารด้วยองค์เอง อัครมหาเสนาบดีเฉินต่างหากที่เป็นผู้กุมอำนาจที่แท้จริงของแคว้นต้าฉีครั้นท่านเสนาบดีเอ่ยปากแล้ว แม้ฉีจื่อฟู่จะเป็นคนของจวนโหว คนเฝ้าประตูก็กล้าจะล่วงเกิน!เนื่องจากฮ่องเต้องค์ก่อนมอบอำนาจผู้สำเร็จราชการแทนให้แก่เฉินเยี่ยนซู ในใจของมหาราชครูหรงมากน้อยก็ต้องริษยา และแอบไม่พอใจเฉินเยี่ยนซูอยู่บ้าง ครั้นวันนี้เห็นอีกฝ่ายกล้าพูดจาเป็นธรรมเช่นนี้ออกมา ท้ายที่สุดก็เกิดความรู้สึกดีขึ้นมาไม่น้อยเขาประสานมือขึ้นพลางเอ่ยว่า “ขอบคุณท่านอัครมหาเสนาบดีเฉินอย่างมาก!”ครั้นเห็นสายตาของเฉินเยี่ยนซูทอดมองไปที่หรงจือจือ มหาราชครูหรงคิดเพียงว่าเฉินเยี่ยนซูไม่พอใจที่หรงจือจือไม่มาคารวะจึงเอ่ยขึ้นว่า “ท่านอัครมหาเสนาบดี
หมอเทวดารีบบีบร่องกลางริมฝีปากบนของหรงจือจือทันที เพื่อทำให้นางฟื้น ก่อนจะเอ่ยปากขึ้นว่า “กลับไปพักที่จวนสักวันก็ดีขึ้นแล้ว”ครั้นเฉินเยี่ยนซูได้ยินถึงตรงนี้ ก็ถอนหายใจเฮือกหนึ่งอย่างไรเซินเฮ่อก็ไม่ใช่คนโง่ ติดตามเฉินเยี่ยนซูมานานขนาดนี้ เขาเองก็พอคาดเดาความคิดของอีกฝ่ายออกเช่นกันเขาจึงเอ่ยกระซิบว่า “ท่านเสนาบดีวางใจ เรื่องของคุณหนูใหญ่หรง ข้าจะจับตาดูแทนท่านเอง หากมีความผิดปกติใด จะไปรายงานที่จวนของท่านทันที”เฉินเยี่ยนซู “อืม”...สองสามวันนี้หรงจือจือจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างยิ่ง ฉะนั้นครานี้นางจึงหลับลึกเป็นพิเศษในห้วงความฝันนางเห็นภาพที่ท่านย่าจับมือของนางเอาไว้ พลางเอ่ยคำสั่งเสียกับนาง บอกให้นางรีบตัดความสัมพันธ์กับสกุลฉีแม้จะเป็นในห้วงความฝัน นางก็เอาแต่ร้องไห้อยู่ตลอดเจาซีเห็นดังนั้นก็ปวดใจยิ่งนักหรงจือจือตื่นขึ้นมาวันเว้นวัน นางได้ยินหรงเจียวเจียวพูดจาบั่นทอนจิตใจอยู่ข้าง ๆ “ท่านย่าก็จากไปแล้ว ไม่รู้เลยว่าจะเสแสร้งเช่นนี้ให้ผู้ใดดูกัน!”จากนั้นมหาราชครูหรงก็ตบหน้าไปหนึ่งฉาด “เจ้ามันเนรคุณ! ท่านย่าเจ้าป่วย เจ้าไม่เคยมาเยี่ยมเลยสักครั้ง พี่สาวเจ้าเสียใจ เจ
การกระทำเช่นนี้ของหรงจือจือ ทำเอาทุกคนในสกุลฉีพากันตกตะลึงอย่างยิ่งองค์หญิงม่านหวาเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นยืนทั้งสีหน้าซีดเผือด ก่อนจะเอ่ยปากถามว่า “พี่หญิง เป็นเพราะข้ากลับมาใช่หรือไม่ ท่านพี่ไม่ชอบข้าจริง ๆ ฉะนั้นจึงจะไปอย่างนั้นหรือ”เจาซีเห็นว่าคุณหนูไม่คิดจะอยู่ที่นี่แล้ว จึงอดกลั้นกับนางไม่ไหวแล้ว เป็นแค่องค์หญิงแคว้นสิ้นเอกราช ไม่คิดเลยว่าจะไม่รู้จักลู่หางเวลากลัว กล้าแย่งกระทั่งสามีของบุตรสาวมหาราชครูแห่งราชสำนัก!นางจึงเอ่ยปากด่ากราด “หญิงใจง่ายแต่งงานไม่ถูกต้องตามประเพณีอย่างท่าน เรียกผู้ใดว่าพี่หญิงกัน? ท่านคู่ควรจะเรียกคุณหนูบ้านข้าว่าพี่หญิงหรือ? ท่านเงียบปากของท่านไปเสียเถอะ จะได้ไม่ทำลายชื่อเสียงของคุณหนูบ้านข้าโดยเปล่าประโยชน์!”สีหน้าของอวี้ม่านหวาซีดเผือด พลันถอยหลังกรูสองก้าวนางเอามือปิดหน้าพร้อมร้องไห้ ก่อนจะเอ่ยกับฉีจื่อฟู่ว่า “ท่านพี่ฟู่ ต้องโทษข้า! ข้าชอบท่านมากเกินไปจริง ๆ จึงไม่สนใจเรื่องเหล่านั้น ที่วันนี้พี่หญิงไม่ชอบข้าก็สมควรแล้ว บางทีลูกในท้องของข้าก็ไม่ควรลืมตาขึ้นมาดูโลกใบนี้เช่นเดียวกับข้า!”หลังฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น ก็มองไปที่หรงจือจือ “จือจือ เจ้
หรงจือจือแสยะยิ้ม ยังคิดจะให้นางขอโทษ ฆ่าเจาซี? เกรงว่าคนสกุลฉีจะยังไม่ตื่นจากฝันจริง ๆนางปฏิเสธทั้งสีหน้าเย็นชา “ไม่มีทาง! วันข้างหน้าข้าจะใช้ชีวิตอย่างไร? ไม่ต้องให้สกุลฉีอย่างพวกท่านมาเป็นห่วง ฉีจื่อฟู่ ลงนามเสีย!”นางถานลุกขึ้นยืนพลางตอกกลับด้วยความเดือดดาล “นังคนชั้นต่ำไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีเช่นเจ้า เจ้ายังใจแข็งโวยวายจะเอาให้ได้จริง ๆ ใช่หรือไม่? พวกเราสงสารที่ท่านย่าของเจ้าจากไป ถึงได้ให้โอกาสเจ้าได้ขอโทษ แต่เจ้ากลับไม่รู้จักคว้าเอาไว้”“ความจริงที่ท่านย่าของเจ้าจากไป เป็นเพราะชีวิตของนางสั้นเอง นางหมดบุญเอง ไม่เกี่ยวอะไรกับสกุลเรา! นางสอนเด็กเนรคุณไม่รู้จักเคารพผู้หลักผู้ใหญ่ ไม่เคารพสามีเช่นเจ้าออกมา ที่นางตายก็สมควรแล้ว!”ฉีอวี่เยียนเองก็กล่าวผสมโรงด้วย “นั่นน่ะสิ! พี่สะใภ้ กะอีแค่ยายแก่หนังเหนียวคนหนึ่งตายไปเท่านั้น ตายไปแล้วก็ตายไปสิ หรือว่าคนตายจะสำคัญกว่าคนเป็นอีกเช่นนั้นหรือ?”“ท่านยังกลับมาทั้งสวมชุดสีดำอีก นี่มันไม่เป็นการเพิ่มความโชคร้ายให้จวนโดยเปล่าประโยชน์หรือ รีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้าเร็วเข้า อย่านำพลังงานหยินของคนตายนั่นมา ให้ตายเถอะ แค่คิดข้าก็ขนลุกซู่ไปทั้งตัวแ
แต่ไม่คิดเลยว่า หลังหรงจือจือเก็บหนังสือหย่าไป นางก็หมุนตัวเดินจากไปโดยไม่ปริปากเอ่ยกับฉีจื่อฟู่เลยแม้แต่คำเดียวครั้นเห็นว่าในสายตานางไร้ซึ่งเยื่อใย ในใจเขาก็กระวนกระวายขึ้นมาเล็กน้อยขณะนี้นางถานยังยืนกระทืบเท้าพลางด่าตามหลังหรงจือจือว่า “หรงจือจือ! เจ้าทำกับแม่สามีและน้องสามีเช่นนี้ ข้ารู้ว่าหากเรื่องนี้แพร่ออกไป ข้างนอกรู้เข้า ไม่ว่าอย่างไรเจ้าก็จะกลายเป็นคนไร้ซึ่งความเป็นคนและอกตัญญู!”ฉีจื่อเสียนเองก็กล่าวอยู่ข้าง ๆ “ท่านแม่วางใจเถิด ข้ามีสหายสนิทร่วมสำนักมากมาย ขอเพียงพวกเขาช่วยพูด สกุลหรงก็ไม่มีทางมีจุดจบที่ดีแน่!”ฝีเท้าของหรงจือจือชะงัก ก่อนจะหันหน้ากลับไปมองพวกเขาแม่ลูก “เรื่องในวันนี้ หากข้าได้ยินคำพูดที่ไม่ดีต่อข้าแม่แต่คำเดียว ข้าจะไปคุกเข่าร้องไห้หน้าประตูจวนผู้ตรวจการจาง”“เล่าว่าพวกท่านทั้งบ้านคิดจะฮุบสินเดิมข้าอย่างไร บีบให้ข้าเป็นอนุอย่างไร บีบท่านย่าของข้าให้ตายอย่างไร มิหนำซ้ำยังเอ่ยคำพูดหยาบคายออกมาหลังท่านย่าข้าจากไปแล้วอีก!”“ข้าละอยากรู้ยิ่งนักว่า ท่านผู้ตรวจการกับผู้คนในใต้หล้า จะเข้าข้างข้าหรือเข้าข้างตระกูลพวกท่าน!”นางถาน “เจ้า…เจ้ายังคิดจะไปคุกเข่าร
ไม่มีผู้ใดรู้จักลูกดีเท่ามารดา ไหนเลยนางถานจะไม่รู้ว่า แท้จริงแล้วนั้นคนในใจของลูกชายตนคือหรงจือจือ ที่อยู่กับอวี้ม่านหวา ประการแรกเนื่องจากรู้สึกเหงาขณะอยู่ที่แคว้นเจา ประการที่สองเพราะอยากเอามาบีบหรงจือจือนางคนชั้นต่ำนั่นก็เท่านั้นครั้นเห็นท่าทีของลูกชาย นางเองก็เดือดดาลเข้าไปใหญ่ “เจ้ากลัวอันใด? ไม่ต้องไปให้ความสำคัญนาง นางแค่อยากให้เจ้าไปง้อนางเท่านั้น ตัดใจจากไปได้จริง ๆ เสียที่ไหนกัน? ที่ตอนนี้กลับไปยังเรือนหลัน ก็แค่เสแสร้งให้เจ้าดูเท่านั้น!”ฉีอวี่เยียน “นั่นน่ะสิเจ้าคะ มีเพียงบุรุษที่ให้ความสำคัญกับความรู้สึกอย่างท่านพี่เท่านั้น ถึงเป็นห่วงนาง ไม่รู้ว่านางคิดอย่างไร ถึงขั้นหย่ากับท่านพี่เพราะคนตายเพียงคนเดียว!”นางถานเองก็เอ่ยเสริมว่า “นางไม่รู้จักทะนุถนอมโชคเลยจริง ๆ!”ครั้นถูกมารดาและน้องสาวปลอบเช่นนี้ ฉีจื่อฟู่ก็เบาใจลงนางถานเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “วันนี้องค์หญิงถูกทำให้ตกใจแล้ว ถูกนายบ่าวที่นิสัยอย่างกับหญิงปากร้ายด่าหยาบโลน ไม่รู้ว่าจะกระทบถึงลูกในท้องหรือไม่ เจ้าอยู่เป็นเพื่อนองค์หญิงดี ๆ เดี๋ยวไปเชิญหมอประจำจวนมาตรวจดูชีพจรให้องค์หญิงด้วย!”“นี่เป็นหลานคนแรกของจวนโหวเ
หรงจือจือกล่าวอย่างราบเรียบ “ที่ข้าอยากทำไม่ได้มีแค่นี้ แต่ต้องดูก่อนว่าเจ้าอันธพาลนี่มีความสามารถเพียงใด”ในจดหมายที่เซิ่งเฟิงส่งถึงนางระบุไว้ว่า อันธพาลซึ่งมีนามว่าซือถือกุ้ยที่นางหลิวพอจะมีความสามารถอยู่ ความจริงแล้วนางหลิวไม่ใช่สตรีชนชั้นสูงคนแรกที่ถูกเขาหลอกเอาเงินไปจนหมด สองปีมานี้เขาหลอกบรรดาฮูหยินแม่ม่ายกับฮูหยินที่มีความสัมพันธ์ไม่ดีกับสามีมาไม่รู้ตั้งเท่าไรหลังจากที่หลอกเอาเงินจนหมดก็จะหาข้ออ้างมาทะเลาะและเลิกรากันเพื่อไปหาเหยื่อคนถัดไป ทุกคนที่เคยมีความสัมพันธ์กับเขา บัดนี้ล้วนแต่สิ้นเนื้อประดาตัว หลังจากที่บรรดาฮูหยินถูกหลอก พวกนางไม่กล้าเปิดเผยเรื่องดังกล่าวเพราะกลัวจะเสื่อมเสียชื่อเสียงที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ หลังจากที่เขาหลอกเงินและไปหาเหยื่อคนถัดไป เขาจะย้อนกลับไปหลอกบรรดาฮูหยินพวกนั้นด้วยว่า ตัวเองถูกบังคับให้ทำเช่นนี้และทำไปเพื่อหาเลี้ยงชีพเท่านั้น กับสตรีคนอื่นแล้วไม่ได้รู้สึกอะไรด้วยเลย มอบความรู้สึกที่แท้จริงให้แค่พวกนาง ไม่เคยลืมไปจากใจหลอกให้บรรดาฮูหยินยกโทษให้ตน จะได้ไม่เกลียดที่เขาใจร้าย ให้พวกนางโทษว่าเป็นความผิดตัวเองที่มีเงินน้อยแทน แต่ละคนจะได้คิ
นางหลิว “ไม่ได้ ต้องให้เดี๋ยวนี้!”ทั้งสองคนทำท่าจะโต้เถียงกันอีกครั้งหรงจือจือเหมือนจะนึกอะไรขึ้นได้ “ปัดโธ่ วันนี้น้องสามีต้องไปเข้าพบท่านสวี คิดว่าน่าจะใกล้กลับมาแล้ว ประเดี๋ยวคงมาพบข้าที่เรือนหลัน ท่านแม่กับท่านป้าคุยกันไปนะเจ้าคะ ข้าขอตัวก่อน!”นางถานโกรธจนหน้าเขียวคล้ำนังแพศยานี่สร้างปัญหาไว้ยกใหญ่ หลังจากหาเรื่องให้นางแล้วก็จะหนีไป ทิ้งให้นางถูกนางหลิวกลั่นแกล้ง!นางหลิวรู้สึกเสียดายที่หาผลประโยชน์จากหรงจือจือไม่สำเร็จ แต่นางก็รู้ดีว่าในฐานะที่นางหรงเป็นแม่ศรีเรือนอันดับหนึ่งแห่งเหมือนหลวง การจะเล่นงานอีกฝ่ายย่อมไม่ง่ายนักทำได้เพียงพูดว่า “วันนี้ลำบากหลานสะใภ้แล้ว หากเจ้ามีธุระก็ไปเถิด! ที่เหลือข้าจะหารือกับแม่สามีของเจ้าเอง”หรงจือจือยิ้ม นางลุกขึ้นย่อตัวคำนับแล้วถอยออกไปแม้จะเดินห่างออกมาไกลแต่ก็ยังได้ยินเสียงโต้เถียงลอยมาจากเรือนฉางโซ่ว “พวกข้าจะเอากำไลเดี๋ยวนี้!”“ไม่ได้ ต้องแต่งงานเข้ามาก่อนค่อยว่าก่อน!”“ผู้ใดจะรู้กันว่าแต่งงานเข้ามาแล้วเจ้าจะกลับคำหรือไม่?”“แล้วข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าการแต่งงานนี้จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือไม่ บุตรสาวเจ้ายังไม่แต่งเข้ามาเลย?”…
ก่อนหน้านี้อวี่เยียนต้องการปะการัง ไข่มุกเรืองแสง กว้านผมทองหลากสี แต่หรงจือจือก็ไม่ตอบตกลง!นางหลิวสองแม่ลูกหันมามองหรงจือจือด้วยสายตาเสมือนดูดเลือดหรงจือจือคิดไว้อยู่แล้วว่านางถานจะมาไม้นี้ นางยิ้มและกว่าวว่า “ท่านแม่ ข้าพอจะมีสมบัติอยู่ก็จริง แต่ต้องเก็บไว้ให้พวกลูกๆ”“ท่านก็รู้ว่าอวี้อี๋เหนียงกำลังตั้งครรภ์ รอให้เด็กคลอดออกมาแล้ว ข้าซึ่งเป็นแม่จะไม่มอบอะไรให้ลูกคนแรกของซื่อจื่อเลยก็คงจะไม่ใช่”“นอกจากนี้ เมื่อน้องถิงแต่งงานเข้ามาแล้ว หากวันหน้าเพิ่มทายาทให้กับซื่อจื่อ ข้าก็ต้องมอบของขวัญให้มิใช่หรือ?”“น้องถิงดูแล้วเป็นคนมีวาสนา คิดว่าวันหน้าคงไม่ได้มีลูกแค่คนเดียว สุดท้ายสมบัติพวกนั้นก็เป็นของลูกๆ น้องถิงอยู่แล้วมิใช่หรือ น้องถิงว่าใช่หรือไม่?”ถ้อยคำของหรงจือจือทำให้ถานผิงถิงหน้าแดงถานผิงถิงอยากแต่งงานกับฉีจื่อฟู่มาโดยตลอด มองว่าฉีจื่อฟู่หน้าตาโดดเด่น ทั้งยังมีศักดิ์เป็นซื่อจื่อของจวนโหว แม้ว่าบัดนี้จะเป็นได้เพียงอนุแต่ก็ถือว่าได้เติมเต็มความปรารถนาของตัวเองยามที่ถูกทำลายรูปโฉม นางก็คิดว่าชีวิตตัวเองจบสิ้นแล้ว การได้มีทางออกเช่นนี้ก็ถือว่าน่าพึงพอใจมากคำบรรยายถึงภาพฉ
“ท่านแม่ ท่านอย่าได้พูดถ้อยคำเหมือนอย่างวันนี้อีกเลย มิเช่นนั้นท่านจะดูเป็นคนขี้ระแวงและใจคอคับแคบเกินไป อย่างไรก็เป็นหลานสาวจากฝั่งมารดาของท่านนะเจ้าคะ ขนาดท่านก็ยังไม่ยอมรับอย่างนั้นหรือ?”สีหน้าของนางถานสลับไปมาระหว่างสีเขียวกับสีขาว แม้จะอยู่ในยามหลับฝัน นางก็ไม่มีวันคาดคิดว่าจะมีวันที่หรงจือจือขุดบัญชีเก่ามาชำระกับนาง ความจำของนังแพศยานี่จะดีเกินไปแล้วนางถานสงสัยด้วยซ้ำว่า หรงจือจืออาจจะถึงขั้นจำได้ว่าผู้ใดเคยรังแกตัวเองเมื่อครั้งสามขวบ!นางมองหรงจือจือด้วยความเกรี้ยวกราด “หุบปาก! เจ้าไม่พูดก็ไม่มีผู้ใดหาว่าเป็นใบ้หรอกนะ! เรื่องวันนี้มีต้นเหตุมาจากเจ้าทั้งหมด หากไม่เจ้าเพราะเจ้ามาเสนอความคิดโง่ๆ ข้ามีหรือจะทะเลาะเบาะแว้งจากคนบ้านแม่แบบนี้?”หรงจือจือ “พูดอันใดของท่านแม่กันเจ้าคะ ไม่ว่าครอบครัวใดๆ ก็เห็นว่าความคิดของข้าดีทั้งนั้น”“มีผู้ใดไม่เห็นแก่ครอบครัวฝ่ายมารดาของตนด้วยหรือ? มีเพียงท่านนั่นแหละที่แค่ได้ยินว่าจะเอาสินเดิมก็โมโหทันที”“ช่างเถอะๆ เดิมทีเรื่องนี้ก็ไม่เกี่ยวกับข้า ข้าเพียงแต่สงสารน้องถิงที่ต้องเจอปัญหาใหญ่ขนาดนี้ทั้งที่ยังสาวก็เท่านั้น เช่นนั้นข้าขอตัวก่อน
ทว่านางถานเห็นด้วยเสียที่ไหน? แม้ในสายตาของนางถานเงินในคลังจวนโหว ก็เป็นเงินของนางเช่นกัน แต่อย่างไรเงินสินเดิมก็ไม่เหมือนกันเดิมทีเงินสินเดิมทั้งหมดเป็นของตน ขณะนางคิดทุกบัญชี ก็ไม่เคยคิดจะนำออกมาตอนแรกที่จวนตกที่นั่งลำบากที่สุด ตอนร้านรวงไม่มีกำไร นางก็ใช้ให้คนเบื้องล่างไปบอกให้หรงจือจือชักตั๋วเงินจากสินเดิมที่สกุลหรงให้ไปโปะที่ร้าน นางตัดใจแตะต้องสินเดิมของตัวเองไม่ได้ซิ่นหยางโหวไม่จัดการเรื่องในจวน และไม่สนใจเรื่องเหล่านี้ ฉะนั้นอันที่จริงจนถึงตอนนี้สินเดิมของนางยังไม่ได้ถูกแตะเลยแม้แต่อีแปะเดียว เงินที่ใช้ในวันปกติ สินสอดที่เตรียมให้ฉีจื่อฟู่ ล้วนใช้ของจวนโหวทั้งสิ้นตอนนี้ครั้นเอ่ยปากขึ้นมาก็จะให้นางชักออกมากึ่งหนึ่ง ให้ตายนางก็ไม่ยอมอยู่แล้วนางรีบสวนกลับ “ไม่ได้! ไม่ได้เป็นอันขาด!”หรงจือจือมองนางคล้ายกับอยู่เหนือความคาดหมายทีหนึ่ง “ฮะ? แต่ว่าตอนแรกสินเดิมของท่านแม่ ท่านพ่อของน้องผิงก็เป็นคนเตรียมให้ท่านมิใช่หรือ?”“ตอนนี้ท่านลุงไม่อยู่แล้ว ท่านชักออกมาเป็นสินสอดทองหมั้นให้น้องถิงกึ่งหนึ่งก็ไม่เต็มใจหรือ? น้องถิงเข้ามาเป็นอนุชั้นสูงเชียวนะเจ้าคะ อนุชั้นสูงในราชวงศ์เรา
ซึ่งก็คือให้ฉีอวี่เยียนเข้าคุกแล้ว ใบหน้าของบุตรสาวก็ไม่มีวันหาย!นางพลันคว้าแขนของหรงจือจือเอาไว้ “ฮูหยินซื่อจื่อ เจ้าอย่าเพิ่งไป อย่างไรเจ้าก็เป็นคนดูแลหุงหาอาหารในจวน เรื่องนี้เจ้าเองก็ควรหารือร่วมกับเราสิถึงจะถูก!”หลังกล่าวกับหรงจือจือจบนางหลิวก็มองนางถานอย่างไม่สบอารมณ์ “หากไม่ใช่เพราะเจ้าเอาแต่อ้ำ ๆ อึ้ง ๆ หาวิธีพูดออกมาไม่ได้ หลานสะใภ้จะมาได้อย่างไร? เจ้าไม่แม้แต่จะฟังด้วยซ้ำ หรือคิดจะให้ผิงถิงของข้ากลืนความเดือดดาลนี้ลงไปโดยไร้สาเหตุเช่นนั้นหรือ?”ครั้นเห็นนางหลิวโวยวายเช่นนี้นางถานเองก็จนใจ ได้แต่มองหรงจือจือแล้วกล่าวว่า “ได้ นางหรง เจ้าว่ามาสิ! หากเจ้าพูดอะไรที่เป็นเหตุเป็นผลออกมาไม่ได้ วันนี้ข้าจะไม่ยอมปล่อยเจ้าไปง่าย ๆ แน่!”นางเองก็ปวดหัวแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดีในตอนนี้ถานผิงถิงเองก็มองหรงจือจืออย่างระมัดระวังเช่นกัน อันที่จริงนางเองก็ไม่เชื่อว่าหรงจือจือจะมีเจตนาดี และคิดหาวิธีดี ๆ ให้ตนจริง ๆเรื่องอื่นไม่พูดถึง สองสามปีมานี้ตนเคยสะอิดสะเอียนหรงจือจือมาแล้วเท่าไร เคยสร้างปัญหาให้หรงจือจือ ตัวนางย่อมจำได้ขึ้นใจครั้นเห็นสายตาของทุกคนต่างจ้องมองมาที่ต
หรงจือจือยังไม่ทันเดินเข้าไปในสวนฉางโซ่ง ก็ได้ยินเสียงร่ำไห้โวยวายของนางหลิวแล้ว และยังมีเสียงร่ำไห้แตกสลายของถานผิงถิงด้วย“น้องถาน ไม่ว่าอย่างไร เจ้าก็ต้องหาคำอธิบายมาให้เราแม่ลูก! พี่ชายของเจ้ามีแค่ผิงถิงเป็นบุตรสาวเพียงคนเดียว เจ้าแข็งใจยอมให้ทั้งชีวิตของผิงถิงพังทลายไปทั้งอย่างนี้จริง ๆ ได้หรือ?”“ท่านอาสะใภ้ ข้าเคารพท่าน เกรงใจท่านมาตลอด หลายปีมานี้เทียวมาที่จวนโหวอยู่บ่อย ๆปรนนิบัติท่านแทบจะเต็มที่กว่าปรนนิบัติท่านแม่ข้าเสียอีก ตอนนี้อวี่เยียนทำร้ายข้าถึงเพียงนี้ ท่านจะไม่ช่วยข้าเลยหรือ?”ครั้นหรงจือจือได้ยินคำพูดของถานผิงถิง มุมปากก็กระตุกการเย้ยหยันออกมาอันที่จริงเป็นเนื่องจากคำพูดนี้ของถานผิงถิง เป็นเรื่องจริง คงเป็นเพราะนางอยากเป็นฮูหยินซื่อจื่อแห่งจวนซิ่นหยางโหวเกินไป และอยากเป็นฮูหยินโหวในอนาคตมากเกินไป这几年一直对นางถาน百般讨好,就是她的亲生母亲刘氏,她都是往后放的。หลายปีมานี้เอาอกเอาใจนางถานสารพัดมาตลอด กระทั่งนางหลิวแม่ผู้ให้กำเนิดของนาง นางยังละทิ้งไว้เบื้องหลังวันนี้มาคิด ๆ ดูแล้ว หลังนางหลิวครองตนเป็นม่าย ก็มีเพียงบุตรสาวผู้เดียว ทว่าในใจของบุตรสาวกลับมีแต่ท่านอาสะใภ้ ในสิบวันปรารถนาเป
“เกรงว่าจะมีเจตนาพูดให้กลัวจริง ๆ! ไม่แน่ว่าฮูหยินซื่อจื่ออาจเป็นคนเรียกให้หมอเทวดามาขู่ท่านให้กลัวก็ได้ พี่หญิงเองก็เช่นกัน ต่อให้มีอะไรไม่พอใจซื่อจื่อ ก็ไม่ควรทำเช่นนี้!”“เฮ้อ ข้าก็ช่างเลอะเลือนเสียจริง เหตุใดจึงเรียกฮูหยินซื่อจื่อว่าพี่หญิงอีกแล้ว เกรงว่านางได้ยินคงจะโกรธอีก...”ฉีจื่อฟู่กล่าวขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเรียกนางว่าพี่หญิงเป็นการให้เกียรตินาง! เจ้าวางใจ ต่อไปข้าจะคอยปกป้องเจ้าเอง จะไม่ยอมให้นางรังแกเจ้าอีก!”“นางเองก็เลอะเลือนไปแล้วจริง ๆ ถึงขั้นเรียกหมอเทวดามาทำให้ข้ากลัว เพราะเรื่องหลังบ้านแค่นี้ หากทำข้ากลัวจนไม่กล้าไปที่ว่าการ เตะถ่วงอนาคตของข้า หรือว่าจะไม่ส่งผลกระทบกับนางอย่างนั้นหรือ?”อวี้ม่านหวา “ซื่อจื่อใจเย็น ๆ ก่อนนะเจ้าคะ คิดว่าพี่หญิงคงโกรธจนขึ้นสมอง ไม่ได้ตั้งใจ...”ฉีจื่อฟู่ถูกนางโน้มน้าวอยู่ครู่หนึ่ง เขาจุมพิตบนหน้าผากของนาง “เจ้าเป็นภรรยาที่ดีของข้าจริง ๆ!”หรงจือจือเทียบไม่ติดเลยชิวยี่ “...”พวกเขาพูดคุยกันถึงแค่ตรงนี้ ชิวยี่เป็นเพียงบ่าวรับใช้ ย่อมไม่กล้าเอ่ยอะไรทั้งสิ้น เขากลัวว่าซื่อจื่อกับอนุอวี้จะสงสัยว่าตนถูกฮูหยินซื่อจื่อซื้อตัวไปจ
ส่วนทางด้านนั้น ฉีจื่อฟู่กลับมายังห้องของตนทั้งหน้าคล้ำดำหมองอวี้ม่านหวารีบเดินเข้ามา แล้วถามขึ้นว่า “ท่านพี่ฟู่ ท่านกับฮูหยินซื่อจื่อไม่ได้กระทบกระทั่งกันใช่หรือไม่?”ครั้นฉีจื่อฟู่ได้ยินดังนั้น ก็มองนางด้วยอารมณ์สับสน “เจ้าสนใจแค่เราทะเลาะกันหรือไม่ แต่ไม่สนใจว่าข้าระบายความโกรธแทนเจ้าหรือไม่สักนิดเลยหรือ?”อวี้ม่านหวาปาดหยาดน้ำตาพร้อมตอบ “ท่านพี่ฟู่ ขอแค่ท่านสบายใจ ดีกับฮูหยินซื่อจื่อ ข้าต้องน้อยเนื้อต่ำใจนิดหน่อยจะเป็นไรไป”“สองสามวันมานี้ข้าเห็นท่านโมโห ก็เอาแต่นึกเสียใจว่าวันนั้นไม่ควรกลับมา ไม่ควรพูดเรื่องที่ถูกฮูหยินซื่อจื่อทรมานกับท่าน”“เพียงแต่ตอนนั้นในใจข้าน้อยเนื้อต่ำใจเกินไป ในเวลาเพียงชั่วครู่จึงไม่ได้คิดให้เยอะ ๆ เมื่อเห็นท่านพี่ฟู่ ก็คล้ายกับเห็นเสาหลัก ในตอนนี้ถึงได้อดกลั้นเอาไว้ไม่ไหว จะว่าไปแล้ว ตอนนั้นข้าเองก็เลอะเลือน...”ขณะพูด ใบหน้าของนางก็เปี่ยมไปด้วยการตำหนิตนเอง ครั้นฉีจื่อฟู่ได้ยินเช่นนั้น ก็ซาบซึ้งจนโอบนางมาสวมกอดในอ้อมอก พร้อมเอ่ยปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “นี่ไม่ใช่ความผิดของเจ้า! ทั้งใจของเจ้ามีแต่ข้า ถูกรังแกจึงบอกข้า นี่มีความผิดอะไรกัน?”“ย