มีเสียงกระดูกหักดังกร๊อบ ร่างที่ถูกซัดก็ปลิวไปข้างหลังพุ่งชนคนที่อยู่ข้างหลังเจ็ดแปดคน ทำให้ทุกคนได้รับบาดเจ็บสาหัสคนอื่น ๆ ทั้งโกรธทั้งตกใจ ตะโกนกู่ร้องพุ่งไปหาเย่ซิวอย่างรวดเร็วโครม โครม โครม!เสียงดังเอะอะที่ดังต่อเนื่องไม่หยุดหย่อน เหล่ายอดฝีมือนี้ต่างล้มระนาวราวกับใบไม้ร่วงตอนแรกแต่ละฝ่ายยังคงรักษาความสงบได้แต่เมื่อเห็นว่าพวกยอดฝีมือครึ่งหนึ่งที่พวกเขาพามาล้มลงในเวลาไม่นาน ก็เริ่มใจไม่ดีขึ้นมาแล้วในเวลาไม่ถึงห้านาที ยอดฝีมือสองสามร้อยคนก็ล้มระเนระนาด แต่ละคนต่างมองเย่ซิวด้วยสายตาหวาดกลัวผู้นำแต่ละตระกูล พวกเขาทยอยลุกขึ้นมามองหน้าเย่ซิวด้วยสีหน้าซีดเซียวความแข็งแกร่งของเย่ซิวเกินกว่าที่พวกเขาคิดเอาไว้ในขณะที่เขาจ้องมองไปยังคนเหล่านั้น แต่ละคนก็รู้สึกเสียวสันหลังไม่กล้าสบตาเขาเย่ซิวมองไปรอบ ๆ และพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมจะให้โอกาสพวกคุณอีกครั้ง จะยอมหรือจะพังพินาศกันไปข้างหนึ่ง!"“โอหังจริง ๆ!”ในตอนนั้นมีเสียงดังมาจากด้านนอกประตูเย่ซิวหันกลับมาเห็นชายคนหนึ่งสวมชุดสูทสีขาว ตัวสูงเดินหลังตรงเข้ามาอย่างสง่างามมีอีกสี่คนที่ยืนอยู่ข้างหลังชายคนนี้ผู้หญิงสี่ค
“น่าสนใจดี”คำพูดของเย่ซิวไม่ได้ทำให้หลี่หรูเฟิงหวาดกลัว แค่รู้สึกว่าเขาแค่แสร้งทำออกมา“ในเมืองเจียงเฉิงเล็ก ๆ นี้ แค่ประสบความสำเร็จนิดหน่อยก็รู้สึกว่าตัวเองเก่งกาจแล้ว หาไม่แล้วก็แค่กบในกะลา”หลี่หรูเฟิงมองเย่ซิวด้วยสีหน้าเย็นชาราวกับกำลังมองมด“แต่ความกล้าหาญของนายน่ายกย่อง หากตอนนี้นายยอมคุกเข่าลงยอมรับฉันเป็นเจ้านายของนาย ต่อไปนายก็สามารถเป็นราชาที่แท้จริงของเมืองเจียงเฉิงได้”เย่ซิวยิ้ม “นายคู่ควรงั้นเหรอ?”ไม่มีใครในโลกนี้ที่สามารถเป็นนายของเขาได้ความเยือกเย็นในดวงตาของหลี่หรูเฟิงแผ่ซ่านออกมา “เมื่อไม่ยอมรับความหวังดี อย่างนั้นวันนี้ฉันก็จะเขี่ยนายออกไปให้พ้นทาง”ทั้งสี่คนที่อยู่ข้างหลังเขากำหมัดแน่น กล้ามเนื้อทั้งร่างตื่นตัว พร้อมที่จะลงมือ“มาดูสิว่าวันนี้ใครจะกล้าแตะต้องเขา!”สถานการณ์ตึงเครียดก็มีเสียงอันเย็นชาดังขึ้นนอกประตูทุกคนหันเหความสนใจไปที่ข้างนอกแววตาทุกคนเต็มไปด้วยความประหลาดใจยืนอยู่นอกประตูเป็นเด็กผู้หญิงที่ดูอายุสักสิบสามหรือสิบสี่ปีแต่เธอสูงมากสูงตั้งหนึ่งร้อยหกสิบห้าเซนติเมตรสวมชุดเดรสยาวสีดำแม้ว่าจะอายุยังน้อย แต่ก็ยังมีความสง่างามแบบผ
โลภกระหายต้องการทั้งความสามารถและตัวของหลิวอวี้ฝูแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะเป็นศัตรูกัน พวกเขาก็ยังคงเป็นสุภาพบุรุษและยื่นมือไปทางหลิวอวี้ฝู “น้องหลิว ไม่ได้เจอเธอมาตั้งนาน สวยกว่าเดิมอีก”แต่หลิวอวี้ฝูไม่สนใจ เดินผ่านหลี่หรูเฟิงไปชนิดที่ไม่มองเขาเลยรอยยิ้มบนใบหน้าของหลี่หรูเฟิงแข็งค้างเขาเห็นหลิวอวี้ฝูเดินตรงไปข้างหน้าเย่ซิว ใบหน้าที่เย็นชาของเธอกลับยิ้มแย้มออกมาจนทุกคนที่อยู่ที่นี่ต่างสับสนไปหมด“พี่ใหญ่ เราพบกันอีกแล้ว เมื่อเช้านี้ขอบคุณนะที่ช่วยปู่ของฉันไว้”ท่าทีเย่ซิวสงบมากและเขาก็ลูบหัวของเธออย่างอ่อนโยน “เธอนี่ช่างใส่ใจจริง ๆ”หลิวอวี้ฝูนิ่งอึ้งไปเธอโตจนป่านนี้ นอกจากปู่ของเธอแล้ว ก็ไม่มีใครกล้าลูบหัวเธอพวกคนที่เคยพบเธอ ต่างก็เคารพยำเกรงกันทั้งนั้นเนื่องจากสถานการณ์ในครอบครัวของเธอ เธอจึงต้องเข้มแข็งตั้งแต่ยังเด็กมากแต่ไม่มีใครรู้เลยว่าภายใต้รูปลักษณ์ที่แข็งแกร่งนี้ มีหัวใจที่เปราะบางซ่อนอยู่การกระทำที่เรียบง่ายของเย่ซิว ทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นหลิวอวี้ฝูไม่ใช่คนธรรมดา เพียงครู่เดียวริ้วอารมณ์แปลก ๆ บนใบหน้าของเธอก็จางหายไป จากนั้นเธอก็ยิ้มและพูดว่า “วันนี้ฉันมาช่วยพ
หลิ่วอวี้ฝูยกตนข่มท่านกลิ่นอายของเธอแข็งแกร่งมากจนแม้แต่ผู้ช่ำชองในโลกธุรกิจที่ต้องผ่านช่วงเวลาขึ้น ๆ ลง ๆ นับไม่ถ้วนก็ไม่กล้าที่จะต่อต้านคนที่มีใบหน้าน่าเกลียดที่สุดคือหลี่หรูเฟิงเขาได้วางแผนไว้นานแล้ว เขาใช้กำลังคนและทรัพยากรมหาศาลก็เพื่อวันนี้ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่ผู้เชี่ยวชาญที่ส่งออกไปสกัดกั้นเซี่ยเจี๋ยและหูเม่ยเอ๋อร์ก็เป็นประโยชน์อย่างมากแล้วนี่เป็นการสิ้นเปลืองทรัพย์ของตระกูลหลี่จริง ๆหลี่หรูเฟิงมองไปที่หลิ่วอวี้ฝูอย่างเย็นชา “คุณต้องการจะสู้กับตระกูลหลี่ของเราจนตัวตายจริง ๆ เหรอ? โครงการนั้นใหญ่เกินกว่าที่ตระกูลหลิ่วของคุณจะรับมือได้ อย่าทำอะไรเกินตัวเลย!”หลิ่วอวี้ฝูเปรียบเสมือนราชินีผู้สูงส่ง “ปลาจะตาย แต่อวนจะไม่ขาด!”หลี่หรูเฟิงหายใจเข้าลึก ๆ หลายครั้งก่อนที่เขาจะระงับความโกรธ และเผยรอยยิ้มอีกครั้ง “เถียงกันไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ทำไมเราไม่ให้ทั้งสองฝ่ายมาดวลกันล่ะ ถ้านายแพ้ก็ออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ แต่ถ้าฉันแพ้ ฉันจะขอโทษพวกคุณแล้วออกไปจากที่นี่ ว่ายังไงล่ะ?”หลิ่วอวี้ฝูไม่พยักหน้าเห็นด้วยเพราะเธอรู้ว่าคนของเธอที่เธอพามานั้นไม่เหมาะกับผู้หญิงสี่คนที่
เขาพูดอย่างชั่วร้าย “จัดการซะ! เอาให้ตาย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะรับผิดชอบเอง!”ทันทีที่เขาพูดจบ แฝดสี่ก็เริ่มเคลื่อนไหวนี่เป็นตัวอย่างที่แท้จริงถึงความหมายของคำว่า มั่นคงดั่งภูเขา เคลื่อนเงาดั่งสายฟ้าผู้หญิงทั้งสี่คนนี้อ่านใจกันได้ในเวลาเดียวกันนั้นทั้งสี่สาวพุ่งออกไปสี่ทิศ เข้าโจมตีจุดสำคัญของเย่ซิวเมื่อพวกเธอเคลื่อนไหวก็เกิดเสียงระเบิดทะลุผ่านอากาศเพียงได้ยินเสียงนี้ก็ทำให้หัวใจของผู้คนโดยรอบสั่นสะท้านหากหมัดเหล่านี้โดนพวกเขา มีความเป็นไปได้สูงถึงเก้าในสิบที่พวกเขาจะตายทันทีหลิ่วอวี้ฝูอดไม่ได้ที่จะกำมือเล็กน้อย และให้คำแนะนำกับเหล่ายอดฝีมือรอบตัวเธออีกครั้งเมื่อเย่ซิวตกอยู่ในอันตราย พวกเขาจะต้องเข้าช่วยเหลือโดยเร็วที่สุดหลี่หรูเฟิงเผยสีหน้าพึงพอใจในความคิดของเขา เย่ซิวยืนนิ่งอยู่กลางลานดูเหมือนจะหวาดกลัวเซี่ยซิ่วซิ่วเองก็เริ่มกังวล ดวงตาของเธอจับจ้องไปที่เย่ซิวโดยไม่กะพริบเย่ซิวกำลังจะถูกผู้หญิงทั้งสี่คนเข้าโจมตีทันใดนั้นเขาก็ขยับร่าง ดูเหมือนเป็นการเคลื่อนไหวเล็กน้อย ทว่ากลับหลบหมัดทั้งสี่ได้อย่างสมบูรณ์แบบสีหน้าของสี่สาวเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่การโจมตีของพวกเธ
ภายในห้องโถง ทุกคนยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตกใจเมื่อเห็นฉากนี้จิตใจของพวกเขาว่างเปล่าไปชั่วขณะหนึ่งคนที่ยอมรับไม่ได้มากที่สุดคือ หลี่หรูเฟิงเขารู้ดีถึงความสามารถของยอดฝีมือทั้งสี่คนนี้เงินเดือนที่มอบให้กับแฝดสี่อย่างเดียวก็เกินสองร้อยห้าสิบล้านบาททุกปีแล้วทั้งสี่สาวเคยเอาชนะนักรบขั้นสูงระดับสี่มาก่อน แล้วจะพ่ายแพ้อย่างง่ายดายขนาดนี้ได้อย่างไร?เป็นไปได้หรือไม่ว่า เย่ซิวจะเป็นจอมยุทธขั้นกลางระดับห้า หรือสูงกว่านั้น?เมื่อคิดเช่นนี้หรูเฟิงก็ทิ้งความคิดนั้นลงทันทีเขาไม่อยากจะเชื่อเย่ซิวที่ดูอ่อนแอขนาดนี้ จะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะไปถึงจอมยุทธระดับห้า?เขาตะโกนใส่สี่แฝดสาว “ลุกขึ้นมาเร็วเข้าสิ พวกเธอจะแพ้ไม่ได้!”หากเขาแพ้เขาจะต้องออกจากที่นี่ด้วยความอับอาย ซึ่งจะทำลายชื่อเสียงของเขาอย่างยิ่งเมื่อถึงเวลา เหล่ากองกำลังและตระกูลในเมืองเจียงเฉิงจะคิดว่าตระกูลหลี่ด้อยกว่าตระกูลหลิ่ว และมีความเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะหันมาต่อต้านตระกูลหลี่หากเป็นเช่นนั้นเขาก็จะจัดการกับตระกูลหลิ่วได้ยากยิ่งขึ้นสี่สาวพยายามดิ้นรนเพื่อลุกขึ้นยืนพวกเธอคำรามเสียงต่ำ ดวงตาทั้งสี่คู่เต็มไปด้วยความก
“ดีมาก ดีอะไรอย่างนี้ เป็นแค่มดคิดจะล้มช้าง วันนี้ฉันจะจำไว้ แล้วเราจะได้เห็นดีกัน”หลังจากทิ้งคำพูดที่รุนแรงไว้เบื้องหลัง หลี่หรูเฟิงก็สะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปผู้หญิงทั้งสี่คนพยายามลุกขึ้นและตามเขาออกไปเช่นกันเหล่าตระกูลใหญ่และตระกูลรองในเจียงเฉิงต่างมองหน้ากันทันใดนั้นพวกเขาทั้งหมดก็เดินไปหาเย่ซิวพร้อมรอยยิ้มอันเสแสร้งบนใบหน้า“น้องชายยังหนุ่มยังแน่น อนาคตไกลนัก”"เจ๋งมาก เจ๋งสุด ๆ"“หากมีโอกาสในอนาคตคงได้ร่วมมือกันนะครับ”……เพื่อตอบสนองต่อการทาบทามของพวกเขา เย่ซิวไม่ได้แสดงท่าทีที่เป็นการต่อต้านพวกเขาเลยแต่เขากลับยิ้มและพูดคุยด้วยราวกับเข้ากันได้ดีแน่นอนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพียงผิวเผินเท่านั้นสำหรับพวกกลับกลอกพวกนี้ เย่ซิวไม่ได้คิดที่จะปล่อยพวกเขาไปง่าย ๆ อยู่แล้ว ตอนนี้เพียงแค่ต้องทำให้พวกเขาคลายความระมัดระวังก่อนเท่านั้นเย่ซิวจะหาโอกาสจัดการกับพวกเขาทีหลังแต่พวกเขาไม่รู้ว่า สิ่งที่เย่ซิวต้องการในตอนนี้คือการฮุบทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาพวกเขาคิดว่า เขาเป็นผู้ใหญ่แล้วและสามารถปล่อยวางได้ ดังนั้นพวกเขาจึงวางใจและผ่อนคลายลงทีละคนสิ่งที่พวกเขากลัวที่สุดคือเย่ซิ
“ฉันหวังว่าโครงการนี้จะเกี่ยวข้องกับคุณเย่ด้วยนะ”การแสดงออกของหลิ่วอวี้ฝูไม่เปลี่ยนแปลง เธอเดาไว้อยู่แล้วอีกอย่างเธอยังต้องการตอบแทนเย่ซิวที่ช่วยปู่ของเธอเอาไว้ด้วยเธอพยักหน้าและพูดกับเย่ซิว “พี่ใหญ่ เราไปคุยกันส่วนตัวดีไหม?"“ได้สิ”ทั้งกลุ่มไปที่ห้องรับแขกข้าง ๆยอดฝีมือที่นำโดยหลิ่วอวี้ฝูได้ตรวจสอบห้องทั้งภายในและภายนอกอย่างระมัดระวังหลังจากที่แน่ใจว่าไม่มีอุปกรณ์ดักฟังแล้วพวกเขาก็ออกจากห้องไปหูเม่ยเอ๋อร์และหรูฮว่าก็อยู่เช่นกันหลิ่วอวี้ฝูยังรู้รายละเอียดของทั้งสองคนหูเม่ยเอ๋อร์เป็นจอมยุทธระดับห้า แต่เธอไม่มีทักษะในการต่อสู้ ความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเธอใกล้เคียงกับเซี่ยเจี๋ยส่วนหรูฮว่าเป็นจอมยุทธสูงสุดระดับสามทว่าเธอได้ฝึกฝนทักษะลึกลับบางอย่างที่ทำให้เธอก้าวข้ามขีดจำกัดของตัวเองและสามารถระเบิดความแข็งแกร่งได้หลายครั้งในทันที และเธอยังสามารถได้รับการปฏิบัติในฐานะจอมยุทธระดับสี่อีกด้วยหลิ่วอวี้ฝูก็ต้องการที่จะได้รับความร่วมมือจากทั้งสองคนเช่นกันมีหลายคนนั่งลงรอบโต๊ะ จากนั้นหลิ่วอวี้ฝูก็พูดช้า ๆ“พวกคุณทุกคนคงสงสัยว่า โครงการอะไรที่ตระกูลหลี่และฉันกำลังต่อสู้เ
ในใจรั่วอวิ๋นกำลังปลื้มเป็นที่สุดแต่ต่อหน้าคนอื่นเธอยังคงวางมาดสงบนิ่ง และพยักหน้าเบา ๆ แบบถ่อมตัวสุด ๆ“ก็ไม่เท่าไหร่นะ แค่สัตว์วิญญาณไม่กี่ตัว เอาไว้เฝ้าประตูเฉย ๆ”คำพูดโอ้อวดแบบถ่อมตัวเช่นนี้ทำเอาคนที่ยืนฟังอยู่ถึงกับกระตุกมุมปากกันเป็นแถบเธอคิดว่านี่คือผักกาดขาวหรือไงนี่มันสัตว์วิญญาณระดับจินตานตั้งแปดตัวเชียวนะถึงสายเลือดของพวกสิงโตหยกขาวจะไม่ใช่ระดับสูงสุด แต่ก็ไม่ใช่พวกชั้นต่ำ อยู่ระดับกลางค่อนไปทางดีเลยด้วยซ้ำถ้าเลี้ยงต่อไปดี ๆ รับรองว่าเก่งขึ้นได้อีกแน่นอนลองจินตนาการดูสิ สิงโตหยกขาวแปดตัวคำรามพร้อมกันจะอลังการแค่ไหน มันต้องเป็นภาพที่อลังการและน่าเกรงขามสุด ๆ“เย่ซิวก็อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ” ภรรยาเจ้าสำนักทำทีเหมือนเพิ่งสังเกตเห็นเขาเย่ซิวยิ้มพลางเอ่ย “ขอคารวะท่านผู้อาวุโสทุกท่าน เจ้าสำนักและภรรยา ผมแค่มาให้อาหารพวกมันน่ะครับ”ทุกคนก็พยักหน้าเบา ๆ เป็นเชิงรับรู้ ไม่มีใครเชื่อมโยงได้ถึงเรื่องที่สัตว์วิญญาณเลื่อนระดับได้เพราะตัวเขาเลยแม้แต่น้อยไม่นานนัก สัตว์วิญญาณทั้งแปดตัวก็ค่อย ๆ สร้างตานปีศาจได้สำเร็จแทบจะพร้อมกันพลังที่ระเบิดออกมาทำให้เกิดพายุขนาดใหญ่ไปทั
แม้ว่ารั่วอวิ๋นจะรู้ดีว่าความคิดแบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไหร่ แต่เธอก็ห้ามตัวเองไม่ได้เลยจริง ๆถ้าเย่ซิวแค่ลองกลั่นโอสถเป็นครั้งแรกก็เก่งกว่าเธอแบบไม่เห็นฝุ่น แบบนั้นมันก็เหมือนโดนตบหน้าแรง ๆ เข้าให้แล้วแบบนี้จะรักษาภาพลักษณ์ความเป็นอาจารย์ไว้ต่อหน้าเขาได้ยังไงกันล่ะเสียงโครมดังขึ้น ก่อนที่ฝาปิดเตาจะหลุดออกกลิ่นหอมของโอสถที่เข้มข้นจนถึงขีดสุดกระจายไปทั่วเย่ซิวถึงกับใจหล่นวูบ คิดในใจว่าแย่แล้วถึงเขาจะพยายามเก็บงำกลิ่นเท่าที่ทำได้แล้ว แต่ดูเหมือนแค่กลิ่นที่ลอยออกมาก็แรงกว่าโอสถของรั่วอวิ๋นเสียอีกรั่วอวิ๋นพยายามควบคุมสีหน้าแล้วรีบเดินเข้าไปดูโอสถในเตาพอเห็นแล้วก็ถึงกับยืนช็อกไปทั้งตัวที่ก้นเตา โอสถจำนวนห้าสิบเม็ดวางเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ และแต่ละเม็ดก็ใสบริสุทธิ์ดูอัดแน่นไปด้วยพลังแต่สิ่งที่ทำให้เธอรับไม่ได้ที่สุดก็คือทุกเม็ดมีลวดลายโอสถปรากฏอยู่บนผิวของมัน หมายความว่าโอสถทั้งหมดนี้เป็นระดับสูงนี่มันไม่ใช่แค่โดนตบหน้าแล้ว แต่มันคือการโดนกดหัวลงพื้นแล้วลากไปเลยต่างหากเย่ซิวไอแห้ง ๆ หนึ่งทีและจงใจไม่เข้าไปดู แต่ทำท่าทางตื่นเต้นแล้วถามเธอด้วยสีหน้าลุ้น ๆ ว่า “ท่านอาจ
ทั้งความรู้ที่เคยได้รับรวมถึงทักษะการกลั่นโอสถต่าง ๆ ก็ควรจะเหนือกว่าตัวเขาแบบทิ้งห่างสิแต่ทำไมกลับรู้สึกว่ายังห่างชั้นจากเขาอยู่เยอะเลย?เย่ซิวยังคิดว่าตัวเองอาจจะคิดไปเองจึงตั้งใจดูต่ออีกสักพักจนสุดท้ายก็มั่นใจเต็มร้อยว่าทักษะการกลั่นโอสถของผู้หญิงคนนี้ไม่ถึงหนึ่งในสิบของเขาด้วยซ้ำแค่ฝีมือระดับนี้ก็ยังยืนหยัดอยู่ในโลกของผู้ฝึกตนได้ด้วยเหรอ?หรือโลกของผู้ฝึกตนมันหากินง่ายขนาดนั้นเลย?ความคิดสารพัดผุดขึ้นมาในหัวเย่ซิว แต่สีหน้าเขาก็ยังคงนิ่งเฉย ไม่แสดงพิรุธอะไรออกมาเลยหนึ่งชั่วโมงผ่านไป โอสถก็กลั่นเสร็จเรียบร้อยรั่วอวิ๋นเปิดฝาเตาก่อนจะหยิบเม็ดยาออกมาหนึ่งเม็ด ใบหน้าเต็มไปด้วยความพึงพอใจ “ไม่เลว ๆ หนึ่งเตาได้โอสถมายี่สิบเจ็ดเม็ด ระดับกลางหกเม็ด ถือว่าสมบูรณ์แบบ”จากนั้นเธอก็หันไปมองเย่ซิวแม้ใบหน้าจะดูเรียบเฉย แต่เย่ซิวก็พอจะจับความหมายแฝงได้ไม่ยากก็แค่รอให้เขาชมเธอนั่นแหละหากพูดตรง ๆ การกลั่นโอสถของรั่วอวิ๋นรอบนี้ถือว่าสอบตกสำหรับเย่ซิว เพราะวัตถุดิบที่ใช้ไปทั้งหมด ถ้าเป็นเขากลั่นเองอย่างน้อยจะได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวแถมยังเป็นโอสถระดับสูงทั้งหมดด้วยซ้ำเมื่อเห็นโ
เย่ซิวรู้สึกหมดคำจะพูดทำไมทุกทีที่เขากำลังจะเข้าสู่จุดสำคัญ ผู้หญิงคนนี้ต้องโผล่มาขัดจังหวะตลอดเลยนะเขาไม่อยากเสียเวลาเถียงจึงเลือกกลืนเม็ดยาลงไปตรง ๆจากนั้นก็เริ่มเดินกำลังเดินกำลังภายในเพื่อกลั่นพลังโอสถพลังโอสถอันหนักแน่นและทรงพลังแผ่กระจายออกมาภายในร่างเขาราวกับภูเขาไฟขนาดยักษ์ระเบิดออกในพริบตาสำหรับเย่ซิว ระดับนี้ไม่ใช่เรื่องยาก และทุกอย่างก็ดำเนินไปอย่างราบรื่นข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวคือรากฐานพลังของเขาลึกเกินไปจนต้องใช้โอสถไปถึงห้าเม็ดถึงจะสามารถทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตได้สำเร็จพลังวิญญาณในร่างกลายเป็นของเหลวหนืดเหนียวสุดขีด วิญญาณก่อกำเนิดก็ขยายขนาดใหญ่ขึ้นเป็นสิบเท่าทั้งพลังบำเพ็ญและความสามารถในการต่อสู้ก็เพิ่มขึ้นพร้อมกันสิบเท่าเมื่อสัมผัสได้ถึงพลังอันรุนแรงที่แผ่กระจายอยู่ทั้งภายนอกและภายใน เย่ซิวก็รู้สึกว่าดวงตาตัวเองสว่างวาบต่อให้ตอนนี้ต้องเผชิญหน้ากับเจ้าสำนักอีกครั้ง แม้จะยังไม่ใช่คู่มือที่แท้จริง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นไม่มีทางสู้เหมือนเมื่อก่อนแล้วอย่างน้อยถ้าคิดจะหนีก็หนีรอดแน่นอนการทะลวงเข้าสู่ระดับถอดจิตยังส่งผลเสริมพละกำลังร่างกายของเย่ซิวอีกด้ว
เย่ซิวอายุแค่นี้เองนะ!แต่กลับสามารถกลั่นโอสถระดับสุดยอดออกมาได้ถ้าให้เวลาเขาอีกหน่อย แบบนี้ไม่บินขึ้นฟ้าไปเลยเหรอเจ้าสำนักกับภรรยาหันไปมองหน้ากัน ทั้งคู่ต่างเห็นความจริงจังและความตกตะลึงในแววตาของกันและกันดูเหมือนต้องประเมินเย่ซิวใหม่เสียแล้วจางเสี่ยวอวี๋ถึงกับหยิกเนื้อแขนตัวเองแรง ๆ แต่ก็ยังรู้สึกเหมือนฝันอยู่ดี“ไม่จริงน่า เขาจะกลั่นสุดยอดโอสถได้ยังไง…ถึงว่าทำไมวันนั้นฉันไปหาเขา เขาถึงได้ทำตัวเย็นชาใส่ ที่แท้ในสายตาเขาฉันก็เป็นแค่ตัวตลกคนหนึ่ง”ในขณะที่คนทั้งสนามกำลังตะลึงอยู่ สีหน้าของหนานกงอู๋ซวงกับเฉินเยียนจือก็เริ่มเก็บอารมณ์ไม่อยู่ทุกคนได้รับโอสถกันหมด มีแค่พวกเขาสองคนเท่านั้นที่ไม่มีมันชัดเจนมากว่าเย่ซิวตั้งใจเมินพวกเขาเฉินเยียนจือโกรธจนตัวสั่น ก่อนชี้หน้าเย่ซิวพลางตะโกน “นี่มันหมายความว่ายังไง ทำไมทุกคนมีกันหมด แต่ฉันกับพี่อู๋ซวงไม่มี!”เย่ซิวไหล่ตกก่อนจะทำหน้าไร้เดียงสา “อ๋อ พวกคุณก็อยู่ด้วยเหรอ ขอโทษที พอดีโอสถหมดพอดีเลยเอาแบบนี้แล้วกัน พรุ่งนี้พวกคุณทั้งคู่มาหาผมสิ เดี๋ยวผมจะกลั่นให้ส่วนตัวเลย”เฉินเยียนจือไม่พูดอะไรอีก แต่จ้องเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบส
เสาไอพลังโอสถพุ่งขึ้นฟ้าด้วยแรงมหาศาลราวกับค้อนยักษ์ที่มองไม่เห็นทุบกระแทกลงกลางใจของทุกคนอย่างแรงรั่วอวิ๋นแทบล้มทั้งยืน ปากสวย ๆ ของเธออ้าค้างจนสามารถยัดไข่ไก่เข้าไปได้หลายฟองเธอมองภาพตรงหน้าด้วยสายตาเลื่อนลอย ไม่รู้จะพูดอะไรออกมาดีเย่ซิวโบกมือเบา ๆ จากนั้นโอสถจำนวนมหาศาลก็ลอยออกมาจากเตากลั่นและพุ่งขึ้นไปลอยเหนือศีรษะของเขาดูแล้วมีไม่ต่ำกว่าหมื่นเม็ดโอสถจำนวนมากขนาดนั้นรวมตัวกันจนกลายเป็นเมฆโอสถที่ปกคลุมอยู่เหนือหัวไม่ต้องพูดถึงบรรดาศิษย์ แต่ละคนถึงกับอ้าปากค้างไปแล้วแม้แต่ผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่เคยเห็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจแบบนี้มาก่อนทุกคนตกตะลึงจนพูดไม่ออกเย่ซิวโบกมืออีกครั้งโอสถกว่าหมื่นเม็ดแยกออกเป็นส่วนย่อย ๆ ลอยกระจายไปตรงหน้าของทุกคนในสนามจากนั้นก็ได้ยินเสียงเย่ซิวพูดว่า “ในเมื่อผมมาอยู่ที่นี่แล้ว เราก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกันโอสถพวกนี้ก็ถือเป็นของขวัญแนะนำตัวจากผมก็แล้วกันผมเป็นคนคุยง่ายนะ ถ้าคุณให้เกียรติผม ผมก็จะให้เกียรติคุณแต่ถ้าคิดจะเล่นสกปรกกับผม ผมก็จะขยี้ให้แหลกไม่เหลือเหมือนกัน”เด็กสาวหน้ากลมคนหนึ่งมองเย่ซิวอย่างไม่แน่ใจ “ศิษย์พี่เย่พู
เพียงแต่ต่อหน้าผู้คนมากมายขนาดนี้ เขาย่อมไม่สามารถแสดงความไม่พอใจออกมาตรง ๆ ได้“เอาล่ะ การประลองครั้งนี้ถือว่าจบลงตรงนี้ เหล่าศิษย์ใหม่ทั้งหลายกลับไปพักผ่อนเถอะ อีกหนึ่งถึงสองวันจะมีประกาศว่าพวกนายจะได้เป็นศิษย์ของท่านอาวุโสท่านใด”“เดี๋ยวก่อนครับ”จู่ ๆ เย่ซิวก็พูดขึ้นมาอีกครั้งเจ้าสำนักเริ่มหมดความอดทนแล้ว ก่อนจะมองเย่ซิวด้วยสายตาเย็นเฉียบ “นายยังมีอะไรอีก”เขาเริ่มหมดความอดทนกับเจ้าหมอนี่ที่ทำให้เขาเสียหน้า แถมยังทำให้เขาเสียหายหลายอย่างด้วยเย่ซิวทำเหมือนไม่เห็นสีหน้าที่เย็นยะเยือกน่ากลัวของอีกฝ่าย ยังคงยิ้มแล้วหันไปเอ่ยกับทุกคนว่า“พวกคุณอาจจะลืมไปเรื่องหนึ่ง นั่นคือผมเป็นนักปรุงยา”เฉินเยียนจือที่ตอนนี้ไม่ว่าจะมองเย่ซิวยังไงก็ไม่ชอบใจเอาเสียเลยทันทีที่ได้ยินแบบนั้นก็รีบแย้งขึ้นมา “นายเพิ่งจะได้เป็นศิษย์ของผู้อาวุโสรั่วอวิ๋นเอง ยังไม่ทันได้เป็นนักปรุงยาฝึกหัดด้วยซ้ำ กล้าพูดจาแบบนี้ได้ยังไง”เย่ซิวมองเธอด้วยสีหน้าไม่พอใจ “อายุแค่นี้ทำไมพูดมากนักล่ะ พ่อแม่ไม่สอนเรื่องมารยาทรึไง? ไร้การอบรมเสียจริง!”เจ้าสำนักที่อยู่ไม่ไกลถึงกับหน้าบึ้งอย่างเห็นได้ชัดเขาอยากจะตบเจ้าเด
สีหน้าของเจ้าสำนักเริ่มบึ้งตึงเล็กน้อยความรู้สึกที่มีต่อเย่ซิวแย่ลงทันตาจนถึงขั้นรู้สึกขยะแขยงเรื่องที่ทุกคนในที่นี้ก็ดูออกกันหมด ไม่รู้ว่าเขาแกล้งโง่หรือไม่รู้จริง ๆคนที่มีไหวพริบหน่อยก็ควรจะแกล้งทำเป็นไม่รู้และปล่อยให้เรื่องผ่านไปเงียบ ๆแต่เย่ซิวกลับพูดออกมาตรง ๆ ต่อหน้าทุกคน ไม่มีการไว้หน้าเลยแม้แต่น้อยแถมยังจะเหมารางวัลสิบอันดับแรกไปคนเดียว มันช่างโลภเสียจริงแต่เขาก็ไม่คิดย้อนดูตัวเองบ้างว่าเป็นคนตอบตกลงไปก่อนเอง แล้วตอนนี้จะมาขอเปลี่ยนใจได้ยังไงเฉินเยียนจือลุกพรวดขึ้นมาทันที ก่อนจะใช้นิ้วชี้หน้าเย่ซิวแล้วตะโกนด่าอย่างไม่ไว้หน้าเลยแม้แต่น้อย “นายนี่ชักจะเกินไปแล้ว นายพูดกับเจ้าสำนักแบบนี้ได้ยังไง? ไม่มีสัมมาคารวะเลยสักนิด รีบคุกเข่าขอโทษเดี๋ยวนี้!”เย่ซิวไม่หันไปมองเฉินเยียนจือเลยแม้แต่น้อยเขาได้ยินคำพูดที่ผู้หญิงคนนี้พูดก่อนหน้านี้ชัดเจนทุกคำ ได้ยินทั้งคำพูดหยาบคายและดูถูกเขาแบบไม่ตกหล่นสักคำเย่ซิวเกาหูเบา ๆ แล้วเงยหน้ามองฟ้า “แปลกแฮะ ทำไมได้ยินเสียงหมาเห่าล่ะ?”“นาย!!!” เฉินเยียนจือหน้าแดงก่ำ พลางจ้องเย่ซิวตาไม่กะพริบ “ไม่เคยมีใครกล้าพูดแบบนี้กับฉันมาก่อนเลยนะ
“อาคมธาตุลมที่บริสุทธิ์ขนาดนี้ คนทั่วไปไม่มีทางใช้ได้แน่นอน หรือว่าเขาจะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์หายาก!”“ให้ตายเถอะ ไม่คิดเลยว่าชาตินี้จะได้เห็นคนที่มีรากวิญญาณกลายพันธุ์กับตา!”“รากวิญญาณแบบนี้มีศักยภาพสูงมาก อาจจะกลายเป็นอัจฉริยะที่มีโอกาสทะลวงถึงระดับมหายานในอนาคตเลยนะ”“เย่ซิวคงถึงคราวลำบากแล้ว ต่อให้เขาจะแข็งแกร่งแค่ไหน ก็ไม่น่าจะสู้กับคนที่มีรากวิญญาณธาตุลมได้หรอก”……สายตาของหนานกงอู๋ซวงลุกวาวขึ้นมาทันทีเขาจ้องมองเด็กหนุ่มที่เปล่งประกายอยู่บนเวทีอย่างไม่กะพริบตา “ในที่สุดก็เจอคนที่ทำให้ฉันรู้สึกอยากสู้ด้วยสักที”เย่ซิวยิ้มมุมปาก “ที่โอหังแบบนี้ก็เพราะมีรากวิญญาณกลายพันธุ์สินะ”ท่ามกลางอาคมลมอันรุนแรงที่อีกฝ่ายปล่อยออกมา เย่ซิวก็กำหมัดขวาแน่น พลังโลหิตในร่างพลุ่งพล่านแล้วชกออกไปหมัดหนึ่งทันทีที่หมัดถูกปล่อยออกไปก็เหมือนกับมีเสียงกลองยักษ์ดังสนั่นขึ้นมาจนทำให้หลายคนลมหายใจติดขัด สีหน้าตกใจสุดขีดจากนั้นพวกเขาก็เห็นว่าลมทั้งหมดที่อยู่บนเวทีถูกหมัดนั้นกวาดหายไปหมดเด็กหนุ่มคนนั้นถูกแรงปะทะของหมัดที่ทรงพลังจนถอยกรูดไปไกลเป็นร้อยเมตรใบหน้าเขาขาวสลับแดง หัวใจรู้สึกตื่นตระ