“แค่ก ๆ…” เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกบังคับให้ต้องถลาลงพื้น พื้นรองเท้าเสียดสีเป็นรอยดำบนพื้นนางวางมือไว้ใต้ลำคอ พยายามขับยาเม็ดนั้นออกด้วยแรงตบทว่า เปล่าประโยชน์ เซียวอวี้หยุดยืนที่เบื้องหน้านางอย่างมั่นคง เสื้อคลุมถูกลมพัดปลิว เสริมให้ดูคาดเดายากกว่าเดิมดวงตาเย็นชาของเขาจดจ้องมาที่นาง แววตาลุ่มลึกดุจก้นเหว“เรารู้ว่าเจ้ามีความสามารถไม่น้อย“พิษแดนฝันออกฤทธิ์ทุก ๆ สิบวัน “หากเจ้ามาฝังเข็มตรงเวลา ข้าก็จะให้ยาถอนพิษตรงเวลา”ดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชามาก“ทำเกินความจำเป็นแท้ ๆ”นางไม่ได้บอกว่าจะไม่ถอนพิษให้เขาสักหน่อย เขาระแวงไปเองทั้งนั้นหากไม่ใช่เพื่อความมั่นคงของบ้านเมืองหนานฉีแล้ว นางจะไม่ยอมอดทนแน่!จากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หลบหนีออกจากตำหนักฉางซิ่นเฉินจี๋จะไล่ตามไปแต่ถูกเซียวอวี้ห้ามไว้“ปล่อยนางไป”บัดนี้นางถูกยาพิษแล้ว ไม่ต้องกลัวว่านางจะหนีกระนั้น หญิงสาวนางนี้ก็ผิดจากความคาดหมายของเขานางรู้จักกระทั่งวิชาหดกระดูก หากไม่สามารถทำงานเพื่อเขาได้ เช่นนั้นรอให้ถอนพิษเสร็จแล้วต้องสังหารทิ้งเมื่อคิดถึงตรงนี้ ดวงตาเย็นชาดุจหยกเย็นของเซียวอวี้พลันปรากฏจิตสังหาร ……
จู่ ๆ ไทฮองไทเฮาก็เสด็จกลับวัง เรื่องนี้ทำให้ทุกคนในวังตื่นตระหนกกันหมดตำหนักฉือหนิงไทเฮารู้สึกประหม่าอย่างยิ่งยวด“เหตุใดจึงกลับวังกระทันหันแบบนี้?”ตามหลักแล้ว หากไทฮองไทเฮาจะเสด็จกลับวังก็ต้องมีการแจ้งให้ทราบล่วงหน้าอย่างน้อยครึ่งเดือนเพื่อที่จะได้จัดพิธีต้อนรับ ทว่าครั้งนี้กลับเร่งรีบประหนึ่งมีเรื่องด่วนต้องจัดการอย่างไรอย่างนั้นไทเฮาอดระแวงไม่ได้ว่าตัวเองทำอะไรผิดให้ “เทพแห่งเคราะห์ร้าย” ต้องกลับมาหรือเปล่า?กุ้ยหมัวมัวปลอบว่า“ไทเฮาโปรดวางพระทัย ได้ยินว่าไทฮองไทเฮากลับมาแล้วเรียกพบฮองเฮาทันที น่าจะไม่เกี่ยวกับท่านเพคะ”ไทเฮาครุ่นคิดอย่างจริงจัง “ด้วยนิสัยของไทฮองไทเฮาแล้ว นางจะอนุญาตให้บรรดาผู้น้อยเข้าเฝ้าหลังจากที่กลับวังได้หนึ่งวัน น้อยมากที่จะเรียกพบผู้ใดทันทีภายในวันเดียวกัน เว้นเสียแต่ว่าจะกลับมาเพื่อฮองเฮาโดยเฉพาะ? แต่ฮองเฮาจะไปล่วงเกินไทฮองไทเฮาที่ไปไหว้พระไกลถึงภูเขาอวี้หยางได้อย่างไร”กุ้ยหมัวมัวใคร่ครวญแล้วลองคาดเดา“ไทเฮา หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับกุ้ยเฟยเพคะ?”ไทเฮาแปลกใจอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจในบันดลหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ได้รับบาดเจ็บเพราะการแข่งขันขี่ม้าโปโล
“กระไรนะ? ฝ่าบาทจะเข้าห้องหอกับนังแพศยานั่น?!” อารมณ์ที่ตอนแรกกำลังเบิกบานของกุ้ยเฟยพังลงในชั่วพริบตาข้ารับใช้ที่มารายงานเอาแต่ก้มหน้า ไม่กล้าเผชิญกับเพลิงโทสะของกุ้ยเฟย“บ่าว…บ่าวได้ยินเองกับหู ไทฮองไทเฮาทรงมีรับสั่ง…”“พอแล้ว!” กุ้ยเฟยไม่อยากฟังต่อนางทั้งตกใจทั้งสับสนไม่ใช่ว่าไทฮองไทเฮากลับวังมาเพื่อตรวจความบริสุทธิ์ของฮองเฮาหรอกหรือ!เหตุใดจึงรีบร้อนจะให้ฮ่องเต้กับฮองเฮาเข้าหอเสียได้?แววตาของกุ้ยเฟยเย็นยะเยียบน่ากลัว“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ไทฮองไทเฮาได้ถามเรื่องที่ฮองเฮาถูกลักพาตัวหรือไม่!”ข้ารับใช้คนนั้นส่ายหน้า“เรื่องนี้ บ่าวไม่แน่ใจพ่ะย่ะค่ะ“ภายในตำหนักมีคนอยู่ปรนนิบัติเพียงไม่กี่คน บ่าวอยู่ด้านนอก ได้ยินที่พวกเจ้านายคุยกันไม่ชัดนัก”กุ้ยเฟยฟังแล้วหน้าซีดนางอยากรู้เหลือเกินว่าไทฮองไทเฮาคิดจะทำอะไรกันแน่!ในเมื่อฮองเฮาไม่บริสุทธิ์ สิ่งแรกที่ควรทำก็คือปลดจากตำแหน่งฮองเฮาไม่ใช่หรือ?ด้วยนิสัยที่ไม่ยอมคนของไทฮองไทเฮาแล้ว เหตุใดจึงยอมให้…กุ้ยเฟยว้าวุ่นสับสนราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกำลังค่อย ๆ หลุดจากการควบคุมของนางนางถามข้ารับใช้คนนั้นต่ออย่างเร่งร้อน“แล้วต
เฟิ่งจิ่วเหยียนมองอุปกรณ์ร่วมบรรทมพวกนี้แล้วต้องมุ่นคิ้วนับวันก็ยิ่งเหลวไหลจริง ๆ!เซียวอวี้เล่า? เขายอมรับการจัดแจงเช่นนี้ได้อย่างไร!โจวหมัวมัวสั่งนางกำนัลพวกนั้น“วางของลงแล้วปรนนิบัติฮองเฮาสรงน้ำ”“เจ้าค่ะ—”เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดบทเสียงทุ้ม“ให้เหลียนซวงปรนนิบัติแค่คนเดียวก็พอ”โจวหมัวมัวค่อนข้างที่จะตัดสินใจทำอะไรด้วยตัวเองเป็นผู้ตัดสินใจเด็ดขาด นางวางตัวเป็นผู้อาวุโสของเฟิ่งจิ่วเหยียนโดยอาศัยว่าตนได้รับคำสั่งจากไทฮองไทเฮา“ฮองเฮา ท่านเพิ่งเคยร่วมบรรทมเป็นครั้งแรก ไม่เข้าใจกฎเกณฑ์ของทางในวัง“การสรงน้ำก่อนร่วมบรรทมแตกต่างจากการสรงน้ำปกติ กระบวนการมีความละเอียดมากมาย!“นางกำนัลแค่คนเดียวจะทำไหวได้อย่างไร“พระนาง อย่าให้ฝ่าบาทต้องรอนานเลยเพคะ”โจวหมัวมัวใช้แขนข้างหนึ่งทำท่าผายมือ ‘เชิญ’ ด้วยความเคารพดวงตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นชา น้ำเสียงทุ้มต่ำ“ไทฮองไทเฮาส่งเจ้ามาเพื่อดูให้แน่ใจว่าเปิ่นกงข้ากับฝ่าบาทจะได้เข้าหอโดยราบรื่น“หากเปิ่นกงข้าไม่สบอารมณ์ขึ้นมา เจ้าก็คอยดูเถิดว่าเปิ่นกงข้าจะยอมเข้าหอหรือไม่”โจวหมัวมัวตกใจถ้อยคำของฮองเฮาจองหองอวดดีมาก!ครั้นลองคิดดูอีกครั
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินไปข้างหน้าสองก้าว แววตาราบเรียบไม่ไหวติงเซียวอวี้วางตำราลง สีหน้าของเขานิ่งขรึม มองแล้วเหมือนเจือด้วยความไม่พอใจ“อะไรกัน โจวหมัวมัวไม่ได้สอนวิธีร่วมบรรทมให้เจ้ารึ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งใจจดจ่อมาก ไม่อยากพลาดสีหน้าใด ๆ ของเขานางมองออกว่าเขาเองก็ไม่อยากเข้าหอเช่นกันทันใดนั้นเอง เซียวอวี้ก็ดึงแขนนางเข้าไปหาปลายนิ้วของเขาจับข้อมือนางแน่นโดยมีอาภรณ์กั้นอยู่สายตาที่มองมายังนางเย็นยะเยียบอยู่ในที ทั้งยังเจือด้วยความรุนแรงแห่งการทำลายล้าง“กลัวเจ็บรึ”เฟิ่งจิ่วเหยียนมุ่นคิ้วเล็กน้อยกลัวเจ็บอะไร?ใช่แบบที่นางเข้าใจหรือไม่?นี่หรือเขาจะฟังทำตามที่ไทฮองไทเฮาสั่ง จะทำตัวเป็นหลายชายผู้เชื่อฟังจริงหรือ?นางขัดขืนโดยพลัน กัดฟันกรอดจนแทบจะเกิดประกายไฟพร้อมกับจ้องเขาตาเขม็งโดยไม่ตอบอะไรใบหน้าหล่อเหลาของบุรุษไม่มีความสะทกสะท้านเขาจับตัวนางด้วยมือข้างหนึ่ง อีกข้างหยิบกริชเล่มหนึ่งออกมาสีหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงราบเรียบ ภายในใจรู้สึกสงสัยเล็กน้อยเขาเอากริชมาทำอะไร?ชั่วพริบตานั้น นางนึกถึงคืนวันแต่งงานขึ้นมาเวลานั้นเขาสงสัยในความบริสุทธิ์ของนางและให้นางพ
กุ้ยเฟยแทบจะลุกขึ้นจากเก้าอี้อยู่แล้วเดี๋ยวนั้นเป็นไปไม่ได้!ฝ่าบาทไม่มีทางร่วมบรรทมกับเฟิ่งเวยเฉียง!แล้วก็ โลหิตบนผ้าพรหมจรรย์ต้องไม่ใช่เลือดพรหมจรรย์ของเฟิ่งเวยเฉียงแน่นอน!เพราะเฟิ่งเวยเฉียงสูญเสียความบริสุทธิ์ไปตั้งนานแล้ว!แววตาของกุ้ยเฟยเปลี่ยนแปลงไปมาภายในเวลาแค่พริบตา ในนั้นเปี่ยมด้วยความไม่เชื่อไทฮองไทเฮากลับทรงพอพระทัยมาก นางอนุญาตให้กุ้ยเฟยกลับไปได้ทันทีกุ้ยเฟยออกจากตำหนักวั่นโซ่ว นางใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปตลอดทางชุนเหอมีอาการไม่ต่างกันฝ่าบาทกับฮองเฮาเข้าห้องหอกันแล้วจริง ๆ หรือ?แต่ไม่ใช่ว่าฮองเฮา…ชุนเหอมองไปทางพระสนมของตัวเองตามสัญชาตญาณแววตาของกุ้ยเฟยราวกับอาบยาพิษ มันส่องประกายแดงฉานต้องมีปัญหาแน่!การเข้าหอต้องเป็นเรื่องตบตาแน่นอน!ด้านหนึ่งกุ้ยเฟยก็รู้สึกว่าเป็นไปไม่ได้ ด้านหนึ่งก็ร้อนใจอยากเข้าเฝ้าฝ่าบาทเพื่อถามให้กระจ่างอีกด้านหนึ่งภายในตำหนักฉือหนิงไทเฮาทรงแปลกใจเมื่อทราบข่าวเรื่องการเข้าหอของฮ่องเต้และฮองเฮา“เรื่องนี้เป็นความจริงหรือ?”กุ้ยหมัวมัวพยักหน้า“ไม่ผิดแน่เพคะ โจวหมัวมัวของไทฮองไทเฮาคอยจับตาดูทุกขั้นตอน อีกทั้งผ้าพรหมจร
ภายในตำหนักหย่งเหอ พระแท่นบรรทมผืนใหม่ถูกปูเรียบร้อยเฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากห้องสรงน้ำแล้วเปลี่ยนมาสวมชุดทางการเหลียนซวงยกชาร้อนเข้ามาแล้วเอ่ยถามด้วยสีหน้าเป็นกังวล“พระนาง ท่าน…ร่วมบรรทมแล้วจริง ๆ หรือเพคะ?”ใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีอารมณ์ใด ๆ“เรื่องนี้ เจ้าไม่ต้องถามมาก”เหลียนซวงได้ยินพระนางพูดแบบนี้ก็ยิ่งสงสัย งุนงงใหญ่ แต่ในเมื่อพระนางไม่ให้ถาม นางก็จะไม่ถามอีกทันใดนั้นเอง มีเสียงเคาะประตูดังมาจากด้านนอก“พระนาง พระสนมกุ้ยเฟยขอเข้าเฝ้าเพคะ!”หัวใจของเหลียนซวงเต้นผิดจังหวะโดยพลัน“กุ้ยเฟยมาเข้าเฝ้าในเวลานี้ คิดว่าคงเป็นเรื่องที่ท่านร่วมบรรทมเป็นแน่ พระนางจะพบนางหรือไม่เพคะ?”เฟิ่นจิ่วเหยียนดื่มชาที่ยังคงร้อนกรุ่น รู้สึกสบายในลำคอขึ้นมากนางเอ่ยอย่างราบเรียบ“ให้นางเข้ามา”……ภายในตำหนักมีเฟิ่งจิ่วเหยียนกับกุ้ยเฟยแค่เพียงสองคนกุ้ยเฟยมีสีหน้าเกรี้ยวกราดทันทีที่พบนาง ประหนึ่งจะพุ่งตัวเข้ามาฉีกกระชากร่างนางเป็นชิ้น ๆ ในอีกวินาทีถัดไป“ฮองเฮาดูจะลำพองไม่น้อยเลยนะเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ที่นั่น สายตาของนางว่างเปล่าและเหินห่าง ไม่เห็นผู้ใดอยู่ในสายตานางไม่ตอ
กุ้ยเฟยคิดไม่ตกว่าเฟิ่งเวยเฉียงผ่านการตรวจพรหมจรรย์มาได้อย่างไรครั้นคิดไปคิดมาก็มีแต่ข้อสรุปที่ว่า “คนตรงหน้าไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียง” ที่สามารถอธิบายได้แต่นี่มันก็เหลวไหลเกินไปหากนางไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียงแล้วจะเป็นผู้ใด?เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้แก้ตัวอะไรต่อข้อสงสัยของกุ้ยเฟยนางมองกุ้ยเฟยตรง ๆ น้ำเสียงเย็นยะเยียบและลึกทุ้ม“ถูกต้อง ข้าไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียง“นับจากวันที่ถูกโจรภูเขาจับตัวไป ข้าก็ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว”กุ้ยเฟยรู้สึกถึงไอเย็นที่กดดันนางคิดจะถอยห่างออกไปแต่ถูกดึงอกเสื้อเอาไว้นางถูกบังคับให้ต้องย่อตัวลง บาดแผลบนร่างถูกดึงรั้งจนเจ็บแสนสาหัส“เจ้า…ปล่อยนะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนลากตัวนางแล้วค่อย ๆ ลุกขึ้นนัยต์ตาของกุ้ยเฟยสั่นไหวเงาดำปกคลุมลงบนตัวนาง ราวกับผีร้ายที่คืบคลานขึ้นมาจากนรกแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมีรอยยิ้มที่เบาบางมาก“ต่างแดนมียาวิเศษอย่างหนึ่งใช้ทาลงบนผิวเป็นเวลาสี่สิบเก้าวันแล้วจะลอกคราบเกิดใหม่ บาดแผลทั้งหมดจะมลายหายไป ผิวนิ่มละเอียดดุจทารก“นอกจากนี้ยังมีวิชาซ่อมแซม สามารถทำให้หญิงที่เสียพรหมจรรย์ไปแล้วกลับมามีพรหมจรรย์เหมือนเดิม“กระบวนนี้เจ็บปวดทรมานมาก
หลังจากไปคารวะอาจารย์หญิงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มุ่งตรงไปที่เซียวเหยาจวีทันทีนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ และสวมหน้ากากอยู่ แต่กลัวว่าเวยเฉียงจะจำนางไม่ได้ จนกระทบกระเทือนจิตใจ ดังนั้นก่อนจะเข้าไปที่เซียวเหยาจวี นางจึงถอดหน้ากากออกเมื่อเดินเข้าไปในลานกว้าง นางก็เห็นเวยเฉียงกำลังนั่งอยู่บนชิงช้า ซ่งหลีคอยผลักให้เบา ๆ อยู่ด้านข้าง แววตาดูอ่อนโยนและห่วงใยในตอนนั้น เวยเฉียงเงยหน้าขึ้นและมองเห็นนาง“พี่สาว!” เฟิ่งเวยเฉียงราวกับผีเสื้อเริงร่า นางยืนขึ้น และวิ่งโผเข้ามาหานางเฟิ่งจิ่วเหยียนยื่นมือออกไปรับนางไว้ได้เห็นใบหน้านางแดงระเรื่อ สีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มของความดีใจหากกำจัดปานปลอมที่ใช้แปลงโฉมง่าย ๆ บนแก้มแล้ว พวกนางก็มีหน้าตาแทบจะเหมือนกันทุกอย่าง“พี่สาว! ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว!”ซ่งหลียืนอยู่ที่ไกล ครั้งแรกที่เห็นหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รู้สึกตกใจสิ่งที่น่าตกใจยิ่งกว่าคือ รูปลักษณ์ภายนอกของคนผู้นี้ช่างเหมือนกับซูฮ่วน! ทว่า คนฉลาดอย่างเขา ลองคิดกลับกันก็น่าจะเดาความจริงได้เขาอดถอนหายใจมิได้---ซูฮ่วนหลอกเขาเสียสนิทเลยทว่า ยังดีที่เป็นเช่นนี้มิเช่นนั้นแล้วเขาจะรู้ส
วันที่สองหลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนจากไป เซียวอวี้ก็เดินทางกลับเมืองหลวงเช่นกันเพื่อป้องกันมิให้ราษฎรตื่นตระหนก เขาจึงตั้งใจสั่งให้หนานซานอ๋องกับเหล่าทหาร ปิดปากเงียบเรื่องของเจดีย์เก้าชั้นกับหยางเหลียนซั่วตงฟางซื่อก็ตัดสินใจไปท่องยุทธภพต่อ ทำตัวเป็นคนพเนจรพรรคเทียนหลงใช้แผนการชั่วร้าย ทำให้ชาวยุทธภพตายไปไม่น้อยยุทธภพในตอนนี้ จึงต้องการคนอีกมากลุกขึ้นยืนหยัดบางคนเสนอให้จัดตั้งกลุ่มพันธมิตรอู่หลินขึ้นมาใหม่ ทั้งเสนอแนะให้ตงฟางซื่อเป็นผู้นำทว่า หลังจากที่ตงฟางซื่อผ่านเรื่องราวเหล่านั้น ก็รู้สึกอยู่ลึก ๆ ว่าตนไม่เหมาะสมที่จะเป็นผู้นำ อีกทั้งเขาก็หาใช่คนที่ตอบแทนความแค้นด้วยการทำดีตอบ จึงปฏิเสธไปตามตรงเขาเข้าใจแจ่มแจ้ง พันธมิตรอู่หลินคืออะไร ในยามต้องการก็เป็นสมบัติ ส่วนในยามที่ไม่ต้องการก็เป็นฟางเน่ามิน่าเล่าในตอนแรกไม่ว่าจะพูดอย่างไรซูฮ่วนก็ไม่ยอมเป็นรองผู้นำกลุ่มพันธมิตรที่ใดมีผู้คน ที่นั่นย่อมมีการหลอกลวงและการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น แม้ยุทธภพมิใช่ราชสำนัก ก็ยากที่จะหลีกเลี่ยงการปฏิบัติเช่นกันเขายอมเป็นจอมยุทธ์ที่มีอิสระดีกว่าตงฟางซื่อปฏิเสธที่จะเป็นผู้นำกลุ่มพันธมิตร ดั
“เจ้าต้องการจะกลับไปชายแดนเหนือ?” เซียวอวี้มองไปยังคนตรงหน้าที่มาอำลาตน เขารู้สึกแน่นในทรวงอกเดิมเขาคิดว่า เมื่อเรื่องเจดีย์เก้าชั้นจบลงแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็สามารถกลับเมืองหลวงไปกับเขาดังนั้น เขาจึงเฝ้ารอนางมาตลอด และรีรอไม่ออกเดินทางมิง่ายเลยกว่าจะรอให้ต้วนไหวซวี่หมดลมหายใจ แต่เพื่อเถ้ากระดูกของต้วนไหวซวี่แล้วนางยังต้องการจะไปชายแดนเหนืออันที่จริง นางเป็นคนที่ให้ความสำคัญกับความรักและมิตรภาพ เรื่องทำนองนี้ก็มิใช่เรื่องใหญ่ทว่าแล้วเขาเล่า?นางเคยนึกถึงเขาบ้างหรือไม่?เซียวอวี้ยืนอยู่ที่เดิม หมัดเริ่มกำแน่นเขาควบคุมอารมณ์พร้อมถามว่า “เจ้า...จะกลับมาอีกหรือไม่”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองเข้าไปในดวงตาของเขา และมิได้ตอบเขาในวินาทีแรกในช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่อึดใจขณะที่นางกำลังลังเล เซียวอวี้ก็หมดความอดทน ดวงตาดำมืดของเขาคู่นั้น พลันปกคลุมไปด้วยความหม่นหมองในทันที ทันใดนั้นเขาจับไหล่ของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ และดันนางไปที่หลังประตู น้ำเสียงของเขาแหบพร่า“เจ้าจะไม่กลับมาแล้วใช่หรือไม่!“เฟิ่งจิ่วเหยียน เจ้าทำเช่นนี้กับเราได้อย่างไร!“เป็นเพราะคำพูดสุดท้ายก่อนตายของต้วนไหวซวี่ใช่หรือ
ณ จวนหนานซานอ๋องวันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนฟื้นขึ้นมาในห้องของตนเมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นสาวใช้เฝ้าอยู่ที่ข้างเตียง“คุณชายซู ท่านฟื้นแล้ว!” สาวใช้ในจวนมิรู้ตัวตนของนาง เมื่อเห็นบนตัวนางสวมเครื่องแต่งกายบุรุษ จึงเรียกว่าคุณชายมาตลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นนั่ง เอามือค้ำหน้าผาก ความคิดก็พลุ่งพล่านหยางเหลียนซั่วหนีไปแล้วมิรู้ว่าถูกผู้ใดช่วยไปแล้วดูเหมือนว่า ยังมีคนที่พวกเขามิได้สังเกต และแอบสอดแนมอยู่ตลอดหลังจากนางชำระกายอย่างง่าย ๆ ก็ไปพบกับเซียวอวี้เซียวอวี้เห็นนางตื่นเช้าเช่นนี้ จึงเตือนนางว่า “เจ้าบาดเจ็บภายใน จักต้องพักผ่อนให้มากถึงจะหายดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนมิสนใจคำพูดทักทาย กลับเอ่ยถามออกมาตรง ๆ“ส่งคนไปตามหาหยางเหลียนซั่วแล้วหรือไม่? มีข่าวคราวใดบ้าง?”เซียวอวี้ตอบนางว่า “จนบัดนี้ก็ยังไม่มีเบาะแส ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ทานอาหารมื้อเช้าก่อนเถอะ หยางเหลียนซั่วร่างกายบาดเจ็บสาหัส มิอาจสร้างความวุ่นวายใหญ่โตได้”ขณะที่พูด เขาก็ส่งสัญญาณทางสายตาให้เฉินจี๋ไปนำอาหารมื้อเช้ามาเมื่อมีเรื่องราวที่ทับถมอยู่ในใจของนาง เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นอาหารเหล่านี้ ก็แทบไม่มีความอยากอาหารในห้องด้
เพื่อรับมือกับหยางเหลียนซั่ว เซียวอวี้ได้เตรียมการป้องกันไว้แล้วเหล่าองครักษ์จึงตั้งค่ายกล พร้อมปล่อยตาข่ายลงมา เหมือนกับดักจับปลา ทำให้หยางเหลียนซั่วติดอยู่ในตาข่ายจากนั้นคนจำนวนหนึ่งก็รีบล้อมวงเข้ามา และย้ายตำแหน่งกัน ปากตาข่ายจึงรัดแน่นขึ้นอย่างสมบูรณ์ตามการเคลื่อนไหวของพวกเขาหยางเหลียนซั่วเหวี่ยงมือทั้งสองข้าง และดิ้นรนทว่า การพังทลายของเจดีย์เก้าชั้น เดิมก็ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บสาหัส หลังจากนั้นยังต่อสู้กับคนจำนวนมาก โดยเฉพาะการโจมตีของซูฮ่วน บวกกับในเวลานี้เขาธาตุไฟเข้าแทรก พลังเจินชี่กลับรั่วไหลออกมา ตาข่ายนี้ ในยามปกติเขาสามารถทำลายได้อย่างง่ายดาย ทว่าตอนนี้กลับมีกำลังไม่เพียงพอพลังเจินชี่รั่วไหลออกมาอย่างต่อเนื่อง ร่างกายของเขาก็ได้รับความทรมานเช่นกัน“ยิงธนู!!” หนานซานอ๋องออกคำสั่งตามมาในขณะที่กำลังจะยิงสังหารราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่นี้ได้ แต่จู่ ๆ หมอกควันสีขาวก็กระจายฟุ้งขึ้นมาโดยรอบตรงกลางหมอกควันนั้น ก็คือหยางเหลียนซั่ว เฟิ่งจิ่วเหยียนหัวใจบีบแรงแย่แล้ว!มีคนช่วยหยางเหลียนซั่ว!หมอกควันหนาทึบ ทุกคนมองเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้าไม่ชัด ทั้งยังสำลักควันหนานซานอ๋
หยางเหลียนซั่วดูดซับพลังภายในของคนจำนวนมาก หาใช่จะควบคุมได้ง่ายเพียงนั้นแรงกระตุ้นจากคำพูดของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทำให้พลังเจินชี่ภายในของเขาแปรปรวนเพื่อป้องกันมิให้พลังเจินชี่พลุ่งพล่าน จนทำให้ธาตุไฟเข้าแทรก เขาจึงมิอาจใช้เคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถีได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องใช้พลังภายในควบคุมตนเองให้นิ่งในเสี้ยววินาทีสั้น ๆ นี้ ก็ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนและตงฟางซื่อมีโอกาสท่าทะลวงพิฆาต---กระบวนท่าโจมตีเป็นคู่ของพวกเขาเฟิ่งจิ่วเหยียนโยนกระบี่ให้ตงฟางซื่อ คนหลังเปลี่ยนมาโจมตีทางตรงก่อน ท่าเคลื่อนไหวกระบี่วกวนจนทำให้ลายตาหยางเหลียนซั่วถอยหลังไปหลายก้าว ทว่ากลับไม่สังเกตเห็นว่า เหนือศีรษะของเขา เฟิ่งจิ่วเหยียนราวกับนกอินทรีโฉบลงมากินเหยื่อ พร้อมกับพลังที่รวบรวมอยู่ในฝ่ามือตูม!ฝ่ามือของนางกระแทกลงมาบนศีรษะของหยางเหลียนซั่ว!ในเสี้ยววินาทีนั้น กะโหลกศีรษะของเขาสั่นไหวเมื่อเห็นเช่นนี้ เซียวอวี้ก็รีบซัดฝ่ามือจากด้านข้างเพิ่มไปอีกหนึ่งฝ่ามือสิบเอ็ดเทพชะตาก็รีบเข้ามาเสริมกำลัง และใช้กระบวนท่าโจมตีหยางเหลียนซั่วโดยพร้อมเพรียงกองกำลังมากกว่าสิบคนก็โจมตีมาในเวลาเดียวกัน หยางเหลียนซั่วขับ
ภูเขาอวี้หลิงหยางเหลียนซั่วราวกับพญาวานร กระโดดออกมาท่ามกลางก้อนหินกระจัดกระจายเหล่าทหารเหมือนเผชิญหน้ากับศัตรูตัวฉกาจตงฟางซื่อพุ่งมาด้านหน้าในทันที และขวางหยางเหลียนซั่วไว้ด้วยพละกำลังของตนเอง เพื่อไม่ให้คนวิ่งหนีไปได้ทันใดนั้น สิบสองเทพชะตาที่คุ้มกันขุนเขาก็ลงมือ ตั้งค่ายกลปิดล้อมหยางเหลียนซั่ว และเปิดฉากโจมตีเขาอย่างต่อเนื่องเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะรีบตามไป และมองเห็นฉากการประมือของพวกเขาการต่อสู้อันดุเดือดทำให้ก้อนหินภูเขาแตกกระจายเหล่าทหารใช้ลูกธนูยิงออกไป ทว่ายากจะเล็งไปยังหยางเหลียนซั่วได้อย่างแม่นยำเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้สวมหน้ากาก จึงเผยให้เห็นใบหน้าที่แท้จริงในเวลานี้ หยางเหลียนซั่วจดจำเซียวอวี้ได้ และยิ่งจดจำ “เมิ่งสิงโจว” ได้อย่างชัดเจน---คนร้ายที่ลอบสังหารเจาเอ๋อร์ของเขา!หากมิใช่เมิ่งสิงโจว เจาเอ๋อร์ก็คงมิอยู่ในสภาพปางตาย! ดวงตาของหยางเหลียนซั่วใต้หน้ากากพลันแดงก่ำเขารีบพุ่งออกมาจากวงล้อมของสิบสองเทพชะตา และมุ่งตรงมายังเซียวอวี้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนชักกระบี่ยาวออกจากฝัก และเดินตรงไปด้านหน้าเซียวอวี้กับตงฟางซื่อสองคนก็โจมตีจากด้านข้างทั
ต้วนไหวซวี่ตายแล้วที่จริงชีวิตเขาใกล้จะมอดดับไปนานแล้วหลายปีที่ผ่านมา เขาฝืนทนอยู่ได้ ก็เพื่อรักษาข้อตกลงห้าปีนั้นตอนนี้ เมื่อเห็นว่าอาเหยียนของเขามีความสามารถปกป้องตนเองได้ ข้างกายยังมีสหายและคนรัก รู้ว่านางมิจำเป็นต้องการตนอีกต่อไป เขาก็ปลดปล่อยพลังอย่างหมดสิ้นชีวิตนี้ของเขาไม่เจ็บแค้น และไม่เสียใจเสียงร่ำไห้ของต้วนเจิ้งนั้น ทำลายความเงียบสงัดของรัตติกาลทั่วทั้งจวนอ๋องถูกปกคลุมด้วยความมัวหมองเซียวอวี้ยืนอยู่ที่ลานกว้าง พร้อมแหงนหน้าขึ้น และมองไปยังดวงจันทร์สีขาวนวลดวงนั้นเป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกกังวลใจหากต้วนไหวซวี่ยังมีชีวิตอยู่ เขาจะสามารถแย่งชิงมาได้จริง ๆ หรือไม่?พวกเขาอยู่ด้วยกันเพียงเวลาสั้น ๆ ไม่กี่วัน รวมถึงเคยพูดคุยกันไม่กี่ประโยค เขาก็รู้แล้วว่า เหตุใดตอนแรกเฟิ่งจิ่วเหยียนถึงชอบต้วนไหวซวี่ถึงเพียงนั้นสุภาพบุรุษที่อ่อนโยนเช่นนี้ กระทั่งตายก็ยังนึกถึงคนอื่นเขามิอยากเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนร่ำไห้ให้กับต้วนไหวซวี่ จึงกลับเข้าห้องในทันที ทั้งรู้สึกว้าวุ่นในใจ เหมือนสิ่งของกระจัดกระจายมากมาย กำลังลอยละลิ่ว ทำให้คนคว้าไว้ไม่ได้ จิตใจจึงกระวนกระวาย......หนานซ
“ทำไมถึงเป็นอย่างนั้น!” เฟิ่งจิ่วเหยียนตกใจอย่างมากแม้นหมอจะบอกว่า เวลาของต้วนไหวซวี่เหลือไม่มากแล้ว แต่อย่างน้อยก็ยังเหลือเวลาอยู่อีกหลายวันนางยังไม่ทันได้เตรียมใจ——เขากำลังจะลาจากโลกนี้ไปแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกลับไปที่จวนหนานซานอ๋องเมื่อเปิดประตูเข้าไป เห็นเพียงต้วนไหวซวี่นอนอยู่บนเตียง ลมหายใจเริ่มโรยรินขึ้นเรื่อย ๆ ความมีชีวิตชีวาบนใบหน้าหล่อเหลานั้นค่อย ๆ เลือนหายไปต้วนเจิ้งคุกเข่าอยู่ข้างเตียง กุมมือของเขาไว้แน่น“ท่านพี่ ท่านพี่! ท่านอย่าหลับนะ! กว่าเราจะช่วยท่านออกมาได้…ท่านพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปทีละก้าวอย่างแข็งทื่อ จ้องมองต้วนไหวซวี่แน่นิ่ง นัยน์ตาทอแววเวทนา“ไหวซวี่…”ผ้าปูเตียงเปื้อนไปด้วยเลือดสด ๆ ของเขา เขามองมาที่นาง ด้วยแววตาอ่อนโยน ราวกับว่าไม่อยากให้นางกังวลและกลัว“อาเหยียน ข้าไม่เป็นอะไร” เขาพยายามยิ้มออกมาเฟิ่งจิ่วเหยียนกำหมัดแน่นนางรู้ว่าร่างกายของเขาต้องแบกรับความเจ็บปวดมากแค่ไหนมากถึงขนาดที่ว่า ทุกครั้งที่หายใจ เหมือนถูกลงโทษประหารแล่เนื้อการมีชีวิตอยู่สำหรับเขา ไม่ได้สบายในวินาทีนี้ นางปล่อยวางแล้วดังนั้นนางจึงนั่งลงข้างเต