Share

บทที่ 144

Author: สั่งไม่หยุด
บนรถม้าระหว่างกลับจวนโหว หรงจือจือดูตกตะลึงเล็กน้อย และอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าเหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงมีเวลาช่วยนางสืบเรื่องเหล่านี้

ตามหลักแล้ว คนแบบเขานั้นนั่งอยู่ตำแหน่งสูงในท้องพระโรง อำนาจล้นฟ้า เรื่องเล็กน้อยของเรือนหลังนี้ อีกฝ่ายไม่ควรจะใส่ใจ และยิ่งไม่คิดจะสนใจเสียด้วยซ้ำจึงจะถูก

เมื่อเห็นคุณหนูของตนนั่งกระสับกระส่าย

เจาซีก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนู ท่านมีข้อสงสัยอะไรหรือเจ้าคะ?”

น้อยนักที่หรงจือจือจะมีท่าทีสับสน นางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เพียงแต่ประหลาดใจกับความหวังดีของท่านเสนาบดีที่มีต่อข้าก็เท่านั้น บางที ข้าอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไป และที่เขาทำแค่เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น?”

กลับคิดไม่ถึงว่า เจาซีจะกล่าวเช่นนี้ “ข้าน้อยรู้สึกว่า ท่านเสนาบดีคงจะชอบท่านแน่ ๆ เจ้าค่ะ ในฐานะท่านสมุหราชเลขาธิการ แถมยังต้องว่าราชการแทน อีกทั้งยังมีงานรัดตัวเช่นน้้น เหตุใดต้องรอคุณหนูไปพบด้วยตนเองอยู่ที่นั่น เพียงเพื่อให้คนมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ท่านด้วยล่ะเจ้าคะ”

“เรื่องนี้ส่งบ่าวรับใช้คนใดมาทำก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังอ้อมค้อมเช่นนี้ และให้นางเซินเป็นธุระให้อีก แรงจูงใจที่เขาต้องการจะพบคุณหนู
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 1  

    เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 2  

    ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 3  

    ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 4  

    หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 5  

    หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 6  

    หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 7  

    นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 8  

    เจาซีได้ยินเช่นนี้ ก็ตกใจจนหน้าซีดเผือดทันที ทว่าภายใต้ความขลาดกลัวและความดื้อรั้น ภายในใจกลับเกิดความกล้าหาญเด็ดเดี่ยวขึ้นมาอย่างประหลาด ขณะที่กำลังคิดว่าในเมื่อฮูหยินจะตีตนเองให้ตายจริงแล้ว ก่อนที่นางจะต้องสิ้นใจตาย ต้องช่วยพูดเข้าข้างคุณหนูของตนเองสักสองประโยค กลับคิดไม่ถึงเลยว่าหรงจือจือจะสืบเท้าเข้ามาหนึ่งก้าว เอาตัวเข้าขวางหน้าเจาซีไว้ แสดงเจตจำนงชัดเจนว่าห้ามมิให้ผู้ใดแตะต้องนาง เจาซีเห็นเงาแผ่นหลังบอบบางอ่อนแอของคุณหนู แต่กลับรู้สึกว่ากว้างใหญ่ไร้สิ่งใดเปรียบ ริมฝีปากของนางสั่นไหวเล็กน้อย ในดวงตากำลังรื้นคลอด้วยน้ำตา “คุณหนู…” บัดนี้ภายในใจของนางเกิดรู้สึกผิดขึ้นมาจนจะตายให้ได้ คุณหนูคอยเตือนสตินางไม่รู้กี่หนต่อกี่หน ให้เข้มแข็งหนักแน่น เงียบไว้อย่ามากวาจา เพราะด้วยฐานะของนางถึงอย่างไรแล้วก็เป็นเพียงแค่บ่าวรับใช้ ถูกจับผิดง่าย แต่เหตุใดหนอตนเองถึงไม่รู้จักจำใส่หัวไว้บ้าง! นางหวังมองการกระทำของหรงจือจือ หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา พร้อมถากถางอย่างรังเกียจ “เจ้าทำเช่นนี้หมายความว่าอะไร? เจ้าคิดจะอกตัญญูต่อมารดา เพียงเพื่อปกป้องบ่าวชั้นต่ำคนหนึ่งหรือ?” หรงจือจือมิได้สนใจความเจ็บ

Latest chapter

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 144

    บนรถม้าระหว่างกลับจวนโหว หรงจือจือดูตกตะลึงเล็กน้อย และอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าเหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงมีเวลาช่วยนางสืบเรื่องเหล่านี้ตามหลักแล้ว คนแบบเขานั้นนั่งอยู่ตำแหน่งสูงในท้องพระโรง อำนาจล้นฟ้า เรื่องเล็กน้อยของเรือนหลังนี้ อีกฝ่ายไม่ควรจะใส่ใจ และยิ่งไม่คิดจะสนใจเสียด้วยซ้ำจึงจะถูกเมื่อเห็นคุณหนูของตนนั่งกระสับกระส่ายเจาซีก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนู ท่านมีข้อสงสัยอะไรหรือเจ้าคะ?”น้อยนักที่หรงจือจือจะมีท่าทีสับสน นางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เพียงแต่ประหลาดใจกับความหวังดีของท่านเสนาบดีที่มีต่อข้าก็เท่านั้น บางที ข้าอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไป และที่เขาทำแค่เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น?”กลับคิดไม่ถึงว่า เจาซีจะกล่าวเช่นนี้ “ข้าน้อยรู้สึกว่า ท่านเสนาบดีคงจะชอบท่านแน่ ๆ เจ้าค่ะ ในฐานะท่านสมุหราชเลขาธิการ แถมยังต้องว่าราชการแทน อีกทั้งยังมีงานรัดตัวเช่นน้้น เหตุใดต้องรอคุณหนูไปพบด้วยตนเองอยู่ที่นั่น เพียงเพื่อให้คนมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ท่านด้วยล่ะเจ้าคะ”“เรื่องนี้ส่งบ่าวรับใช้คนใดมาทำก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังอ้อมค้อมเช่นนี้ และให้นางเซินเป็นธุระให้อีก แรงจูงใจที่เขาต้องการจะพบคุณหนู

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 143

    ต่อจากนั้นนางก็เห็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกำแพงกำลังชมภาพวาดอยู่ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างาม จึงทำให้นึกถึงกวีบทหนึ่งขึ้นมาที่ว่า กองหินดั่งหยก ต้นสนสีเขียวเรียงรายดั่งมรกต บุรุษงามโดดเด่นเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้าด้านข้างเขามีองครักษ์ยืนอยู่คนหนึ่งหลังหรงจือจือพาเจาซีเข้ามาในห้อง ก็คุกเข่าแสดงความเคารพอย่างสุภาพ “คารวะท่านเสนาบดีเจ้าค่ะ!”ดวงตาที่ปกติเย็นชาของเสิ่นเยี่ยนซูคู่นั้น กำลังมองไปที่หรงจือจือ และถูกเติมเต็มด้วยเงาร่างของนางในทันทีราวกับฟ้าดินไร้ระเบียบ ราวกับจันทราไร้แสงสว่างโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล ท่ามกลางแสงสีอันฟุ้งเฟ้อ เหลือนางเพียงคนเดียว ที่เปล่งประกายเจิดจรัส และโดดเด่นเกินกว่าผู้ใดเขากล่าวเสียงเรียบ “แม่นางหรงลุกขึ้นเถอะ”นางเซินที่ยืนอยู่ด้านหลัง เห็นสายตาของเสิ่นเยี่ยนซู ก็ปรากฏความเศร้าหมองขึ้นมาในแววตาแวบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นท่านเสนาบดีคุยกับคุณหนูหรงเชิญคุยเป็นการส่วนตัวเถอะ ข้าจะไปรอที่ด้านนอกเจ้าค่ะ”ทันทีที่พูดจบ ก็ถอยออกไปหรงจือจือก็ยืดตัวขึ้น สองมือประสานกันไว้ด้านหน้า ยืนอย่างนอบน้อม พลางกล่าวเสียงเบา “ขอบ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 142

    หรงจือจือลงมาจากรถม้า สั่งเหล่าคนรับใช้รออยู่นอกโรงน้ำชาชั้นล่าง และเข้าไปด้านในพร้อมกับสตรีนางนั้นจากนั้นก็ถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบควรเรียกฮูหยินเช่นไรหรือ?”อันที่จริงเพราะอีกฝ่ายมวยผม นางจึงถามเช่นนี้สตรีนางนั้นยิ้มเล็กน้อย และกล่าว “ข้าเซินหย่า คุณหนูเรียกข้าว่านางเซินก็พอแล้ว ปีนั้นท่านพ่อตัดสินใจให้ข้าแต่งงานแก้เคล็ดกับท่านพี่ ในขณะนั้นน้องชายเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ กลับถูกคนใส่ร้ายจนเข้าคุก จึงไม่สามารถช่วยออกหน้าแทนข้าได้”“แต่งานแต่งในวันนั้นท่านพี่ดันมาเสียชีวิต บ้านแม่สามีปฏิบัติต่อข้าไม่ดี เซินเฮ่อผู้เป็นน้องชายจึงรับข้ากลับมา บัดนี้เป็นม่ายอาศัยอยู่บ้านมารดาเจ้าค่ะ”หรงจือจือนึกขึ้นราวกับเคยได้ยินชื่อเซินเฮ่อคนนี้มาก่อนไม่ถือว่าเกิดในครอบครัวยากจน แต่เป็นครอบครัวที่น่าสงสาร คิดๆ ดูแล้วการกระทำของบิดามารดานาง เป็นเพราะตอนนั้นสถานการณ์ทางบ้านยากลำบาก แถมไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรสาวอีกเพียงแต่คำพูดและการกระทำของนางเซิน ทำให้หรงจือจือประหลาดใจจริง ๆ นางก็ไม่ปิดบังความคิดของตนเอง “ฮูหยินคล้ายจะเผยความในใจให้กับคนที่ไม่สนิทอย่างข้าฟังอยู่นะ”พวกนางทั้งสองพบ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 141

    เจาซีถอนหายใจเบา ๆ พลางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านขอหนังสือหย่า และไม่วางแผนจะอยู่กับเขาต่อ มิเช่นนั้นลองคิดดู แค่อนุอวี้ยุยงไม่กี่คำ ฉีจื่อฟู่ก็อยากมอบหนังสือปลดภรรยาให้ท่าน เช่นนั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”ขณะที่พูด เจาซีก็โกรธจนขอบตาแดงก่ำไปหมดแล้วเพียงแต่นางนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “แต่เมื่อครู่หากท่านโหวกับคุณชายสี่โน้มน้าวซื่อจื่อไม่ได้ แม้หนังสือปลดภรรยาจะไม่กระทบชื่อเสียงของท่าน พวกเราก็ต้องออกจากจวนโหว หลังจากไปแล้วการแก้แค้นจะไม่ยากขึ้นหรือเจ้าคะ?”นางถานยายแก่จอมเจ้าเล่ห์ที่สมควรตายนางนั่นยังมีชีวิตอยู่!หรงจือจือหลุดขำออกมาเสียงหนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ ซิ่นหยางโหวกับฉีจื่อเสียนจะโน้มน้าวเขาแน่ และขอเพียงซิ่นหยางโหวบังคับ ก็จะทำให้ให้เขาฉีกหนังสือปลดภรรยาได้แล้ว”เจาซีเห็นความมั่นใจของคุณหนู ก็วางใจไปหลายส่วนแล้ว แต่ยังคงกล่าวว่า “หากทราบเช่นนี้ ตอนออกจากจวนน่าจะส่งคนเข้าไปแอบฟังเสียหน่อยนะเจ้าค่ะ”หรงจือจือกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก ก็แค่สองพ่อลูกร่วมมือกัน สอนฉีจื่อฟู่ว่าได้รับผลประโยชน์แล้วค่อยถีบหัวส่งข้าก็เท่านั้นเอง”“และบอกฉีจ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 140

    หญิงสาวที่ถูกปลดนั้นเสียหายมากกว่าการหย่ามาก จะกลายเป็นที่น่าขันของทั้งแคว้นต้าฉี!นางหมกมุ่นกับชื่อเสียงขนาดนั้น สกุลหรงใส่ใจชื่อเสียงมากถึงขนาดนั้น เอาไว้เห็นหนังสือปลดภรรยาจากเขาแล้ว นางก็จะเข้าใจเองว่า เขาสามารถทำให้นางตกสู่นรกได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว ไม่อาจพลิกฟื้นเมื่อต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวลนลาน นางต้องไม่กล้าทำเช่นนี้กับม่านหวาอีกแน่นอน!ในท้องของม่านหวามีลูกของเขาอยู่ ลูกของเขาก็เปรียบเสมือนลูกของหรงจือจือเช่นกันไม่ใช่หรือไร? อนาคตก็ต้องเรียกหรงจือจือว่าท่านแม่มิใช่หรือ? การที่นางรังแกแม่ผู้ให้กำเนินของลูกเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลชัดๆ!อวี้ม่านหวาตาเป็นประกาย นางพูดยุแยงต่อ “ท่านพี่ฟู่ ฮูหยินซื่อจื่ออาจจะโมโหเพียงชั่ววูบเพราะโกรธเคืองเรื่องเตาอุ่นมือก็เป็นได้ ท่านอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลยเจ้าค่ะ…”แล้วก็เป็นไปดังคาด ฉีจื่อฟู่ได้ฟังดังนี้ก็ยิ่งโมโห “ก็แค่เตาอุ่นมืออันเดียว ข้าถูกทำร้ายจนมีสภาพนี้ ส่วนของก็ถูกนางเอากลับคืนไปแล้ว นางยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”“เจ้ารู้ความขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ยอมให้นางทุกอย่าง แต่นางกลับเอาแต่ใช้อำนาจ ข้าคิดถูกแล้วที่จะให้นางเป็นอนุ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 139

    กระทั่งชาถ้วยนั้นเย็นลงแล้ว หรงจือจือถึงค่อยๆ รับมาแต่อวี้ม่านหวายังไม่ทันจะได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอกหรงจือจือก็สาดชาอุ่นถ้วยนั้นใส่หน้าของอวี้ม่านหวา ทำเอาอวี้ม่านหวาร้องออกมาด้วยความตกใจ “กรี๊ด…ฮูหยินซื่อจื่อ นี่ท่าน…”หรงจือจือวางถ้วยชาลงก่อนจะเอ่ยอย่างเอื่อยเฉื่อย “เจ้ากล่าววาจาไร้ยางอาย ข้าจึงช่วยล้างหน้าเรียกสติ”“ต่อไปจะได้เลิกภูมิใจต่อคำพูดและการกระทำชั้นต่ำไร้ยางอายของตัวเอง ทำให้สามีของตนขายหน้า”“ประเดี๋ยวเจ้ากลับไปร้องไห้ฟ้องเขาก็บอกเขาด้วยล่ะว่า ไม่ต้องขอบคุณที่ข้าเป็นห่วงชื่อเสียงของเขา นี่เป็นสิ่งที่นายหญิงเช่นข้าสมควรทำอยู่แล้ว”อวี้ม่านหวาหน้าซีดเขียวนึกไม่ถึงว่าหรงจือจือจะคาดเดาได้ว่านางจะกลับไปร้องไห้ฟ้องฉีจื่อฟู่ แต่นางไม่กลัวสักนิดเลยหรือ?เมื่อเห็นความประหลาดบนสีหน้าอวี้ม่านหวาหรงจือจือก็เงยหน้าพูดด้วยความดูถูก “หากครั้งหน้าคิดจะมาหาเรื่องข้าอีกก็จำไว้สองเรื่อง เรื่องแรก ตีงูต้องตีให้ตาย อย่าได้เอาของที่ไม่ได้มีความสำคัญสำหรับศัตรูมาข่มขู่”นี่อีกฝ่ายคิดว่านางกลัวว่าจะถูกเอาไปฟ้องฉีจื่อฟู่หรือ? บัดนี้ฉีจื่อฟู่นับว่าเป็นอะไรสำหรับนางกัน?ใบหน้าของอวี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 138

    ครานี้อวี้ม่านหวาเข้าใจแล้ว ที่หรงจือจือเรียกนางมายกน้ำชาวันนี้ก็เพื่อเอาคืนเรื่องที่นางแย่งเอาเตาอุ่นมือของอีกฝ่ายนางร้อนจนปลายนิ้วกลายเป็นสีแดง พูดหน้าเบ้ว่า “ไม่…ไม่เย็นแล้ว! ฮูหยินซื่อจื่อ เชิญท่านดื่มชา”ทว่าหรงจือจือกลับไม่ยอมรับถ้วยชาเอาแต่มองนางถูกลวกจนแทบบ้าคลั่ง กล่าวอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อนว่า “ชอบแย่งของๆ คนอื่นมากขนาดนั้นเชียวหรือ? สามีก็จะแย่ง แค่เตาอุ่นมือก็ยังจะแย่ง?”อวี้ม่านหวากัดริมฝีปาก ใบหน้าเปี่ยมด้วยความอัดอั้นใจ ได้แต่พูดว่า “ข้าไม่กล้าแล้ว! ไม่กล้าอีกแล้ว ฮูหยินโปรดดื่มชา”แต่หรงจือจือยังคงไม่ขยับเขยื้อนอยู่ดีครั้นเห็นว่าอวี้ม่านหวาเริ่มตัวสั่นและยกถ้วยชาใบนั้นได้ไม่มั่นหรงจือจือก็เอ่ยเตือนอย่างเรียบนิ่ง “หากน้ำชาหกเลอะกระโปรงข้า เจ้าต้องยกน้ำชาใหม่อีกครั้ง”อวี้ม่านหวามีแต่ต้องยกถ้วยชาให้มั่นอีกครั้งนางเหมือนจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้วหรงจือจือพูด “ซื่อจื่อไม่อยู่ที่นี่ คิดว่าเจ้าคงเข้าใจว่าน้ำตาของเจ้าใช้ไม่ได้ผลกับข้า จริงสิ เมื่อครู่เจ้าบอกว่าผู้ใดเป็นอนุนะ?”ตอนนี้อวี้ม่านหวาสำนึกเสียใจเจียนตาย หากรู้แต่แรกว่าหรงจือจือจะไม่เป็นไปตามที่นางคิดไว้ วัน

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 137

    เจาซีโมโหวมาก “บังอาจ! กล้าดีอย่างไรมาใช้ถ้อยคำเช่นนี้กับฮูหยินซื่อจื่อ อยากตายใช่หรือไม่?”อวี้ม่านหวาพูดหยามเหยียด “ทำไม? ในท้องข้ามีลูกของซื่อจื่ออยู่ พวกเจ้ากล้าเอาชีวิตข้าจริงๆ รึ?”“ฮูหยินซื่อจื่อ ข้ายอมเรียกท่านว่าฮูหยินก็เพราะให้ความเคารพ หากข้าไม่ให้ความเคารพแล้วล่ะก็ อันที่จริงแล้ว…ข้าต่างหากที่เป็นฮูหยินในสายตาซื่อจื่อ ส่วนท่านก็เป็นแค่อนุ”หรงจือจือรู้สึกขบขันเล็กน้อย “ดูแล้วท่าทีนอบน้อมที่เจ้าแสดงด้านนอกนั่นคงเป็นการตบตาบ่าวรับใช้สินะ”จะแสดงด้านที่แยกเขี้ยวกางเล็บก็ต่อเมื่ออยู่ต่อหน้านางหากนางสั่งสอนอีกฝ่ายและถูกบ่าวรับใช้ในจวนเห็นเข้า เช่นนั้นนางก็จะดูเป็นคนเย่อหยิ่งก้าวร้าวที่รังแกคนที่อ่อนแอกว่าอวี้ม่านหวาเชิดคางขึ้น “ใช่! หากฮูหยินซื่อจื่อไม่อยากถูกบ่าวรับใช้ในจวนพูดว่าเป็นหญิงใจดำ ไม่อยากให้ท่านพี่เอาใจออกห่าง ข้าก็แนะนำให้ปล่อยข้ากลับไปเสีย อย่าคิดว่าจะได้ดื่มชาอะไรนั่น มิเช่นนั้น วันหน้าท่านพี่คงยิ่งไม่เหยียบมาที่นี่อีก”เจาชีฟังแล้วโมโห “นังหญิงแพศยานี่กำลังพูดเหลวไหลอะไร? ซื่อจื่อพยายามร่วมเรือนหอกับคุณหนูของพวกข้าหลายครั้ง เป็นคุณหนูของพวกข้าต่างหากที่ไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 136

    หรงจือจือยิ้ม “น้องสามีจริงจังเกินไปแล้ว ข้าขอตัวกลับก่อน ช่วงนี้ท่านแม่ไม่พอใจข้าหลายเรื่อง หากเจ้ามีเวลาว่างก็ไปช่วยพูดให้ข้าหน่อย”ตอนนี้นางถานกำลังเกลียดนางเข้ากระดูกดำ หากลูกชายของนางไปพูดถึงหรงจือจือในทางที่ดีให้ฟัง ไม่รู้ว่าจะทำให้นางถานโมโหจนกระอักเลือดอีกได้หรือไม่?ความจริงแล้วช่วงนี้ฉีจื่อเสียนค่อนข้างไม่ชอบแม่ตัวเอง แต่เพื่อถ้อยคำนี้ของหรงจือจือแล้ว เขาจึงรีบพูดว่า “พี่สะใภ้วางใจเถิด ข้าจะช่วยไปพูดให้แน่นอน ท่านแม่อายุมากแล้ว ไม่ค่อยมีเหตุผลนัก สมควรที่ข้าต้องตักเตือนนาง!”หรงจือจือเดินจากไปด้วยความสบายใจ รอดูว่าวันนี้ลูกประทัดอย่างฉีจื่อเสียนจะทำให้นางประหลาดใจได้อีกหรือไม่ตกค่ำบรรดาบ่าวรับใช้ยกอาหารเข้ามา แต่หรงจือจือเพิ่งจะเริ่มทานอาหารนางก็ได้ยินเสียงรายงานด้วยความยินดีของเจาซี “คุณหนูอาจจะไม่ทราบ คุณชายสี่ไปหานางถาน ทั้งสองคนมีปากเสียงกันเพราะเรื่องของท่าน คุณชายสี่ยังใช้ถ้อยคำรุนแรงหลายคำ ทำเอานางถานร้องไห้ไปหนึ่งชั่วยามและเป็นลมหมดสติ”“ทางนั้นมีทั้งคนพยายามปลุกให้ได้สติ มีทั้งคนไปตามหมอ สถานการณ์วุ่นวายไปหมาย ทว่าคุณชายสี่กลับไม่รู้สึกผิดแม้แต่น้อย หลังจาก

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status