คนถูกลากมาถึงหน้าฮ่องเต้เขาเห็นก็รู้ทันที นี่เป็นคนในตำหนักของกุ้ยเฟย!“เอาน้ำสาดให้เขาตื่น”ซัว...น้ำเย็นหนึ่งกะละมังสาดที่หัว เสี่ยวลู่จื้อถูกบีบให้ตื่นขึ้นมาสิ่งที่มองเห็นก็คือจักรพรรดิผู้สูงศักดิ์น่าเกรงขาม เขาตกตะลึงจนเหงื่อเย็นวาบขึ้นมาทันที“บ่าวถวายบังคม ฝ่าบาท!”เนื้อตัวของเขาสั่นเทาหากฝ่าบาทรู้ว่า เขาถูกกุ้ยเฟยส่งมาคอยจับตาดูตำหนักฉางสิ้น ก็จะแย่แน่!แต่ในเมื่อเขาถูกตีสลบ แน่นอนว่าฝ่าบาทจะต้องรู้แล้ว เสี่ยวลู่จื้อสั่นเทาไปทั้งตัวกรามล่างของเซียวอวี้เฉียบคมเหมือนมีด ริมฝีปากบางขยับพูดขึ้นมาว่า“ตัดแขนของเขาข้างหนึ่ง”“พ่ะย่ะค่ะ!” เฉินจี๋ลงมืออย่างรวดเร็วรุนแรงได้ยินเพียงเสียงร้องอย่างเศร้ารันทด บนพื้นก็มีแขนขาดเพิ่มมาข้างหนึ่งตำหนักหลิงเซียวกุ้ยเฟยกำลังจะพักผ่อน ชุนเหอวิ่งเข้ามาอย่างกะทันหัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความตื่นตระหนก“พระนาง ฝ่าบาทเสด็จ!”ฝ่าบาทมาดึกขนาดนี้ จะต้องวางใจพระนางไม่ได้แน่นอนเลยสีหน้ากุ้ยเฟยเต็มไปด้วยความดีใจนางเพิ่งเตรียมตัวลงจากเตียง ขบวนเสด็จก็มาถึงข้างในตำหนักแล้วชุนเหอถอยออกไปอย่างรู้ตัว มอบราตรีในวสันตฤดูให้กับฝ่าบาทและพ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเผาจดหมายลับทิ้ง แสงไฟส่องสะท้อนดวงตาของนาง เสมือนเปลวไฟที่ลุกโชน ดุจดั่งเพลิงโลกันตร์ที่จะแผดเผาบาปทั้งปวงเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม “กุ้ยเฟยเป็นคนรอบคอบ ทั้งยังมีวิชาควบคุมคน ทั้งจ้าวเฉียนและหวังเทียนไห่ ต่อให้เรื่องราวจะถูกเปิดโปง คนพวกนี้ก็ยอมตายแต่จะไม่ยอมทรยศนางเด็ดขาด “ดังนั้น พวกเราทำได้มากสุดแค่มองว่านางเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีโจรภูเขา แต่ไม่มีหลักฐานอะไรช่วยยืนยัน หากฝ่าบาทเลือกจะทรงเชื่อกุ้ยเฟยก็พอจะเข้าใจได้“สิ่งที่พวกเราต้องทำก็คือค่อย ๆ รวบรวมหลักฐานความผิดของนางให้ครบ“เก็บน้อยกลายเป็นมาก ครานี้เป็นนางกำนัลคนนั้น คราหน้าก็จะมีคนอื่นอีก“สักวันหนึ่ง เมื่อมีหลักฐานพยานพร้อม ต่อให้กุ้ยเฟยจะมีปากเป็นร้อยปากก็แก้ตัวไม่ได้“ถึงเวลานั้น แม้แต่ฝ่าบาทก็ปกป้องนางไม่ได้อีก”เรื่องนี้ต้องใช้เวลามากกว่าการสังหารนางโดยตรงทว่า หากปล่อยให้กุ้ยเฟยตายง่าย ๆ ก็คงบรรเทาความแค้นในใจไม่ได้ นอกจากนี้ หากไม่ไขความจริงให้กระจ่าง เวยเฉียงก็จะไม่ได้รับความเป็นธรรม!นางต้องการทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่กุ้ยเฟยมีและเห็นคุณค่า ต้องการให้คนทั่วหล้ารู้ถึงความผิดของกุ้ยเฟย!หากเป็นสนมร
ตำหนักหลิงเซียวฮูหยินเฟิ่งนั่งอยู่ในห้องอุ่น ประตูและหน้าต่างปิดสนิท ภายในตำหนักจุดกำยาน ทำให้นางลืมตาไม่ขึ้นและหายใจติดขัดจู่ ๆ กุ้ยเฟยก็เรียกตัวนางเข้าวัง บอกว่ามีเรื่องจะขอคำชี้แนะทว่ามาแล้วกลับทิ้งให้นางอยู่ที่ห้องอุ่นเพียงลำพัง ทั้งยังให้คนจุดกำยานทั่วตำหนัก บอกว่ามีสรรพคุณช่วยให้สดชื่นและบำรุงลมปราณแต่นางดมแล้วก็รู้ว่าเป็นกำยานคุณภาพต่ำชัด ๆล่วงเลยไปแล้วหนึ่งชั่วยาม กลุ่มควันลอยโขมงทั่วตำหนักฮูหยินเฟิ่งถูกรมควันจนไม่ไหวแล้วนางหมายจะเปิดหน้าต่าง ทว่าหน้าต่างกลับไม่ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย ราวกับถูกคนลงสลักจากด้านนอกตามด้วยเดินไปที่ประตูต่อผลักเปิดประตูไม่ขยับเขยื้อนเช่นกันนางเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีขึ้นมาหรือว่านางจะถูกขังอยู่ที่นี่!เหงื่อเย็นผุดขึ้นที่หลังฮูหยินเฟิ่งกุ้ยเฟยคิดจะทำอะไร?“แค่ก ๆ…”กลิ่นกำยานอบอวลไม่ได้รับการระบายดุจควันไฟทำให้หายใจไม่ออกฮูหยินเฟิ่งหน้าซีดนางราวกับถูกมือที่มองไม่เห็นบีบคอ เริ่มสำลักอย่างรุนแรง ดวงตามีน้ำตาไหลและวิงเวียนศีรษะปังปังปัง!นางตบประตูร้องตะโกนออกไปด้านนอกโดยไม่สนใจจารีตของสตรีชนชั้นสูงอีกต่อไป“มีผู้ใดอยู่หร
เหล่าองครักษ์ของตำหนักหลิงเซียวขวางไว้ด้านนอก“ฮองเฮาโปรดประทานอภัย! กุ้ยเฟยมีรับสั่งว่ากำลังต้อนรับแขก ห้ามมิให้ผู้ใด…”องครักษ์ยังพูดไม่ทันจบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตัดบทด้วยแววตาแน่นิ่งเย็นชา“หากไม่อยากตายก็หลบไป!”เวลานี้ มีเสียงที่สุขุมแต่มีเสน่ห์ดังขึ้นจากด้านใน“ฮองเฮาเสด็จมาหรือ?”“โปรดประทานอภัย หม่อมฉันบาดเจ็บสาหัส ไม่อาจออกไปต้อนรับด้วยตัวเอง”“พวกเจ้าตาบอดหรืออย่างไร กล้าดีอย่างไรมาขวางแม้แต่ฮองเฮา?”“เอาไว้ข้าจะสั่งสอนให้หนัก!”หลังจากนั้น เหล่าองครักษ์นอกตำหนักก็เปิดทางให้ ทำความเคารพต่อเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีนอบน้อม“ฮองเฮา เชิญพ่ะย่ะค่ะ”……ภายในตำหนักเฟิ่งจิ่วเหยียนมองเห็นสกุลหลิวผู้เป็นมารดาของตัวเองเป็นคนแรกจากนั้นจึงเห็นกุ้ยเฟยที่กำลังนั่งอยู่ แม้ดวงตาจะกำลังยิ้มแต่กลับชั่วร้ายเหมือนงูพิษ“ฮองเฮาเพคะ หม่อมฉันกำลังข้อคำชี้แนะด้านการดูแลบุตรจากฮูหยินเฟิ่ง“ท่านก็เสด็จมาพอดี”ฮูหยินเฟิ่งทำความเคารพต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“ถวายบังคมฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งด้วยสุ้มเสียงเย็นยะเยียบ “เหลียนซวง ส่งฮูหยินไปที่ตำหนักหย่งเหอก่อน”“เพคะ! พระนาง!”ฮูหยินเฟิ่งไ
ไทฮองไทเฮาคือพระอัยยิกาของฮ่องเต้ อุทิศตนบำเพ็ญมาหลายปีและพำนักอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางนอกวังเป็นหลัก ไม่ค่อยกลับวังแม้แต่พิธีอภิเษกของฮ่องเต้กับฮองเฮา ไทฮองไทเฮาก็ยังไม่เข้าร่วมกุ้ยเฟยที่เข้าวังมาสี่ปี เคยมีโอกาสได้พบพระนางแค่สองครั้งไทฮองไทเฮาเป็นคนจู้จี้จุกจิก มาตรว่าจะปฏิบัติธรรมแต่กลับโหดร้ายกับผู้อื่นมาก แม้แต่ไทเฮายังต้องกลัวหากนางรู้ว่าฮองเฮาต้องมลทิน เช่นนั้นนางต้องพิโรธและสั่งให้ฮ่องเต้ปลดฮองเฮาเป็นแน่!ชุนเหอได้ยินว่ากุ้ยเฟยจะเชิญไทฮองไทเฮากลับวังก็อดเป็นกังวลไม่ได้“พระนาง มันจะดีหรือเพคะ?“ไทฮองไทเฮามีอคติต่อท่านมาก ในอดีตเคยสั่งลงโทษท่านต่อหน้าธารกำนัล ชีวิตของท่านเพิ่งจะสบายขึ้นก็ตอนที่พระนางออกจากวังไปแล้ว“พึงรู้ไว้ว่า เชิญเทพมาง่าย เชิญเทพออกยาก”กุ้ยเฟยมองเศษถ้วยชาบนพื้นนางจำท่าทีอวดดีเมื่อครู่ของเฟิ่งเวยเฉียงได้ขึ้นใจนังแพศยากล้ามาอวดดีถึงเบื้องหน้านางแล้ว!“จริงอยู่ว่าข้าข้าไม่อยากให้ไทฮองไทเฮากลับวัง แต่เทียบกับนางแล้ว ฮองเฮาทำให้ข้าข้าชิงชังยิ่งกว่า!นางเหมือนแมลงวันสกปรกที่บินผ่านหน้าไปมาทั้งวันข้าอยากให้นางตาย!”ชุนเหอรู้สึกเป็นกังวลขึ้นมาเพิ่
ตำหนักหลิงเซียว ดวงอาทิตย์เพิ่งจะลาลับขอบฟ้า บาดแผลของกุ้ยเฟยก็เริ่มเจ็บปวดนางกัดฟันแน่นด้วยความเจ็บปวด ทุกลมหายใจราวกับจะฉีกแผลให้ปริออกเจ็บเหลือเกิน!ไม่นานนัก กุ้ยเฟยก็เจ็บจนสติเลือนรางนางมีเหงื่อออกท่วมศีรษะ จับตัวชุนเหอแน่นและพูดด้วยความเกรี้ยวกราด“ยา! รีบใช้ยาระงับความเจ็บปวดให้ข้าเดี๋ยวนี้! เจ้าอยากให้ข้าเจ็บจนตายหรืออย่างไร…”ชุนเหอรีบปลอบนางว่า “พระนาง หมอหลวงบอกว่ามีแต่ต้องขับยาจู้หุนส่านออกไปก่อนจึงจะใช้ยาระงับความเจ็บปวดได้ อดทนหน่อยนะเพคะ”พระนางเป็นแบบนี้ นางเองก็เจ็บปวดเช่นกันแขนของนางจะถูกพระนางจับจนถลอกทุกครั้งเจ็บจนยากจะทานทนครึ่งชั่วยามต่อมา กุ้ยเฟยมีเหงื่อออกท่วมตัวและเอนพิงหัวเตียงอย่างอ่อนแรงชุนเหอป้อนยาให้กับนางด้วยความระมัดระวัง ทว่ากุ้ยเฟยกลับยกมือปัดยาทิ้ง“สารเลว…ไม่ได้เรื่อง! พวกคนจากสำนักหมอหลวงจงใจประวิงเวลา…“ข้า ข้าทรมานมานาน แต่พวกเขากลับทำอะไรไม่ได้เลย!“ยาจู้หุนส่าน…ยาจู้หุนส่านบ้าอะไร! ข้าดื่มยาตั้งมากขนาดนี้ เหตุใดยังขับมันออกไม่หมดอีก!”ชุนเหออธิบายอย่างมีน้ำอดน้ำทน“พระนาง ท่านเพียงต้องดื่มยาให้มาก ไม่นานก็จะขับยาจู้หุนส่
ตำหนักฉางซิ่นเวลานี้ล่วงเลยยามไห้ มาแล้วสามเค่อ ภายในตำหนักยังคงเหลือเพียงเซียวอวี้ผู้เดียวเขาเริ่มที่จะหมดความอดทนกระทั่งเมื่อเห็นคนที่กำลังมาอยู่ คิ้วที่ขมวดแน่นจึงได้คลายจากกัน“ครานี้มีคนสะกดรอยตามอีกแล้วหรือ?” เขาจงใจถามครั้งก่อนนางมาสายไปสองเค่อเพราะถูกเสี่ยวลู่จื่อจากตำหนักหลิงเซียวสะกดรอยตาม สามารถยกโทษให้ได้เพราะจำเป็นต้องจัดการผู้นั้นก่อนแต่ครั้งนี้เล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนนำเข็มเงินชุดหนึ่งออกมาวางเรียงบนโต๊ะ“มีธุระติดพัน” นางอธิบายอย่างขอไปทีจากนั้นเข้าสู่ประเด็นหลัก“เชิญถอดฉลองพระองค์ออก”คิ้วของเซียวอวี้แหลมคม เขาจ้องนางแน่นิ่งโดยไม่ขยับเขยื้อนเฟิ่งจิ่วเหยียนหันหลังกลับไปเพื่อเตรียมตัว ทว่าเมื่อหันกลับมากลับพบว่าเขายังคงอยู่ในสภาพเดิม“เหตุใดไม่ถอดฉลองพระองค์ออก?” นางถามแววตาของเซียวอวี้เฉียบแหลมกว่าเดิม“นับวันเจ้าก็ยิ่งเกียจคร้าน“เรารอเจ้ามาสามเค่อแล้ว”ไม่เคยมีหมอหลวงคนใดกล้าให้เขาต้องรอมาก่อนในเมื่อจะมาสายก็ควรส่งข่าวมาบอก คิดว่าเขาไม่มีอย่างอื่นต้องทำหรือ?เฟิ่งจิ่วเหยียนมองเขาด้วยความแน่นิ่ง“ข้าผิดที่ไม่ตรงต่อเวลา”“อืม” เซียวอวี้ละสาย
“แค่ก ๆ…” เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกบังคับให้ต้องถลาลงพื้น พื้นรองเท้าเสียดสีเป็นรอยดำบนพื้นนางวางมือไว้ใต้ลำคอ พยายามขับยาเม็ดนั้นออกด้วยแรงตบทว่า เปล่าประโยชน์ เซียวอวี้หยุดยืนที่เบื้องหน้านางอย่างมั่นคง เสื้อคลุมถูกลมพัดปลิว เสริมให้ดูคาดเดายากกว่าเดิมดวงตาเย็นชาของเขาจดจ้องมาที่นาง แววตาลุ่มลึกดุจก้นเหว“เรารู้ว่าเจ้ามีความสามารถไม่น้อย“พิษแดนฝันออกฤทธิ์ทุก ๆ สิบวัน “หากเจ้ามาฝังเข็มตรงเวลา ข้าก็จะให้ยาถอนพิษตรงเวลา”ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชามาก“ทำเกินความจำเป็นแท้ ๆ”นางไม่ได้บอกว่าจะไม่ถอนพิษให้เขาสักหน่อย เขาระแวงไปเองทั้งนั้นหากไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองหนานฉีแล้ว นางจะไม่ยอมอดทนแน่!จากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หลบหนีออกจากตำหนักฉางซิ่นเฉินจี๋จะไล่ตามไปแต่ถูกเซียวอวี้ห้ามไว้“ปล่อยนางไป”บัดนี้นางถูกยาพิษแล้ว ไม่ต้องกลัวว่านางจะหนีกระนั้น หญิงสาวนางนี้ก็ผิดจากความคาดหมายของเขานางรู้จักกระทั่งวิชาหดกระดูก หากไม่สามารถทำงานเพื่อเขาได้ เช่นนั้นรอให้ถอนพิษเสร็จแล้วต้องสังหารทิ้งเมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเย็นชาดุจหยกเย็นของเซียวอวี้พลันปรากฏจิตสังหาร ……
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย