Share

บทที่ 150

Author: สั่งไม่หยุด
ซิ่นหยางโหวรออยู่พักใหญ่แล้ว ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากนางถาน ยิ่งรู้สึกว่าฮูหยินคนนี้ไม่ถูกใจเอาเสียเลย

อดทนรออยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดนางถานก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “นางให้ลูกเสียนเข้ามาแย่งสร้อยข้อมือของข้าเจ้าค่ะ...”

ซิ่นหยางโหวได้ยินก็รู้สึกขำ “แค่สร้อยข้อมือเส้นเดียว เหตุใดเจ้าถึงคิดอะไรตื้นๆ เช่นนี้? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่า เพราะเรื่องของอวี้ม่านหวา นางจึงมีอคติต่อพวกเรา บัดนี้คิดอยากให้นางทำผลประโยชน์เพื่อพวกเรา ดึงมาร่วมมือเป็นพวกหน่อยจะเป็นอะไรไป?”

“แถมไม่บอกว่า ที่ต้องการสร้อยข้อมือ ตกลงเป็นความคิดของนางหรือว่าความคิดของลูกเสียน หากเป็นความคิดของนางแล้วอย่างไรเล่า? ตราบใดที่นางคิดแผนการในอนาคตที่ดีให้ลูกเสียน แค่มอบสร้อยข้อมือของจวนโหวให้นางแล้วจะเป็นไรไป?”

ปากซิ่นหยางโหวพูดเช่นนี้ แต่ความจริงภายในใจคิดว่า ในฐานะที่หรงจือจือเป็นลูกสะใภ้ของตนเอง การอุทิศตนเพื่อจวนเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการดึงเข้าพวก

แต่เขาเป็นถึงท่านโหว และเกิดจากตระกูลขุนนาง ไหนเลยจะใส่ใจสร้อยข้อมือเพียงเส้นเดียว?

นางถานทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาคิดว่านางใจแคบ เรื่องแค่นี้ก็ต้องโวยวายด้วย
Locked Chapter
Continue Reading on GoodNovel
Scan code to download App

Related chapters

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 151

    “ลูกเสียนของข้าเป็นบุรุษที่โดดเด่นถึงเพียงนั้น กะอีแค่บ่าวรับใช้คนเดียว จะพาเขาเสียคนได้อย่างไร แล้วจะส่งผลกระทบกับอนาคตของเขาได้อย่างไร?”“รอลูกเสียนพาคนกลับมา ลองดูก่อนว่าจะโยนความผิดเรื่องหลอกตงหลิงออกมาฆ่าให้หรงจือจือได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็จับตาดูเขาเอาไว้ ขอเพียงเราจับตาดูไม่คลาดสายตา ตงหลิงจะพาลูกเสียนไปทำอะไรได้อีก?”หญิงรับใช้แซ่หลี่ครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “ก็คงทำได้แค่นี้แล้ว!”...เรือนหลันเจาซีเอ่ยขึ้น “คุณหนู ฮูหยินเรียกท่านโหวไปพบ ไม่นานท่านโหวก็เดินออกมาด้วยความเดือดดาล คิดว่าหากมีท่านโหวคอยจับตาดูอยู่ คงทำไม่สำเร็จเจ้าค่ะ”ตอนนี้หรงจือจือย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อยนางกำชับประโยคหนึ่ง “รีบหาโอกาสให้เร็วที่สุด ให้ชุนเซิงแอบเตือนตงหลิงให้ระวังตัวหน่อย บอกไปว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จึงมักรู้สึกว่ามีคนคิดจะเล่นงานตงหลิง”“ถึงตงหลิงจะไม่รักดี แต่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ในหลาย ๆ เรื่องเขาเข้าใจสถานการณ์ได้ดี หากเขารอบคอบหน่อย ไหนจะได้รับการปกป้องจากฉีจื่อเสียนอีก ไม่มีทางหลงกลแผนชั่วของนางถานได้ง่าย ๆ หรอก”เจาซีรีบเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าค่ะ! คุณหนูคิดจะใช้ตงหลิง ทำให้ฉีจื่อเสี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 152

    หรงจือจือมองประเมินฉีจื่อฟู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าทีหนึ่ง คร้านจะระเบิดอารมณ์ใส่เขาเพียงถามเสียงเอื่อยว่า “ไม่รู้ว่าที่ซื่อจื่อลุกจากเตียงได้ ก็รีบมาหาข้าทันที มีอะไรจะชี้แนะหรือ? หรือเพียงแค่ต้องการจะประณามที่ข้าไม่สนใจท่าน?”ฉีจื่อฟู่เพียงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ อะไรที่เรียกว่าแค่ต้องการจะประณาม?หรือว่าข้อนี้ยังไม่ร้ายแรงพออีกหรือ?นางผู้เป็นฮูหยินของตน ไม่แยแสสามีเช่นนี้ นี่เป็นปัญหาใหญ่แค่ไหนนางไม่รู้หรือ?เขาตอบกลับทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ข้าว่าเจ้าคงร่ำเรียนคุณธรรมสตรีและเตือนสตรี[1]เสียเปล่าแล้ว!”หรงจือจือจิบน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่แยแส “ก่อนหน้านี้ข้าก็ทำตามหนังสือสองเล่มนั้น แต่ดูท่าตอนนี้ หนังสือสองเล่มนั้นจะไม่ใช่หนังสือดีเด่นอะไร ทำตามแล้วไม่เห็นจะมีจุดจบที่ดีอะไร”ฉีจื่อฟู่เห็นกิริยาท่าทางของนาง ใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง “เจ้ายังติดใจเรื่องที่ข้าจะลดภรรยาเอกเป็นอนุก่อนหน้านี้อยู่อีกหรือ? เรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้ว? เหตุใดเจ้าจึงใจกว้างอีกหน่อยไม่ได้เล่า?”หรงจือจือวางจอกน้ำชาลงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าเองก็แค่ไม่ได้ไปเยี่ยมซื่อจื่อเท่านั้น คงเป็นเพราะซื่อจื่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 1  

    เพื่อขอโอสถวิเศษช่วยชีวิตให้ผู้เป็นสามี หรงจือจือคุกเข่ามาแล้วทั้งสิ้นสามพันขั้นบันได ทว่าผู้เป็นสามีกลับลดขั้นนางจากภรรยาเอกเป็นอนุ เพื่อองค์หญิงจากแคว้นที่สิ้นเอกราช มิหนำซ้ำยังบอกว่านี่คือวาสนาของนาง! หลังจากนางหย่าขาดกับสามีแล้ว ก็สมรสกับท่านสมุหราชเลขาธิการผู้ยิ่งใหญ่ มีอิทธิพลกว้างใหญ่ไปทั่วแผ่นดิน กลางดึก ท่านสมุหราชเลขาธิการกับนางต่างพลอดรักดื่มด่ำลึกซึ้งบนผ้าห่มคู่รัก โดยที่มีสามีเก่าคุกเข่าอยู่นอกประตู ขอบตาแดงก่ำ ใบหน้าขาวซีดดุจกระดาษ —— ในงานเลี้ยงฉลองชัยชนะ ผู้คนต่างหัวเราะเริงร่าครึกครื้นมีความสุข ทว่าในใจของหรงจือจือกลับรู้สึกอึดอัดอยู่เล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องอื่นใด แต่เป็นเพราะสามีของตนที่ไม่ได้พบหน้ากันนานสามปี บัดนี้แม้นั่งอยู่ข้างกายนาง แต่ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเป็นอะไร เอาแต่หลบสายตาของตนเองอยู่ตลอด ไม่กล้าสบตากับตนเองโดยตรงเลยสักครั้ง คล้ายกับว่าเผลอทำเรื่องอะไรที่รู้สึกผิดกับตนเองเข้าแล้วอย่างไรอย่างนั้น สิ่งนี้ทำให้หรงจือจือรู้สึกหนักใจเล็กน้อย ยามนั้นเอง ชายาผู้เฒ่าอ๋องเฉียนมองหรงจือจือ แล้วยิ้มพลางเอ่ยว่า “ข้าว่า ใต้หล้านี้ไม่มีสตรีใดจะทรงคุณธรรมมากไปก

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 2  

    ความจริงหนนี้นางถานเองก็รู้สึกว่า บุตรชายของตนทำเกินไปหน่อย เพราะก่อนหน้านี้คนทั้งตระกูลฉีไม่เคยมีผู้ใดได้ยินเรื่องราวของอีกฝ่ายกับองค์หญิงท่านนั้นมาก่อน แล้วหรงจือจือจะเป็นฝ่ายขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเองได้อย่างไร? ทว่าบุตรชายกำลังต้องโทษหลอกลวงเบื้องสูง เอ่ยวาจาเหล่านี้ออกมาต่อหน้าพระพักตร์ฝ่าบาท หากหรงจือจือไม่ยอมรับ แม้ฝ่าบาทจะมิได้ตัดสินโทษสถานหนักกับจื่อฟู่ แต่ก็เกรงว่าจวนซิ่นหยางโหว จะสูญเสียความไว้วางพระทัยจากฮ่องเต้ไป นางจึงหันขวับมองไปทางหรงจือจือทันที คว้ามือของนางไว้พลางเอ่ยยิ้ม ๆ “จือจือ เจ้าเคยเอ่ยเรื่องนี้กับข้ามาก่อนแล้วมิใช่หรือ ถึงแม้เจ้าจะไม่เต็มใจ แต่เพื่อจื่อฟู่แล้ว ก็จำใจต้องยอมรับ” “เจ้าก็เป็นคนมีเมตตาและคุณธรรมเช่นนี้มาตลอด เจ้าวางใจเถิด หลังจากนี้แม้เจ้าจะเป็นอนุ แต่สิ่งใดก็ตามที่เจ้าพึงมีในยามนี้ แม้จะไม่ให้เจ้าต้องขาดแม้เพียงสักอย่าง!” นางถานออกแรงบีบไปที่มือเล็กน้อย นี่เป็นการเตือนหรงจือจือว่า จงให้ความสำคัญกับสถานการณ์โดยรวม จงเห็นแก่จวนโหวเป็นสำคัญ หรงจือจือฟังวาจาของนางถานจบแล้ว ยิ่งไม่อยากเชื่อหูตนเอง สุขภาพของนางถานไม่สู้ดีนัก และร่างกายมักจะอ่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 3  

    ฮ่องเต้น้อยขมวดคิ้ว สายตาที่มองไปยังครอบครัวซิ่นหยางโหว ไม่อ่อนโยนและใกล้ชิดเหมือนอย่างตอนเริ่มงานเลี้ยงแล้ว ทว่าซิ่นหยางโหวไม่รอให้โอรสสวรรค์เปล่งวาจา ก็มองไปยังหรงจือจือ พลางเกลี้ยกล่อม “ลูกสะใภ้เอ๋ย บิดาของเจ้าสั่งสอนบุตรีได้ดีมาตลอด หากเขารู้เรื่องนี้ คิดว่าเขาเองก็คงจะขอให้เจ้าคำนึงถึงประโยชน์ส่วนรวมเช่นกัน!” หรงจือจือซึ่งนัยน์ตาสะท้อนรอยยิ้มดูแคลน ตอบกลับอย่างไม่เร่งรีบแต่ก็ไม่เนิบนาบ “ท่านพ่อสามี ท่านพ่อสอนให้ข้าคำนึงถึงประโยชน์ของส่วนรวม แต่ไม่เคยสอนให้ข้าเป็นอนุ!” สิ้นเสียงนี้ นางคุกเข่าลงกับพื้นทันทีพร้อมเอ่ยว่า “ฝ่าบาทเพคะ หากต้องเป็นอนุ หม่อมฉันไม่ยอมรับอย่างเด็ดขาด ชื่อเสียงอันบริสุทธิ์ของสกุลหรงเรา จะพังทลายลงในมือของหม่อมฉันมิได้เป็นอันขาด ขอฝ่าบาทโปรดพิจารณาอย่างรอบคอบเป็นธรรม! เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวมแล้ว หรงจือจือยินดีหย่าขาด สกุลหรงเราขอตัดขาดสัมพันธ์สมรสกับจวนซิ่นหยางโหวนับแต่บัดนี้เพคะ!” พอกันที แค่สามปี นางยอมแพ้ให้ก็ได้! ถึงอย่างไรพวกเขาสองคนก็ยังมิได้ร่วมเรือนหอ ตั้งแต่เยาว์วัยท่านย่าเคยสอนนางไว้ว่า ชีวิตมนุษย์ก็เหมือนหมากรุกบนกระดาน ลูกหลานสกุลหรงต

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 4  

    หรงจือจือได้ยินมาถึงตรงนี้ นัยน์ตาพลันฉายประกายดูแคลนออกมา วันนี้ใครกันแน่ที่ทำให้สกุลหรงและจวนโหวต้องอับอายขายหน้า ดูเหมือนแม่สามีของตนเองคนนี้ จะไม่เข้าใจอะไรเลยแม้แต่น้อย ฉีจื่อฟู่ได้ยินคำพูดของนางถาน ใบหน้าพลันฉายประกายลังเลขึ้นมาหนึ่งส่วน “อากาศเย็นถึงเพียงนี้…” เจาซีเอ่ยขึ้นทันควัน “ใช่แล้วเจ้าค่ะ ฮูหยิน ซื่อจื่อ อากาศเย็นเพียงนี้ จะให้ฮูหยินซื่อจื่อเดินกลับเองไม่ได้เด็ดขาดนะเจ้าคะ! ฮูหยินซื่อจื่อร่างกายอ่อนแอบอบบาง จะทนไหวที่ไหนเจ้าคะ” เดิมทีนางคิดว่าหากพูดแบบนี้ออกไป ฉีจื่อฟู่จะเกิดความรู้สึกสงสาร และขอให้ฮูหยินโหวถอนคำสั่ง กลับคิดไม่ถึงเลยว่าฉีจื่อฟู่เมื่อได้ยินแล้ว จะหันมองหรงจือจือและเอ่ยว่า “จือจือ อย่างที่สาวใช้ของเจ้าบอก เจ้าทนลมหนาวเย็นเยือกเช่นนี้ไม่ไหวหรอก!” หรงจือจือทอดสายตามองไปยังบุรุษหนุ่มรูปงามที่ดูคล้ายจะอบอุ่นอ่อนโยนคนนี้นิ่ง ๆ ก่อนจะถามว่า “ท่านพี่หมายความว่า…” ฉีจื่อฟู่ : “ตราบใดที่เจ้ายอมรับปาก ว่าวันรุ่งขึ้นจะตามข้าไปเข้าเฝ้าฝ่าบาท และแสดงเจตจำนงขอเป็นอนุภรรยาด้วยตนเอง ข้าจะขอให้ท่านแม่อนุญาตให้เจ้าขึ้นรถม้า!” หรงจือจือเหยียดแผ่นหลังขึ้นตรงอย่า

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 5  

    หรงจือจือหลับตาสนิทไม่เปล่งวาจา รู้สึกเพียงว่านางถานไร้ยางอายไร้ใดเปรียบ พวกเขาทั้งครอบครัวข่มเหงรังแกนางเช่นนี้ หากเมื่อครู่นางไม่ดื้อรั้นก้าวร้าว คงได้หนาวตายอยู่ข้างทางจริง ๆ แน่ ถึงยามนี้แล้วยังมีหน้า มาขอให้นางไปอ้อนวอนท่านพ่อ ให้ทำอะไรเพื่อฉีจื่อฟู่อีกหรือ? ช่างหน้าด้านเสียจริง! นางถานเห็นนางเงียบกริบไม่ส่งเสียง ก็ขมวดคิ้วพลางตะคอกด้วยเสียงเหี้ยมว่า “นางหรง ข้ากำลังคุยกับเจ้า เจ้าไม่ได้ยินหรือ?” หรงจือจือตอบกลับเสียงราบเรียบไร้อารมณ์ “ได้ยินเจ้าค่ะ” แต่ไม่คิดจะทำตามคำสั่งนั้นหรอก นางถานกลับคิดว่าหรงจือจือยอมรับคำตามที่บอกแล้ว ท่าทางบึ้งตึงและเสียงตะคอกขู่เข็ญเมื่อครู่ ก็ดูจะผ่อนลงไปบ้างแล้ว ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นคำขอร้องต่อสกุลหรง ต้องโทษสามีของตนเองที่ไม่เอาไหน ทั้งที่เป็นถึงท่านโหวในราชสำนักแต่กลับเงียบเชียบไม่พูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว หลังจากสงบสติอารมณ์ลงได้แล้ว นางถานบ่นออกมาเบา ๆ “แบบนี้ถูกต้องแล้ว ไม่ว่าวันข้างหน้าจะเป็นภรรยาเอกหรืออนุ จื่อฟู่ก็คือสามีของเจ้า เจ้าต้องเทิดทูนเขาไว้เสมอท้องฟ้า!” “หรือจะบอกว่าแค่เขามีสัมพันธ์กับองค์หญิงท่านนั้นแล้ว ก็ไม่ใช่สามี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 6  

    หรงจือจือไม่คิดเลยสักนิด ทั้งที่สองคนทะเลาะกันมาถึงขั้นนี้แล้ว ฉีจื่อฟู่จะยังคิดถึงเรื่องร่วมเรือนหอได้อีก นางถอยหลังกลับไปอีกสามก้าว เว้นระยะห่างจากอีกฝ่ายไว้ ก่อนจะเอ่ยขึ้นพร้อมสีหน้าเยือกเย็น “ท่านพี่ ก่อนที่จะจัดการเรื่องขององค์หญิงม่านหวา ท่านกลับไปที่เรือนของท่านก่อนเถิด!” ฉีจื่อฟู่เอ่ยอย่างไม่อยากเชื่อหูตนเอง “หรือถ้าไม่ได้เป็นภรรยาหลวง แม้แต่สัมผัสตัวเจ้าก็ไม่ยอมให้ข้าสัมผัสแล้วหรือ?” หรงจือจือมิได้ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมา เพียงแต่เอ่ยว่า “ท่านพี่เชิญกลับไปเถิด!” สีหน้าของฉีจื่อฟู่ ในที่สุดก็เยือกเย็นลงอย่างถึงที่สุดแล้ว “ดี! ทุกคนต่างบอกว่าเจ้ารักข้า ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อสกุลฉีเราด้วยความยินดี ข้ากลับมองว่าสิ่งที่เจ้ารักมากกว่า คือตำแหน่งฮูหยินซื่อจื่อ อย่างเจ้าก็แค่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติและชื่อเสียงเกียรติยศเท่านั้นถึงได้ยอมสมรสกับข้า!” หรงจือจือเงียบเชียบไม่เอ่ยปาก เพียงแต่อยากหัวเราะออกมาเท่านั้น เพื่อชื่อเสียงเกียรติยศและทรัพย์สมบัติอย่างนั้นหรือ? ในฐานะบุตรีสายตรงคนโตของมหาราชครูหรง ด้วยตำแหน่งของบิดา ณ วันนี้เวลานี้ ต่อให้นางจะแต่งเข้าจวนอ๋องเป็นพระชายาอ๋องก็ย่อมท

Latest chapter

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 152

    หรงจือจือมองประเมินฉีจื่อฟู่ตั้งแต่หัวจรดเท้าทีหนึ่ง คร้านจะระเบิดอารมณ์ใส่เขาเพียงถามเสียงเอื่อยว่า “ไม่รู้ว่าที่ซื่อจื่อลุกจากเตียงได้ ก็รีบมาหาข้าทันที มีอะไรจะชี้แนะหรือ? หรือเพียงแค่ต้องการจะประณามที่ข้าไม่สนใจท่าน?”ฉีจื่อฟู่เพียงรู้สึกอึดอัดอยู่ในใจ อะไรที่เรียกว่าแค่ต้องการจะประณาม?หรือว่าข้อนี้ยังไม่ร้ายแรงพออีกหรือ?นางผู้เป็นฮูหยินของตน ไม่แยแสสามีเช่นนี้ นี่เป็นปัญหาใหญ่แค่ไหนนางไม่รู้หรือ?เขาตอบกลับทั้งหน้าคล้ำดำเขียว “ข้าว่าเจ้าคงร่ำเรียนคุณธรรมสตรีและเตือนสตรี[1]เสียเปล่าแล้ว!”หรงจือจือจิบน้ำชาคำหนึ่ง ก่อนจะตอบกลับอย่างไม่แยแส “ก่อนหน้านี้ข้าก็ทำตามหนังสือสองเล่มนั้น แต่ดูท่าตอนนี้ หนังสือสองเล่มนั้นจะไม่ใช่หนังสือดีเด่นอะไร ทำตามแล้วไม่เห็นจะมีจุดจบที่ดีอะไร”ฉีจื่อฟู่เห็นกิริยาท่าทางของนาง ใบหน้าก็เปี่ยมไปด้วยความผิดหวัง “เจ้ายังติดใจเรื่องที่ข้าจะลดภรรยาเอกเป็นอนุก่อนหน้านี้อยู่อีกหรือ? เรื่องนี้มันก็ผ่านไปนานแล้ว? เหตุใดเจ้าจึงใจกว้างอีกหน่อยไม่ได้เล่า?”หรงจือจือวางจอกน้ำชาลงอย่างไม่ทุกข์ร้อน “ข้าเองก็แค่ไม่ได้ไปเยี่ยมซื่อจื่อเท่านั้น คงเป็นเพราะซื่อจื่อ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 151

    “ลูกเสียนของข้าเป็นบุรุษที่โดดเด่นถึงเพียงนั้น กะอีแค่บ่าวรับใช้คนเดียว จะพาเขาเสียคนได้อย่างไร แล้วจะส่งผลกระทบกับอนาคตของเขาได้อย่างไร?”“รอลูกเสียนพาคนกลับมา ลองดูก่อนว่าจะโยนความผิดเรื่องหลอกตงหลิงออกมาฆ่าให้หรงจือจือได้หรือไม่ หากไม่ได้ ก็จับตาดูเขาเอาไว้ ขอเพียงเราจับตาดูไม่คลาดสายตา ตงหลิงจะพาลูกเสียนไปทำอะไรได้อีก?”หญิงรับใช้แซ่หลี่ครุ่นคิด ก่อนเอ่ยว่า “ก็คงทำได้แค่นี้แล้ว!”...เรือนหลันเจาซีเอ่ยขึ้น “คุณหนู ฮูหยินเรียกท่านโหวไปพบ ไม่นานท่านโหวก็เดินออกมาด้วยความเดือดดาล คิดว่าหากมีท่านโหวคอยจับตาดูอยู่ คงทำไม่สำเร็จเจ้าค่ะ”ตอนนี้หรงจือจือย่อมไม่สนใจเรื่องพวกนี้แม้แต่น้อยนางกำชับประโยคหนึ่ง “รีบหาโอกาสให้เร็วที่สุด ให้ชุนเซิงแอบเตือนตงหลิงให้ระวังตัวหน่อย บอกไปว่าไม่รู้เพราะเหตุใด จึงมักรู้สึกว่ามีคนคิดจะเล่นงานตงหลิง”“ถึงตงหลิงจะไม่รักดี แต่เฉลียวฉลาดเป็นพิเศษ ในหลาย ๆ เรื่องเขาเข้าใจสถานการณ์ได้ดี หากเขารอบคอบหน่อย ไหนจะได้รับการปกป้องจากฉีจื่อเสียนอีก ไม่มีทางหลงกลแผนชั่วของนางถานได้ง่าย ๆ หรอก”เจาซีรีบเอ่ยขึ้นว่า “เจ้าค่ะ! คุณหนูคิดจะใช้ตงหลิง ทำให้ฉีจื่อเสี

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 150

    ซิ่นหยางโหวรออยู่พักใหญ่แล้ว ก็ยังไม่ได้ยินเสียงตอบรับจากนางถาน ยิ่งรู้สึกว่าฮูหยินคนนี้ไม่ถูกใจเอาเสียเลยอดทนรออยู่เป็นเวลานาน ในที่สุดนางถานก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “นางให้ลูกเสียนเข้ามาแย่งสร้อยข้อมือของข้าเจ้าค่ะ...”ซิ่นหยางโหวได้ยินก็รู้สึกขำ “แค่สร้อยข้อมือเส้นเดียว เหตุใดเจ้าถึงคิดอะไรตื้นๆ เช่นนี้? เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่า เพราะเรื่องของอวี้ม่านหวา นางจึงมีอคติต่อพวกเรา บัดนี้คิดอยากให้นางทำผลประโยชน์เพื่อพวกเรา ดึงมาร่วมมือเป็นพวกหน่อยจะเป็นอะไรไป?”“แถมไม่บอกว่า ที่ต้องการสร้อยข้อมือ ตกลงเป็นความคิดของนางหรือว่าความคิดของลูกเสียน หากเป็นความคิดของนางแล้วอย่างไรเล่า? ตราบใดที่นางคิดแผนการในอนาคตที่ดีให้ลูกเสียน แค่มอบสร้อยข้อมือของจวนโหวให้นางแล้วจะเป็นไรไป?”ปากซิ่นหยางโหวพูดเช่นนี้ แต่ความจริงภายในใจคิดว่า ในฐานะที่หรงจือจือเป็นลูกสะใภ้ของตนเอง การอุทิศตนเพื่อจวนเป็นเรื่องที่สมควรอยู่แล้ว ไม่ต้องพูดถึงการดึงเข้าพวกแต่เขาเป็นถึงท่านโหว และเกิดจากตระกูลขุนนาง ไหนเลยจะใส่ใจสร้อยข้อมือเพียงเส้นเดียว?นางถานทำเช่นนี้ ยิ่งทำให้เขาคิดว่านางใจแคบ เรื่องแค่นี้ก็ต้องโวยวายด้วย

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 149

    “เพียงแต่ไม่รู้ว่าเดี๋ยวน้องเสียนกลับมาแล้ว ท่านแม่วางแผนจะทำอย่างไรหรือเจ้าคะ? หากฝืนโบยคนตายไป เกรงว่าให้ตายอย่างไรน้องเสียนก็คงไม่ยอม!”“ท่านพ่อยังไม่รู้ว่าตงหลิงเป็นผู้ใด หากเขารู้ แถมยังได้ยินว่าวันนี้ท่านแม่ก่อเรื่องเช่นนี้อีก คิดดูแล้วคงยิ่งรู้สึกว่าท่านแม่ไม่คู่ควรกับตำแหน่งฮูหยินโหวมากขึ้นไปอีกกระมังเจ้าคะ?”นางถานแทบจะเป็นลม พลางชี้หน้าของหรงจือจือและกล่าว “หากเจ้ากล้าบอกท่านโหว ข้าจะฉีกปากของเจ้าเสีย!”สิ่งที่หรงจือจือต้องการก็คือประโยคนี้ จึงยิ้มพลางกล่าว “น้อมรับคำสอนของท่านแม่เจ้าค่ะ!”เห็นนางเชื่อฟังเช่นนี้ นางถานก็มองนางตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างสงสัยอยู่หลายครั้ง แต่สุดท้ายกลับมองไม่ออกถึงเหตผลใด ๆ จึงกล่าวอย่างโมโหว่า “คืนสร้อยข้อมือมาให้ข้า!”เดิมหรงจือจือก็ไม่ได้ต้องการสร้อยข้อมือเส้นนี้จริง ๆเมื่อนางบรรลุเป้าหมายแล้ว ก็ยิ้มและส่งคืนให้นางถานหลังนางถานรับกลับไป ก็เบิกตากว้าง เหลือบมองหรงจือจือพลางกล่าว “ข้าเข้าใจแล้ว! หรงจือจือ เจ้าจงใจใช่หรือไม่?”“เจ้าจงใจใช้สร้อยข้อมือนี้บีบให้ข้าเข้ามาก่อเรื่อง จงใจชักจูงให้ข้าพูดเรื่องของตงหลิงออกมา เพียงเพื่อให้ข้าเป็นฝ่

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 148

    #หรงจือจือ “ใช่เจ้าค่ะ ยังมีชีวิตอยู่! ในเมื่อท่านแม่คิดว่าตงหลิงดีมาก และคำนึงถึงน้องเสียนในทุก ๆ เรื่องใช่หรือไม่เจ้าคะ? เจาซี ส่งคนไปรับเขาจากหมู่บ้านที่อยู่เชิงเขาอวี๋เสียเถอะ!”“ประจวบเหมาะกับเมื่อสองเดือนก่อน ข้าได้ยินว่าท่านปู่ของเขาเสียชีวิตแล้ว สามารถกลับมาปรนนิบัติน้องเสียนได้พอดี”“บ่าวรับใช้ที่ดีเช่นนี้ ไม่ควรทิ้งไว้ด้านนอก! รอเขากลับมาแล้ว ข้าก็จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับเสียหน่อย และต่อไปค่อยให้เขาเป็นบุตรบุญธรรมที่ดีของท่านแม่เจ้าค่ะ”นางถานรีบกล่าว “ไม่…ไม่ใช่ ตงหลิงนี่ หรือว่าจะ…”หรงจือจือกล่าวขัดจังหวะ “ท่านแม่บอกไม่ใช่หรือเจ้าคะ ว่านี่คือคนที่เติบโตมาด้วยกันกับน้องเสียน ข้าบอกว่าเขาไม่ใช่บ่าวรับใช้ที่ดี ท่านแม่ก็บอกว่าข้าใส่ร้าย แถมยังอยากส่งข้าไปที่ว่าการอีก ทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่ท่านพูดเอง ลูกสะใภ้ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรแล้วจริง ๆ !”ฉีจื่อเสียนกลับดวงตาเปล่งประกาย และรีบกล่าว “รับกลับมาเถอะ รีบรับกลับมาเสียเถอะ! ข้าคิดถึงเขาแล้วจริง ๆ ข้าจะไปรับด้วยตนเอง!”นางถานร้อนใจจนแทบจะกระทืบเท้า “หยุด! ห้ามไป!”ฉีจื่อเสียนไม่พอใจอย่างมาก ขมวดคิ้วและมองนางถาน “เหตุใดถึงห้ามไ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 147

    “ท่านแม่และคนฝั่งครอบครัวท่านต่างหาก ที่ทำลายอนาคตของน้องเสียนกับน้องสาวสามีซ้ำแล้วซ้ำเล่า มีบางครั้งลูกสะใภ้เองยังสงสัยว่า พวกเขาเป็นเด็กที่ท่านเก็บมาเลี้ยงหรือเปล่า”นางถานโกรธจนแทบระเบิด “หรงจือจือ เจ้ายังกล้ายุยงอีกรึ!”หรงจือจือ “ลูกไม่มีเจตนาจะยุยง เจาซีกับลูกเติบโตมาด้วยกัน หากท่านไม่เชื่อ สามารถถามนางที่เติบโตมาด้วยกันได้ ว่าข้าดูแลครอบครัวนี้ดีมาโดยตลอดหรือไม่”หรงจือจือจงใจเน้นย้ำคำว่า “เติบโตมาด้วยกัน” ถึงสองครั้งแล้วคำพูดนี้สะกิดความทรงจำบางอย่างของนางถานเข้าจริง ๆ ด้วยนางถานราวกับได้ไพ่เด็ดอะไรมาก็มิปาน หันกลับไปกล่าวต่อฉีจื่อเสียนว่า “ลูกเสียน เจ้ารู้หรือไม่ว่า ตงหลิงที่เติบโตมาด้วยกันตั้งแต่เด็กกับเจ้า หายไปที่ใดแล้ว?”ได้ยินนางถานถามเช่นนี้ หรงจือจือก็ปรากฏรอยยิ้มที่พึงพอใจในดวงตา สตรีโง่เขลานางนี้ ในที่สุดก็ตกหลุมพรางแล้วฉีจื่อเสียนชะงักเล็กน้อย “ตง…ตงหลิงหรือ? ก่อนหน้านี้พวกท่านบอกว่า ท่านตาของเขาป่วยหนัก จึงเมตตาอนุญาตให้เขาไปรักษาตัวในชนบท แถมอนุญาตให้ตงหลิงไปดูแลไม่ใช่หรือขอรับ?”ตงหลิงเป็นเด็กที่เกิดในเรือน ท่านปู่ของเขาเป็นบ่าวรับใช้ของจวนโหว ตอนนั้นเป

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 146

    หรงจือจือยังกล่าวเสริมอีกว่า “บอกเขาว่า ท่านแม่โปรดปรานสร้อยข้อมือชิ้นนั้นมาโดยตลอด แค่นางมอบสร้อยข้อมือให้ข้า ถึงจะสามารถพิสูจน์ได้ว่าน้องเสียนยังทุ่มเทเพื่อข้าอยู่ เช่นนั้นข้าก็จะยิ่งทำเต็มที่เพื่อเขามากขึ้นเช่นกัน”“อย่าว่าแต่หาอาจารย์เลย ในอนาคตน้องเสียนอยู่ในราชสำนัก จะขอให้ท่านพ่อข้าช่วยวิ่งเต้นให้เขา ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้!”ความเห็นแก่ตัว และคำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นอันดับหนึ่ง ถือเป็นประเพณีของคนสกุลฉี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ตอนนี้ในสมองของฉีจื่อเสียนเต็มไปด้วยการตามหาอาจารย์ที่ดีเช่นนี้แล้ว ผลประโยชน์ของผู้ใดที่เขายอมเสียสละไม่ได้บ้าง?เจาซีรีบกล่าว “เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปเดี๋ยวนี้!”ยังไม่ทันถึงครึ่งชั่วยามฉีจื่อเสียนก็เข้ามาอย่างรีบร้อน และนำสร้อยข้อมือที่อยู่ในมือมอบให้หรงจือจือ “พี่สะใภ้ นี่คือสร้อยข้อมือที่ท่านแม่โปรดปรานที่สุดขอรับ...”หรงจือจือดวงตาเปล่งประกาย “ท่านแม่ยอมยกให้ข้าจริง ๆ หรือ?”นางย่อมรู้ว่าฉีจื่อเสียนจะไม่ทำให้นางผิดหวังหากสร้อยข้อมือเป็นของฉีจื่อเสียน เขาคงจะไม่ยอมยกให้ ไม่แน่ว่าอาจจะหยิบยกเหตุผลมากมายมาพูดกับตนเอง แต่สร้อยข้อมือเป็นขอ

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 145

    หรงจือจือ “ไปเถอะ!”การเสแสร้งกับเขาอยู่ตลอดเวลา หรงจือจือก็เหนื่อยมากเช่นกัน ทำให้สับสนประมาณนี้คงจะพอแล้วฉีจื่อเสียนออกไปจากที่นี่แล้ว หลังกลับเรือนของเขา ก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้นจริง ๆ และกล่าวกับชุนเซิงว่า “นายหญิงผู้เฒ่าหรงเสียชีวิตได้เหมาะจริง ๆ ! สกุลหรงมีเพียงฮูหยินผู้เฒ่าที่ให้ความสำคัญกับหรงจือจือ พอยายแก่นั่นเสียชีวิต หรงจือจือก็ทำได้เพียงคิดแผนการทุกอย่างให้จวนโหวของพวกข้าเท่านั้น”“ในอดีต แม้นางไม่ได้สัญญาอะไรกับข้า แต่หากฝั่งท่านสวีเจรจาไม่สำเร็จ ก็ยังจะหาคนอื่นมาให้ข้าอยู่ดี! ความจริงท่านเจียงดูถูกข้า หรือคิดว่าข้าเองก็ชื่นชอบเขางั้นหรือ? เขามักจะตำหนิข้าอยู่เสมอ”“หากนายหญิงผู้เฒ่าหรงเสียชีวิตเร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะให้หรงจือจือเปลี่ยนอาจารย์ให้ข้าไปแล้ว จะได้ไม่ต้องทนทุกข์จากการดูถูกของคนแซ่เจียงนั่น!”ชุนเซิงรู้สึกทนฟังต่อไปไม่ไหว จึงเปิดปากเอ่ย “คุณชายสี่ ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ฮูหยินซื่อจื่อก็เป็นคนคิดแผนการเพื่อท่าน ท่านพูดเช่นนี้ มันไม่สมควรจริง ๆ ขอรับ…”ฉีจื่อเสียนมองเขาด้วยความไม่พอใจ “มีอะไรไม่สมควรกัน? เจ้าก็แค่ใจอ่อนเหมือนสตรี! ทางที่ดี ยายแก่นั่นจง

  • โทษทีข้าเกิดมาต้องเป็นเมียเอกเท่านั้น   บทที่ 144

    บนรถม้าระหว่างกลับจวนโหว หรงจือจือดูตกตะลึงเล็กน้อย และอดสงสัยไม่ได้จริง ๆ ว่าเหตุใดเสิ่นเยี่ยนซูถึงมีเวลาช่วยนางสืบเรื่องเหล่านี้ตามหลักแล้ว คนแบบเขานั้นนั่งอยู่ตำแหน่งสูงในท้องพระโรง อำนาจล้นฟ้า เรื่องเล็กน้อยของเรือนหลังนี้ อีกฝ่ายไม่ควรจะใส่ใจ และยิ่งไม่คิดจะสนใจเสียด้วยซ้ำจึงจะถูกเมื่อเห็นคุณหนูของตนนั่งกระสับกระส่ายเจาซีก็อดไม่ได้ที่จะถาม “คุณหนู ท่านมีข้อสงสัยอะไรหรือเจ้าคะ?”น้อยนักที่หรงจือจือจะมีท่าทีสับสน นางกล่าวขึ้นมาประโยคหนึ่ง “เพียงแต่ประหลาดใจกับความหวังดีของท่านเสนาบดีที่มีต่อข้าก็เท่านั้น บางที ข้าอาจไม่จำเป็นต้องคิดมากจนเกินไป และที่เขาทำแค่เพื่อตอบแทนบุญคุณเท่านั้น?”กลับคิดไม่ถึงว่า เจาซีจะกล่าวเช่นนี้ “ข้าน้อยรู้สึกว่า ท่านเสนาบดีคงจะชอบท่านแน่ ๆ เจ้าค่ะ ในฐานะท่านสมุหราชเลขาธิการ แถมยังต้องว่าราชการแทน อีกทั้งยังมีงานรัดตัวเช่นน้้น เหตุใดต้องรอคุณหนูไปพบด้วยตนเองอยู่ที่นั่น เพียงเพื่อให้คนมอบจดหมายฉบับหนึ่งให้ท่านด้วยล่ะเจ้าคะ”“เรื่องนี้ส่งบ่าวรับใช้คนใดมาทำก็ได้ไม่ใช่หรือ? ยังอ้อมค้อมเช่นนี้ และให้นางเซินเป็นธุระให้อีก แรงจูงใจที่เขาต้องการจะพบคุณหนู

Scan code to read on App
DMCA.com Protection Status