ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงบทกวี บุรุษทั้งหลายเพื่อแสดงออกถึงความสามารถของตนเอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ดาบใช้ปืนหนิงเฟยมองดูพวกเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงไหลนางอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์อะไร ค่ำคืนอันยาวนาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็ไม่แปลก ที่มีสนมในวังหลังเหล่านั้นมักแอบเป็นชู้กับองครักษ์หลังจากนางเข้าวัง ก็ไม่ได้เจอบุรุษปกติมานานมากแล้วหลังจากการแสดงฝีมือจบลง หนิงเฟยมีคำสั่ง ให้พวกเขาจับคู่เพลิดเพลินชมดอกไม้ตามอัธยาศัยความหมายนั้นไม่สามารถชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วหากมีคนที่ถูกใจ ก็สามารถไปชักชวนได้งานเลี้ยงบทกวีในวังนี้ จัดขึ้นมาอย่างครึกครื้น องค์หญิงใหญ่เข้าวังมาเยี่ยมไทเฮา ได้ยินเสียงหัวเราะทางนั้น ก็หยุดเท้ามองใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่พอดีคำพูดและการกระทำของหญิงสาวแลดูอ่อนโยน ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ ใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม“คุณชายหลิว ท่านสามารถเข้าสถาบันทางการทหาร มีความสามารถที่โดดเด่น ข้า...ข้าคาดหวังให้อนาคตท่านจะได้เป็นแม่ทัพ”ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามา พร้อมขอบคุณหญิงสาวเห็นเช่นนี้แล้ว ใบห
ในเมื่อรู้จุดประสงค์ขององค์หญิงใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันที“องค์หญิง ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องที่ท่านเห็นในวันนี้ เป็นความจริงหรือไม่“ต่อให้เป็นความจริง ข้าก็คิดว่า การกระทำของหลิวเหยี่ยน ไม่มีอะไรต้องตำหนิ“หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จะนำทัพทำศึกได้อย่างไร?“ไม่มีทักษะหน้าไหว้หลังหลอก จะหลอกลวงศัตรูได้อย่างไร?“ข้าไม่มีทางปฏิเสธความสามารถของหลิวเหยี่ยน ด้วยเหตุผลนี้”องค์หญิงใหญ่ค่อนข้างผิดหวังนางก็โกรธยังไม่สามารถต้านทานได้“ฮองเฮา เจ้าเชื่อข้า หลิวเหยี่ยนคนนั้นจิตใจไม่ดี”“ถึงแม้ข้านำหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้ แต่ด้วยความรู้สึกของข้า เขาควบคุมไม่ได้”ที่องค์หญิงใหญ่พูดมา เฟิ่งจิ่วเหยียนพอใส่ใจบ้างแล้ว แต่นางไม่มีทางแสดงออกมาต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อย่างไรเมื่อเทียบกับหลิวเหยี่ยน นางยิ่งไม่อยากยอมรับคนขององค์หญิงใหญ่ตอนนี้นางคือฮองเฮา ต้องแยกแยะลำดับความสำคัญรอจอหลังจากองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งหว่านชิว“ส่งคนไปบ้านเกิดหลิวเหยี่ยน สืบดูว่าคนนี้มีนิสัยอย่างไร”คนที่จะเป็นแม่ทัพ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยม แต่หลอกลวงไม่ได้……หลังจากงานเลี้ยงบทกวีจบลง ความร่วมมือฉันพี่น้องของ
ดวงตาตงฟางซื่อที่เดิมยิ้มแย้มหรี่ลง ชี้ไปยังช่วงที่ถล่มลงมา พร้อมคาดเดา“นี่เป็นการทำลายตนเอง ปกติมีไว้เพื่อปกปิดทางเดิน ใช้ในการตัดกำลังการไล่ตาม”ในระหว่างที่พูด เขาวาดภาพขึ้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาวาดรูปใยแมงมุม ก็จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์“นี่คืออะไร?” ฝานจิ้นมองซ้าย มองขวา ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหลังจากตงฟางซื่อวาดเสร็จ ก็อธิบายให้ทุกคนฟัง“ข้าคาดเดาเบื้องต้น ช่องทางลับนี้ น่าจะเป็น ‘ใยแมงมุม’ ”“ใยแมงมุม?” หลายคนแสดงสีหน้าสงสัยตงฟางซื่อชี้ไปตรงภาพที่วาด พร้อมอธิบายขึ้นมา“ในวิชากลไก มีช่องทางลับอย่างหนึ่ง เป็นเหมือนใยแมงมุม มีศูนย์กลางอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ล้อมรอบสี่ทิศ เชื่อมต่อเหนือ ใต้ ออก ตก“ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อมต่อไปยังติงกุ่ย เว่ยโช่ว คุนเก่น เซินหยิน...ก่อตัวกลายเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่”ฝานจิ้นยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ“เจ้าหมายความว่า เป็นลำต้นแห่งสวรรค์ กิ่งก้านแห่งโลก?” ตงฟางซื่อพยักหน้ายืนยัน“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่ายกล ‘เว่ยปากว้า’”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีความเข้าใจสูง ที่ตงฟางซื่อพูดมา นางฟังเข้าใจแล้วนางชี้ไปยังภาพที่
เฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดอ่านจดหมาย อ่านโดยรวมก่อนมีเรื่องหนึ่ง ทำให้นางขมวดคิ้วหลิวเหยี่ยนเคยเป็นทหาร และเคยอยู่ในค่ายเป่ยต้าส่วนข้อมูลอย่างอื่น ดูอย่างไร คนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรหว่านชิวเสนอความคิดเห็น“ฮองเฮา สถาบันทางการทหารเลือกลูกศิษย์ ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อหลิวเหยี่ยนสามารถเข้ามาเรียนได้ แสดงว่าสิ่งที่ขุนนางเก็บบันทึกไว้นั้นไม่มีผิดพลาด”“ทว่าตามที่บ่าวรู้มา หากมีความตั้งใจ สิ่งมากมายล้วนสามารถสร้างเป็นเท็จขึ้นมาได้”“หากท่านสงสัยคนนี้จริง ๆ ก็ส่งคนไปสืบอย่างละเอียดอีกครั้งจักเป็นการดีเพคะ”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง“อืม”ในเมื่อเคยไปค่ายเป่ยต้า นางก็จะขอให้อาจารย์ช่วยตรวจสอบดูรอบคอบไว้ก่อน ยังไงก็ดีกว่าวันรุ่งขึ้นสถาบันทางการทหารมีการทดสอบการต่อสู้การทดสอบการต่อสู้นี้ไม่ใช่การทดสอบการต่อสู้อย่างง่ายทุกคนแบ่งออกเป็นสองทีม ทำการช่วยเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในมือศัตรูออกมาสนามทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่ตรงภูเขาเยี่ยนไหลของชานเมืองเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากใช้การทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้ ทดสอบหลิวเหยี่ยน เริ่มการต่อสู้เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ตรงเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดาได้อย่างแม่นยำ ที่เกิดเรื่อง จะต้องเป็นเป่ยเยี่ยนอย่างแน่นอนเซียวอวี้พูดขึ้นมา“รัชทายาทเยี่ยนบุกวังยึดบัลลังก์ ตอนนี้ขึ้นครองราชย์แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดพร้อมพูดขึ้นมา“ขุนนางใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง มักต้องการสร้างผลงานบางอย่าง เพื่อแสดงความสามารถและอำนาจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกษัตริย์ใหม่ที่เพิ่งครองราชย์ ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่า เป่ยเยี่ยนก็เหมือนกับระเบิดฟ้าคำรณ รู้ว่าจะระเบิดเมื่อใด ต้องระวังให้มาก”เซียวอวี้กดปลายคางเล็กน้อย“เรารู้ ก่อนหน้านี้ก็คาดเดาไว้แล้ว มีคนคอยยั่วยุอยู่เบื้องหลัง หวังอยากให้หนานฉีกับเป่ยเยี่ยนต่อสู้กัน ครั้งนี้รัชทายาทเยี่ยนบุกวังขึ้นครองราชย์ เป็นไปได้อย่างมากที่คนนั้นคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง”“เราได้เขียนพระราชโองการลับ ให้กับขุนพลที่ชายแดน หากพบความเคลื่อนไหวใด ต้องคอยรับมืออย่างระมัดระวัง”ยามนี้ดินแคว้นเป่ยเยี่ยนในวังหลวงรัชทายาทที่เคยถูกปลดหลายครั้ง ตอนนี้แปลงกาย กลายเป็นจักรพรรดิบนบัลลังก์มังกรส่วนฮ่องเต้เยี่ยนชรา ถูกจองจำอยู่ในตงฮวาไถเหล่าขุนนางถวายบังคมฮ่องเต้องค์ใหม่ บรรยากาศบนท้องพระโรงทำให้รู้สึกอกสั่
เผชิญความหยั่งเชิงของหนิงเฟย เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบเยือกเย็น แววตาแฝงไปด้วยความเย็นชาและเหินห่าง“เรื่องภายในครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”ต่อให้เรื่องฝาแฝดไม่ใช่ความลับแล้ว นางก็ไม่อยากให้ใครไปรบกวนชีวิตของเวยเฉียงหากเป็นคนอื่น หนิงเฟยโต้กลับตั้งแต่แรกแล้วทว่าฮองเฮาองค์ใหม่เคยทำศึก เคยฆ่าคน ไม่ง่ายเลยที่จะไปมีเรื่องหนิงเฟยรู้สึกเสียววาบในหัวใจ แสร้งทำเป็นเข้มแข็งพร้อมทูลลาในขณะเดียวกันก็ยิ่งแปลกใจ ฮองเฮาทั้งสองคน ใช่คนเดียวกันหรือไม่……เหล่านางสนมกลับไปแล้ว หัวหน้าเย็บปักมายังตำหนักหย่งเหอ“ถวายบังคมฮองเฮา“ฮองเฮา นี่คืออาภรณ์ชุดใหม่ที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกบ่าวเย็บปัก จักเปลี่ยนยามนี้หรือไม่เพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมามอง “สีสะอาดดี” หัวหน้าเย็บปักกราบทูลทันที“เป็นสีกับเนื้อผ้าที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เองเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะดุ้งเล็กน้อยสายตาเซียวอวี้ไม่เลว ถูกใจนางมากทว่านางยังคงไม่อาจลืมสีแดงเข้มที่เขาสวม...ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนสวมอาภรณ์ใหม่เมื่อสวมใส่แล้วจึงรู้ว่า รูปแบบอาภรณ์นี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน...นุ่มนวลและมีสีสันมา
เซียวอวี้ไม่ปฏิเสธ เขาอยากไปดูข้างนอกวังจริง ๆและเนื่องจากวันนี้เป็นวันชีซี สามารถได้ออกไปเที่ยวพร้อมกับฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา“คราวหน้าท่านอยากได้อะไร พูดมาตามตรงก็ได้เพคะ”เซียวอวี้ยิ้มหัวเราะแห้ง ๆ“เราก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ชีซีก็ไม่ออกไปไหน”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความคิดที่แท้จริงของเขา “ท่านอยากพูดว่า หม่อมฉันไม่รู้ถึงอารมณ์รักของหนุ่มสาวใช่หรือไม่เพคะ”เซียวอวี้รีบโอบกอดนาง แนบชิดใบหน้าของนาง“ไม่เป็นไร เรามีอารมณ์รักก็พอ”“อารมณ์รักไม่เท่าไหร่ หม่อมฉันเห็นว่าท่านยังคงความละเมียดละไมเซี่ยวอวี้: ความละเมียดละไม? ยังคง?นางกำลังพูดอ้อมค้อมหาว่าเขาแก่?เขาบีบเอวของนาง พูดเน้นย้ำขึ้นมาอย่างไม่พอใจ“อายุเรายังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มยังแน่น”อีกอย่าง ความละเมียดละไมนั้นมีไว้ใช้กับสตรี เหตุใดมาใช้กับเขาเล่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือกอดคอเขาไว้ ยกคางขึ้นมา สัมผัสบนริมฝีปากของเขาราวกับแมลงปอแตะน้ำ“ฝ่าบาท วันนี้ท่านสวมอาภรณ์สีแดงเข้มชุดนั้น ดีหรือไม่”ถึงแม้จะเชยไปหน่อย ทว่าก็มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เซียวอวี้คิดว่านางเห็นว่าอาภรณ์ชุดนั้นหล่
ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวว่าจะแจ้งทางการ ทุกคนต่างตกตะลึงผู้ที่เมื่อครู่ยังคิดอยากกลั่นแกล้งคู่สามีภรรยานั้น ต่างมองหน้ากันไปมาเซียวอวี้เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นี่นางต้องการทำอะไรกันแน่ต่อให้เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตจนไปถึงที่ว่าราชการมีเขาอยู่ คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้ากำเริบเสิบสานแววตาเย็นชาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมองเถ้าแก่ผู้นั้น และอ่านออกเสียงกลอนปริศนาเมื่อครู่“ที่ว่า ‘ลมสารทฤดูพัดไหว สีสันใบหญ้าเปลี่ยนเมื่อสาย เหมายันแสนหนาวเหน็บ’ ประโยคนี้ใช้ตัว ‘เฉา(หญ้า)’ และ ‘เซียว(หนาวเหน็บ)’ สีสันใบหญ้าเปลี่ยนเมื่อสาย เมื่อสายก็ไม่มีเช้า จึงเอาตัวอักษรเจ๋า(เช้า)ออก ดังนั้นขีดอักษรด้านบนของ ‘เฉา’ ก็จะกลายเป็นจุดเริ่มของตัวอักษร เมื่อรวมเข้ากับ‘เซียว(หนาวเหน็บ)’ ก็จะกลายเป็นตัวอักษร‘เซียว’ในชื่อเซียวอวี้ ”สีหน้าของเถ้าแก่เริ่มดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ปริปากพูดอะไรจากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดต่อ“ ‘กลางดึกนกร้องหาลูก’ ผู้ใดเป็นคนร้องหาลูกเล่า? ย่อมเป็น ‘พ่อ’ สกุลเซียวเป็นสกุลราชวงศ์แคว้นหนานฉี ใช้คำว่าเซียวเป็นตัวแทนแคว้นหนานฉี ก่อน
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ
หลังจากท่านผู้เฒ่าหลินรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน เดิมทีก็คิดจะสานสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนางทว่านางกลับบอกว่า มิใช่เครือญาติแท้ ๆ หรือ?ใครมิใช่เครือญาติแท้ ๆ กันเล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “บุตรสาวคนที่สองของตระกูลหลิว เมื่อคลอดออกมาก็มอบให้พวกเจ้าดูแลใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าหลินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและงุนงง นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่นางต้องการจะถาม กลับเป็นเรื่องราวในตอนนั้น...เขาก้มศีรษะลง กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเห็นสีหน้าของตน“พ่ะย่ะค่ะ! ตอนนั้น น้องสาวของข้าน้อยคลอดบุตรสาวคนเล็ก ก็มอบให้พวกเราดูแลเลย“ฮองเฮา เรื่องนี้ยังจะมีอะไรให้น่าพูดถึงอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถือเครื่องมือทรมานนั้นอยู่ในมือ สายตาดูเยือกเย็นไร้ความปรานี“เจ้ายืนยันได้หรือไม่ว่า เด็กที่มอบให้กับมือพวกเจ้าในตอนนั้น เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่นาน?”ท่านผู้เฒ่าหลินตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เด็กคนนั้นคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ถูกพวกเรานำมาดูแลแล้ว...”“โกหก” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าหลิน “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น ตอนที่มาถึงมือพวกเจ้า น่าจ
ภายในคุกที่ว่าการท่านผู้เฒ่าหลินในวัยชรา ยืนพิงอยู่มุมกำแพงด้วยอาการตัวสั่นเทาเขามองไปยังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นโดยฝืนทำเป็นสงบนิ่ง“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ข้าไม่มีความผิด...”เอ่ยยังมิทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ถอยแยกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดช่องทางตรงกลางหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้ามาจากด้านนอก เส้นผมนางถูกรวบยกสูง ดวงตาทั้งคู่ดูองอาจน่ายำเกรง“ทุกคนออกไปก่อน”ตามคำสั่งของนาง บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปอย่างรู้งาน อู๋ไป๋ปิดประตูห้องขัง และคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังภายในห้องขังท่านผู้เฒ่าหลินมิรู้จักเฟิ่งจิ่วเหยียน ในตอนแรกคิดว่านางเป็นขุนนาง ทว่าพอได้ยินเสียงนางเป็นสตรี ก็มิแน่ใจแล้วว่านางเป็นใคร“เจ้าเป็นใคร?” ท่านผู้เฒ่าหลินมองนางตาไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีอ่อนข้อสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเยือกเย็นและหมางเมิน ราวกับดวงดาวระยิบในค่ำคืนเหน็บหนาว ทำเอาผู้คนสั่นสะท้านนางมองท่านผู้เฒ่าหลิน พลางแสร้งทำเป็นหยิบเครื่องมือทรมานที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลินตกใจกลัวจนลำคอแห้งผาก ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว“ข้า ข้ามิเคยทำเรื่องช
ไม่นานรุ่ยอ๋องก็จัดหาหญิงสาวให้กับหร่วนฝูอวี้ได้แล้ว เป็นสาวใช้ภายในจวนเขายืนอยู่นอกห้อง ยืนอยู่นานก็มิยอมไปหนึ่งชั่วยามต่อมา ด้านในก็เรียกขอน้ำสาวใช้ผลักประตูเดินออกมารุ่ยอ๋องรีบหันไปมองนาง เห็นเพียงนางถืออ่างเลือดออกมา“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยท่าทีใส่ใจการถอนพิษกู่เสน่ห์ มิใช่แค่ต้องมีสัมพันธ์กับใครสักคนเท่านั้นหรือ?เหตุใดจึงมีเลือดออกมามากมายเพียงนี้?สาวใช้ตอบด้วยอาการตัวสั่นเทา“พระชายาเลือดออกมาก บ่าวคอยช่วยพระชายาเปลี่ยนอาภรณ์ และชำระร่างกายเจ้าค่ะ”สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อยดูแล้วสาวใช้ผู้นี้ ไม่เหมือน...“แค่ช่วยพระชายาชำระร่างกาย?” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจสาวใช้พยักหน้าซ้ำ ๆ“เจ้าค่ะ”รุ่ยอ๋องรู้สึกงุนงง มิรู้ว่าหร่วนฝูอวี้ทำสิ่งใดลงไปหรือว่า เขาเข้าใจเจตนาของนางผิดไป นางขอให้เขาหาหญิงสาวให้นาง มิใช่เพื่อจะถอนพิษกู่เสน่ห์หรอกหรือ?ในระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องทันทีทว่าเห็นหร่วนฝูอวี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หร่วนฝูอวี้พลันลืมตาขึ้นนางจ้องมองไปทางรุ่ยอ๋อง ดว
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข