เจาซีตะลึงไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยถามขึ้นมาว่า “ใช่สาวใช้ที่ชื่อเซี่ยอวี่ที่คุณหนูชอบช่วยเหลือบ่อย ๆ คนนั้นหรือไม่?”อวี้หมัวมัว “ใช่ เป็นนาง”เจาซีเบะปาก “จะมีเรื่องอะไรได้ คงมาให้คุณหนูเราช่วยกระมัง? นี่คุณหนูหย่ากับคนสกุลฉีแล้ว กำลังจะไปแล้วนะ!”ใช่จะบอกว่านางมีมโนธรรมไม่มากพอ ไม่ยอมช่วยคน ความจริงแล้วนั้นไม่ว่าเซี่ยอวี่นั่นจะกล่าวอย่างไร ดีร้ายก็เป็นทาสรับใช้ที่เกิดในสกุลฉี มิหนำซ้ำยังเป็นคนที่ต้องรับใช้อยู่ข้างกายฉีอวี่เยียนอีกหากช่วยนางอีก มักจะรู้สึกโชคร้ายหรงจือจือวางของที่อยู่ในมือลง ก่อนจะเอ่ยทั้งน้ำเสียงจืดชืดว่า “เรียกเข้ามาก่อน ฟังดูแล้วกันว่านางจะว่าอย่างไร”ทว่าก็ไม่จำเป็นต้องด่วนตัดสินว่าอีกฝ่ายมาเพราะมีเรื่องให้ช่วยอวี้หมัวมัว “เจ้าค่ะ ข้าจะไปพานางเข้ามาเดี๋ยวนี้!”ไม่นาน เซี่ยอวี่ก็เดินเข้าประตูมาครั้นมาถึงตรงหน้าหรงจือจือ นางก็คุกเข่าลงเสียงดัง ‘ตุบ’ “ฮูหยินซื่อจื่อ ที่มาขอพบฮูหยินกะทันหัน ขอฮูหยินโปรดอภัยด้วย และอย่าทำให้คุณหนูบ้านข้ารู้เข้า”เจาซี “ก่อนหน้านี้ที่เจ้ามาขอพบ คุณหนูบ้านข้าเคยบอกให้ฉีอวี่เยียนรู้ตั้งแต่เมื่อใด? หากเจ้ากลัวนักก็อย่ามาสิ!”ห
เซี่ยอวี่กัดฟันพร้อมบังอาจพูดจาเลียนแบบนางถาน “นางกล่าวว่า ‘ตอนนี้ ยายแก่นั่นก็ตายไปแล้ว สกุลหรงยังมีที่คุ้มกะลาหัวของหรงจือจืออีกหรือ? ต่อไปหรงจือจือก็เป็นเพียงหมาตัวหนึ่งของเราเท่านั้น’!”หรงจือจือเดือดจนตาแดงก่ำ สั่นระริกไปทั้งตัว “ท่านย่าข้าไม่เคยยุ่งเรื่องสกุลฉี แล้วเหตุใด...เหตุใดพวกเขา? พวกเขาเองก็ไม่มีใครที่ไม่เสนอกับข้าว่าอยากจะรับอวี้ม่านกลับมา แต่ข้าเองก็ไม่เคยปฏิเสธ เหตุใดพวกเขาจึงไม่ยอมปล่อยท่านย่าของข้าไป?”เซี่ยอวี่ตอบทั้งสะอึกสะอื้น “ฮูหยินกล่าวว่า ถึงอย่างไรนางก็เป็นแม่สามีของคุณหนู อยากรับองค์หญิงกลับมา คุณหนูจะไม่ยินยอมก็ไร้ประโยชน์ มีคำว่ากตัญญูค้ำคอคุณหนูอยู่ คุณหนูเองก็จนปัญญา”“แต่ท่านย่าของคุณหนูไม่เหมือนกัน นางเป็นผู้ใหญ่ หากโวยวายขึ้นมาจะลำบากจริง ๆ ฮูหยินกล่าวว่าเพื่อหลานคนโตที่เกิดจากเมียเอกของจวน มีแต่ต้องสละชีวิตของท่านย่าคุณหนูเท่านั้น!”ครั้นหรงจือจือฟังถึงตรงนี้ นางก็หัวใจแทบสลาย เดือดเป็นฟืนเป็นไฟแทบกระอักเลือดออกมาเจาซี “คุณหนู!”นางรีบเอ่ยกับเซี่ยอวี่ “เจ้าเลิกพูดได้แล้ว เจ้าไปเถอะ! เจ้ารีบกลับไปเสีย!”หรงจือจือห้ามเจาซีพลางจ้องเซี่ยอวี่แล้วก
เจาซีรู้สึกใจแตกสลายจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้นางกับคุณหนูมีความสุขกันขนาดนั้น ปรึกษาหารือด้วยกันยามนอนว่า หลังกลับไปอยู่ข้างกายนายหญิงใหญ่จะใช้ชีวิตเช่นไรจะมีความสุขเช่นไรทว่าเพราะนางถาน ความฝันนี้...จึงต้องสลายไปหรงจือจือสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สองสามเฮือก นัยน์ตาแดงเถือกไปหมด แววตาเย็นยะเยียบจนราวกับงูที่หลับเป็นตายมานานนางมองไปที่เซี่ยอวี่พร้อมเอ่ยว่า “เจ้ากลับไปเถิด วันนี้ข้าจะทำเป็นว่าเจ้าไม่เคยมา เจ้าเองก็ทำเป็นว่าไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ข้าฟังแล้วกัน”เซี่ยอวี่โขกศีรษะ “ขอบคุณที่คุณหนูหรงให้อภัย! บ่าวขอตัวลา!”นางลุกลี้ลุกลนลุกขึ้นออกไปเจาซีมองแผ่นหลังของนาง ยังมีน้ำโหอยู่เล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ ก่อนหน้านี้คุณหนูช่วยนางขนาดนั้น แต่นางดันไม่ยอมเป็นพยานให้...”หรงจือจือส่ายศีรษะ “อย่างไรนางก็เป็นคนของฉีอวี่เยียน แค่ยอมบอกเรื่องพวกนี้ให้ข้ารู้ ก็นับว่าเป็นการตอบแทนบุญคุณแล้ว”เจาซี “เช่นนั้น...เช่นนั้นเรื่องนี้ล่ะเจ้าคะ!”มุมปากของหรงจือจือยกขึ้น รอยยิ้มเย็นยะเยือกจนน่ากลัว “มีความอยุติธรรมก็ต้องทวงคืนความเป็นธรรม มีแค้นก็ต้องล้างแค้นอยู่แล้ว!”อวี้หมัวมัวเอ่ยขึ้นด้ว
“เพราะบนโลกใบนี้ มีเพียงท่านย่าผู้เดียวที่รักข้า เพราะการยอมรับของท่านย่า สำหรับข้ามันหมายถึงทุกสิ่ง”“แต่ท่านย่าบอกข้าหน่อยได้หรือไม่ เหตุใดท้ายที่สุดแล้ว ข้ากลับไม่เหลืออะไร! ข้ากลับไม่เหลืออะไรเลย! ข้าไม่เคยทำผิดต่อผู้ใด ข้าไม่เคยล่วงเกินผู้ใด แล้วเหตุใดสุดท้ายคนที่ต้องประสบเรื่องทั้งหมดนี้กลับเป็นข้า? ทำไมพวกเขาต้องแย่งไปกระทั่งท่านย่าไปด้วย? เพราะเหตุใดกันแน่?!”น้ำเสียงของนางแหบแห้ง น้ำตาไหลดุจสายฝน พร้อมหัวเราะอย่างบ้าคลั่งออกมาราวกับเป็นบ้าทว่าไหนเลยที่นางจะรู้ ในที่ที่ห่างออกไปไม่ไกลในที่ที่หิมะปกคลุมไปทั่วพื้นดิน ชายหนุ่มรูปงามสูงส่ง ดวงหน้าดุจเกี้ยวหยกผู้หนึ่ง กำลังยืนมองนางด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกดวงใจแตกสลายสุดจะพรรณนาอยู่เงียบ ๆหรงจือจือไม่ได้คำตอบจากท่านย่า หากเป็นก่อนหน้านี้ ตอนที่ท่านย่ายังมีชีวิตอยู่ นายหญิงใหญ่จะต้องกล่าวคำพูดปลอบใจนางมากมายเป็นแน่ บอกให้นางใจกว้าง อย่ายึดติดทว่าตอนนี้ไม่มีใครคอยปลอยนางแล้วท้ายที่สุดหรงจือจือก็ใจเย็นลง พลางฉีกยิ้มจาง ๆ ทั้งน้ำตาที่ไหลออกมา “ท่านย่า สกุลฉีรนหาที่เอง คนสกุลฉีเป็นคนปลุกปีศาจร้ายให้ตื่นเอง ท่านย่าคอยม
เฉินเยี่ยนซูไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก เพียงมองนางเงียบ ๆหรงจือจือไม่รู้ว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาไม่ปริปากออกมา นางเองก็ไม่กล้าพูดเนื่องจากนางรู้ดีว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ในแคว้นต้าฉีมีความหมายว่าอย่างไร แม้นางจะเคยช่วยชีวิตอีกฝ่าย ทว่านางเองก็ไม่กล้าประมาทแม้แต่น้อยเพียงอีกฝ่ายเอ่ยออกมาคำเดียวก็สามารฆ่าตนได้แล้ว ง่ายราวกับบีบแมลงตัวหนึ่ง กระทั่งฝ่าบาทจะฆ่าคนยังต้องหาเหตุผล ทว่าราชเลขาธิการผู้สำเร็จราชการแทนผู้นี้ไม่ต้องส่วนนางยังไม่ได้แก้แค้นให้ท่านย่า นางยังตายไม่ได้ และล่วงเกินเขาไม่ไหว!หลังจากนั้น หรงจือจือก็นึกขึ้นได้ในฉับพลัน ท่านพ่อราวกับจะลอบตำหนิอัครมหาเสนาบดีเฉินเล็ก ๆ น้อย ๆ เนื่องจากริษยา ไม่รู้เลยว่าอีกฝ่ายจะทำให้ตนลำบากด้วยเหตุนี้หรือไม่ เรื่องนี้ยิ่งทำให้ใจของนางกระวนกระวายแน่นอนว่าเฉินเยี่ยนซูย่อมมองความกลัวและความระวังตัวในแววตาของหรงจือจือออกแม้นางจะเคยช่วยชีวิตเขาไว้ นางมองแววตาของตนแล้วก็ระแวงเป็นอย่างยิ่ง สิ่งนี้ทำให้หมัดของเขากำขึ้นโดยไม่รู้ตัว สกุลฉีไม่เพียงข่มเหงนาง เหยียดหยามนาง ทำให้คนที่รักของนางต้องตาย ยังทำลายความเชื่อใจที่นางมีต่อผู้คนอีกด้วยเขาเอ
เกล็ดหิมะขาวปลิวว่อน กลับไม่สู้ดวงหน้าดุจหยกแกะสลักของเขาทว่าท่ามกลางพื้นที่ที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ แม้แผ่นหลังที่จากไปของหญิงสาวจะดูเปราะบาง แต่ก็ดูเด็ดเดี่ยวและเข้มแข็งทีเดียว เพียงแต่รอยที่เกิดจากการก้าวออกไปนั้น ราวกับไม่ใช่รอยเท้า ทว่าเป็นเพลิงแค้นใช่ว่าหรงจือจือจะไม่รู้ว่าเบื้องหลังของนาง มีคนรับใช้ของจวนเสนาบดีอีกนายหนึ่งเดินเข้ามา และนำของเซ่นไหว้มาวางไว้ ณ ที่แห่งนี้ไม่น้อยครั้นชายหนุ่มรูปงามสูงศักดิ์เห็นว่าหรงจือจือเดินออกไปไกลแล้ว สายตาแสนอ่อนโยนก็มองไปที่ป้ายหลุมศพของนายหญิงผู้เฒ่าหรง พร้อมเอ่ยกระซิบขึ้นว่า “ท่านโปรดวางใจ ภายภาคหน้า ข้าน้อยจะเป็นคนปกป้องนางเอง”ลมเหมันต์ระลอกหนึ่งพัดผ่านไป ราวกับนายหญิงผู้เฒ่าหรงขานรับหลังหรงจือจือออกไปได้ไม่นาน เซินเฮ่อก็เดินกางร่มสาวเท้าอาด ๆ มาตรงหน้าเฉินเยี่ยนซูหลังคารวะ ก็กล่าวถามขึ้นอย่างบังอาจ “ท่านเสนาบดี ท่านมาไหว้ท่านอาจารย์ของท่านอีกแล้วหรือ?”อาจารย์ของท่านเสนาบดีคือมหาราชครูหลี่คนก่อนเนื่องจากนี่เป็นพื้นที่ที่ฮวงจุ้ยดีซึ่งยากจะได้มาอย่างยิ่งผืนหนึ่ง หลุมฝังศพของบรรพบุรุษตระกูลขุนนางสูงศักดิ์และต่ำต้อยหลายตระกูล ล้วนเล
เจาซีขบกรามพลางมองไปที่ห้องโถงหลักนั่นทีหนึ่ง “คุณหนู คุณหนูลองฟังดูสิเจ้าคะว่า พวกเขาพูดอะไรกัน!”นางได้รับคำสั่งให้กลับมาบอกนายท่านว่าตอนนี้ไม่จำเป็นต้องไปรับคุณหนูแล้ว แต่คิดไม่ถึงว่ายังไม่ทันได้พบหน้านายท่าน ก็ได้ยินเรื่องพวกนี้จากข้างนอกเสียก่อนในขณะนี้เอง น้ำเสียงของญาติผู้หนึ่งก็แว่วดังออกมา “หลานชาย ข้ารู้ว่าจือจือเป็นลูกสาวของเจ้า เจ้ารักนาง แต่ว่าสกุลหรงของเราเมื่อมีหญิงหย่าร้าง บรรดาเด็กผู้หญิงคนอื่นจะทำอย่างไรเล่า เจ้าเองก็ต้องคิดถึงพวกเราบ้าง!”หรงจือจือพลันนึกขึ้นมาได้ว่า สามปีก่อน คนพวกนี้ก็บีบท่านย่าแบบนี้เช่นกันตอนนั้นท่านย่าคิดจะถอนหมั้น ทว่าท่านพ่อไม่ยอม หลังจากนั้นคนในตระกูลก็มาหามากมาย เอาเรื่องของสตรีอื่นในสกุลหรงมากดดันท่านย่า บอกว่าหากนางถอนหมั้น จะเป็นการทำลายชื่อเสียงวงศ์ตระกูลทำให้คนข้างนอกคิดว่า คุณหนูสกุลหรงดีแต่ร่วมเสพสุข ทว่าร่วมทุกข์ไม่ได้น่าโมโหจนอาการป่วยของท่านย่าแทบจะกำเริบขึ้นมา ที่นางต้องก้าวออกไปบอกกับท่านย่าว่าตนจะแต่งงาน ก็เพื่อท่านย่าและเพื่อทุกคน ตอนนี้คนเหล่านี้มาบีบบิดานางอีกแล้วเสียงของอีกคนแว่วดังขึ้นมาอีกครั้ง “จือจือแม่หนูคนน
คนผู้หนึ่งทนไม่ไหว จึงกล่าวกับหรงจือจือว่า “จือจือ คิดว่าเจ้าคงได้ยินคำพูดของเราเมื่อครู่แล้ว เพื่อบรรดาน้องสาวของเจ้า เจ้าต้องคิดให้ดีนะ!”นัยน์ตาหรงจือจือเย็นยะเยียบ “ลุงรองยังไม่คิดทำเพื่อลูกสาวของลุงรองเอง จือจือจะถือดีอย่างไรไปทำเกินสถานะ? มีเพียงเราแยกออกจากตระกูลอย่างที่ท่านพ่อกล่าว ก็จะไม่ทำให้พลอยถูกร่างแหไปด้วยแล้วไม่ใช่หรือ?”ลุงรองหรง “เจ้า...”เขาเดือดดาลจนเดินสะบัดแขนเสื้อออกไปหรงจือจือไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมอง หากพวกเขาตัดความสัมพันธ์กับท่านพ่อเพื่อลูกสาวบ้านตนจริง ๆ หรงจือจือยังจะพอมองพวกเขาด้วยความชื่นชมทว่าปล่อยวางความช่วยเหลือที่จวนมหาราชครูมีต่อพวกเขาไม่ได้ และกลัวว่าจะถูกจวนมหาราชครูทำให้ติดร่างแหไป พลอยสังเวยชีวิตของตัวเองไปด้วย บนโลกใบนี้มีเรื่องดี ๆ เช่นนี้ที่ไหนกัน?หลังพวกเขาออกไปหรงจือจือก็เข้ามาในห้องโถงหลักมหาราชครูหรงขมวดคิ้ว พลางเอ่ยถามขึ้นว่า “เหตุใดจึงกลับมาเองแล้วล่ะ?”หรงจือจือมองคนที่อยู่ในห้องโถงทีหนึ่งมหาราชครูหรงเข้าใจความหมายของอีกฝ่าย เขาจึงโบกไม้โบกมือให้ทุกคนออกไป และปิดห้องสนิทมิดชิด “มีเรื่องอะไรรีบเอ่ยมาเถอะ!”หรงจือจือเล่าเ
ทว่าฮูหยินหลี่กลับไม่รู้วิธีปฏิบัติและกฎของสกุลดังในเมืองหลวงเลย หนำซ้ำตอนนี้ยังคิดว่าตนจัดงานเลี้ยงได้ดีอย่างยิ่งอีกฉีกยิ้มพร้อมกล่าวกับหรงเจียวเจียวว่า “ข้ายังต้องออกไปรับแขก พวกเจ้าเข้าไปเล่นกันก่อน พวกฮูหยิน พวกหนุ่ม ๆ สาว ๆ จากแต่ละจวนรวมตัวกันอยู่ตรงนั้น พวกเจ้าไปสนุกกันเองเถอะ”ส่วนพวกผู้ใหญ่ พวกบัณฑิต ย่อมอ่านกวีแต่งบทกลอน พูดคุยเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองอยู่อีกที่หนึ่งอยู่แล้ว ไม่มีทางอยู่รวมกับพวกเด็ก ๆ เหล่านี้งานเลี้ยงเขียนกวีของแคว้นต้าฉี แต่ไหนแต่ไรมาก็จัดเช่นนี้หรงเจียวเจียวฉีกยิ้มหวานพลางตอบกลับ “ท่านป้าไปเถิด พวกข้าจะดูแลตัวเองให้ดีเจ้าค่ะ”ฮูหยินหลี่เรียกหลี่เซียงเหยาบุตรสาวของตนมา “เหยาเหยา เจ้าอยู่เป็นเพื่อนพี่หญิงสามของเจ้าให้ดี อย่าให้คนมาล่วงเกิน จำขึ้นใจหรือยัง?”หลี่เซียงเหยามองหรงจือจือทีหนึ่ง ในตอนนี้ถึงกล่าวว่า “จำเอาไว้แล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่”ครั้นสิ้นเสียง ก็เดินฉีกยิ้มไปกอดแขนของหรงเจียวเจียว ทำทีท่าสนิทกันเป็นอย่างมากตอนหลี่เซียงเหยายังไม่มาเมืองหลวง ก็ได้ยินว่าพี่หญิงใหญ่ของตนโดดเด่นอย่างไร ในใจของนางโหยหาเป็นอย่างมากแต่คิดไม่ถึงเลยว่าเมื่อตนมา
เหวินหมัวมัว “นี่...เจ้าค่ะ! บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้เจ้าค่ะ!”นางหวังยังรีบไปกำชับข้างหูนางอีกว่า “ถ้าไม่สะดวกจะเรียกกลับมา ก็อย่าให้พวกนางพูดอะไรที่ไม่ควรพูดออกไปเป็นอันขาด”เหวินหมัวมัว “เจ้าค่ะ”นางลุกลี้ลุกลนออกไปจากจวน นางหวังร้อนใจกระวนกระวายดั่งด้ายพันกัน หากไม่ใช่เพราะนึกขึ้นได้ว่าตนกำลังไว้ทุกข์อยู่ ไม่สะดวกจะไปงานเลี้ยงเขียนกวี นางแทบอยากจะรุดหน้าไปด้วยตัวเองแล้ว...ในขณะนี้ จวนสกุลหลี่จวนสกุลหลี่แม้จะเป็นจวนที่ซื้อมาใหม่ ทว่าในหลายวันนี้ก็ซ่อมแซมอย่างดีไปยกหนึ่ง ฮูหยินหลี่เสียแรงตกแต่งไปอย่างมากครั้นเห็นพวกเด็ก ๆ จากสกุลหรงมาถึงท่านลุง ท่านป้าสะใภ้สกุลหลี่ ก็ฉีกยิ้มออกมารับหน้า “ท่านพี่มีใจแล้วจริง ๆ ถึงให้พวกเจ้ามา นับเป็นเกียรติกับเราจริง ๆ”หรงจือจือในฐานะพี่สาวคนโต ย่อมกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เป็นสิ่งสมควรเจ้าค่ะ งานเลี้ยงเขียนกวีของจวนท่านป้าสะใภ้ ก็ต้องมาร่วมงานอยู่แล้ว”ฮูหยินหลี่มองนางทีหนึ่ง ทว่าในสายตากลับมีความไม่พอใจอยู่เล็กน้อยหากไม่ใช่เพราะนางหวังส่งจดหมายมา บอกให้นางให้ความร่วมมือพูดฉีกหน้าหรงจือจือสักครา ทำให้ต่อไปนางไม่กล้าทำตัวบ้าคลั่งต่อหน้า
“ครั้งนี้เจ้าจะได้พูดกับนางให้เข้าใจด้วยพอดี ให้นางพิจารณาตัวเองเสีย เหตุใดเป็นลูกสาวของข้าเช่นกัน พี่สาวนางแต่งงานครั้งที่สองแล้ว อัครมหาเสนาบดีเฉินมาสู่ขอแล้ว แต่นางกลับยังทำให้ข้าไม่รู้จะเอาหน้าเหี่ยว ๆ ไปซุกไว้ที่ไหน!”ครั้นนางหวังได้ยินดังนั้น ก็รู้สึกเพียงราวกับบนหน้าตนถูกคนฟาดสองฉาด เจ็บปวดแสบปวดร้อนไปหมดสิ่งเดียวที่เจียวเจียวกับจือจือแตกต่างกัน ก็คือคนหนึ่งตนอบรมสั่งสอนมาเองกับมือ ส่วนอีกคนฮูหยินผู้เฒ่าเป็นคนอบรมสั่งสอนมานี่ไม่เท่ากับกำลังว่าตนสั่งสอนลูกสาวได้ไม่ดีเท่ายายแก่ที่ตายไปแล้วนั่นหรอกหรือ?มหาราชครูหรงพูดจบ ก็ยังกล่าวต่อทั้งสายตาเคร่งขรึมว่า “ก่อนหน้านี้เจ้าพูดถูก ในเมื่อจะแต่งงานกับท่านเสนาบดี สินเดิมจะน้อยไม่ได้ ไม่รวมกับสินติดตัวเจ้าสาวที่ท่านแม่ให้จือจือในก่อนหน้านี้ เจ้าก็เตรียมเพิ่มให้นางอีกหน่อยแล้วกัน”นางหวังเดือดดาลจนเสียงหาย “ท่านพี่! การแต่งงานดี ๆ ของเจียวเจียวถูกจือจือแย่งไป ท่านยังให้ข้าเตรียมสินเดิมให้จือจือเพิ่มอีก ท่านอยากบีบเจียวเจียวให้ตายหรืออย่างไร?”มหาราชครูหรง “พอได้แล้ว! พูดจาเพ้อเจ้อแย่งงานแต่งอะไรกัน เจ้าอย่าได้พูดอีกเชียวนะ ลูกสาวท
เห็นนางหวังดีอกดีใจ และพูดจามั่นอกมั่นใจเช่นนี้คำพูดที่มหาราชครูหรงอยากจะกล่าว แทบจะติดอยู่ที่คอหอยพูดไม่ออกนางหวังยังพูดเป็นต่อยหอย “ท่านพี่ ข้าว่า เราต้องให้สินเดิมเจียวเจียวเพิ่มอีกหน่อย จะให้น้อยกว่าจือจือไม่ได้ อย่างไรก็แต่งงานกับท่านเสนาบดี จะให้คนดูถูกได้อย่างไร...”มหาราชครูหรงอดกลั้นเอาไว้ไม่ไหวแล้วจริง ๆ “พอได้แล้ว”นางหวังอึ้งไป ครั้นเห็นว่าสีหน้าของมหาราชครูหรงไม่ดีจริง ๆ ก็เอ่ยถามขึ้นอย่างระมัดระวังว่า “ท่านพี่ มีอะไรหรือ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ?”ในตอนนี้มหาราชครูหรงถึงตอบกลับว่า “จับคู่ผิดแล้ว! คนที่อัครมหาเสนาบดีเฉินอยากแต่งงานด้วย ไม่ใช่เจียวเจียว!”นางหวังฉงนไปเลย “ฮะ? ท่านพี่ ท่านเลอะเลือนไปแล้วหรืออย่างไร ไม่ใช่เจียวเจียวแล้วจะเป็นผู้ใดได้? หรือว่าในใต้หล้านี้ยังมีสตรีที่ดีกว่าเจียวเจียวของเราอีกหรือ?”นางหวังยิ่งกล่าว ก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ท้ายที่สุดก็คลี่ยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ท่านพี่ ท่านพี่กำลังล้อข้าเล่นอยู่ใช่หรือไม่?”มหาราชครูหรงลูบหว่างคิ้วพลางตอบกลับ “ข้าไม่มีทางเอาเรื่องใหญ่เช่นนี้มาล้อเล่นเป็นอันขาด! คนที่ท่านเสนาบดีต้องการคือจือจือ ไม่
เฉินเยี่ยนซูแทบจะเดือดดาลจนโพล่งขำ “เช่นนั้นท่านมหาราชครูเคยคิดหรือไม่ เป็นบุตรสาวของท่านเหมือนกันแท้ ๆ เหตุใดคนหนึ่งไร้เดียงสาใสซื่อได้ แต่อีกคนกลับไม่เข้มแข็งไม่ได้?”“ท่านหญิงก็เป็นเพียงแม่นางน้อยอายุยี่สิบปีผู้หนึ่ง ผ่านการล้มลุกคลุกคลานมามากมายขนาดนี้ ลำบากมามากมายขนาดนี้ มหาราชครูยังคิดจะให้นางเข้มแข็งอย่างไร?”มหาราชครูหรงพูดไม่ออก ได้แต่เอ่ยขึ้นพร้อมเปลี่ยนเรื่องว่า “ที่จริงก็เป็นเพราะข้าหวังดีกับท่านเสนาบดี อย่างไรจือจือก็เคยผ่านการหย่ามาก่อน สู้สตรีบริสุทธิ์อย่างเจียวเจียวได้เสียที่ไหน? นี่ถึงได้...”เฉินเยี่ยนซูพูดแทรกขึ้นมา “ท่านมหาราชครู นายหญิงผู้เฒ่าหรงให้ท่านดูแลท่านหญิงให้ดี ข้าคิดว่าที่เรียกว่าดูแล นอกจากเป็นห่วงในด้านการใช้ชีวิตแล้ว ก็น่าจะมีเรื่องการเคารพในด้านตัวตนด้วย”“ในในของท่านดูถูกท่านหญิงแล้ว คิดว่านางสู้คุณหนูสามของจวนท่านไม่ได้ หรือว่านี่ไม่ใช่ความอัปยศอย่างหนึ่งสำหรับนาง?”“นางก็แค่แต่งงานผิดคน ไม่ได้ทำเรื่องผิดพลาดใหญ่หลวงอะไร ตามที่ข้ารู้ การแต่งงานในตอนแรกนั้นนางไม่ได้เป็นคนเลือกด้วยตัวเอง”“ข้าไม่เข้าใจจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่นางเป็นเหยื่อ และยิ่งเป็นค
เฉินเยี่ยนซูราวกับเดือดดาลจนขำ เขาวางจอกชาในมือลง “เยี่ยมจริง ๆ มหาราชครูหรงยกบุตรสาวให้หมั้นหมายกับข้า แล้วก็คิดจะให้นางแต่งงานกับคนอื่นอีกด้วย”“ที่ข้ามาเพราะอยากขอคำอธิบาย มหาราชครูไม่มีเจตนาจะขอโทษไม่พูดถึง แต่ยังจะยัดเยียดบุตรสาวให้ข้าอีก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้เราไปตัดสินกันต่อหน้าฝ่าบาทเถอะ!”ครั้นมหาราชครูหรงได้ยินเช่นนั้น ก็ขมวดคิ้วมุ่น พลางเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจ “จะเรียกว่ายัดเยียดบุตรสาวตามอำเภอใจได้อย่างไร? หรือว่าหากเปลี่ยนเจียวเจียว ท่านเสนาบดีก็ไม่พอใจอีก?”เฉินเยี่ยนซูมองเขาทีหนึ่ง “คนที่ข้าอยากแต่งงานด้วย มีเพียงท่านหญิงแห่งหนานหยางผู้เดียวเท่านั้น”มหาราชครูหรงเริ่มรู้สึกว่า ตนถูกคำของนางหวังหลอกเข้าแล้ว บางทีผู้ที่เฉินเยี่ยนซูต้องการตั้งแต่ต้นจนจบ ล้วนเป็นสตรีที่เขาชื่นชม แต่มิใช่สตรีที่มุ่งแต่จะแต่งงานกับเขามหาราชครูหรงที่รู้สึกว่าตนคล้ายตัวตลก ฉีกยิ้มอย่างขมขื่นออกมาทีหนึ่ง “ข้าเข้าใจแล้ว”เฉินเยี่ยนซูเอ่ยถามขึ้นว่า “ในเมื่อเข้าใจแล้ว คิดว่าท่านพ่อตาก็คงจะไม่ถอนหมั้นใช่หรือไม่?”การเรียกท่านพ่อตานี้ แสดงถึงความเคารพออกมาอีกสองสามส่วน ทำให้ในใจของมหาราช
เขาจงใจพูดไล่หลังหรงจือจือด้วยเสียงดังเพื่อให้นางได้ยินหรงเจียวเจียวหน้าแดงด้วยความเขินอายโดยพลัน นางกระทืบเท้าว่า “ท่านพี่!”แต่หรงจือจือราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด นางไม่แม้แต่จะหันมามองนี่ทำให้หรงซื่อเจ๋อโมโหหนักกว่าเดิม เขากัดฟันว่า “นางมีนิสัยแบบนี้ ไม่แปลกเลยที่สกุลฉีจะรังเกียจ! คงมีแต่ต้องแต่งงานไปอยู่ตระกูลเล็กๆ และพึ่งพาการปกป้องจากท่านพ่อไปจนตาย ข้ารู้สึกสงสารว่าที่พี่เขยในอนาคตด้วยซ้ำ!”แต่พูดถึงตรงนี้ หรงซื่อเจ๋อก็ต้องสำลักคำพูดตัวเองนั่นเพราะนึกถึงเรื่องที่หรงจือจือบอกให้เขาแต่งงานไปอยู่สกุลฉีเมื่อคราก่อน หากนางได้ยินว่าเขาสงสารฉีจื่อฟู่ เกรงว่าคงพูดแบบนั้นให้ตัวเองสะอิดสะเอียนอีก เขารีบปิดปากเงียบหรงเจียวเจียว “พอแล้วๆ ท่านรีบขึ้นรถม้าเถิด! หากไปสาย ท่านพ่อคงตำหนิว่าพวกเราไม่รู้กฎเกณฑ์”หรงซื่อเจ๋อจำใจต้องขึ้นรถม้าเป็นเพราะแผลที่หลังเขายังไม่หายดีและกลัวว่าท่านพ่อจะโบยตีอีกรอบหรอกนะ มิเช่นนั้นเขาจะด่าหรงจือจือชุดใหญ่……รถม้าของพวกเขาเพิ่งจะออกจากสกุลหรงได้ไม่นานรถม้าของจวนราชเลขาธิการก็มาถึงหน้าจวนสกุลหรง มหาราชครูหรงทราบเรื่องแล้วยังคงออกมาต้อนรับด้วยตัวเอ
หรงจือจือสะกดกลั้นความโมโหในใจ ตอนนี้นางได้ลิ้มรสความรู้สึกที่มีเพียงคนตรงไปตรงมาแบบเจาซีที่จะมีได้!หากไม่ใช่เพราะยังมีสติสัมปชัญญะอยู่ มันก็มีอยู่ชั่วพริบตาหนึ่งที่นางอยากไปที่จวนราชเลขาธิการเดี๋ยวนี้ ไปบอกว่าตัวเองยินดีแต่งงานกับเฉินเยี่ยนซู หรงเจียวเจียวจะได้เลิกเห่าเสียทีนางยกยิ้มมุมปากมองหรงเจียวเจียว “ได้ เช่นนั้นข้าจะรอดูวันที่เจ้าได้แต่งเข้าจวนราชเลขาธิการ น้องสามต้องพยายามเข้าล่ะ อย่าได้พลาดเด็ดขาด”นางอยากรู้เหมือนกันว่าหรงเจียวเจียวจะมีสีหน้าเช่นไรเมื่อทราบเรื่องราวทั้งหมดหรงเจียวเจียวแค่นเสียงเบาและวางท่ามั่นอกมั่นใจ “เช่นนั้นเชิญพี่หญิงเบิกตาดูให้ดีได้เลย!”“ถึงเวลานั้นก็อย่าอิจฉาจนร้องไห้ล่ะ ข้าได้ยินว่าบุรุษที่ท่านพ่อหาให้ท่านเป็นแค่เสมียนกรมเล็กๆ นี่ต่างหากที่น่าขัน!”หรงจือจือพูดอย่างราบเรียบ “หวังว่าพรุ่งนี้ เจ้าจะยังยิ้มออกนะ”ฟังจากที่เฉินเยี่ยนซูพูด เขาจะมาคุยกับท่านพ่อให้ชัดเจนในวันพรุ่งนี้ หลังจากผ่านพรุ่งนี้ไป หรงเจียวเจียวคงทำหน้าเย่อหยิ่งเช่นนี้ไม่ได้อีกหรงเจียวเจียวมีหรือจะรู้ว่าหรงจือจือคิดอะไรอยู่?นางพูดด้วยความดูถูก “ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ได้จะยิ
“แต่ราชเลขาธิการเฉินผู้นี้ เขาเป็นคนประเภทที่ข้ารู้สึกชื่นชมตั้งแต่ยังไม่แต่งงาน ข้ากลัวว่าหากแต่งงานกับเขาจริงๆ เมื่อได้ใช้เวลาร่วมกันตั้งแต่เช้าจรดเย็น ตัวข้าจะเกิดความรู้สึกที่ไม่ควรมีต่อเขาได้”“ความจริงแล้วเขาเป็นตัวเลือกที่อันตรายสำหรับข้า”“หลังจากที่ท่านย่าจากไป ข้าก็ชอบคิดอยู่เสมอ หากข้าไม่สามารถปกป้องอะไรได้เลย แต่อย่างน้อยก็ต้องปกป้องหัวใจตัวเอง ห้ามให้ผู้ใดมีโอกาสกรีดแทงหัวใจข้าเด็ดขาด ข้าไม่อยากตกอยู่ในสถานการณ์ที่เลวร้ายไปกว่านี้”ในการพบกันเมื่อสี่ปีก่อน ความจริงแล้วหรงจือจือเคยตะลึงงันกับรูปลักษณ์ที่โดดเด่นของเฉินเยี่ยนซู หลังจากได้ใช้เวลาร่วมกันสองสามวัน บทสนทนาที่มีร่วมกับเขาก็ทำให้นางประทับใจเช่นกันแต่ตอนนั้นนางรู้ตัวว่าตัวเองมีการหมั้นหมาย ด้วยเหตุนี้จึงไม่ได้มีความรู้สึกอื่นใดนอกเหนือจากนี้ทว่าบัดนี้นางเป็นอิสระแล้ว ส่วนเขาก็มีเสน่ห์ยิ่งกว่าเมื่อก่อน มีบางครั้งที่นางเผลอมองนานเกินไปโดยไม่รู้ตัว ส่วนวันนี้ก็มีอาการหน้าแดง จะไม่ให้เป็นกังวลได้อย่างไร?เคราะห์ดีที่เฉินเยี่ยนซูต้องการแต่งงานกับนางเพื่อให้ช่วยดูแลอาการป่วย ไม่ใช่เพราะพึงใจในตัวนาง มิเช่นนั้น นาง