วันรุ่งขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนพาพวกองครักษ์ไปยังวิหารเต๋า ลงไปในช่องทางลับช่องทางลับแห่งนี้ เซียวอวี้ได้ส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียดแล้วก่อนหน้านี้ และจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่พบความผิดปกติแต่อย่างใดเฟิ่งจิ่วเหยียนชูตะบันไฟ เดินอยู่ในทางแคบที่ยาวนั้นกลไกที่นี่ถูกจัดตั้งอย่างชาญฉลาด คาดว่าช่องทางไปยังที่ต่าง ๆ ล้วนถูกซ่อนไว้แล้วในขณะที่นางกำลังจะคลำหา ทันใดนั้น องครักษ์หลายคนที่เดินอยู่ข้างหน้าตะโกนขึ้นมา“มีดินปืน คุ้มกันฮองเฮาออกไป!”ตูม! !มีเสียงดังในช่วงหนึ่งของอุโมงค์ใต้ดิน พังทลายทันทีก้อนหินหล่นกระจัดกระจาย ขวางทางไปของทุกคนเฟิ่งจิ่วเหยียนมองขึ้นมาท่ามกลางฝุ่น ดวงตาเยือกเย็นนางรักชีวิตของตนเองหากยังสืบไม่รู้ความจริงก็ตายแล้ว นางจะนอนตายตาไม่หลับยามนี้ไม่มีความมั่นใจเต็มร้อย จึงออกคำสั่ง“ถอย”ในเวลานี้ วิหารเต๋าไม่ไกลออกไปร่มเงาใต้ต้นไม้ มีสองคนยืนอยู่คนที่อยู่ข้างหน้าคนนั้น ต่างจากยามที่อยู่สถาบันทางการทหาร สวมแหวนน้าวที่นิ้วโป้ง ใบหน้าสง่าเยือกเย็นเมื่อเห็นพวกเฟิ่งจิ่วเหยียนถอยออกมาจากวิหารเต๋า มุมปากของเขากระตุกขึ้นเล็กน้อย“ไปเถอะ”ลูกน้องที่อยู่ข้างหลั
ถึงแม้จะเป็นงานเลี้ยงบทกวี บุรุษทั้งหลายเพื่อแสดงออกถึงความสามารถของตนเอง จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องใช้ดาบใช้ปืนหนิงเฟยมองดูพวกเขา อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหลงไหลนางอายุขนาดนี้แล้วยังไม่เคยมีประสบการณ์อะไร ค่ำคืนอันยาวนาน หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะรู้สึกเปล่าเปลี่ยวก็ไม่แปลก ที่มีสนมในวังหลังเหล่านั้นมักแอบเป็นชู้กับองครักษ์หลังจากนางเข้าวัง ก็ไม่ได้เจอบุรุษปกติมานานมากแล้วหลังจากการแสดงฝีมือจบลง หนิงเฟยมีคำสั่ง ให้พวกเขาจับคู่เพลิดเพลินชมดอกไม้ตามอัธยาศัยความหมายนั้นไม่สามารถชัดเจนไปกว่านี้อีกแล้วหากมีคนที่ถูกใจ ก็สามารถไปชักชวนได้งานเลี้ยงบทกวีในวังนี้ จัดขึ้นมาอย่างครึกครื้น องค์หญิงใหญ่เข้าวังมาเยี่ยมไทเฮา ได้ยินเสียงหัวเราะทางนั้น ก็หยุดเท้ามองใต้ต้นไม้ไม่ไกลออกไป มีชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่พอดีคำพูดและการกระทำของหญิงสาวแลดูอ่อนโยน ยื่นผ้าเช็ดหน้าไปให้ ใบหน้าแดงระเรื่อ ไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองชายหนุ่ม“คุณชายหลิว ท่านสามารถเข้าสถาบันทางการทหาร มีความสามารถที่โดดเด่น ข้า...ข้าคาดหวังให้อนาคตท่านจะได้เป็นแม่ทัพ”ชายหนุ่มรับผ้าเช็ดหน้ามา พร้อมขอบคุณหญิงสาวเห็นเช่นนี้แล้ว ใบห
ในเมื่อรู้จุดประสงค์ขององค์หญิงใหญ่ เฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธทันที“องค์หญิง ยังไม่พูดถึงว่าเรื่องที่ท่านเห็นในวันนี้ เป็นความจริงหรือไม่“ต่อให้เป็นความจริง ข้าก็คิดว่า การกระทำของหลิวเหยี่ยน ไม่มีอะไรต้องตำหนิ“หากไม่มีเล่ห์เหลี่ยม จะนำทัพทำศึกได้อย่างไร?“ไม่มีทักษะหน้าไหว้หลังหลอก จะหลอกลวงศัตรูได้อย่างไร?“ข้าไม่มีทางปฏิเสธความสามารถของหลิวเหยี่ยน ด้วยเหตุผลนี้”องค์หญิงใหญ่ค่อนข้างผิดหวังนางก็โกรธยังไม่สามารถต้านทานได้“ฮองเฮา เจ้าเชื่อข้า หลิวเหยี่ยนคนนั้นจิตใจไม่ดี”“ถึงแม้ข้านำหลักฐานอะไรออกมาไม่ได้ แต่ด้วยความรู้สึกของข้า เขาควบคุมไม่ได้”ที่องค์หญิงใหญ่พูดมา เฟิ่งจิ่วเหยียนพอใส่ใจบ้างแล้ว แต่นางไม่มีทางแสดงออกมาต่อหน้าองค์หญิงใหญ่อย่างไรเมื่อเทียบกับหลิวเหยี่ยน นางยิ่งไม่อยากยอมรับคนขององค์หญิงใหญ่ตอนนี้นางคือฮองเฮา ต้องแยกแยะลำดับความสำคัญรอจอหลังจากองค์หญิงใหญ่ไปแล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนสั่งหว่านชิว“ส่งคนไปบ้านเกิดหลิวเหยี่ยน สืบดูว่าคนนี้มีนิสัยอย่างไร”คนที่จะเป็นแม่ทัพ ต้องมีเล่ห์เหลี่ยม แต่หลอกลวงไม่ได้……หลังจากงานเลี้ยงบทกวีจบลง ความร่วมมือฉันพี่น้องของ
ดวงตาตงฟางซื่อที่เดิมยิ้มแย้มหรี่ลง ชี้ไปยังช่วงที่ถล่มลงมา พร้อมคาดเดา“นี่เป็นการทำลายตนเอง ปกติมีไว้เพื่อปกปิดทางเดิน ใช้ในการตัดกำลังการไล่ตาม”ในระหว่างที่พูด เขาวาดภาพขึ้นมาเฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นเขาวาดรูปใยแมงมุม ก็จ้องมองอย่างพินิจพิเคราะห์“นี่คืออะไร?” ฝานจิ้นมองซ้าย มองขวา ดูไม่ออกว่าเป็นอะไรหลังจากตงฟางซื่อวาดเสร็จ ก็อธิบายให้ทุกคนฟัง“ข้าคาดเดาเบื้องต้น ช่องทางลับนี้ น่าจะเป็น ‘ใยแมงมุม’ ”“ใยแมงมุม?” หลายคนแสดงสีหน้าสงสัยตงฟางซื่อชี้ไปตรงภาพที่วาด พร้อมอธิบายขึ้นมา“ในวิชากลไก มีช่องทางลับอย่างหนึ่ง เป็นเหมือนใยแมงมุม มีศูนย์กลางอยู่ที่สถานที่แห่งหนึ่ง ล้อมรอบสี่ทิศ เชื่อมต่อเหนือ ใต้ ออก ตก“ยิ่งไปกว่านั้น เชื่อมต่อไปยังติงกุ่ย เว่ยโช่ว คุนเก่น เซินหยิน...ก่อตัวกลายเป็นใยแมงมุมขนาดใหญ่”ฝานจิ้นยิ่งฟังยิ่งไม่เข้าใจ“เจ้าหมายความว่า เป็นลำต้นแห่งสวรรค์ กิ่งก้านแห่งโลก?” ตงฟางซื่อพยักหน้ายืนยัน“ที่เจ้าพูดมาก็ไม่ผิด ดังนั้นมันจึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าค่ายกล ‘เว่ยปากว้า’”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีความเข้าใจสูง ที่ตงฟางซื่อพูดมา นางฟังเข้าใจแล้วนางชี้ไปยังภาพที่
เฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดอ่านจดหมาย อ่านโดยรวมก่อนมีเรื่องหนึ่ง ทำให้นางขมวดคิ้วหลิวเหยี่ยนเคยเป็นทหาร และเคยอยู่ในค่ายเป่ยต้าส่วนข้อมูลอย่างอื่น ดูอย่างไร คนนี้ก็ไม่มีปัญหาอะไรหว่านชิวเสนอความคิดเห็น“ฮองเฮา สถาบันทางการทหารเลือกลูกศิษย์ ได้ทำการตรวจสอบอย่างละเอียดตั้งแต่แรกแล้ว ในเมื่อหลิวเหยี่ยนสามารถเข้ามาเรียนได้ แสดงว่าสิ่งที่ขุนนางเก็บบันทึกไว้นั้นไม่มีผิดพลาด”“ทว่าตามที่บ่าวรู้มา หากมีความตั้งใจ สิ่งมากมายล้วนสามารถสร้างเป็นเท็จขึ้นมาได้”“หากท่านสงสัยคนนี้จริง ๆ ก็ส่งคนไปสืบอย่างละเอียดอีกครั้งจักเป็นการดีเพคะ”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง“อืม”ในเมื่อเคยไปค่ายเป่ยต้า นางก็จะขอให้อาจารย์ช่วยตรวจสอบดูรอบคอบไว้ก่อน ยังไงก็ดีกว่าวันรุ่งขึ้นสถาบันทางการทหารมีการทดสอบการต่อสู้การทดสอบการต่อสู้นี้ไม่ใช่การทดสอบการต่อสู้อย่างง่ายทุกคนแบ่งออกเป็นสองทีม ทำการช่วยเพื่อนร่วมทีมที่อยู่ในมือศัตรูออกมาสนามทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้อยู่ตรงภูเขาเยี่ยนไหลของชานเมืองเฟิ่งจิ่วเหยียนอยากใช้การทดสอบการต่อสู้ในครั้งนี้ ทดสอบหลิวเหยี่ยน เริ่มการต่อสู้เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ตรงเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนคาดเดาได้อย่างแม่นยำ ที่เกิดเรื่อง จะต้องเป็นเป่ยเยี่ยนอย่างแน่นอนเซียวอวี้พูดขึ้นมา“รัชทายาทเยี่ยนบุกวังยึดบัลลังก์ ตอนนี้ขึ้นครองราชย์แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิดพร้อมพูดขึ้นมา“ขุนนางใหม่ที่เพิ่งเข้ารับตำแหน่ง มักต้องการสร้างผลงานบางอย่าง เพื่อแสดงความสามารถและอำนาจ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกษัตริย์ใหม่ที่เพิ่งครองราชย์ ฝ่าบาท หม่อมฉันคิดว่า เป่ยเยี่ยนก็เหมือนกับระเบิดฟ้าคำรณ รู้ว่าจะระเบิดเมื่อใด ต้องระวังให้มาก”เซียวอวี้กดปลายคางเล็กน้อย“เรารู้ ก่อนหน้านี้ก็คาดเดาไว้แล้ว มีคนคอยยั่วยุอยู่เบื้องหลัง หวังอยากให้หนานฉีกับเป่ยเยี่ยนต่อสู้กัน ครั้งนี้รัชทายาทเยี่ยนบุกวังขึ้นครองราชย์ เป็นไปได้อย่างมากที่คนนั้นคอยช่วยเหลืออยู่เบื้องหลัง”“เราได้เขียนพระราชโองการลับ ให้กับขุนพลที่ชายแดน หากพบความเคลื่อนไหวใด ต้องคอยรับมืออย่างระมัดระวัง”ยามนี้ดินแคว้นเป่ยเยี่ยนในวังหลวงรัชทายาทที่เคยถูกปลดหลายครั้ง ตอนนี้แปลงกาย กลายเป็นจักรพรรดิบนบัลลังก์มังกรส่วนฮ่องเต้เยี่ยนชรา ถูกจองจำอยู่ในตงฮวาไถเหล่าขุนนางถวายบังคมฮ่องเต้องค์ใหม่ บรรยากาศบนท้องพระโรงทำให้รู้สึกอกสั่
เผชิญความหยั่งเชิงของหนิงเฟย เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบเยือกเย็น แววตาแฝงไปด้วยความเย็นชาและเหินห่าง“เรื่องภายในครอบครัวของข้า ไม่จำเป็นต้องบอกเจ้า”ต่อให้เรื่องฝาแฝดไม่ใช่ความลับแล้ว นางก็ไม่อยากให้ใครไปรบกวนชีวิตของเวยเฉียงหากเป็นคนอื่น หนิงเฟยโต้กลับตั้งแต่แรกแล้วทว่าฮองเฮาองค์ใหม่เคยทำศึก เคยฆ่าคน ไม่ง่ายเลยที่จะไปมีเรื่องหนิงเฟยรู้สึกเสียววาบในหัวใจ แสร้งทำเป็นเข้มแข็งพร้อมทูลลาในขณะเดียวกันก็ยิ่งแปลกใจ ฮองเฮาทั้งสองคน ใช่คนเดียวกันหรือไม่……เหล่านางสนมกลับไปแล้ว หัวหน้าเย็บปักมายังตำหนักหย่งเหอ“ถวายบังคมฮองเฮา“ฮองเฮา นี่คืออาภรณ์ชุดใหม่ที่ฝ่าบาทมีรับสั่งให้พวกบ่าวเย็บปัก จักเปลี่ยนยามนี้หรือไม่เพคะ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้าขึ้นมามอง “สีสะอาดดี” หัวหน้าเย็บปักกราบทูลทันที“เป็นสีกับเนื้อผ้าที่ฝ่าบาททรงเลือกด้วยพระองค์เองเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสะดุ้งเล็กน้อยสายตาเซียวอวี้ไม่เลว ถูกใจนางมากทว่านางยังคงไม่อาจลืมสีแดงเข้มที่เขาสวม...ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนสวมอาภรณ์ใหม่เมื่อสวมใส่แล้วจึงรู้ว่า รูปแบบอาภรณ์นี้ นางไม่เคยเห็นมาก่อน...นุ่มนวลและมีสีสันมา
เซียวอวี้ไม่ปฏิเสธ เขาอยากไปดูข้างนอกวังจริง ๆและเนื่องจากวันนี้เป็นวันชีซี สามารถได้ออกไปเที่ยวพร้อมกับฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างตรงไปตรงมา“คราวหน้าท่านอยากได้อะไร พูดมาตามตรงก็ได้เพคะ”เซียวอวี้ยิ้มหัวเราะแห้ง ๆ“เราก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าจะเหน็ดเหนื่อยขนาดนี้ ชีซีก็ไม่ออกไปไหน”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ความคิดที่แท้จริงของเขา “ท่านอยากพูดว่า หม่อมฉันไม่รู้ถึงอารมณ์รักของหนุ่มสาวใช่หรือไม่เพคะ”เซียวอวี้รีบโอบกอดนาง แนบชิดใบหน้าของนาง“ไม่เป็นไร เรามีอารมณ์รักก็พอ”“อารมณ์รักไม่เท่าไหร่ หม่อมฉันเห็นว่าท่านยังคงความละเมียดละไมเซี่ยวอวี้: ความละเมียดละไม? ยังคง?นางกำลังพูดอ้อมค้อมหาว่าเขาแก่?เขาบีบเอวของนาง พูดเน้นย้ำขึ้นมาอย่างไม่พอใจ“อายุเรายังไม่ถึงสามสิบ ยังหนุ่มยังแน่น”อีกอย่าง ความละเมียดละไมนั้นมีไว้ใช้กับสตรี เหตุใดมาใช้กับเขาเล่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือกอดคอเขาไว้ ยกคางขึ้นมา สัมผัสบนริมฝีปากของเขาราวกับแมลงปอแตะน้ำ“ฝ่าบาท วันนี้ท่านสวมอาภรณ์สีแดงเข้มชุดนั้น ดีหรือไม่”ถึงแม้จะเชยไปหน่อย ทว่าก็มีเสน่ห์เป็นเอกลักษณ์เซียวอวี้คิดว่านางเห็นว่าอาภรณ์ชุดนั้นหล่
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู
ณ ห้องทรงพระอักษร เซียวอวี้กำลังอ่านรายงานการสู้รบชายแดนหลิวซื่อเหลียงก็เข้ามากราบทูลใกล้ ๆ “ฝ่าบาท ฮองเฮาทรงขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”ความเหนื่อยล้าของเซียวอวี้พลันมลายหาย ความเย็นชาดุดันคลายลง ปกคลุมด้วยความอ่อนโยนทีละน้อยทันทีที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาด้านใน หลิวซื่อเหลียงก็ถอยออกไปด้วยหูตาที่ว่องไวภายในห้องทรงพระอักษร เหลือเพียงฮ่องเต้และฮองเฮาสองคนเท่านั้น จะพูดสิ่งใด จะทำสิ่งใด ก็มิต้องหลบเลี่ยง“มาได้อย่างไร? ทานสำรับเที่ยงแล้วหรือ?” ระยะนี้เซียวอวี้ยุ่งอยู่กับงานราชกิจ ที่จริงหลายวันแล้วมิได้ไปทานอาหารร่วมกับนางเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ จากนั้นจึงเอ่ยถาม“ฝ่าบาท สงครามทางด้านใต้เป็นอย่างไรบ้างเพคะ?”เซียวอวี้จูงมือของนาง เข้าไปในห้องด้านในและนั่งลงบนตั่งตัวเล็กพร้อมกับนางเขาพูดไปเดินไป“เรารู้ว่าเจ้ากังวลเรื่องนี้ กำลังคิดจะบอกเจ้าพอดี“กองทัพชายแดนใต้มุ่งหน้าไปโจมตีตอบโต้เผ่าสุยเหอแล้ว ตอนนี้ข่าวที่ได้รับกลับมาล้วนเป็นข่าวดี“แนวหลังของเผ่าสุยเหอไม่มั่นคง จึงแทบมิได้สนใจหนานเจียง“คิดว่า ไม่นานก็สามารถถอนกำลังทหารกลับมาได้แล้ว“วิกฤตที่หนานเจียงคลี่คลายได้ไม่ยาก แ
ณ ห้องทรงพระอักษรแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยด้วยน้ำเสียงนอบน้อม “ฝ่าบาท คำพูดของหลิวเหยี่ยน ก็ดูน่าเชื่อถือ หากเป็นตามที่เขาพูด การโจมตีกลับทางแนวเหนือตรงเผ่าสุยเหอที่มีการป้องกันอ่อนแอ จะสามารถคลี่คลายสถานการณ์คับขันในหนานเจียงได้ นี่เป็นยุทธวิธีที่ปลอดภัยที่สุดในเวลานี้”สถานการณ์คับขันในหนานเจียงตอนนี้ ดินแดนส่วนใหญ่ถูกกองกำลังพันธมิตรของเผ่าสุยเหอยึดครอง กองทัพใหญ่หนานฉีของพวกเขาคิดจะช่วยเหลือหนานเจียง จักต้องอาศัยหนานเจียงเป็นสนามรบ บุกเข้าหนานเจียง และต่อสู้กับเผ่าสุยเหอทว่ายามนี้เผ่าสุยเหอควบคุมถนนน้อยใหญ่ในหนานเจียง ทำให้กองทัพหนานฉียากจะบุกเข้าไปได้ดังนั้น หากสามารถเลี่ยงไปทางหนานเจียง และบุกโจมตีเผ่าสุยเหอโดยตรง ก็นับว่าเป็นแผนการที่ดีเมื่อคิดมาถึงตอนนี้ แววตาของเซียวอวี้ดูเคร่งขรึมแม้ว่าวิธีนี้อาจจะได้ผล แต่เขาก็ไม่ไว้ใจหลิวเหยี่ยน“ไปเชิญฮองเฮามา” เขาเอ่ยสั่งการชั่วครู่ต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มาถึงนางฟังแม่ทัพอาวุโสหลี่เอ่ยจบ แววตาพลันเยือกเย็นและเคร่งขรึม“การสู้รบโดยใช้ทางเลี่ยง ก็อาจจะได้ผลจริง”เซียวอวี้ถามด้วยสีหน้าเรียบเฉยอย่างมาก “เจ้าเชื่อสิ่งที่หลิวเหยี่ย
พอเข้าสู่ช่วงค่ำ จวนรุ่ยอ๋องก็คลาคล่ำไปด้วยบรรดาแขกเหรื่อภายในเรือนหอหร่วนฝูอวี้เป็นคนเปิดผ้าคลุมหน้าเองขณะที่รุ่ยอ๋องเดินเข้ามา ก็เห็นนางกำลังนั่งทานอาหารอยู่ที่ริมโต๊ะ ไม่มีความประหม่าเขินอายอย่างที่เจ้าสาวควรจะมีแม้แต่น้อยมิเพียงแต่นางที่กำลังกิน งู แมงป่อง ตะขาบของนาง...พวกมันก็กำลังกินด้วยเช่นกัน!บนพื้นก็ยังมีสาวใช้คนหนึ่งนอนอยู่ ดูท่าทาง คงจะตกใจจนหมดสติไปรุ่ยอ๋องรู้สึกเสียใจอยู่บ้างที่ก้าวเข้ามาในเรือนหอนี้เขาพยายามควบคุมอารมณ์ และเอ่ยโดยใช้น้ำเสียงราบเรียบ“หร่วนฝูอวี้ ข้าแต่งกับเจ้า ก็เพื่อบุตรในท้องของเจ้า“ต่อไป ข้าจะไม่แตะต้องเจ้าอีกเด็ดขาด“เรือนนี้...นับตั้งแต่บัดนี้จะมอบให้กับเจ้า หลังจากนี้ไปเจ้ากับข้าจะไม่เกี่ยวข้องกันอีกในฐานะสามีภรรยา เจ้าก็อย่านำของพวกนี้เข้ามาในเรือนข้า!”พูดจบเขาก็เดินออกไปหร่วนฝูอวี้ได้ยินอย่างชัดเจนแล้ว ก็มิได้โต้แย้งแต่อย่างใดสิ่งที่นางสนใจมากที่สุดตอนนี้ ก็คือหนานเจียงด้วยสถานะของพระชายารุ่ยอ๋อง พรุ่งนี้นางก็สามารถเข้าวังไปขอบพระทัยฝ่าบาทได้ถึงเวลานั้น นางก็จะได้พบกับซูฮ่วนแล้วค่ำคืนล่วงไปจนฟ้าสางวันที่สองรุ่ยอ๋
เมื่อรู้ว่าถานไถเหยี่ยนต้องการเข้าพบตัวเอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็กล่าวเสียงเรียบนิ่ง“ส่งแม่ทัพอาวุโสหลี่ไปที่คุกหลวง”หากถานไถเหยี่ยนอยากช่วยหนานเจียง และแคว้นหนานฉีด้วยใจจริง เช่นนั้น เขาก็สามารถบอกกลยุทธ์ต้านศัตรูแก่ใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเป็นนางหว่านชิวเห็นด้วยตอนแรกนางกังวล ว่าพระนางจะไปพบหลิวเหยี่ยนด้วยตัวเอง เพราะเรื่องหนานเจียงดูจากตอนนี้ พระนางเหมือนจะรอบคอบกว่านางอีกอีกคนที่กังวลเหมือนหว่านชิว ก็คือเซียวอวี้หลังจากที่เขาได้ยินว่าหลิวเหยี่ยนขอเข้าพบ ก็รีบวางราชสารในมือ ตรงมาที่ตำหนักหย่งเหออย่างรีบร้อนเมื่อเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนยังนั่งอยู่ในตำหนัก เขาถึงได้ถอนหายใจโล่งอกอย่างสังเกตได้ยากจากนั้นก็เดินเข้าไปหาเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้น ขณะที่กำลังจะทำความเคารพ เขาก็ดึงนางเข้ามาในอ้อมกอด โอบรัดไว้แน่น“ฮองเฮา รับปากเรา ไม่ว่าเมื่อใดก็ตาม ห้ามไปพบหลิวเหยี่ยนแบบส่วนตัวเด็ดขาด คนผู้นี้มีความคิดที่คาดเดาได้ยาก เรากลัวว่าเขาจะใช้มันมาหลอกล่อ ทำไม่ดีกับเจ้า”เขาเองก็ได้ยินเรื่องพิษมนุษย์โอสถอะไรนั่นมาเหมือนกันแต่ลางสังหรณ์บอกเขาว่า หลิวเหยี่ยนไม่น่าเชื่อถือเขาคิดเอาเองว่า