แชร์

บทที่ 147

ผู้เขียน: สั่งไม่หยุด
“ท่านแม่และคนฝั่งครอบครัวท่านต่างหาก ที่ทำลายอนาคตของน้องเสียนกับน้องสาวสามีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีบางครั้งลูกสะใภ้เองยังสงสัยว่า พวกเขาเป็นเด็กที่ท่านเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า”

นางถานโกรธจนแทบระเบิด “หรงจือจือ เจ้ายังกล้ายุยงอีกรึ!”

หรงจือจือ “ลูกไม่มีเจตนาจะยุยง เจาซีกับลูกเติบโตมาด้วยกัน หากท่านไม่เชื่อ สามารถถามนางที่เติบโตมาด้วยกันได้ ว่าข้าดูแลครอบครัวนี้ดีมาโดยตลอดหรือไม่”

หรงจือจือจงใจเน้นย้ำคำว่า “เติบโตมาด้วยกัน” ถึงสองครั้งแล้ว

คำพูดนี้สะกิดความทรงจำบางอย่างของนางถานเข้าจริง ๆ ด้วย

นางถานราวกับได้ไพ่เด็ดอะไรมาก็มิปาน หันกลับไปกล่าวต่อฉีจื่อเสียนว่า “ลูกเสียน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตงหลิงที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กกับเจ้า หายไปที่ใดแล้ว?”

ได้ยินนางถานถามเช่นนี้ หรงจือจือก็ปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจในดวงตา สตรีโง่เขลานางนี้ ในที่สุดก็ตกหลุมพรางแล้ว

ฉีจื่อเสียนชะงักเล็กน้อย “ตง…ตงหลิงหรือ? ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่า ท่านตาของเขาป่วยหนัก จึงเมตตาอนุญาตให้เขาไปรักษาตัวในชนบท แถมอนุญาตให้ตงหลิงไปดูแลไม่ใช่หรือขอรับ?”

ตงหลิงเป็นเด็กที่เกิดในเรือน ท่านปู่ของเขาเป็นบ่าวรับใช้ของจวนโหว ตอนนั้นเป
บทที่ถูกล็อก
อ่านต่อที่ GoodNovel
สแกนรหัสเพื่อดาวน์โหลดแอป

บทที่เกี่ยวข้อง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 148

    #หรงจือจือ “ใช่เจ้าค่ะ ยังมีชีวิตอยู่! ในเมื่อท่านแม่คิดว่าตงหลิงดีมาก และคำนึงถึงน้องเสียนในทุก ๆ เรื่องใช่หรือไม่เจ้าคะ? เจาซี ส่งคนไปรับเขาจากหมู่บ้านที่อยู่เชิงเขาอวี๋เสียเถอะ!”“ประจวบเหมาะกับเมื่อสองเดือนก่อน ข้าได้ยินว่าท่านปู่ของเขาเสียชีวิตแล้ว สามารถกลับมาปรนนิบัติน้องเสียนได้พอดี”“บ่าวรับใช้ที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรทิ้งไว้ด้านนอก! รอเขากลับมาแล้ว ข้าก็จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสียหน่อย และต่อไปค่อยให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ดีของท่านแม่เจ้าค่ะ”นางถานรีบกล่าว “ไม่…ไม่ใช่ ตงหลิงนี่ หรือว่าจะ…”หรงจือจือกล่าวขัดจังหวะ “ท่านแม่บอกไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านี่คือคนที่เติบโตมาด้วยกันกับน้องเสียน ข้าบอกว่าเขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ดี ท่านแม่ก็บอกว่าข้าใส่ร้าย แถมยังอยากส่งข้าไปที่ว่าการอีก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพูดเอง ลูกสะใภ้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วจริง ๆ !”ฉีจื่อเสียนกลับดวงตาเปล่งประกาย และรีบกล่าว “รับกลับมาเถอะ รีบรับกลับมาเสียเถอะ! ข้าคิดถึงเขาแล้วจริง ๆ ข้าจะไปรับด้วยตนเอง!”นางถานร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า “หยุด! ห้ามไป!”ฉีจื่อเสียนไม่พอใจอย่างมาก ขมวดคิ้วและมองนางถาน “เหตุใดถึงห้ามไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 1  

    เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 2  

    ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 3  

    ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 4  

    หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 5  

    หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 6  

    หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 7  

    นางถานยังคงรอแล้วรอเล่า เฝ้าแต่รอ ก็ยังไม่เห็นคนของหรงจือจือ ขณะที่นางกำลังหมดความอดทนลงเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดก็รอจนกระทั่งสาวใช้กลับมารายงานว่า “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อออกไปข้างนอกแล้วเจ้าค่ะ!” นางถานที่ทนความหนาวเย็นมาเกือบครึ่งชั่วยามจนหน้าเขียวแล้ว ตบโต๊ะลุกขึ้นยืน “ว่าอย่างไรนะ?!” แล้วสิ่งที่ตนเองอุตส่าห์เตรียมการไว้ตลอดทั้งเช้านี้ จะสูญเปล่าไปดื้อ ๆ หรือ? เรื่องนี้ทำให้นางถานยิ่งมีโทสะ สิ่งที่น่าโมโหที่สุด คือสิ่งที่เตรียมไว้มิได้ใช้ทรมานนางหรง แต่กลับทรมานตนเองแทน แล้วจะไม่ให้เดือดดาลได้อย่างไร? หญิงชรารับใช้ที่วิ่งเต้นสืบข่าวมาเอ่ยว่า : “ได้ยินคนของหลันย่วนบอกว่า ฮูหยินซื่อจื่อเดินทางกลับเรือนมารดาแล้วเจ้าค่ะ!” สาวใช้เฉินฟังมาถึงตรงนี้ ก็วิตกกังวลขึ้นมาทันใด “ฮูหยินเจ้าคะ ฮูหยินซื่อจื่อคงมิได้กลับเรือนมารดาไป เพื่อร้องเรียนต่อท่านมหาราชครูหรอกนะเจ้าคะ?” นางถานฟังจบ ตอนแรกก็เครียดขึ้นมาทันที แต่ทันใดนั้นก็กลับมาสงบเยือกเย็นลงอีกครั้งได้อย่างรวดเร็ว ก่อนจะเอ่ยด้วยเสียงดูแคลน “หาใช่เรื่องใหญ่อันใด มหาราชครูหรงคร่ำครึหัวโบราณมาแต่ไหนแต่ไร นางกลับไปก็มีแต่จะถูกก่นด่

บทล่าสุด

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 148

    #หรงจือจือ “ใช่เจ้าค่ะ ยังมีชีวิตอยู่! ในเมื่อท่านแม่คิดว่าตงหลิงดีมาก และคำนึงถึงน้องเสียนในทุก ๆ เรื่องใช่หรือไม่เจ้าคะ? เจาซี ส่งคนไปรับเขาจากหมู่บ้านที่อยู่เชิงเขาอวี๋เสียเถอะ!”“ประจวบเหมาะกับเมื่อสองเดือนก่อน ข้าได้ยินว่าท่านปู่ของเขาเสียชีวิตแล้ว สามารถกลับมาปรนนิบัติน้องเสียนได้พอดี”“บ่าวรับใช้ที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรทิ้งไว้ด้านนอก! รอเขากลับมาแล้ว ข้าก็จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสียหน่อย และต่อไปค่อยให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ดีของท่านแม่เจ้าค่ะ”นางถานรีบกล่าว “ไม่…ไม่ใช่ ตงหลิงนี่ หรือว่าจะ…”หรงจือจือกล่าวขัดจังหวะ “ท่านแม่บอกไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านี่คือคนที่เติบโตมาด้วยกันกับน้องเสียน ข้าบอกว่าเขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ดี ท่านแม่ก็บอกว่าข้าใส่ร้าย แถมยังอยากส่งข้าไปที่ว่าการอีก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพูดเอง ลูกสะใภ้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วจริง ๆ !”ฉีจื่อเสียนกลับดวงตาเปล่งประกาย และรีบกล่าว “รับกลับมาเถอะ รีบรับกลับมาเสียเถอะ! ข้าคิดถึงเขาแล้วจริง ๆ ข้าจะไปรับด้วยตนเอง!”นางถานร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า “หยุด! ห้ามไป!”ฉีจื่อเสียนไม่พอใจอย่างมาก ขมวดคิ้วและมองนางถาน “เหตุใดถึงห้ามไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 147

    “ท่านแม่และคนฝั่งครอบครัวท่านต่างหาก ที่ทำลายอนาคตของน้องเสียนกับน้องสาวสามีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีบางครั้งลูกสะใภ้เองยังสงสัยว่า พวกเขาเป็นเด็กที่ท่านเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า”นางถานโกรธจนแทบระเบิด “หรงจือจือ เจ้ายังกล้ายุยงอีกรึ!”หรงจือจือ “ลูกไม่มีเจตนาจะยุยง เจาซีกับลูกเติบโตมาด้วยกัน หากท่านไม่เชื่อ สามารถถามนางที่เติบโตมาด้วยกันได้ ว่าข้าดูแลครอบครัวนี้ดีมาโดยตลอดหรือไม่”หรงจือจือจงใจเน้นย้ำคำว่า “เติบโตมาด้วยกัน” ถึงสองครั้งแล้วคำพูดนี้สะกิดความทรงจำบางอย่างของนางถานเข้าจริง ๆ ด้วยนางถานราวกับได้ไพ่เด็ดอะไรมาก็มิปาน หันกลับไปกล่าวต่อฉีจื่อเสียนว่า “ลูกเสียน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตงหลิงที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กกับเจ้า หายไปที่ใดแล้ว?”ได้ยินนางถานถามเช่นนี้ หรงจือจือก็ปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจในดวงตา สตรีโง่เขลานางนี้ ในที่สุดก็ตกหลุมพรางแล้วฉีจื่อเสียนชะงักเล็กน้อย “ตง…ตงหลิงหรือ? ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่า ท่านตาของเขาป่วยหนัก จึงเมตตาอนุญาตให้เขาไปรักษาตัวในชนบท แถมอนุญาตให้ตงหลิงไปดูแลไม่ใช่หรือขอรับ?”ตงหลิงเป็นเด็กที่เกิดในเรือน ท่านปู่ของเขาเป็นบ่าวรับใช้ของจวนโหว ตอนนั้นเป

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 146

    หรงจือจือยังกล่าวเสริมอีกว่า “บอกเขาว่า ท่านแม่โปรดปรานสร้อยข้อมือชิ้นนั้นมาโดยตลอด แค่นางมอบสร้อยข้อมือให้ข้า ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าน้องเสียนยังทุ่มเทเพื่อข้าอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะยิ่งทำเต็มที่เพื่อเขามากขึ้นเช่นกัน”“อย่าว่าแต่หาอาจารย์เลย ในอนาคตน้องเสียนอยู่ในราชสำนัก จะขอให้ท่านพ่อข้าช่วยวิ่งเต้นให้เขา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”ความเห็นแก่ตัว และคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง ถือเป็นประเพณีของคนสกุลฉี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้ในสมองของฉีจื่อเสียนเต็มไปด้วยการตามหาอาจารย์ที่ดีเช่นนี้แล้ว ผลประโยชน์ของผู้ใดที่เขายอมเสียสละไม่ได้บ้าง?เจาซีรีบกล่าว “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามฉีจื่อเสียนก็เข้ามาอย่างรีบร้อน และนำสร้อยข้อมือที่อยู่ในมือมอบให้หรงจือจือ “พี่สะใภ้ นี่คือสร้อยข้อมือที่ท่านแม่โปรดปรานที่สุดขอรับ...”หรงจือจือดวงตาเปล่งประกาย “ท่านแม่ยอมยกให้ข้าจริง ๆ หรือ?”นางย่อมรู้ว่าฉีจื่อเสียนจะไม่ทำให้นางผิดหวังหากสร้อยข้อมือเป็นของฉีจื่อเสียน เขาคงจะไม่ยอมยกให้ ไม่แน่ว่าอาจจะหยิบยกเหตุผลมากมายมาพูดกับตนเอง แต่สร้อยข้อมือเป็นขอ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 145

    หรงจือจือ “ไปเถอะ!”การเสแสร้งกับเขาอยู่ตลอดเวลา หรงจือจือก็เหนื่อยมากเช่นกัน ทำให้สับสนประมาณนี้คงจะพอแล้วฉีจื่อเสียนออกไปจากที่นี่แล้ว หลังกลับเรือนของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจริง ๆ และกล่าวกับชุนเซิงว่า “นายหญิงผู้เฒ่าหรงเสียชีวิตได้เหมาะจริง ๆ ! สกุลหรงมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้ความสำคัญกับหรงจือจือ พอยายแก่นั่นเสียชีวิต หรงจือจือก็ทำได้เพียงคิดแผนการทุกอย่างให้จวนโหวของพวกข้าเท่านั้น”“ในอดีต แม้นางไม่ได้สัญญาอะไรกับข้า แต่หากฝั่งท่านสวีเจรจาไม่สำเร็จ ก็ยังจะหาคนอื่นมาให้ข้าอยู่ดี! ความจริงท่านเจียงดูถูกข้า หรือคิดว่าข้าเองก็ชื่นชอบเขางั้นหรือ? เขามักจะตำหนิข้าอยู่เสมอ”“หากนายหญิงผู้เฒ่าหรงเสียชีวิตเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะให้หรงจือจือเปลี่ยนอาจารย์ให้ข้าไปแล้ว จะได้ไม่ต้องทนทุกข์จากการดูถูกของคนแซ่เจียงนั่น!”ชุนเซิงรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงเปิดปากเอ่ย “คุณชายสี่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฮูหยินซื่อจื่อก็เป็นคนคิดแผนการเพื่อท่าน ท่านพูดเช่นนี้ มันไม่สมควรจริง ๆ ขอรับ…”ฉีจื่อเสียนมองเขาด้วยความไม่พอใจ “มีอะไรไม่สมควรกัน? เจ้าก็แค่ใจอ่อนเหมือนสตรี! ทางที่ดี ยายแก่นั่นจง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 144

    บนรถม้าระหว่างกลับจวนโหว หรงจือจือดูตกตะลึงเล็กน้อย และอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าเหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงมีเวลาช่วยนางสืบเรื่องเหล่านี้ตามหลักแล้ว คนแบบเขานั้นนั่งอยู่ตำแหน่งสูงในท้องพระโรง อำนาจล้นฟ้า เรื่องเล็กน้อยของเรือนหลังนี้ อีกฝ่ายไม่ควรจะใส่ใจ และยิ่งไม่คิดจะสนใจเสียด้วยซ้ำจึงจะถูกเมื่อเห็นคุณหนูของตนนั่งกระสับกระส่ายเจาซีก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนู ท่านมีข้อสงสัยอะไรหรือเจ้าคะ?”น้อยนักที่หรงจือจือจะมีท่าทีสับสน นางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เพียงแต่ประหลาดใจกับความหวังดีของท่านเสนาบดีที่มีต่อข้าก็เท่านั้น บางที ข้าอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไป และที่เขาทำแค่เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น?”กลับคิดไม่ถึงว่า เจาซีจะกล่าวเช่นนี้ “ข้าน้อยรู้สึกว่า ท่านเสนาบดีคงจะชอบท่านแน่ ๆ เจ้าค่ะ ในฐานะท่านสมุหราชเลขาธิการ แถมยังต้องว่าราชการแทน อีกทั้งยังมีงานรัดตัวเช่นน้้น เหตุใดต้องรอคุณหนูไปพบด้วยตนเองอยู่ที่นั่น เพียงเพื่อให้คนมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ท่านด้วยล่ะเจ้าคะ”“เรื่องนี้ส่งบ่าวรับใช้คนใดมาทำก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังอ้อมค้อมเช่นนี้ และให้นางเซินเป็นธุระให้อีก แรงจูงใจที่เขาต้องการจะพบคุณหนู

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 143

    ต่อจากนั้นนางก็เห็นบุรุษที่ยืนอยู่ข้างกำแพงกำลังชมภาพวาดอยู่ เขามีรูปร่างสูงโปร่ง ท่วงท่าสง่างาม จึงทำให้นึกถึงกวีบทหนึ่งขึ้นมาที่ว่า กองหินดั่งหยก ต้นสนสีเขียวเรียงรายดั่งมรกต บุรุษงามโดดเด่นเป็นหนึ่ง ไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้าด้านข้างเขามีองครักษ์ยืนอยู่คนหนึ่งหลังหรงจือจือพาเจาซีเข้ามาในห้อง ก็คุกเข่าแสดงความเคารพอย่างสุภาพ “คารวะท่านเสนาบดีเจ้าค่ะ!”ดวงตาที่ปกติเย็นชาของเสิ่นเยี่ยนซูคู่นั้น กำลังมองไปที่หรงจือจือ และถูกเติมเต็มด้วยเงาร่างของนางในทันทีราวกับฟ้าดินไร้ระเบียบ ราวกับจันทราไร้แสงสว่างโลกมนุษย์อันกว้างใหญ่ไพศาล ท่ามกลางแสงสีอันฟุ้งเฟ้อ เหลือนางเพียงคนเดียว ที่เปล่งประกายเจิดจรัส และโดดเด่นเกินกว่าผู้ใดเขากล่าวเสียงเรียบ “แม่นางหรงลุกขึ้นเถอะ”นางเซินที่ยืนอยู่ด้านหลัง เห็นสายตาของเสิ่นเยี่ยนซู ก็ปรากฏความเศร้าหมองขึ้นมาในแววตาแวบหนึ่ง แต่ไม่นานก็ฝืนยิ้มออกมา “เช่นนั้นท่านเสนาบดีคุยกับคุณหนูหรงเชิญคุยเป็นการส่วนตัวเถอะ ข้าจะไปรอที่ด้านนอกเจ้าค่ะ”ทันทีที่พูดจบ ก็ถอยออกไปหรงจือจือก็ยืดตัวขึ้น สองมือประสานกันไว้ด้านหน้า ยืนอย่างนอบน้อม พลางกล่าวเสียงเบา “ขอบ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 142

    หรงจือจือลงมาจากรถม้า สั่งเหล่าคนรับใช้รออยู่นอกโรงน้ำชาชั้นล่าง และเข้าไปด้านในพร้อมกับสตรีนางนั้นจากนั้นก็ถามอย่างสุภาพว่า “ไม่ทราบควรเรียกฮูหยินเช่นไรหรือ?”อันที่จริงเพราะอีกฝ่ายมวยผม นางจึงถามเช่นนี้สตรีนางนั้นยิ้มเล็กน้อย และกล่าว “ข้าเซินหย่า คุณหนูเรียกข้าว่านางเซินก็พอแล้ว ปีนั้นท่านพ่อตัดสินใจให้ข้าแต่งงานแก้เคล็ดกับท่านพี่ ในขณะนั้นน้องชายเดินทางเข้าเมืองหลวงเพื่อไปสอบ กลับถูกคนใส่ร้ายจนเข้าคุก จึงไม่สามารถช่วยออกหน้าแทนข้าได้”“แต่งานแต่งในวันนั้นท่านพี่ดันมาเสียชีวิต บ้านแม่สามีปฏิบัติต่อข้าไม่ดี เซินเฮ่อผู้เป็นน้องชายจึงรับข้ากลับมา บัดนี้เป็นม่ายอาศัยอยู่บ้านมารดาเจ้าค่ะ”หรงจือจือนึกขึ้นราวกับเคยได้ยินชื่อเซินเฮ่อคนนี้มาก่อนไม่ถือว่าเกิดในครอบครัวยากจน แต่เป็นครอบครัวที่น่าสงสาร คิดๆ ดูแล้วการกระทำของบิดามารดานาง เป็นเพราะตอนนั้นสถานการณ์ทางบ้านยากลำบาก แถมไม่ได้ให้ความสำคัญกับบุตรสาวอีกเพียงแต่คำพูดและการกระทำของนางเซิน ทำให้หรงจือจือประหลาดใจจริง ๆ นางก็ไม่ปิดบังความคิดของตนเอง “ฮูหยินคล้ายจะเผยความในใจให้กับคนที่ไม่สนิทอย่างข้าฟังอยู่นะ”พวกนางทั้งสองพบ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 141

    เจาซีถอนหายใจเบา ๆ พลางกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “โชคดีที่ก่อนหน้านี้ท่านขอหนังสือหย่า และไม่วางแผนจะอยู่กับเขาต่อ มิเช่นนั้นลองคิดดู แค่อนุอวี้ยุยงไม่กี่คำ ฉีจื่อฟู่ก็อยากมอบหนังสือปลดภรรยาให้ท่าน เช่นนั้นจะใช้ชีวิตต่อไปอย่างไรเล่าเจ้าคะ!”ขณะที่พูด เจาซีก็โกรธจนขอบตาแดงก่ำไปหมดแล้วเพียงแต่นางนึกอะไรขึ้นมาได้อีก “แต่เมื่อครู่หากท่านโหวกับคุณชายสี่โน้มน้าวซื่อจื่อไม่ได้ แม้หนังสือปลดภรรยาจะไม่กระทบชื่อเสียงของท่าน พวกเราก็ต้องออกจากจวนโหว หลังจากไปแล้วการแก้แค้นจะไม่ยากขึ้นหรือเจ้าคะ?”นางถานยายแก่จอมเจ้าเล่ห์ที่สมควรตายนางนั่นยังมีชีวิตอยู่!หรงจือจือหลุดขำออกมาเสียงหนึ่ง “เจ้าวางใจเถอะ ซิ่นหยางโหวกับฉีจื่อเสียนจะโน้มน้าวเขาแน่ และขอเพียงซิ่นหยางโหวบังคับ ก็จะทำให้ให้เขาฉีกหนังสือปลดภรรยาได้แล้ว”เจาซีเห็นความมั่นใจของคุณหนู ก็วางใจไปหลายส่วนแล้ว แต่ยังคงกล่าวว่า “หากทราบเช่นนี้ ตอนออกจากจวนน่าจะส่งคนเข้าไปแอบฟังเสียหน่อยนะเจ้าค่ะ”หรงจือจือกล่าวอย่างราบเรียบ “ไม่มีอะไรน่าฟังหรอก ก็แค่สองพ่อลูกร่วมมือกัน สอนฉีจื่อฟู่ว่าได้รับผลประโยชน์แล้วค่อยถีบหัวส่งข้าก็เท่านั้นเอง”“และบอกฉีจ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 140

    หญิงสาวที่ถูกปลดนั้นเสียหายมากกว่าการหย่ามาก จะกลายเป็นที่น่าขันของทั้งแคว้นต้าฉี!นางหมกมุ่นกับชื่อเสียงขนาดนั้น สกุลหรงใส่ใจชื่อเสียงมากถึงขนาดนั้น เอาไว้เห็นหนังสือปลดภรรยาจากเขาแล้ว นางก็จะเข้าใจเองว่า เขาสามารถทำให้นางตกสู่นรกได้ด้วยกระดาษแผ่นเดียว ไม่อาจพลิกฟื้นเมื่อต้องอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวลนลาน นางต้องไม่กล้าทำเช่นนี้กับม่านหวาอีกแน่นอน!ในท้องของม่านหวามีลูกของเขาอยู่ ลูกของเขาก็เปรียบเสมือนลูกของหรงจือจือเช่นกันไม่ใช่หรือไร? อนาคตก็ต้องเรียกหรงจือจือว่าท่านแม่มิใช่หรือ? การที่นางรังแกแม่ผู้ให้กำเนินของลูกเช่นนี้เป็นการกระทำที่ไร้เหตุผลชัดๆ!อวี้ม่านหวาตาเป็นประกาย นางพูดยุแยงต่อ “ท่านพี่ฟู่ ฮูหยินซื่อจื่ออาจจะโมโหเพียงชั่ววูบเพราะโกรธเคืองเรื่องเตาอุ่นมือก็เป็นได้ ท่านอย่าได้ถือสาหาความกับนางเลยเจ้าค่ะ…”แล้วก็เป็นไปดังคาด ฉีจื่อฟู่ได้ฟังดังนี้ก็ยิ่งโมโห “ก็แค่เตาอุ่นมืออันเดียว ข้าถูกทำร้ายจนมีสภาพนี้ ส่วนของก็ถูกนางเอากลับคืนไปแล้ว นางยังจะมีอะไรให้ไม่พอใจอีก?”“เจ้ารู้ความขนาดนี้ ไม่ว่าอะไรก็ยอมให้นางทุกอย่าง แต่นางกลับเอาแต่ใช้อำนาจ ข้าคิดถูกแล้วที่จะให้นางเป็นอนุ

สแกนรหัสเพื่ออ่านบนแอป
DMCA.com Protection Status