ดวงตาตงฟางซื่อที่เดิมยิ้มแย้มหรี่ลง ชี้ไปยังช่วงที่ถล่มลงมา พร้อมคาดเดา“นี่เป็นการทำลายตนเอง ปกติมีไว้เพื่อปกปิดทางเดิน ใช้ในการตัดกำลังการไล่ตาม”ในระหว่างที่พูด เขาวาดภาพขึ้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาวาดรูปใยแมงมุม ก็จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์“นี่คืออะไร?” ฝานจิ้นมองซ้าย มองขวา ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหลังจากตงฟางซื่อวาดเสร็จ ก็อธิบายให้ทุกคนฟัง“ข้าคาดเดาเบื้องต้น ช่องทางลับนี้ น่าจะเป็น ‘ใยแมงมุม’ ”“ใยแมงมุม?” หลายคนแสดงสีหน้าสงสัยตงฟางซื่อชี้ไปตรงภาพที่วาด พร้อมอธิบายขึ้นมา“ในวิชากลไก มีช่องทางลับอย่างหนึ่ง เป็นเหมือนใยแมงมุม มีศูนย์กลางอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ล้อมรอบสี่ทิศ เชื่อมต่อเหนือ ใต้ ออก ตก“ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อมต่อไปยังติงกุ่ย เว่ยโช่ว คุนเก่น เซินหยิน...ก่อตัวกลายเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่”ฝานจิ้นยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ“เจ้าหมายความว่า เป็นลำต้นแห่งสวรรค์ กิ่งก้านแห่งโลก?” ตงฟางซื่อพยักหน้ายืนยัน“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่ายกล ‘เว่ยปากว้า’”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีความเข้าใจสูง ที่ตงฟางซื่อพูดมา นางฟังเข้าใจแล้วนางชี้ไปยังภาพที่
เฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดอ่านจดหมาย อ่านโดยรวมก่อนมีเรื่องหนึ่ง ทำให้นางขมวดคิ้วหลิวเหยี่ยนเคยเป็นทหาร และเคยอยู่ในค่ายเป่ยต้าส่วนข้อมูลอย่างอื่น ดูอย่างไร คนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรหว่านชิวเสนอความคิดเห็น“ฮองเฮา สถาบันทางการทหารเลือกลูกศิษย์ ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อหลิวเหยี่ยนสามารถเข้ามาเรียนได้ แสดงว่าสิ่งที่ขุนนางเก็บบันทึกไว้นั้นไม่มีผิดพลาด”“ทว่าตามที่บ่าวรู้มา หากมีความตั้งใจ สิ่งมากมายล้วนสามารถสร้างเป็นเท็จขึ้นมาได้”“หากท่านสงสัยคนนี้จริง ๆ ก็ส่งคนไปสืบอย่างละเอียดอีกครั้งจักเป็นการดีเพคะ”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง“อืม”ในเมื่อเคยไปค่ายเป่ยต้า นางก็จะขอให้อาจารย์ช่วยตรวจสอบดูรอบคอบไว้ก่อน ยังไงก็ดีกว่าวันรุ่งขึ้นสถาบันทางการทหารมีการทดสอบการต่อสู้การทดสอบการต่อสู้นี้ไม่ใช่การทดสอบการต่อสู้อย่างง่ายทุกคนแบ่งออกเป็นสองทีม ทำการช่วยเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในมือศัตรูออกมาสนามทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่ตรงภูเขาเยี่ยนไหลของชานเมืองเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากใช้การทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้ ทดสอบหลิวเหยี่ยน เริ่มการต่อสู้เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ตรงเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดาได้อย่างแม่นยำ ที่เกิดเรื่อง จะต้องเป็นเป่ยเยี่ยนอย่างแน่นอนเซียวอวี้พูดขึ้นมา“รัชทายาทเยี่ยนบุกวังยึดบัลลังก์ ตอนนี้ขึ้นครองราชย์แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดพร้อมพูดขึ้นมา“ขุนนางใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง มักต้องการสร้างผลงานบางอย่าง เพื่อแสดงความสามารถและอำนาจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกษัตริย์ใหม่ที่เพิ่งครองราชย์ ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่า เป่ยเยี่ยนก็เหมือนกับระเบิดฟ้าคำรณ รู้ว่าจะระเบิดเมื่อใด ต้องระวังให้มาก”เซียวอวี้กดปลายคางเล็กน้อย“เรารู้ ก่อนหน้านี้ก็คาดเดาไว้แล้ว มีคนคอยยั่วยุอยู่เบื้องหลัง หวังอยากให้หนานฉีกับเป่ยเยี่ยนต่อสู้กัน ครั้งนี้รัชทายาทเยี่ยนบุกวังขึ้นครองราชย์ เป็นไปได้อย่างมากที่คนนั้นคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง”“เราได้เขียนพระราชโองการลับ ให้กับขุนพลที่ชายแดน หากพบความเคลื่อนไหวใด ต้องคอยรับมืออย่างระมัดระวัง”ยามนี้ดินแคว้นเป่ยเยี่ยนในวังหลวงรัชทายาทที่เคยถูกปลดหลายครั้ง ตอนนี้แปลงกาย กลายเป็นจักรพรรดิบนบัลลังก์มังกรส่วนฮ่องเต้เยี่ยนชรา ถูกจองจำอยู่ในตงฮวาไถเหล่าขุนนางถวายบังคมฮ่องเต้องค์ใหม่ บรรยากาศบนท้องพระโรงทำให้รู้สึกอกสั่
เผชิญความหยั่งเชิงของหนิงเฟย เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบเยือกเย็น แววตาแฝงไปด้วยความเย็นชาและเหินห่าง“เรื่องภายในครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”ต่อให้เรื่องฝาแฝดไม่ใช่ความลับแล้ว นางก็ไม่อยากให้ใครไปรบกวนชีวิตของเวยเฉียงหากเป็นคนอื่น หนิงเฟยโต้กลับตั้งแต่แรกแล้วทว่าฮองเฮาองค์ใหม่เคยทำศึก เคยฆ่าคน ไม่ง่ายเลยที่จะไปมีเรื่องหนิงเฟยรู้สึกเสียววาบในหัวใจ แสร้งทำเป็นเข้มแข็งพร้อมทูลลาในขณะเดียวกันก็ยิ่งแปลกใจ ฮองเฮาทั้งสองคน ใช่คนเดียวกันหรือไม่……เหล่านางสนมกลับไปแล้ว หัวหน้าเย็บปักมายังตำหนักหย่งเหอ“ถวายบังคมฮองเฮา“ฮองเฮา นี่คืออาภรณ์ชุดใหม่ที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกบ่าวเย็บปัก จักเปลี่ยนยามนี้หรือไม่เพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมามอง “สีสะอาดดี” หัวหน้าเย็บปักกราบทูลทันที“เป็นสีกับเนื้อผ้าที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เองเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะดุ้งเล็กน้อยสายตาเซียวอวี้ไม่เลว ถูกใจนางมากทว่านางยังคงไม่อาจลืมสีแดงเข้มที่เขาสวม...ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนสวมอาภรณ์ใหม่เมื่อสวมใส่แล้วจึงรู้ว่า รูปแบบอาภรณ์นี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน...นุ่มนวลและมีสีสันมา
เซียวอวี้ไม่ปฏิเสธ เขาอยากไปดูข้างนอกวังจริง ๆและเนื่องจากวันนี้เป็นวันชีซี สามารถได้ออกไปเที่ยวพร้อมกับฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา“คราวหน้าท่านอยากได้อะไร พูดมาตามตรงก็ได้เพคะ”เซียวอวี้ยิ้มหัวเราะแห้ง ๆ“เราก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ชีซีก็ไม่ออกไปไหน”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความคิดที่แท้จริงของเขา “ท่านอยากพูดว่า หม่อมฉันไม่รู้ถึงอารมณ์รักของหนุ่มสาวใช่หรือไม่เพคะ”เซียวอวี้รีบโอบกอดนาง แนบชิดใบหน้าของนาง“ไม่เป็นไร เรามีอารมณ์รักก็พอ”“อารมณ์รักไม่เท่าไหร่ หม่อมฉันเห็นว่าท่านยังคงความละเมียดละไมเซี่ยวอวี้: ความละเมียดละไม? ยังคง?นางกำลังพูดอ้อมค้อมหาว่าเขาแก่?เขาบีบเอวของนาง พูดเน้นย้ำขึ้นมาอย่างไม่พอใจ“อายุเรายังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มยังแน่น”อีกอย่าง ความละเมียดละไมนั้นมีไว้ใช้กับสตรี เหตุใดมาใช้กับเขาเล่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือกอดคอเขาไว้ ยกคางขึ้นมา สัมผัสบนริมฝีปากของเขาราวกับแมลงปอแตะน้ำ“ฝ่าบาท วันนี้ท่านสวมอาภรณ์สีแดงเข้มชุดนั้น ดีหรือไม่”ถึงแม้จะเชยไปหน่อย ทว่าก็มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เซียวอวี้คิดว่านางเห็นว่าอาภรณ์ชุดนั้นหล่
ครั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวว่าจะแจ้งทางการ ทุกคนต่างตกตะลึงผู้ที่เมื่อครู่ยังคิดอยากกลั่นแกล้งคู่สามีภรรยานั้น ต่างมองหน้ากันไปมาเซียวอวี้เองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน นี่นางต้องการทำอะไรกันแน่ต่อให้เพื่อเป็นการพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนเอง ก็ไม่จำเป็นต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่โตจนไปถึงที่ว่าราชการมีเขาอยู่ คนเหล่านี้ย่อมไม่กล้ากำเริบเสิบสานแววตาเย็นชาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมองเถ้าแก่ผู้นั้น และอ่านออกเสียงกลอนปริศนาเมื่อครู่“ที่ว่า ‘ลมสารทฤดูพัดไหว สีสันใบหญ้าเปลี่ยนเมื่อสาย เหมายันแสนหนาวเหน็บ’ ประโยคนี้ใช้ตัว ‘เฉา(หญ้า)’ และ ‘เซียว(หนาวเหน็บ)’ สีสันใบหญ้าเปลี่ยนเมื่อสาย เมื่อสายก็ไม่มีเช้า จึงเอาตัวอักษรเจ๋า(เช้า)ออก ดังนั้นขีดอักษรด้านบนของ ‘เฉา’ ก็จะกลายเป็นจุดเริ่มของตัวอักษร เมื่อรวมเข้ากับ‘เซียว(หนาวเหน็บ)’ ก็จะกลายเป็นตัวอักษร‘เซียว’ในชื่อเซียวอวี้ ”สีหน้าของเถ้าแก่เริ่มดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย แต่ยังคงไม่ปริปากพูดอะไรจากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดต่อ“ ‘กลางดึกนกร้องหาลูก’ ผู้ใดเป็นคนร้องหาลูกเล่า? ย่อมเป็น ‘พ่อ’ สกุลเซียวเป็นสกุลราชวงศ์แคว้นหนานฉี ใช้คำว่าเซียวเป็นตัวแทนแคว้นหนานฉี ก่อน
เมื่อเห็นเซียวอวี้ สมองของเจียงหลินก็พลันหยุดทำงาน ครู่หนึ่งถึงได้สติ“เซียวเอ้อร์ เจ้าก็อยู่ด้วยหรือ!“วันนี้เจ้าแต่งตัวเช่นนี้ ข้านึกว่าเจ้าเป็นเซียวกวนเอ๋อร์(ชายขายบริการ) เสียอีก!”ไม่ใช่บุรุษทุกคนที่จะสวมชุดสีแดงแล้วดูดีมีเพียงเซียวกวนเอ๋อร์ในหอเฟิงเยว่เท่านั้น ที่จะใส่แล้วดูเย้ายวนเช่นนี้แววตาของเซียวอวี้เข้มขึ้นทันทีเซียวกวนเอ๋อร์?เขาอยากตายรึ!เจียงหลินเป็นคนประเภทพูดไม่คิด ปกติคำพูดมักลอยออกไปก่อน แล้วสมองค่อยคิดตามเมื่อคำพูดของเขาออกจากปาก สมองก็เพิ่งจะตามทันทันใดนั้นเขาก็พลันนิ่งชะงักเดี๋ยวนะ!ไม่ใช่ว่าซูฮ่วนแต่งให้ฮ่องเต้แล้วหรอกหรือ?ตามหลักการแล้ว นางไม่มีทางกล้าแอบหาบุรุษอื่นลับหลังฮ่องเต้เช่นนั้น...เซียวเอ้อร์ที่อยู่เบื้องหน้านี้ คงจะไม่ใช่...เจียงหลินเพิ่งตระหนักถึงความจริงเขายิ้มแฉ่ง เท้าขวาก้าวไปด้านข้าง เท้าซ้ายก้าวตาม เท้าขวาก้าวไปด้านข้างอีกครั้ง ไม่กี่อึดใจก็อยู่ห่างออกไปไกลกว่าสองจ้าง“คือว่า ซูฮ่วน วันนี้จังหวะไม่ดีเลย ไว้เราค่อยพบกันใหม่...”จากนั้นคนผู้นี้ก็วิ่งหายไปทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียน: ?เซียวอวี้วางถ้วยสุราลงบนโต๊ะอย่างน่าเกร
อีกสองวันหร่วนฝูอวี้ก็จะแต่งงานแล้ว นางต้องเรียนพิธีการมากตัวนางอยู่ในโรงพักแรมหลวง ใจกลับลอยไปไกลตั้งนานแล้วยามค่ำคืน บุรุษสวมหน้ากากผู้หนึ่งก็หานางเจอยามที่นางกำลังจะโจมตี คนผู้นั้นก็ถอดหน้ากากออก“ศิษย์น้อง?”ใบหน้าของชายหนุ่มเต็มไปด้วยความโกรธ“ศิษย์พี่ ท่านอาจารย์รู้ว่าท่านมาที่แคว้นหนานฉีก็โมโหมาก จึงสั่งให้ข้ามาตามหาท่าน“ที่ก่อนหน้านี้ท่านตามจีบซูฮ่วนก็ช่างเถิด ยามนี้ยังจะแต่งงานอีก? หากท่านอาจารย์รู้เข้า...”“เช่นนั้นก็อย่าให้นางรู้” หร่วนฝูอวี้ตัดจบคำพูดเขา แล้วพิงเตียงอย่างเกียจคร้าน“ไม่ได้! ข้ารับปากท่านอาจารย์แล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ต้องบอกนาง”“พูดมากเพียงนี้เชียว?” หร่วนฝูอวี้กวาดตามองนาง “มิน่ายายแก่ถึงส่งเจ้ามา วิชาไสยเวทไม่ได้เรื่องของเจ้า ถึงไม่มีเจ้าก็ไม่เป็นไร”ศิษย์น้องเล็กถูกคำพูดนี้ของนางแทงใจดำจนตาแดง“ศิษย์พี่ จะเกินไปแล้วนะ! ข้าจะบอกอาจารย์! ว่าท่านหัวเราะเยาะข้า!”สองมือของหร่วนฝูอวี้กอดอก พลางหัวเราะเยาะ“โอ้โห เพิ่งพูดกับเจ้าสองประโยค ก็จะร้องไห้แล้วเหรอ?”“ศิษย์พี่! ท่านมีสติหน่อย! ข้ารู้นะว่าทำไมท่านถึงจะแต่งกับรุ่ยอ๋อง ท่านทำเพื่อซูฮ่ว
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า