โรงแรมเหมราชมนตรา เวลาสี่โมงเย็น ตอนนี้กำลังจัดแต่งงานของแขกระดับเศรษฐีคนหนึ่ง ตามเวลาที่งานจะเริ่มคืนหนึ่งทุ่มตรง ฉะนั้นเวลานี้คือการตรวจตราความเรียบร้อย ของผู้ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบ ต่อให้ไม่ใช่เวลาทำงานแต่ก็ต้องทำงานอีเว้นท์ให้ออกมาสมบูรณ์แบบที่สุด
คเชนทร์ รองประธานกรรมการหนุ่มหล่อไฟแรง จอดรถที่หน้าประตูทางเข้าโรงแรม และยังไม่ทันที่เขาจะได้เปิดประตูรถ พนักงานเปิดประตูก็วิ่งมาเปิดให้กับเขาอย่างรู้หน้าที่ “สวัสดีครับท่าน” พนักงานกล่าวทักทายพร้อมกับยกมือไหว้ ขณะที่คเชนทร์ก็ก้าวลงรถไปด้วย “สวัสดีครับ” คเชนทร์ทักทายกลับเสียงเรียบ พลางถอนหายใจเบาๆ เหมือนมีความเครียดและหงุดหงิดเล็กๆ “วันนี้มีงานเย็นเหรอครับ” “อืม นี่ไง งานแต่ง ถูกตามด้วยให้มาเช็กความเรียบร้อย” “เหนื่อยหน่อยนะครับ” “อืม ฝากเอารถไปไว้ที่ลานจอดทีนะ” คเชนทร์บอกพร้อมกับยื่นกุญแจรถให้ “ได้ครับ” พนักงานหนุ่มรับคำก่อน จากนั้นคเชนทร์จึงได้เดินเข้าโรงแรมโดยมีพนักงานอีกคนรอเปิดประตูให้ ทว่าจังหวะเดียวกันนั้นก็มีเจ้าหน้าหน้าที่สาววัยสามสิบปี วิ่งกระหืดกระหอบมาทางเขาเลย “มาพอดีเลยค่ะนาย!” “มีอะไร แล้วนี่ทำท่าตื่นตกใจทำไมเนี่ย” “ก็อยู่เนี่ย มีแต่พนักงานตัดสินใจอะไรไม่ได้ ผู้บริหารกลับไปหมดแล้วค่ะ” “ก็เลยโทรตามผมเนี่ยนะ นี่ก็ผู้บริหาร” คเชนทร์ชี้มือเข้าหาตัวเองพร้อมกับทำสีหน้ากวนๆ “มันอยู่ในความดูแลของเราเป็นหลักไงคะ” “แล้วนี่มีปัญหาอะไร” เขาถามเสียงหงุดหงิด “เดินไปด้วยคุยไปด้วยนะคะ คือจริงๆ แล้วก็ไม่มีอะไรยุ่งยากหรอกค่ะ แต่เจ้าของงานอยากให้คนที่ดูแลหลักๆ อยู่ให้เขาปรึกษา เผื่ออยากได้อะไรเพิ่มเติมค่ะ” “มันเป็นเรื่องของออแกไนซ์ ไม่เกี่ยวกับเรา เราแค่ให้เช่าสถานที่ป่าว” คเชนทร์ถามกลับแบบกวนๆ “แต่มันเป็นสถานที่เราไงคะ ออแกไนซ์ก็ทีมที่เรารู้จัก อุ้ยลืมถาม พ่อเลี้ยงไม่มาเหรอคะ” “ถ้ามาก็เห็นแล้วสิ อย่าถามถึงพ่อ พ่อไม่ว่างหมดเวลาทำงานของท่านแล้ว นี่แทบจะยกโรงแรมให้ไอ้เชนทร์แล้วเนี่ย” คเชนทร์ออกปากบ่น “แหมลูกรักก็งี้แหละค่ะ พ่อก็รักเป็นธรรมดา” “เดี๋ยวเราเข้าไปดูในงานสักหน่อยเผื่อขาดเหลือ” คเชนทร์บอกอีกครั้ง คราวนี้ทิ้งความกวนเป็นจริงจังเล็กน้อย “ค่ะ” ว่าแล้วคเชนทร์ก็เดินนำเจ้าหน้าที่สาว ไปยังห้องแกรนด์บอลรูมที่ใช้จัดสถานที่แต่งงานของเศรษฐีคนหนึ่ง เขาไม่รู้จักหรอกเพราะคนรวยน่ะมีเยอะ แต่เรื่องความเยอะของเจ้าบ่าว ก็ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดแทนทีมออแกไนซ์ไนเสียเหลือเกิน “นายมาน่ะ” ทีมงานเอ่ยพร้อมกับหันมามองก่อนจะยกมือไหว้สวัสดี “สวัสดีครับนาย” ทีมงานทักทายคเชนทร์ “สวัสดีครับ ขาดเหลืออะไรไหม ที่ทางโรงแรมจะต้องจัดเตรียมเนี่ย” “มันก็มีเรื่องกระจุกกระจิกน่ะครับก็แก้ไขได้แหละ แต่ทีมงานก็อยากให้นายมาเป็นขวัญและกำลังใจให้เท่านั้นเอง” “เรื่องใหญ่จริง ผมไม่ใช่เจ้านายพวกคุณซะหน่อย” “แต่เป็นผู้บริหารนะครับ อย่างน้อยก็แบบลูกค้าเกรงใจสักนิด” “แน่ใจเหรอว่าลูกค้าเกรงใจผม ไม่หรอกมั้ง” “จะว่าไปแล้ว ลูกค้าก็ไม่ได้เห็นหน้านายนี่เนอะ เห็นแต่บอสเราแต่บอส กลับแล้ว นายมาก็ดีครับ คนคุ้นเคยเวลามีเรื่องอะไรเราจะแอบหลบอยู่หลังนาย” “เป็นไม้กันหมา?” คเชนทร์ถามแบบกวนๆ “แม่ทัพต่างหากล่ะครับ” ก็เพราะว่าคเชนทร์เป็นผู้บริหารที่เป็นแม่ทัพ ออกหน้ารับ นำทัพบุกเป็นคนแรก เวลาทำงานอะไรก็ตามทั้งทีมงานของตัวเอง หรือทีมงานจ้างมา ซึ่งรู้จักกันดีก็อยากให้คเชนทร์อยู่ด้วย หรือถ้าจะให้เรียกง่ายๆ คือหากยกพวกตีกันเนี่ย คเชนทร์นี่แหละตัวเปิดล่ะ ซึ่งคนละสไตล์กับพ่อเลี้ยง “ขาดเหลืออะไรเพิ่มเติมก็บอกแล้วกัน ผมจะอยู่จนถึงหนึ่งทุ่ม แล้วก็จะกลับมีนัดกับนายพ่อน่ะ” “ได้ครับนาย” “ผมจะเข้าไปดูด้านในหน่อย” “เชิญครับเดี๋ยวผมพาไป” หนึ่งในทีมงานซึ่งเป็นหัวหน้าตอบ จากนั้นคเชนทร์จึงได้เดินนำ พร้อมด้วยผู้จัดการสาว และทีมงานเข้าไปในห้องแกรนบอลรูม การจัดตกแต่งสถานที่เรียบร้อยกว่า 99% แล้ว เพียงแต่เจอเจ้าบ่าวเรื่องมากก็จะปรับนั่นเปลี่ยนนี่ คเชนทร์จึงเดินตรวจความเรียบร้อย เพราะหลายๆ อย่างทางโรงแรมเป็นคนจัดการ อย่างเช่นอาหารการกินที่ไว้เลี้ยงแขกรวมถึงเครื่องดื่ม “อาหารเนี่ยเดี๋ยวพนักงานทยอยนำมาเติมครับ” ทีมงานคนหนึ่งตอบ “ตอนนี้เจ้าบ่าว เจ้าสาวคือ?” “แต่งตัวครับงานเริ่มหนึ่งทุ่มครึ่งคงช้านิดหน่อย” “โอเค นี่ผมไม่ยักกะเห็นภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาว ยังไม่เอาออกมาอีกเหรอ” “ยังครับ เจ้าบ่าวเขาไม่ชอบอวดน่ะ เพราะว่ามันอยู่ในวีดีโอพรีเซนต์ครับ แล้วก็รอถ่ายภาพที่หน้างานอย่างเดียว ส่วนด้านหน้าก็มีแต่อักษรย่อ” “หึๆ หรือว่าไม่อยากให้เห็นว่าเจ้าสาวหน้าตาเป็นยังไง” คเชนทร์นึกแซว “ผมก็ยังไม่เห็นเลยครับ อ่อไม่สิ เห็นในคลิปน่ะ สวยน่ารักมากๆ เชียวน่าอิจฉา” “หึๆ โอเค ขาดเหลืออะไรบอกนะ” “จะเข้าออฟฟิศไหมคะคุณเชนทร์” ผู้จัดการสาวถาม “ไม่ล่ะ ผมคงเดินดูงานน่ะ นี่กะเช้าเริ่มทยอยกันกลับแล้วนี่นะ ใช่ไหม” “ใช่ค่ะ” ผู้จัดการสาวตอบ จากนั้นคเชนทร์ก็ตรวจตราความเรียบร้อย ในฐานะผู้บริหาร และต้องดูแลเกี่ยวกับการอำนวยความสะดวกเรื่องสถานที่ ต้องจัดการแบบไม่ขาดตกบกพร่อง แม้จะไม่ใช่สายตรงที่ต้องดูแล แต่เวลานี้เขาคือขวัญและกำลังใจของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่ทุกคนก็อยากเรียกหา นั่นก็เพราะว่าเขาเคยเป็นลูกน้องมาก่อน เป็นคนใกล้ชิดพ่อเลี้ยงทุกคนเข้าถึงได้ง่ายเมื่อมาเป็นเจ้านาย เขาก็ยังเป็นคนเดิม เป็นตัวแทนพ่อเลี้ยง และน่าเข้าใกล้สำหรับลูกน้อง ผิดก็แต่บุคลิกที่ภูมิฐานขึ้นตามตำแหน่งนั่นแหละ ฉะนั้นเวลามีงานสำคัญ เขามักถูกขอให้มาอยู่เป็นกำลังใจให้น้องลูกเสมอ แม้แต่เหล่าพันธมิตรอย่างทีมงานออแกไนซ์ประจำจังหวัดอีเว้นท์คืนนี้เป็นงานแต่งงานของเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่ง เป็นคนเชียงใหม่ แต่ได้เจ้าสาวเป็นคนกรุงเทพฯ นั่นก็เพราะว่าทำธุรกิจที่กรุงเทพสลับกับเชียงใหม่ แต่งแบบสากล แต่อยากได้สถานที่แบบล้านนานเสียหน่อย จึงเลือกที่จะมาแต่งที่โรงแรมเหมราชมนตรา คเชนทร์ไม่ได้รู้จักหรอก เพราะไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับใคร เขาทำตัวเหมือนพ่อเลี้ยงของเขานั่นแหละ ติดจะหนักกว่าด้วยซ้ำ คือไม่ชอบยุ่งกับนักธุรกิจคนไหนช่วงเวลานี้เจ้าบ่าว เจ้าสาวกำลังแต่งตัว ถูกจัดเอาไว้คนละห้อง แต่งใครแต่งมัน จะนานหน่อยก็เจ้าสาวนี่แหละ เพราะต้องละเอียดละออมากกว่าเจ้าบ่าว แต่ถึงกระนั้นก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง เพื่อความพิถีพิถันในความงดงาม จวบจนกระทั่งใกล้จะถึงเวลาหนึ่งทุ่มที่งานจะเริ่ม ญาติๆ เจ้าบ่าวเจ้าสาวต่างลงไปรอต้อนรับแขกในงานเสียก่อน ส่วนเจ้าสาวนั้นยังแต่งตัวไม่เสร็จดีนัก เพราะเพิ่งจะแต่งหน้าทำผม และ
เธอว่าและแสร้งดันเขาออกเบาๆ ขณะที่มือแกร่งลูบไล้ไปตามแผ่นหลัง ลามลงไปจนถึงบั้นท้ายแล้วบีบเคล้นหนักๆ “ถ้าหิวน้ำอิงขนาดนี้ พี่ตุลย์จะแต่งงานกับยัยเจ้าขาทำไม” สิ้นคำพูดของเธอเท่านั้นแหละ เขาก็ผงกศีรษะขึ้น “อย่ามาพูดกับพี่แบบนี้ เธอเป็นความสุขของพี่ใช่ไหม เราเป็นความสุขของกันและกัน”“แล้วพี่ก็เอายัยเจ้าขาขึ้นหิ้งเหรอคะ” “อืม แบบนี้มันก็แซ่บจะตาย” สิ้นคำเขาก็ก้มลงบดขยี้จูบที่ปากอิ่มอีกครั้ง คราวนี้ดูดดื่มร้อนแรง ก่อนจะผละเรียวปากออกพรมจูบพวงแก้ม ซอกคอ ดูดแล้วแรงๆ มือหนาก็แหวกชุดเดรสที่สวมใส่ออกไปจากหัวไหล่ จนกระทั่งเนินอกโผล่เผย เขาจับเสื้อชั้นในรั้งลงพร้อมกับก้มหน้าซุกไซ้เนินอก และอ้าปากดูดเลียเม็ดถัน“ซี๊ด! อ่า! พี่ตุลย์ เราอ้อยอิ่งไม่ได้” เธอบอกด้วยน้ำเสียงกระเส่า“พี่จะทำให้เร็วที่สุด รับรอง เสร็จทันสามสิบนาทีแน่นอน” เขาตอบก่อนจะลากลิ้นเลียต่ำลงมาจนถึงหน้าท้องแบนราบ แต่ไม่ได้รั้งชุดเดรสของเธอลง ทว่าเขากลับคุกเข่ากับพื้นแล้วถลกชายกระโปรงเธอขึ้นไปไว้ที่เอว “ซี๊ด! อ่า พี่ตุลย์ เร็วนะคะน้ำอิงกลัวใครจะมาเห็นเข้า” “อื้อ เจอพี่ลงลิ้นรับรองน้ำอิงน้ำแตกภายในสองนาทีแน่นอน” สิ้นคำอันหิวกระหา
“พี่ตุลย์ พี่ตุลย์มาต่อก่อนนะ” น้ำอิงอ้อนวอน ขณะที่ยังไม่ได้ดึงกระโปรงลงจากสะโพก“ต่อไม่ได้ ต้องไปจัดการกับเจ้าขาก่อน ไม่งั้นเราแย่แน่” สิ้นคำเขาก็รีบจัดแจงเสื้อผ้าให้เข้าที่ แล้วออกไปจากห้องอย่างทุลักทุเล เดินไปพลางก็ใส่ซิบกางเกงไปพลาง พอออกจากห้องแรกได้ และออกมาสู่ห้องรับแขก ก็ไม่เห็นใครแล้ว “เจ้าขา จบเห่กัน” เขาสบถอย่างหัวเสีย ก่อนจะออกจากห้องแล้ววิ่ง ตามหาจันทรภาทันที แน่นอนว่าจันทราภาขึ้นลิฟต์ลงมาอย่างรวดเร็วเช่นกัน เธอพยายามตั้งสติแม้จะใจเต้นแรง และจะทำอย่างไรดีกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น จะเข้าพิธีแต่งต่อ หรือจะหนีไปจากเหตุการณ์อันแสนทุเรศเช่นนี้ เมื่อคิดทบทวนแล้วว่าไม่ควรตกนรก เธอก็กดเปิดลิฟต์ เพราะมันกำลังถึงชั้นสอง เธอต้องไม่ลงไปถึงชั้น 1 เพราะไม่เช่นนั้นต้องมีคนเห็นอย่างแน่นอน เมื่อออกจากลิฟต์ชั้น 2 ได้เธอก็วิ่งไปทางบันไดหนีไฟทันที พร้อมทั้งหอบหิ้วชายกระโปรงและดึงผ้าคลุมศีรษะออก ในมือยังคงกำโทรศัพท์เอาไว้แน่นและเมื่อมาถึงชั้นล่าง ทางหนีไฟไม่ค่อยมีคนพลุกพล่าน เธอค่อยๆ ย่อง มองซ้ายขวา ไม่รู้จะไปทางไหน ทว่าเหมาะเจาะให้หลบซ่อน เพราะอ้อมออกมาเป็นลานจอดรถพอดี“คุณพระคุณเจ้า ช่วยให้
“ลงมา” คเชนทร์บอกเสียงเรียบ พลางมองไปรอบๆ ตัวว่ามีใครอยู่แถวนี้หรือเปล่า“ผมบอกให้ลงมา!” เขาตะคอกเมื่อเห็นเธอเอาแต่ร้องไห้ไม่ยอมลงจากรถ กระทั่งเขาเอื้อมมือไปกระชากเธอลงมาเสียเอง“มาจากงานแต่งงานที่ไหนเนี่ย” เขาถามเพราะคิดว่าน่าจะมาจากงานเดียวกับเขาหรือเปล่า ทว่าเธอเอาแต่ร้องไห้ ไม่กล้าเงยหน้ามองเขา “นี่คุณ จะเอาแต่ร้องไห้ไม่ได้นะ คุยกันให้รู้เรื่อง” พอเขาเอ่ยเช่นนี้เธอก็หันซ้ายหันขวา เหมือนไม่กล้าพูด เขาจึงดึงเข้าบ้านเสียเลย แต่พอเปิดไฟในบ้านเห็นหน้ากันชัดๆ สวยชะมัดเลย นี่นางฟ้าตกสวรรค์หรือวะเนี่ย คเชนทร์คิด“นั่งซิ แล้วบอกมาให้หมด ขึ้นรถผมมาได้ยังไงเนี่ย” “คุณเป็นใคร” หญิงสาวถามกลับพร้อมกับสะอื้น “อ้าว! แล้วคุณล่ะเป็นใคร ขึ้นมาบนรถผมทำไมเนี่ย ผมก็กลับบ้านสิ”“ขอโทษค่ะ ฉัน... ฉันเสียสติมาก หมดหนทาง ฉันไม่รู้จะหนีไปทางไหน ฉันกลัวคนเห็น” เธออธิบายไปพลางก็ร้องไห้ไปพลาง“ตั้งสติแล้วค่อยๆ พูด ผมฟังไม่รู้เรื่อง เอาแต่ร้องไห้” “ฮือๆๆๆ” ยิ่งพูดเธอก็ยิ่งร้องไห้ เขาอยากจะบ้า นี่เขาหาเหาใส่หัวหรือเนี่ย “โอ๊ย! ไม่เอาน่าคุณ ตั้งสติก่อนสิ” เขาทำท่าหงุดหงิดและแทบจะเอามือกุมขมับเลยทีเดียว “ขอโท
“งานแต่งใคร ต้องรับผิดชอบเหรอ ไม่ใช่หน้าที่เรา” พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์เอ่ยถามขึ้น ทำเอาคเชนทร์ชะงักมือที่กำลังตักอาหารทันที“เอ่อ ลูกค้า ไม่รู้จักเป็นการส่วนตัวครับ เป็นนักธุรกิจน่ะ แต่ทีมออแกไนซ์อยากให้ผมอยู่เป็นเพื่อน เห็นว่าเจ้าบ่าวเรื่องเยอะ” คเชนทร์อธิบายเสียงหม่นพลางตักอาหารใส่ปาก และสังเกตว่าเขาถอนหายใจแบบเครียดๆ “คุณเชนทร์ เป็นอะไรคะ ดูเหมือนมีเรื่องไม่สบายใจ” มนัสวีเอ่ยถามขึ้นเพราะสังเกตเก่ง “สองคนจับพิรุธผู้ต้องหาอยู่เหรอครับเนี่ย” คเชนทร์แซว“แปลว่าน้องวีพูดถูก” พ่อเลี้ยงเอ่ยขึ้นและหรี่ตามองคเชนทร์“คือ เอ่อ ก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ เรื่องงานเท่านั้นเอง” ปิดบังวันนี้แล้วพรุ่งนี้จะปิดบังยังไงวะเนี่ย คเชนทร์คิด“รู้ใช่ไหม ว่าพ่อมึงคนนี้ดูคนเก่ง” “ครับเก่ง เก่งมาก ยอมแพ้ ผมแค่เครียดกับงานน่า” “งั้นก็กินเสร็จไปพักผ่อน พรุ่งนี้คงได้มีอะไรคุยกันก่อนไปทำงานซะหน่อย” “เอ่อ ครับ” คเชนทร์รู้สึกอึดอัดกับสิ่งที่ตัวเองรับมา และประหม่ากับสายตาพ่อที่มองอย่างเอาเรื่อง ใช่พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์เป็นคนเก่ง อยู่ด้วยกันมาหลายสิบปีก็ย่อมมองออกเสมอ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคเชนทร์ จะสุข จะทุกข์คเชนทร์แสดงออ
คนที่รับความผิดไปเต็มๆ พร้อมกับความรู้สึกที่เจ็บปวด และชิงชังรังเกียจได้เกิดขึ้น ทว่าเมื่อจันทรภาหนีปัญหามาแล้ว กลับไม่รู้ว่ากำลังสร้างปัญหาใหม่ให้กับผู้ที่ไม่รู้เรื่องนี่สิ“เอาล่ะ เหลือเราสองคนแมนๆ คุยกันซิ เกิดอะไรขึ้น” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยถามเมื่ออยู่กันตามลำพังที่หน้าบ้าน หลังจากที่เสร็จสิ้นดินเนอร์ “ผมก็นึกว่าพ่อเดินออกมาส่งผมเฉยๆ” “มึงก็รู้ไอ้เชนทร์” “ผมปิดพ่อไม่ได้สินะ”“เอ่อ จะปิดวันนี้ พรุ่งนี้ มะรืนนี้ก็รู้อยู่ดี บอกมาดีกว่า ว่าแบกอะไรไว้บนบ่า งาน เงิน หรือว่าสาว” คำสุดท้ายเนี่ยทำเอาคเชนทร์ถึงกับสะอึกแล้วหันกลับมามองหน้าพ่อเลี้ยงเลยทีเดียว“งาน เงิน คงไม่ใช่” พ่อเลี้ยงหนุ่มเอ่ยอย่างรู้ทัน ก็จะไม่ให้รู้ได้อย่างไร หากเป็นงานคเชนทร์ทำได้ดีอยู่แล้ว เรื่องเงินก็มีให้ใช้จนชาติหน้าได้เลยมั้ง แล้วจะเรื่องอะไรซะอีกล่ะนอกจากสาวๆ “ผมเกลียดพ่อก็ตรงเนี่ย รู้ไปหมด” “ไม่งั้นจะเป็นนายแกได้ยังไงไอ้เชนทร์ นี่อย่าบอกนะว่า มีคนมากวาดหยากไย่ให้แกแล้ว” “โธ่พ่อ อย่าหยามกันแบบนี้สิ” “ก็ดูสีหน้าแกสิ เลิ่กลั่ก วอกแวก มีพิรุธตั้งแต่กินข้าวแล้ว พูดมาได้หรือยังไง ไปอึดอัดอะไรมา”“คือ ถ้ามีผู้หญิง
“ก็ด่าอยู่แล้วป่าววะ” “อ้าว! ไม่คุยด้วยแล้ว ผมกลับบ้านดีกว่า” “อย่ายุ่งอะไรกับเค้านะไอ้เชนทร์”“เห็นผมเป็นคนยังไงเนี่ย”“มึงเป็นตัวผู้ ที่ธรรมชาติสร้างให้คู่กับตัวเมีย ต่อให้ใจแข็งไอ้จู๋มึงก็แข็ง ฉะนั้นอย่าใกล้เค้า” “ไม่ได้ชอบจะแข็งได้ไงครับ” “ลองไหมล่ะ” “แหมผู้มีประสบการณ์ ฝันดีครับ” “กูต้องระแวงว่าลูกรักกูจะจู๋แข็งไหมเนี่ย” “โอ๊ยพ่อ! มันก็ไม่ได้แข็งง่ายขนาดนั้น” สิ้นคำคเชนทร์ก็เดินดุ่มๆ กลับบ้านทันที ทิ้งให้พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ยืนถอนหายใจ แล้วมองตามคเชนทร์ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลับตาไปโน่นแหละ เขาจึงกลับบ้านเข้าเพื่อขึ้นไปพักผ่อนเช่นกัน ส่วนคเชนทร์ก็กลับมายังบ้านไม้สักหลังงามชั้นเดียวทรงรีสอร์ตของตัวเอง ซึ่งอยู่ติดริมลำธารมากที่สุด ได้ยินแต่เพียงเสียงน้ำไหลท่ามกลางความเงียบ คนงานทุกคนกลับเข้าที่พักหมดแล้ว ทว่ายังคงมีไฟเปิดอยู่ และบ้านของเขาก็เช่นกัน ไฟยังเปิด เขาหยุดยืนอยู่หน้าบ้านแล้วถอนหายใจออกมาหนักๆ ก่อนจะเปิดประตูเข้าไปช้าๆ พลางมองไปโซฟารับแขก ซึ่งยังคงมีแขกที่ไม่ได้รับเชิญนั่งอยู่แต่ท่านั่งเปลี่ยนไป คือเธอนั่งชันเข่าแล้วซบหน้าไปกับหัวเข่า ร้องไห้เบาๆ แต่ตัวโยนและสั่น ตั้งแ
“เข้มแข็งก่อนนะเจ้าขา” เธอบอกกับตัวเอง แต่น้ำเสียงยังสั่นเครือ และภาพที่เห็นมันทำให้เธอสั่นไม่หายเลย คิดแล้วก็เอาโทรศัพท์ขึ้นมาดูพร้อมกับกำมันเอาไว้แน่น แต่ไม่กล้าเปิดดูคลิปที่ถ่ายเอาไว้“แกมันโง่” เธอว่าให้ตัวเอง ก่อนจะรวบรวมความเข้มแข็ง แล้วออกจากห้องน้ำ ย่องเบาๆ เมื่อรู้สติแล้ว ว่าอยู่ในบ้านของคนแปลกหน้า แต่ดันเป็นจังหวะที่เขาเปิดประตูห้องออกมาประจันหน้ากับเธอพอดี ทั้งสองมองหน้ากันโดยอัตโนมัติ เขาอึ้งและจังงังไปกับใบหน้าสวยสดงดงาม แบบไร้เครื่องสำอางของเธออีกรอบ ส่วนเธอก็อึ้งเพราะเพิ่งสังเกตหน้าเขาชัดๆ และต้องรีบหลบสายตาจากกันอย่างรวดเร็ว“เอ่อ หิวหรือเปล่า” คเชนทร์เป็นฝ่ายถามก่อน“ไม่เป็นไรค่ะ ฉัน กินอะไรไม่ลง” สิ้นคำ เสียงท้องก็พยศและร้องซะเสียงดังเชียว “อุ้ย! เอ่อ” “ไปนั่งรอนะตรงโต๊ะญี่ปุ่นห้องนั่งเล่นน่ะ เดี๋ยวผมหาอะไรมารองท้องให้” ว่าแล้วเขาก็เดินเข้าครัว แต่ไม่มีข้าวในหม้อ เพราะเพิ่งไปรับประทานกับพ่อเลี้ยงมา จึงมีแต่อาหารแห้งและอาหารสดในตู้เย็น“หน้าตาคุณหนู กินมาม่าได้ไหมเนี่ย” เขาบ่นลอยๆ ก่อนจะหยิบมาม่าออกมาหนึ่งซองต้มน้ำ พร้อมกับนำผักมาหั่น และใส่ไข่ลงไปหนึ่งฟอง จะได้มี
“ลูกหน่อลูก ทำไมทำแบบนี้ ทำอะไรไม่ปรึกษาพ่อแม่” ท่านกล่าวตำหนิ แต่น้ำเสียงเป็นห่วงเธอจับใจ“เจ้าขอโทษค่ะ บอกคุณแม่ด้วย เจ้ารู้ว่าตัวเองผิด”“ลูก บอกพ่อซิ เกิดอะไรขึ้น ทำไมหนีไปแบบนี้ บอกกันหน่อยสิลูก”“คุณพ่อ ฟังเจ้านะคะ คือ... คืนนั้นเจ้าไปตามพี่ตุลย์ที่ห้อง แอบเห็นพี่ตุลย์กับยัยอิง...”“อย่า อย่าบอกนะ...” ท่านกำลังคิดแบบนั้นแหละ คิดในแง่ร้าย“คุณพ่อเดาได้ใช่ไหม เขาอยู่ในชุดเจ้าบ่าว ยัยอิงอยู่ในชุดเพื่อนเจ้าสาว เขากำลังมีอะไรกันค่ะคุณพ่อ”“ไม่... ไม่จริงใช่ไหมเนี่ย” ฝ่ายบิดาแทบเสียงสั่น มือกุมหน้าอกเอาไว้ด้วยความตกใจ และช็อกเมื่อได้ยิน“จริง เจ้ามีคลิป มีหลักฐาน เขารู้ตัวพอดี เจ้าเลยรีบหนี พ่อเข้าใจเจ้าไหม”“ทำไมมันชั่วแบบนี้ ทำไมมันทำแบบนี้กับลูกพ่อ มันทำกันมานานแค่ไหนแล้ว”“เจ้าก็ไม่รู้ค่ะ แต่เหมือนจะไม่ใช่
“แกก็เห็นอยู่ เรามีเงิน มีอิทธิพล นักการเมืองหรือข้าราชการยังต้องยอม”“ธุรกิจ ทำอสังหาริมทรัพย์ นี่มันยุคที่ผันผวน ถ้าประคองไม่ได้ก็พัง ยิ่งถ้าทำบ้านจัดสรร มีสิทธิ์เป็นหนี้หัวโต ใครจะเสียสละเงินมาซื้ออะไรแพงๆ ในยุคนี้มีแต่จะเซฟ นักการเมืองก็ต้องการนักธุรกิจระดับเจ้าสัวเพื่อหนุนหลัง”“ลูกชายฉันฉลาด” พ่อเลี้ยงเอ่ยปากแซวพลางเหลือบมองคเชนทร์“พ่อสอนมาดี พ่อทำให้เห็น” ต่างฝ่ายต่างชมกันไปมาสิน่า“หึๆ ชมเหรอเนี่ย แต่ก็วิเคราะห์เก่ง แล้วเจ้าเปรมว่ายังไง สืบได้ความไหม”“รู้ได้ยังไงครับว่าให้เจ้าเปรมสืบ”“คนอย่างแก จะเหลือเหรอที่จะไม่สืบ”“ก็ให้เจ้าเปรม บอกนักสืบให้จัดการอีกทีครับ ทั้งสองฝ่าย ผมอยากรู้อะ ขี้เสือกเหมือนกัน”“หึๆ นั่นสิ ทำไมแกถึงต้องสืบนะ รู้ตัวไหมเนี่ย”“เอ่อ คือ ผม... ไม่รู้สิฮะ ทำไมผมต้องสืบวะ”&n
“คนรวยชอบแต่งเพื่อธุรกิจก็มี”“เจ้าสาวเป็นคนมีฐานะในระดับที่เรียกว่ามหาเศรษฐีครับ มีมูลค่าทรัพย์สินหมื่นล้าน มากกว่าฝ่ายเจ้าบ่าว”“อันนี้ก็รู้อีกเหรอเนี่ย น่าขึ้นเงินเดือนให้”“แหม ค้นหาชื่อนามสกุลน่ะครับ”“เยี่ยมมาก ไอ้หมอนี่ยังอยู่ในเชียงใหม่หรือเปล่า”“อยู่ครับ ผมให้คนสะกดรอยตาม คิดว่ามันจะยังไม่ไปไหนหรอก รอตามหาเจ้าสาวอยู่”“แล้ว... พ่อแม่ของเจ้าสาวล่ะ”“เฮ้อ เห็นว่าไปเช่าคอนโดฯ อยู่ชั่วคราว เพื่อจะได้หาทางติดต่อลูกสาวให้ได้”“รู้ใช่ไหมว่าที่ไหนบ้าง”“รู้ครับ ว่าแต่... จะมีใครรู้ไหมนะว่าเจ้าสาวอยู่ที่ไหน” เปรมณัฐเอ่ยพลางหรี่ตามองเจ้านาย และยิ้มนิดๆ“ถ้าไม่ปากโป้ง จะรู้ได้ยังไง ปล่อยให้เธออยู่อย่างอิสระไปก่อน”“เชื่อผม ว่าตุลยเทพคนนี้ ไม่น่าจ
“บ้า คิดอะไรเกินเลยไอ้เชนทร์ แฟนคนอื่น” เขาเตือนตัวเองก่อนจะดึงผ้าห่มคลุมโปง แล้วก็กล่อมตัวเองให้หลับไปส่วนจันทรภาก็ยึดที่นอนนุ่มๆ ของคเชนทร์ เป็นของตัวเองไป เธอปิดไฟในห้องเรียบร้อยเหลือไว้หัวเตียง น่าแปลกใจตัวเองที่ไม่ได้รู้สึกแปลกที่แปลกทางอีกแล้ว วันนี้เป็นอะไรที่หลายอารมณ์และพิเศษอย่างบอกไม่ถูก ดูเหมือนว่าเธอไม่ได้เจ็บปวดกับความเสียใจนั้นแล้ว หากแต่เหลือไว้เพียงความเกลียดชังที่อยากจะแก้แค้นเท่านั้นคเชนทร์คนนี้ช่างสุภาพ บางทีก็มีอารมณ์อ่อนโยน ปลอบใจ แต่อีกอารมณ์คือยียวนกวน ตลกขบขัน และสร้างแต่เสียงหัวเราะ จนเธอไว้ใจ และนึกขอบคุณแม้จะเป็นคนแปลกหน้ากันแท้ๆ คิดถึงสีหน้าแววตาของเขาแล้วเธอก็เผลอยิ้ม พอได้สติก็ต้องสลัดอารมณ์หวั่นไหวออกไปจากใจเสียก่อน แล้วจึงข่มตาให้หลับพอเช้าวันต่อมา ภายในห้องนั่งเล่น ตรงโซฟาเบด คเชนทร์ที่นอนหลับอุตุก็ได้กลิ่นหอมๆ ลอยมาเตะจมูกอย่างจัง จนทำให้เขารู้สึกตัวตื่น บิดขี้เกียจและพยุงตัวลุก สิ่งแรกที่เขาจะมองคือเบื้องหน้า ตรงระเบียงซึ่งอยู่ปลายเท้า ผ้าม่านถูกเปิดเอาไว้ แต่ไม่ได้เปิดกร
“เอ่อ พี่... แปบเดียวนะ แล้วเดี๋ยวออกมาครับ”“ค่ะ” เธอรับคำ จากนั้นเขาจึงรีบปลีกตัวกลับเข้าห้องตัวเอง เพื่อจะได้แต่งตัวเสียใหม่ ใช้เวลาเร็วกว่าเธอมากพอสมควร เพราะผู้ชายไม่ได้พิถีพิถันอะไรมาก ทว่าระหว่างที่คเชนทร์ยังอยู่ในห้อง จันทรภาก็นั่งตรงโซฟา แต่เธอไม่ได้มองออกไปยังระเบียง หากแต่ถือโทรศัพท์เอาไว้และมองมัน พร้อมกับมือที่สั่นเทาและตัดสินใจลองเปิดเครื่อง พร้อมกับมีสายที่ไม่ได้รับมากมาย แต่เธอไม่ได้สนใจสายที่ไม่ได้รับ ทว่ากลับเปิดคลิปนั้นดูอีกรอบต่างหาก เธอยกโทรศัพท์ขึ้นมาดูใกล้ๆ เพ่งมองในสิ่งที่อยู่ในคลิปนั้น ใช่... มันทำให้เธอมีน้ำตา แต่มากไปกว่านั้นคือความเกลียด โกรธนึกสาปแช่งทั้งคู่ให้พังพินาศ อย่าลุกขึ้นมาลืมตาอ้าปากได้อีกเลย เธอคิดอย่างโกรธแค้น พร้อมกับถามใจตัวเอง ว่าแท้จริงแล้วรักตุลยเทพมากน้อยแค่ไหนถึงได้ยอมแต่งงาน และมองไม่เห็นความเลวร้ายที่เขาซ่อนเอาไว้ มองไม่เห็นแม้กระทั่งว่าเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหดทว่าตอนนี้มันไม่ควรมีความรักอีกต่อไปแล้ว มันมีแต่ความเกลียดชัง รอเถอ
“ก็... ไม่ได้พูดอย่างนั้นซะหน่อยค่ะ”“มันเป็นเรื่องจริง ไม่เคยเที่ยวแบบนี้แล้วทำไมถึงชอบล่ะ”“เจ้าเป็นคนที่ชอบลอง ชอบเรียนรู้ แต่มันไม่ค่อยได้มีโอกาสนั้นค่ะ พ่อกับแม่ไม่ค่อยให้ทำ พาไปแต่ที่หรู”“ถึงว่า พอหลุดออกจากกรอบได้ อย่างกับปล่อยปลาไหลลงตม”“หมายถึงยังไงคะ” เธอถามด้วยความสงสัยเชียว“ก็แบบนึกถึงปลาไหลสิ ดิ้นลงน้ำร่าเริงเชียว” พูดไม่พอ เขาทำท่าดุ๊กดิ้กอย่างกับปลาไหลอีกต่างหาก“หืม” เธอไม่รู้จะเถียงอย่างไร จึงทำได้แต่เพียงวิดน้ำใส่เขา“โอ๊ย! หืม เข้าตา” เขาก็ร้องบ้างเมื่อน้ำเข้าตา“อุ้ย! แสบตาไหมคะ” เธออุทานด้วยความตกใจ ก่อนจะรีบเดินมาหาเขาตรงขอบตลิ่ง เขาก็เอามือเช็ดๆ ที่ตาตัวเอง เพื่อที่จะได้มองเธอให้ชัดขึ้น และยังไม่ทันได้พูดเขาก็วิดน้ำใส่เธอเสียเลย“นี่! นี่ นี่” เขาวิดน้ำใส่เธอไม่ยั้ง เรียกได้ว่าแ
ผ่านไปประมาณห้านาที เขาก็ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินมาที่ด้านหลัง กระทั่งมีเสียงเอ่ยขึ้น“คุณ เอ่อ” น้ำเสียงประหม่าของเธอทำให้เขาหันขวับกลับไปมอง แล้วก็ต้องตกใจ เมื่อขอบผ้าถุงด้านบนถูกมันเอาไว้ด้วยเส้นยางเป็นจุกเชียว“พระคุณ เอ่อ ฮ่าๆๆ” คเชนทร์ได้แต่หัวเราะลั่น“นี่คุณ อย่าหัวเราะสิ ลืมไปว่า... ใส่ไม่เป็น”“แล้วอยากได้ผ้าถุงเนี่ยนะ แถมยังรู้จักด้วย”“พยายามแล้วมันหลุด มันแบบว่า มันไม่อยู่อ่ะ ร่วงตลอด”“ผมเห็นตอนเช้าที่ลงไปดำน้ำน่ะ มันก็ไม่ได้เล็กนะ ทำไมมันไม่อยู่ล่ะ” เขาพูดจายียวนใส่เธอ“ว๊ายนี่ เพียะ!” ด้วยความขัดเขินเธอก็ฟาดที่แขนของเขาแรงๆ“โอ๊ย! ตีอีกแล้ว วันนี้หลายรอบแล้วนะ”“มาสอนเลย พูดมาก”“ใส่แบบนี้ก็ดีนะคุณ น่ารักดี”“ไม่เอา” เธอทำท่างอแง
“คนหื่นเนี่ยต้องให้หน้าตาเป็นยังไงไม่ทราบ”“ก็... แบบโรคจิต แต่คุณไม่อะ”“ผมหล่อเกินจะเป็นโรคจิตล่ะสิ”“เปล่า ไม่ได้หล่อเลย”“อ๋อ คุณสวยมาก”“ค่ะ ฉันรู้ตัว”“ถึงผมจะไม่หล่อมาก แต่ว่าท่ายากผมเยอะ”“โอ๊ย! พูดอะไรไม่รู้ ไปหาผ้าถุงมาเลยค่ะ จะเล่นน้ำ”“มืดๆ เนี่ยนะ”“ก็... จะได้ไม่มีคนเห็นไง คุณก็เฝ้า”“ทำไมผมต้องเฝ้าด้วยวะเนี่ย”“ใช่ค่ะ คุณเป็นเจ้าของบ้าน”“โอยยยย แก้ผ้าอาบเลยไม่ได้เหรอ”“จะบ้าเหรอคะ”“ไม่บ้า มืดๆ ใครจะเห็น มีนิดๆ หน่อยๆ จะเขินอะไร”“อ้าย! อีคุณเชนทร์” สิ้นคำเธอก็ฟาดเพียะไปที่ต้น
“ผมขอตัวนะพี่เกตุ” คเชนทร์บอกเสียงเครียดขึ้น“ไปเถอะเดี๋ยวพี่ดูเด็กๆ ต่อ”“ครับ” รับคำเสร็จ คเชนทร์ก็ออกไปจากห้องและลงไปยังชั้นล่าง ขณะที่พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ยืนสูบบุหรี่ที่หน้าบ้าน คล้ายกับจะรอเขาอย่างนั้นแหละ“ทำไมเร็ว” พ่อเลี้ยงแสนลักษณ์ถาม“อ่อ นิทานเรื่องใหม่สั้นมากครับ เล่าจบเร็วก็เลยลงมา”“หึๆ แล้วเด็กๆ หลับหรือยัง”“ยังครับ” คเชนทร์ตอบเสียงหม่น พลางมองหน้าพ่อเลี้ยงด้วยแววตาเศร้าๆ มีน้ำใสๆ คลอเล็กน้อย“มีอะไร หืม” พ่อเลี้ยงถามทันที“เด็กๆ บอกว่า พ่อเล่านิทานให้ฟัง เรื่อง... พ่อ” คเชนทร์เอ่ยเสียงสั่นเครือขึ้นมาเสียอย่างนั้น เหมือนความรู้สึกบางอย่างมันตีขึ้นมาจนเก็บอาการไม่อยู่“ทำไมพ่อเล่าแบบนี้”“อยากเป็นปีศาจเหรอเชนทร์”“ผมเป็นปีศาจ ส่วนพ่