เรื่องที่ฮ่องเต้เสี่ยงชีวิตช่วยคน ตงฟางซื่อไม่ได้คิดไปในแง่ที่ลึกกว่านั้น เขาเพียงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า“ฝ่าบาทช่างเห็นค่าบุญคุณยิ่งนัก ข้าไม่นึกเสียใจเลย ที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยตอนสงครามเมืองเซวียน”ต่อมาก็เอ่ยเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“วิหารลัทธิเต๋าไฟไหม้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เมื่อคืนมีคนจ้องจะเล่นงานเราถึงตาย”เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงเล่าให้ตงฟางซื่อฟังว่า นางพลัดตกกับดักกลไกและเซียวอวี้ช่วยนางอย่างไร สุดท้าย นางก็คาดการณ์ว่า“นักฆ่าที่โผล่มาในตอนหลัง ต้องเป็นคนจากสำนักอื่นแน่ ๆ”“ถ้าพวกเขาไม่ได้ร่วมมือกับสำนักจื่อหยาง ก็ต้องแอบวางแผนอะไรลับ ๆ อยู่เป็นแน่ ถ้าเป็นอย่างแรก ก็คงเป็นสำนักทั่วไป หากเป็นอย่างหลัง…”ต่อมา ตงฟางซื่อก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกับนางอย่างรู้ใจ “ก็แสดงว่าเป็นพรรคเทียนหลง”หลังจากเอ่ยถ้อยคำนี้ ตงฟางซื่อก็ทำการตัดสิน“กลไกที่ห้องโถงหลักในวิหารลัทธิเต๋า ต้องไม่ได้อยู่ในแผนการของสำนักจื่อหยางแน่ ๆ”“มิเช่นนั้น พวกเขาคงสามารถล่อพวกเราไปที่ห้องโถงหลักตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเอนเอียงไปทาง ความเป็นไปได้ที่ว่าพรรคเทียนหลงกำลังว
แม้นในใจเซียวอวี้จะหงุดหงิดเพียงใด แต่เบื้องหน้ายังต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร“พวกเจ้ากำลังดูอะไรกันอยู่หรือ?”ตงฟางซื่อเงยหน้าขึ้นมา แล้วอธิบายว่า“แผนที่น่ะ ซูฮ่วนอยากรู้ว่าเส้นทางไหนสามารถขุดจากเมืองหลวงไปถึงเมืองอานได้…”เซียวอวี้: แค่ดูแผนที่ จำเป็นต้องใกล้กันขนาดนั้นเลยหรือ?เขาเดินเข้าไป และนั่งลงที่ขอบเตียงเช่นกัน“เราขอดูด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดอะไรมาก จึงชี้แผนที่ที่ทำสัญลักษณ์ไว้แล้วให้เขาดู“เมื่อครู่พวกข้ากำลังถกประเด็นกัน จากวิหารลัทธิเต๋าถึงเมืองอาน คร่าว ๆ ต้องเริ่มจากทิศตะวันออก ผ่านเมืองร้าง ไปถึงหุบเขาหลิวหลี ยึดตามข้อมูลที่สอบถามมาได้ วิหารลัทธิเต๋าถูกปล่อยร้างเมื่อหลายปีก่อน บางทีอาจจะมีคนเริ่มขุดตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้…”เซียวอวี้ฟังนางพูดไปพลาง มองดูแผนที่จากนั้น นิ้วมือเรียวยาวของเขาก็ชี้ไปยังมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง“ระยะช่วงแรกไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ระยะช่วงหลังมานี่ น่าจะขุดตรงไปทางทิศตะวันออกไม่ได้ ต้องหักเอียงไปทางทิศใต้แทน แล้วค่อยวกขึ้นเหนือ”เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนมองสถานที่ที่นิ้วมือของเขาชี้ หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย“นั่นหมายความว่าต้
ภายใต้ท้องฟ้าทะเลดาว เฟิ่งจิ่วเหยียนเริ่มง่วงขึ้นมาเซียวอวี้อุ้มนาง แล้วยิ้มบางเบาดุจสายลมเย็น ไร้มาดเคร่งขรึมเหมือนในยามปกติ“กลับไปนอน”ภายในเรือนเฉินจี๋เห็นฝ่าบาทอุ้มซูฮ่วนกลับมา หัวใจพลันกระตุกวูบเซียวอวี้กลับเห็นว่า ในเรือนยังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วยนั่นคือรุ่ยอ๋องเมื่อรุ่ยอ๋องเห็นภาพนี้ ดวงตาพลันก่อเกิดอารมณ์แปลกประหลาด“เจ้ามาทำไม” เซียวอวี้เอ่ยปาก ซักถามทันทีรุ่ยอ๋องก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม“กระหม่อม เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท”เซียวอวี้ก้มมองคนในอ้อมกอด จากนั้นก็พานางเข้าไปส่งในห้องหลักก่อนรุ่ยอ๋องเงยหน้ามองแผ่นหลังของทั้งสองคน ด้วยสายตามืดสลัวเหตุใดฝ่าบาทถึงใกล้ชิดกับซูฮ่วนถึงเพียงนี้ล่ะ?ไม่นานหลังจากนั้น เซียวอวี้ก็ออกมาเขาอยู่ในชุดคลุมผ้าไหม ไม่เข้ากับสถานที่ธรรมดาแห่งนี้อย่างยิ่ง“ออกไปคุยข้างนอก” เขาพูดกับรุ่ยอ๋องรุ่ยอ๋องตามเขาออกไป……“ใครบอกให้เจ้าตามสืบการเดินทางของรา” แววตาของเซียวอวี้เยือกเย็นเล็กน้อยแม้นรุ่ยอ๋องจะเป็นเสมือนมือซ้ายมือขวาและพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน ก็ไม่สมควรตามสืบเรื่องของเขาตามอำเภอใจรุ่ยอ๋องประสานมือคารวะ“หรงเฟยพ่ะ
ยุทธภพกับราชสำนัก แบ่งแยกอำนาจการปกครองผู้ใดก็ไม่คาคคิด ว่าทหารจะล้อมปราบปรามแต่ละสำนักอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ เลย แม้แต่พรรคเทียนหลงที่มีหน่วยสอดแนมเป็นหูเป็นตามากมาย ก็ยังไม่เคยได้รับข่าวใด ๆ ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว การล้อมปราบปรามในครั้งนี้จึงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเกินไปผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลงลุกขึ้นทันที ออกคำสั่งว่า“ล่าถอย”ทันทีที่ปริปาก แม่นางหร่านที่ใส่ผ้าคลุมหน้าก็เข้ามาในห้อง วิ่งตรงเข้ามาหาผู้พิทักษ์“ท่านประมุขรู้เรื่องนี้แล้ว ผู้พิทักษ์ ตอนนี้เจ้ากำลังทำให้ราชสำนักแตกตื่น นับเป็นความผิดมหันต์!”แววตาของผู้พิทักษ์เยือกเย็นเป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าดีอย่างไรมาสอนเขา?“เจ้ารีบไปคุ้มกันท่านประมุข ฝากบอกท่านประมุขด้วย ข้าจะไปรับโทษด้วยตัวเอง”คนจากสำนักอื่นที่มาขอความช่วยเหลือเห็นท่าทีไม่ดี จึงพากันรีบเผ่นหนีทหารบุกมาอย่างองอาจ พวกเขารับมือไม่ไหวแน่ทุกสำนักตกอยู่ในศึกอันขมขื่นระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ยุทธภพกลับปั่นป่วนไปหมดคุกในแต่ละแห่งอัดแน่นไปด้วยคนจนวุ่นวายชาวยุทธภพลงนามร่วมต่อสู้ ฟ้องร้องเรื่องที่ราชส
ภายในศาลาแปดเหลี่ยมอันเงียบสงบทางทิศตะวันตกของวัง มีสองพี่น้องนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโต๊ะหินมีกระดานหมากรุกวางบนนั้น ซึ่งใกล้จะจบตาแล้วใบหน้าของเซียวจั๋วประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา ราวกับว่ายังเป็นพี่ชายผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์เหมือนในตอนนั้น“แนวการเล่นหมากรุกของฝ่าบาทแตกต่างจากเมื่อก่อนเยอะเลย”เซียวอวี้พูดลอย ๆ “ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง”เซียวจั๋วส่งเสียงกระแอม เหมือนกำลังข่มกลั้นอะไรบางอย่าง“มีบางอย่าง ที่อยากถามฝ่าบาทมาโดยตลอด“เรื่องในครานั้น ท่านเจ้าเชื่อว่าข้าคือผู้บริสุทธิ์หรือไม่?”ตอนนั้น องค์รัชทายาทลอบฆ่าพี่ชายแท้ ๆ ทั้งยังก่อกบฏเพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความสั่นสะเทือนแก่ราชสำนักสายตาของเซียวอวี้ทอดมองผิวน้ำบริเวณห่างไกล กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เราจำไม่ได้”เซียวจั๋วยิ้มออกมาบางเบา นัยน์ตาทอแววขมขื่น“พูดตามตรง จนถึงตอนนี้ข้ายังคาดคิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายคนที่ได้นั่งบัลลังก์ จะเป็นท่าน”ในการแข่งขันขององค์ชายทั้งหลาย เซียวอวี้เป็นคนที่ถูกตัดออกไปขุนนางในราชสำนักเองก็ไม่มีใครอยู่ข้างเขาใครก็ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนจะเลือกเดิน
หลังจากพักฟื้นอยู่สองสามวัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็พอจะลงมาเดินบนพื้นได้ทว่าร่างกายของฝานจิ้นกลับยิ่งแย่ลงตงฟางซื่อจึงหารือกับนาง และคิดจะหาตัวยาบางอย่างมาทดแทน เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดของฝานจิ้นหลังจากฝานจิ้นรู้เรื่องก็เป็นฝ่ายปฏิเสธก่อน“มิต้อง เหล่าฝานอย่างข้าจะต้องผ่านพ้นไปได้!”เขาจะมิยอมแพ้และประนีประนอมเด็ดขาดบ่ายวันนั้น ตงฟางซื่อมาที่ห้องของเฟิ่งจิ่วเหยียน และนำภาพเหมือนแผ่นหนึ่งมาให้นางดู“นี่ก็คือศิษย์หญิงของสำนักหลิงซาน--- จางเสวี่ย”เฟิ่งจิ่วเหยียนมองภาพเหมือนนั้นอย่างละเอียด แววตาพลันหม่นหมองลงทันที“สตรีที่สวมหน้ากากในคืนนั้น มิใช่คนผู้นี้”มิใช่แค่คิ้วและดวงตาที่เผยออกมาภายนอก รูปร่างนี้ก็แตกต่างเช่นกันตงฟางซื่อม้วนภาพเก็บ“ดูเหมือนว่า สตรีผู้นั้นจะหลอกเจ้าแล้ว ทว่านางก็ช่วยเจ้าไว้ ข้าแยกแยะมิออกจริง ๆ ว่า คนผู้นี้เป็นศัตรูหรือเป็นมิตร”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ตกอยู่ในห้วงความคิดในตอนค่ำ เซียวอวี้ก็มาถึงตามเวลาทันทีที่เขาเอ่ยปากก็เป็นความกังวลถึงอาการบาดเจ็บของเฟิ่งจิ่วเหยียน เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบว่า: “ที่จริงก็ดีขึ้นมากแล้ว”ในเวลาเดียวกับที่เซียวอวี้คลายกังวล ก็
ความนุ่มนวลจากการจูบ ราวกับถูกปกคลุมด้วยขนนก ทั้งทะนุถนอม ดูเหมือนกลัวว่าจะทำให้นางเจ็บ เพียงสัมผัสแรกก็แยกออกจากกัน เซียวอวี้มีความสามารถในการดื่มสุราอย่างมากในฐานะฮ่องเต้ ขาดมิได้ที่จะต้องดื่มสุราในงานเลี้ยงภายในวังหากไม่มีความสามารถในการดื่มเพียงใดก็ไม่เมา ก็คงจะถูกผู้คนหัวเราะเยาะได้สุราเพียงเล็กน้อยในคืนนี้ ยังมิเพียงพอที่จะทำให้เขาขาดสติในเวลานี้ เขาออกแรงโอบกอดนางไว้ในอ้อมแขน โดยแสร้งทำเป็นขาดสติจากการมึนเมาเฟิ่งจิ่วเหยียนตกใจกับจูบเมื่อครู่นี้ จึงรีบผลักเขาออกไป และถอยหนี จนแผ่นหลังชนเข้ากับผนัง ฝ่ามือใหญ่ของบุรุษวางทับอยู่บนแผ่นหลังของนาง ภายใต้การปกป้องของมือ นางจึงมิได้รับแรงกระแทกมากเกินไปแม้กระทั่งความร้อนจากฝ่ามือของเขายังทะลุผ่านอาภรณ์ และส่งต่อมายังผิวหนังของนาง หากเทียบกับการจูบเมื่อครู่ที่ราวกับแมลงปอบินแตะน้ำนั้น ร้อนแรงกว่ามาก ทำให้นางตัวสั่นอยู่พักหนึ่งนางชะงักงันอย่างกะทันหัน เซียวอวี้มือหนึ่งเลื่อนมาหลังศีรษะนาง และก้มหัวลงมาตรงซอกคอของนางพร้อมหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ทั้งค่อย ๆ โน้มตัวลง ราวกับว่าในเสี้ยววินาทีนั้นเขาสูญเสียพละกำลังทั้งหมด“เรา.
บุรุษถอดหน้ากากออก เผยให้เห็นใบหน้าอ่อนเยาว์อันหล่อเหลาจากการสังเกตอายุน่าจะยังไม่ถึงยี่สิบปี ในดวงตากลับเคร่งขรึมกว่าคนรุ่นเดียวกัน ราวกับถูกแช่อยู่ในยาน้ำแห่งความเกลียดชังมาตลอดทั้งปีเขามองดูท่าทางของเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ประหลาดใจจนถึงกับตะลึงงันด้วยความชอบใจ พร้อมเอ่ยโดยเสียงท้ายขึ้นเสียงสูง “เป็นอย่างไร จำข้ามิได้หรือ? พี่สะใภ้”เขากัดฟันหนัก ๆ คำว่า “พี่สะใภ้” ทว่ากลับไม่มีความรู้สึกเคารพแม้แต่น้อยร่างกายของเฟิ่งจิ่วเหยียนแข็งเกร็ง ม่านตาสั่นไหว“อาเจิ้ง...”คนผู้นั้นได้ยินชื่อเรียกที่คุ้นเคยนี้ ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา ดวงตากลับแดงก่ำในทันที“ห้ามเรียกข้าเช่นนี้!“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยเป็นพี่สะใภ้ข้า ตอนนี้ เจ้าใช้สถานะใด?“ดังนั้น...อย่ามาทำท่าทางที่ดูสนิมสนมกับข้าเสียเหลือเกิน ข้ารู้สึกรังเกียจ!”ปลายนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนเย็นวาบเมื่อมองเห็นใบหน้าดวงนั้นที่มีส่วนคล้ายกับต้วนไหวซวี่ ในเสี้ยววินาทีนั้นในดวงตาของนางก็เต็มไปด้วยน้ำตาแห่งความขมขื่น นางรู้สึกดีใจที่ต้วนเจิ้งยังมีชีวิตอยู่เมื่อนึกย้อนไปถึงครั้งแรกที่พบเขา เขามีอายุเพียงสิบสามสิบสี่ปีเท่านั้น ทั้งตัวคนดูผอ
ไทฮองไทเฮาทรงถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลา แต่ยังรักษาความน่าเกรงขามเอาไว้อย่างเต็มที่เหล่าท่านอ๋องมองเห็นนาง ทุกคนถึงกับตาค้างแม้แต่เสด็จย่าก็ถูกส่งเข้ามาในคุกเทียนเหลาด้วยหรือ?ถ้าเช่นนั้นพวกเขา...ดูเหมือนจะไม่ถูกปรักปรำแล้วช้าก่อน!หรือว่าพวกเขาจะก่อกบฏตามไทฮองไทเฮาจริง ๆ?สวรรค์!หญิงชราผู้นี้ ไม่เพียงทำร้ายคนอื่นก็ยังทำร้ายตนเองด้วย!เหล่าท่านอ๋องพลันนิ่งเงียบไม่ส่งเสียง แอบขบเขี้ยวเคี้ยวฟันในเวลานี้ พลุดอกไม้ไฟนอกคุกเทียนเหลาอยู่ ๆ ก็ดังขึ้น พวกเขารู้สึกถึงความอ้างว้างคืนวันดี ๆ ส่งท้ายปีเก่า พวกเขากลับต้องอยู่ในคุกเทียนเหลา ช่างเป็นกรรมแท้ ๆ!ไทฮองไทเฮาทรงเข้ามาในห้องขังแห่งนี้ ก็เห็นมู่หรงหลันแม่ลูกอยู่ที่นี่ด้วยในใจนางรู้สึกหวาดหวั่นเมื่อหันกลับมา ก็ประสานกับแววตาอันยั่วยุขององครักษ์ลับผู้นั้น และถูกเย้ยหยัน“คนสามรุ่นอยู่ร่วมกัน ไทฮองไทเฮา หญิงชราเช่นท่านช่างโชคดีเหลือเกิน”ขณะที่พูด หญ้าหางจิ้งจอกของคนผู้นั้นก็ขยับขึ้นลง แสดงออกถึงการยั่วยุไทฮองไทเฮาทรงทรมานพระทัยอย่างมากมู่หรงหลันได้รับบาดเจ็บหนัก ถูกโยนไว้ที่มุมห้องอย่างไม่ใส่ใจ เอนพิงอยู่ข้างกำแพง ห
ขณะเหม่อลอย เซียวอวี้มองเห็นชัดเจนแล้วคนที่วิ่งมาหาเขาจากที่ไกล คือเฟิ่งจิ่วเหยียน!คือคนที่เขาคะนึงถึงทุกคืนวัน!เขาพยายามอย่างเต็มที่ ให้หลุดพ้นจากพื้นหิมะที่กลืนกินคนหลุดพ้นจากตะขอและสิ่งพัวพันที่ไร้ตัวตนเหล่านั้นเขาลุกขึ้นพร้อมกับคำรามเบา ๆ คิดจะวิ่งไปข้างหน้า นาทีเดียวก็ไม่กล้ารีรอ กลัวว่านี่จะเป็นเพียงภาพลวงตาของเขาในเวลาเดียวกันนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ใกล้เขาเข้ามาเรื่อย ๆ เช่นกันสองคนอยู่ท่ามกลางหิมะโปรยปรายเต็มท้องฟ้า ทั้งคู่ต่างวิ่งเข้าหากันในที่สุด ก็โอบกอดกันท่ามกลางหิมะมีเพียงวินาทีที่สวมกอดอีกฝ่าย ถึงได้กลับสู่ความเป็นจริงโดยสิ้นเชิงเซียวอวี้สวมกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้แน่น ปล่อยให้ลมหิมะพัดถาโถมเขาจุมพิตที่หน้าผากและแก้มของนาง รับรู้ถึงความอบอุ่นของนางมือข้างหนึ่งประคองหลังศีรษะนาง หน้าผากชนกัน ลมหายใจรินรดกัน ริมโสตคือเสียงลมหวีดหวิว เขาได้ยินนางเรียกเขาอย่างชัดเจน“ฝ่าบาท...”เซียวอวี้รับรู้เพียงใบหน้าชื้นแฉะ ไม่รู้สึกตัวว่า น้ำตาอุ่น ๆ ที่เอ่อคลอของเขาไหลออกมา นั่นคือความปีติยินดีที่ยากเกินบรรยายจากสิ่งที่สูญเสียได้คืนกลับมาเขาตื้นตันใจอย่างมา
“จิ่วเหยียนนาง...ยังมีชีวิตอยู่!” นิ้วมือของเซียวอวี้สั่นรัว ความรู้สึกมากมายเกิดขึ้นในจิตใจ ขณะเหม่อลอย รู้สึกเพียงตัวอยู่ในความฝันช่วงเวลาที่ผ่านมานี้ เขาราวกับศพเดินได้ก็มิปานถึงแม้วางแผนจะจัดการกลุ่มกบฏเหล่านั้นให้หมดในคราวเดียว ก็มักจะทำแบบขอไปที ความจำก็ถดถอย มิรู้ว่าตนเองเคยเตรียมการเรื่องใดบ้างคนอยู่ที่นี่ ใจกลับล่องลอยไปที่ภูเขาหิมะเทียนฉือบัดนี้ ได้ยินข่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยังมีชีวิตอยู่ เขาถึงรู้สึกว่าตนเองกลับมามีชีวิตแล้วนางยังมีชีวิตอยู่!เซียวอวี้หันหลังให้ทุกคน ดวงตาแดงก่ำด้วยความตื้นตันใจ น้ำตาพลันเอ่อล้นในทันทีเขารู้อยู่แล้วว่า แม่ทัพน้อยของเขา จะไม่มีทางตาย!องค์หญิงใหญ่ทรงตื่นเต้นอย่างที่สุดเช่นกัน ร่ำไห้ด้วยความปีติ“ดีเหลือเกิน! แม่ทัพน้อยยังมีชีวิตอยู่!!”ก่อนหน้านี้ไทฮองไทเฮาทรงพำนักอยู่ที่ภูเขาอวี้หยางมาตลอด มิรู้ที่มาที่ไป ในเวลานี้ถึงรู้ว่า แม่ทัพน้อยเมิ่งกับซูฮ่วนเป็นคนเดียวกันนี่มิได้หมายความว่า นางเคยส่งคนไปลอบสังหารซูฮ่วน และเกือบจะทำร้ายแม่ทัพน้อยเมิ่ง!?สวรรค์!นางทำสิ่งใดลงไป!นางเกือบจะกลายเป็นคนบาปที่ถูกสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลาน!
หากต้องการจะช่วยฮ่องเต้ จักต้องจัดการกับระเบิดฟ้าคำรณเหล่านั้นก่อน โดยเฉพาะยังมีกระสุนมังกรไฟนั่นอีก...เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ แม่ทัพอาวุโสหลี่พลันมีสีหน้าเคร่งขรึมภายในวิหารบรรพบุรุษหม่ากงกงถีบประตูให้เปิดออกในทันที“ฝ่าบาทหนอฝ่าบาท ท่านหลอกลวงพวกเราทั้งหมดแล้ว! ฮ่องเต้องค์ใหม่อะไรกัน ท่านคงเพื่อให้เปิดเผยพวกพ้องที่อยู่ในราชสำนักออกมากระมัง!”เมื่อครู่เขาได้รับข่าวว่า ขุนนางในเมืองหลายคนถูกจับกุมแล้ว ทั้งหมดคือคนที่เลือกสนับสนุนแต่งตั้งรัชทายาท ยังมีคุกเทียนเหลา เส้นสายลับที่ซ่อนอยู่ในคุกเทียนเหลาก็ถูกจับกุมแล้วเช่นกัน!บางคนก็ถูกตัดศีรษะประจานในวันเดียวกัน!แววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา เพียงมองไปยังที่ไกล ๆหม่ากงกงเย้ยหยัน“ทว่าท่านประเมินพวกเราต่ำเกินไป“คนที่ท่านสังหารเหล่านั้นมีความสำคัญอันใด? อีกไม่นาน ประมุขพรรคก็จะนำกองทัพเยี่ยนมาบุกหนานฉี!“คืนนี้ จะให้ท่านมองดูพี่น้องและสตรีของท่าน ตายไปทีละคน! ให้ท่านรับรู้ ผลที่ตามมาของการวางแผนเล่นงานพวกเรา!”ในระหว่างที่พูด เขาก็ออกคำสั่ง เหล่าท่านอ๋องกับนางสนมก็ถูกลากออกไปด้านนอกภายใต้แสงรัตติกาล คมดาบสาดส่องประกายอันเยือกเย็น
“พวกเจ้าเป็นใคร!” มือทั้งสองข้างของมู่หรงหลันมีเลือดไหลอาบ จดจ้องกลุ่มคนสวมหน้ากาก ด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเจ็บปวดแต่ไม่ยอมแพ้บุรุษที่เป็นหัวหน้าเช็ดเลือดบนดาบอย่างไม่รีบร้อน “นายท่านของข้านามสกุลเซียว”เซียว…ทันใดนั้นมู่หรงหลันก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เงยหน้ามองชายหนุ่มอย่างไม่อยากจะเชื่อ“พวกเจ้าคือ องครักษ์ลับ?!”องครักษ์ลับของฝ่าบาท!ดังนั้น เป็นฝ่าบาทส่งพวกเขามาเพื่อจับนาง!ไม่ควรเป็นแบบนั้นพวกเขาทราบได้อย่างไรว่านางจะผ่านทางนี้หรือว่า ฝ่าบาทได้วางแผนล่วงหน้ามานานแล้วคิดได้เช่นนี้ มู่หรงหลันพลันรู้สึกขนลุกนางอยากส่งสัญญาณให้หม่ากงกง ทว่า นางไม่มีมือแล้ว…ณ วิหารบรรพบุรุษแม่ทัพอาวุโสหลี่มาส่งเสบียงอาหารทุกวัน โดยวางไว้นอกประตูวิหารบรรพบุรุษในระยะสองลี้ หลังจากนั้นก็จะมีกบฏพวกนั้นออกมารับไปตั้งแต่ที่ฝ่าบาทถูกจับขัง เวลาก็ผ่านมาครึ่งเดือนแล้วแนวป้องกันของเมืองเซวียนพังทลาย จู้กั๋วกงจึงแอบลักลอบกลับมาที่เมืองเซวียนด้านเป่ยเยี่ยนและหนานฉี ก็กำลังจะมีสงครามภายในห้องฌานเสบียงส่งมาถึงมือของเหล่านางสนม เพื่อป้องกันไม่ให้วุ่นวาย ไทเฮาจึงมีหน้าที่แจกจ่ายตามหลักแล้
เมื่อเผชิญหน้ากับฮ่องเต้องค์ใหม่ที่โผล่มาอย่างกะทันหัน หม่ากงกงก็ตัดสินใจเดินหน้าให้ถึงที่สุดเขาไม่เสแสร้งอีกต่อไป พูดออกไปตามตรงว่า“ไท่ซ่างหวงอยู่ในมือของพวกข้า! หากอยากได้ชีวิตของเขาคืน ก็ต้องคัดราชโองการ ส่งต่อบัลลังก์ให้รัชทายาทที่แท้จริง!”เขาให้ลูกน้องอุ้มเด็กคนนั้นออกมา แล้วพูดกับทุกคนว่า“บุคคลนี้ต่างหากคือบุตรชายแท้ ๆ ของไท่ซ่างหวง ไม่กี่วันได้เปิดเผยตัวตนทำความรู้จักกับไท่ซ่างหวง…”ไม่รอให้เขาพูดจบ รุ่ยอ๋องก็เอ่ยขึ้น“สามหาว! จะสลับสับเปลี่ยนบัลลังก์ เหมือนการเล่นสนุกได้อย่างไร?”แม่ทัพอาวุโสหลี่ผสมโรงด่าอย่างโมโห“หมารับใช้เช่นเจ้ากล้าดีอย่างไร! ถึงได้เอาเด็กที่ไหนไม่รู้มาสวมรอยเป็นโอรสรัชทายาท คิดว่าคนอื่นโง่หรือไง!”เหล่าทหารคนอื่น ๆ ต่างหัวเราะเยาะ“เจ้าโจรขันที นั่นคือลูกชายของเจ้าล่ะสิไม่ว่า!”สีหน้าของหม่ากงกงมืดลงเรื่อย ๆ“พวกเจ้าไม่เชื่อใช่ไหม! ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะส่งไท่ซ่างหวงกลับสวรรค์! รุ่ยอ๋อง แม่ทัพอาวุโสหลี่ยังไม่บอกท่านสินะ ว่าในวิหารแห่งนี้มีระเบิดฟ้าคำรณ…”ในตอนนี้เอง จู่ ๆ ฮ่องเต้องค์ใหม่ก็คุกเข่าลง ก้มคำนับไปทางวิหาร“เสด็จพ่อ! ก
ทันทีที่เสียงระเบิดฟ้าคำรณดังขึ้นมา องค์ชายทั้งหลายก็วุ่นวายกันไปหมด“ทำไมจู่ ๆ ก็ระเบิดล่ะ?”“ต้องเป็นฝ่าบาทแน่ ๆ! อย่าลืมสิ ฝ่าบาทตรอมใจเพราะความรัก เขาต้องการให้เราลงสุสานไปด้วย!”“โถ่โว๊ย! ไม่ว่าจะเป็นใคร ปล่อยข้าออกไปเดี๋ยวนี้! ข้าไม่ได้ทำอะไรผิด!”เหล่านางสนมเองก็กรูเข้ามากอดกันไว้ ทั้งยังจ้องบานประตูอย่างไม่สบายใจขณะนี้ ด้านบอกประตูวิหารบรรพบุรุษหม่ากงกงตะโกนไปทางป่าแห่งนั้นเสียงดัง “ออกมาเถอะ! ข้าเห็นพวกเจ้าแล้ว!”เหล่าทหารที่อยู่ในป่านิ่งงันไม่ไหวติงหม่ากงกงข่มขู่ “เสียงเมื่อครู่ พวกเจ้าได้ยินแล้วใช่หรือไม่? หากยังไม่ออกมา ข้าจะพังข้างในให้ราบเป็นหน้ากลอง!”สิ้นเสียงของเขา แม่ทัพอาวุโสหลี่ก็ลุกออกมา“โจรขันที! เจ้ากล้าหรือ!ภายใต้แสงจันทร์ หม่ากงกงยิ้มอย่างโอหัง“ที่แท้ก็เป็นแม่ทัพอาวุโสหลี่นี่เอง!“ข้าขอคารวะอยู่ตรงนี้แล้วกันนะ!“ท่านแม่ทัพ ฝ่าบาทกับองค์ชายทั้งหลายกำลังปรึกษาหารือเรื่องแคว้นกันอยู่ ข้าได้รับคำสั่งจากไทฮองไทเฮา ให้เฝ้าอยู่ตรงนี้ ห้ามให้คนร้ายเข้าไปรบกวนวาระอันศักดิ์สิทธิ์“ท่านระดมกำลังคนมามากมายขนาดนี้ คิดจะก่อกบฏหรือ!”เมื่อได้ยินเขาร้อ
วิหารบรรพบุรุษถูกกลุ่มกบฏล้อมเอาไว้ กอปรกับระเบิดฟ้าคำรณเหล่านั้น จึงไม่มีผู้ใดกล้าก้าวผ่านดงระเบิดนั้นไป เหล่าท่านอ๋องบ่นกันไม่หยุด“ข้าบอกแล้วว่าไม่เข้าร่วม ไม่เข้าร่วม! ก็ยังจะให้ข้ามาให้ได้!”“นั่นสิ! หากรู้ตั้งแต่แรกว่าเสด็จย่าจะแต่งตั้งรัชทายาท พวกเราจะมายุ่งวุ่นวายไปทำอะไร! ตอนนี้เป็นอย่างไรล่ะ ต้องมาถูกกลุ่มกบฏจับขัง น่าขายหน้าจริง ๆ!”พวกเขาล้วนเป็นคนสูงศักดิ์ในราชวงศ์ อาหารการกินและข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันล้วนเป็นของที่ดีที่สุด พอคราวนี้ต้องมาเบียดเสียดรวมกันอยู่ในห้องฌานห้องเดียว ซึ่งเตียงที่มีเพียงหลังเดียว ถูกผู้มีอำนาจสูงสุดอย่างซู่อ๋องยึดครองไปแล้ว คนอื่น ๆ จำต้องนอนบนพื้นข่าวที่ฝ่าบาทถูกขังถูกส่งต่ออย่างรวดเร็ว จนรุ่ยอ๋องรู้เรื่องในวันนั้นรุ่ยอ๋องรับคำสั่ง กำจัดกลุ่มลับในราชวัง และส่งตัวแม่ทัพอาวุโสหลี่นำกองกำลังไปช่วยเหลือแม่ทัพอาวุโสหลี่นำทัพทหารรักษาพระองค์เข้าบุกวิหารบรรพบุรุษเขาไม่ได้รีบร้อนช่วยคนออกมา สังเกตสถานการณ์ของศัตรูก่อนเป็นอย่างแรกซึ่งก็พบสิ่งผิดปกติอย่างที่คิดไว้ตามหลักแล้ว ราชองครักษ์ของไทฮองไทเฮากับองค์ชายทั้งหลาย มีจำนวนมากกว
แม้นจะบอกว่าช้าแต่กลับเร็วกว่าที่คิด หม่ากงกงถีบระเบิดสายฟ้าจนปลิว ไม่ให้องครักษ์จุดมันเขาอ้าปากตะคอก“ไสหัวเข้าไปในวิหารบรรพบุรุษให้หมด!! อยากตาย มันไม่ง่ายขนาดนั้น!”พวกเขาบ้าไปแล้ว!ทุกคน แม้แต่ฮ่องเต้ ต่างถูกขังไว้ในวิหารบรรพบุรุษไทฮองไทเฮาและเหล่าสตรีในวังหลังถูกขังไว้ด้วยกันสีหน้าของผู้อาวุโสเช่นนางไม่ค่อยดีนัก รู้สึกคิดผิดและรู้สึกโทษตัวเองที่เผลอไปเชื่อมู่หรงหลัน“ข้าไม่คิดเลยว่า หลันเอ๋อร์จะร่วมมือกับกลุ่มกบฏพวกนั้น…”นางเอาแต่พร่ำบ่น แต่กลับไม่ฟังคำพูดเข้าอกเข้าใจของคนอื่น จนทำให้หนิงเฟยหงุดหงิดหนิงเฟยทนไม่ไหว จึงดุด่านางไป“ยายแก่น่ารำคาญ! พอได้แล้ว!”“จะแสร้งทำเป็นไม่มีความผิดไปทำไม! หากไม่ใช่เพราะท่านช่วยเหลือพวกเผด็จการ พวกเราจะตกอยู่ในสถานการณ์นี้หรือ? ท่านป่วยมาตั้งนาน ทำไมไม่ตาย ๆ ไปซะ!”ไทฮองไทเฮาไม่อยากจะเชื่อ หนิงเฟยที่เคยเคารพนางในยามปกติ จะกล้าตะคอกใส่นางเช่นนี้“เจ้า…บังอาจ!”ไทเฮาโอบไหล่ของหนิงเฟย ปกป้องนางไว้ในอ้อมกอด “ไทฮองไทเฮา หนิงเฟยคงตกใจกลัว ถึงได้หลุดวาจาไม่สุภาพ…”“ฮือ ๆ…” ในมุมหนึ่งมีนางสนมร้องไห้สะอึกสะอื้น “ข้าอยากกลับบ้าน หากรู้เ