ณ ห้องส่วนตัวในโรงพักแรมเจินเจินคารวะเซียวอวี้อย่างเต็มพิธีการ“หม่อมฉันคารวะฝ่าบาทเพคะ!”เซียวอวี้หันไปอธิบายให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟัง“นี่คือบุตรสาวของเจินหรูไห่ นามเจินเจิน เราสั่งให้นางจัดตั้งกองทัพหญิง”เจินเจินคำนับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างคนระดับเดียวกันเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบเจินเจินพูดกับนางอย่างตรงไปตรงมาว่า“วันที่ฝ่าบาทเสด็จไปตรวจสอบกองทัพทรงเห็นข้าว่าใช้ทวนยาวได้ดี จึงทรงให้ข้าเข้าร่วมกองทัพตามอุดมการณ์ของข้า ทั้งยังทรงช่วยถอนหมั้นให้ข้า“ฝ่าบาททรงมีบุญคุณต่อข้า ข้าไม่มีทางทำผิดต่อความคาดหวังนี้เด็ดขาด“สตรีในเมืองหลวงส่วนใหญ่ถูกเลี้ยงดูอย่างเอาแต่ใจมาแต่เด็ก ไม่มีเด็กสาวสมัครเป็นทหารหญิงซักเท่าใด ข้าจึงลองมาที่เมืองอันดู“นึกไม่ถึงว่าจะบังเอิญถึงเพียงนี้...”ยามที่นางกำลังพูดอยู่ เซียวอวี้สังเกตสีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสีหน้าคลุมเครือทว่าเพราะมีหน้ากากบังอยู่ เขาจึงได้แต่ตัดสินจากแววตาและวงโค้งของมุมปากว่านางอารมณ์ดีหรือไม่ดีทว่านางเป็นคนที่ไม่ค่อยแสดงอารมณ์ออกมา ทำให้เขาเดาไม่ถูกเขายอมรับ ตอนแรกนั้นเขารู้สึกว่าเจินเจินมีส่วนที่เหมือนนางจริง ๆ ใช้ทวนยาวเหมื
เพื่อที่จะสลัดเซียวอวี้ออกให้ได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนทำได้เพียงทำทุกอย่างให้บรรลุผลเป้าหมายโดยไม่เลือกวิธีการ“ใช่ ข้า...ตกหลุมรักแม่นางเจินเจินตั้งแต่แรกเห็น”เซียวอวี้หัวเราะเย็นทันใดนั้นก็ดูเหมือนเขาโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ยกมือพาดคล้องคอนางด้านหลัง“เช่นนั้น เราพระราชทานสมรสให้พวกเจ้า ดีหรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยายามดันมือของเขาออก เขากลับยิ่งรัดให้แน่นขึ้น ทั้งยังเอียงลำตัวช่วงบนมาชิดนาง“ถึงอย่างไรเราก็ไม่อาจแต่งตั้งบุรุษเป็นสนมได้ เจ้าแต่งเข้าตระกูลเจิน ทีนี้ก็ต้องอยู่ที่เมืองหลวงตลอดไปแล้ว“ช่วงเช้าเจ้าก็เป็นสามีภรรยากับเจินเจินผู้นั้น ตกกลางคืนก็มาเป็นสามีภรรยากับเรา...”“เหลวไหลสิ้นดี!” เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดอยากใช้แรงผลักเขาออกไปทว่าพลันถูกเขาจับมือข้างนั้นที่ใช้ผลักคนไปคำพูดเมื่อครู่ของนางออกจะดังไปซักหน่อย เจินเจินที่อยู่ด้านนอกได้ยินจึงลดความเร็วลงแล้วถามด้วยความกังวล“ฝ่าบาท คุณชายซู พวกท่านเป็นอะไรหรือไม่?”“ไม่มีอะไร” น้ำเสียงที่น่าเกรงขามของเซียวอวี้ ทำให้นางหมดความสงสัยมือหนึ่งเขาคล้องหลังคอของเฟิ่งจิ่วเหยียน อีกข้างจับข้อมือของนาง ส่วนนางใช้มืออีกข้างดันลงบนอกของ
เฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองเซียวอวี้อย่างสงบแล้วเอ่ยถาม“เหตุใดท่านต้องหลอกข้าว่าท่านชอบบุรุษด้วย”ดวงตาสีดำสนิทของเซียวอวี้ลึกล้ำและเด็ดเดี่ยว“เป็นเจ้าที่เข้าใจเราผิดก่อนว่าเราชอบบุรุษ เราก็แค่เอาคืนเจ้า”เมื่อฟังคำตอบเฟิ่งจิ่วเหยียนก็อยากจะกัดเขาให้ตายเอาคืน?ทำไมเขาถึงใจแคบขนาดนี้!ไม่รู้หรือว่านางอกสั่นขวัญหายมาตลอดทาง เอาแต่วิตกกังวลอยู่ตลอดเวลา!ทว่าโชคดีนักที่เขาไม่ได้ชอบบุรุษจริง ๆเซียวอวี้กลับถามอีกครั้งว่า“ว่าแต่เจ้าชอบสตรีจริง ๆ รึ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าทันที “ใช่”เซียวอวี้มองสังเกตนางทั้งร่าง“หร่วนฝูอวี้ตามติดเจ้ามาหลายปีขนาดนี้ ก็ไม่เห็นเจ้าจะสู่ขอนาง หรือเจ้าจะไม่ไหว?”เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบเขาอย่างใจเย็น“ยุทธภพยังไม่สงบ จะสร้างครอบครัวได้อย่างไร”เซียวอวี้ตอบอย่างเคร่งขรึมว่า“นี่มันสลับกันแล้ว จะสร้างตัวสร้างฐานะต้องมีครอบครัวก่อนจึงจะถูก”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างสงบว่า“สำหรับข้าแล้วการมีครอบครัวเป็นเรื่องยุ่งยาก”ตอนนี้นางตัวคนเดียวก็ดีอยู่เซียวอวี้แก้คำพูดนางอย่างผู้มีประสบการณ์“เจ้าไม่เคยแต่งงานย่อมไม่เคยรับรู้ถึงรสชาติของการแต่งงาน หยินหยางผ
เรื่องที่ฮ่องเต้เสี่ยงชีวิตช่วยคน ตงฟางซื่อไม่ได้คิดไปในแง่ที่ลึกกว่านั้น เขาเพียงถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า“ฝ่าบาทช่างเห็นค่าบุญคุณยิ่งนัก ข้าไม่นึกเสียใจเลย ที่ได้ยื่นมือเข้าไปช่วยตอนสงครามเมืองเซวียน”ต่อมาก็เอ่ยเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“วิหารลัทธิเต๋าไฟไหม้ ไม่ใช่เรื่องบังเอิญแน่นอน เมื่อคืนมีคนจ้องจะเล่นงานเราถึงตาย”เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดเช่นนั้นเหมือนกัน จึงเล่าให้ตงฟางซื่อฟังว่า นางพลัดตกกับดักกลไกและเซียวอวี้ช่วยนางอย่างไร สุดท้าย นางก็คาดการณ์ว่า“นักฆ่าที่โผล่มาในตอนหลัง ต้องเป็นคนจากสำนักอื่นแน่ ๆ”“ถ้าพวกเขาไม่ได้ร่วมมือกับสำนักจื่อหยาง ก็ต้องแอบวางแผนอะไรลับ ๆ อยู่เป็นแน่ ถ้าเป็นอย่างแรก ก็คงเป็นสำนักทั่วไป หากเป็นอย่างหลัง…”ต่อมา ตงฟางซื่อก็พูดเป็นเสียงเดียวกันกับนางอย่างรู้ใจ “ก็แสดงว่าเป็นพรรคเทียนหลง”หลังจากเอ่ยถ้อยคำนี้ ตงฟางซื่อก็ทำการตัดสิน“กลไกที่ห้องโถงหลักในวิหารลัทธิเต๋า ต้องไม่ได้อยู่ในแผนการของสำนักจื่อหยางแน่ ๆ”“มิเช่นนั้น พวกเขาคงสามารถล่อพวกเราไปที่ห้องโถงหลักตั้งแต่เริ่มต้นแล้ว“ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเอนเอียงไปทาง ความเป็นไปได้ที่ว่าพรรคเทียนหลงกำลังว
แม้นในใจเซียวอวี้จะหงุดหงิดเพียงใด แต่เบื้องหน้ายังต้องแสร้งทำเป็นไม่มีอะไร“พวกเจ้ากำลังดูอะไรกันอยู่หรือ?”ตงฟางซื่อเงยหน้าขึ้นมา แล้วอธิบายว่า“แผนที่น่ะ ซูฮ่วนอยากรู้ว่าเส้นทางไหนสามารถขุดจากเมืองหลวงไปถึงเมืองอานได้…”เซียวอวี้: แค่ดูแผนที่ จำเป็นต้องใกล้กันขนาดนั้นเลยหรือ?เขาเดินเข้าไป และนั่งลงที่ขอบเตียงเช่นกัน“เราขอดูด้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้คิดอะไรมาก จึงชี้แผนที่ที่ทำสัญลักษณ์ไว้แล้วให้เขาดู“เมื่อครู่พวกข้ากำลังถกประเด็นกัน จากวิหารลัทธิเต๋าถึงเมืองอาน คร่าว ๆ ต้องเริ่มจากทิศตะวันออก ผ่านเมืองร้าง ไปถึงหุบเขาหลิวหลี ยึดตามข้อมูลที่สอบถามมาได้ วิหารลัทธิเต๋าถูกปล่อยร้างเมื่อหลายปีก่อน บางทีอาจจะมีคนเริ่มขุดตั้งแต่ตอนนั้นก็ได้…”เซียวอวี้ฟังนางพูดไปพลาง มองดูแผนที่จากนั้น นิ้วมือเรียวยาวของเขาก็ชี้ไปยังมุมทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมืองหลวง“ระยะช่วงแรกไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่ระยะช่วงหลังมานี่ น่าจะขุดตรงไปทางทิศตะวันออกไม่ได้ ต้องหักเอียงไปทางทิศใต้แทน แล้วค่อยวกขึ้นเหนือ”เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนมองสถานที่ที่นิ้วมือของเขาชี้ หัวคิ้วก็ขมวดเล็กน้อย“นั่นหมายความว่าต้
ภายใต้ท้องฟ้าทะเลดาว เฟิ่งจิ่วเหยียนเริ่มง่วงขึ้นมาเซียวอวี้อุ้มนาง แล้วยิ้มบางเบาดุจสายลมเย็น ไร้มาดเคร่งขรึมเหมือนในยามปกติ“กลับไปนอน”ภายในเรือนเฉินจี๋เห็นฝ่าบาทอุ้มซูฮ่วนกลับมา หัวใจพลันกระตุกวูบเซียวอวี้กลับเห็นว่า ในเรือนยังมีใครอีกคนยืนอยู่ด้วยนั่นคือรุ่ยอ๋องเมื่อรุ่ยอ๋องเห็นภาพนี้ ดวงตาพลันก่อเกิดอารมณ์แปลกประหลาด“เจ้ามาทำไม” เซียวอวี้เอ่ยปาก ซักถามทันทีรุ่ยอ๋องก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม“กระหม่อม เป็นห่วงความปลอดภัยของฝ่าบาท”เซียวอวี้ก้มมองคนในอ้อมกอด จากนั้นก็พานางเข้าไปส่งในห้องหลักก่อนรุ่ยอ๋องเงยหน้ามองแผ่นหลังของทั้งสองคน ด้วยสายตามืดสลัวเหตุใดฝ่าบาทถึงใกล้ชิดกับซูฮ่วนถึงเพียงนี้ล่ะ?ไม่นานหลังจากนั้น เซียวอวี้ก็ออกมาเขาอยู่ในชุดคลุมผ้าไหม ไม่เข้ากับสถานที่ธรรมดาแห่งนี้อย่างยิ่ง“ออกไปคุยข้างนอก” เขาพูดกับรุ่ยอ๋องรุ่ยอ๋องตามเขาออกไป……“ใครบอกให้เจ้าตามสืบการเดินทางของรา” แววตาของเซียวอวี้เยือกเย็นเล็กน้อยแม้นรุ่ยอ๋องจะเป็นเสมือนมือซ้ายมือขวาและพี่น้องที่คอยช่วยเหลือกัน ก็ไม่สมควรตามสืบเรื่องของเขาตามอำเภอใจรุ่ยอ๋องประสานมือคารวะ“หรงเฟยพ่ะ
ยุทธภพกับราชสำนัก แบ่งแยกอำนาจการปกครองผู้ใดก็ไม่คาคคิด ว่าทหารจะล้อมปราบปรามแต่ละสำนักอย่างเปิดเผยเช่นนี้ก่อนหน้านี้พวกเขาไม่ได้รับข่าวสารใด ๆ เลย แม้แต่พรรคเทียนหลงที่มีหน่วยสอดแนมเป็นหูเป็นตามากมาย ก็ยังไม่เคยได้รับข่าวใด ๆ ดังนั้น สำหรับพวกเขาแล้ว การล้อมปราบปรามในครั้งนี้จึงมาอย่างไม่ทันได้ตั้งตัวเกินไปผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลงลุกขึ้นทันที ออกคำสั่งว่า“ล่าถอย”ทันทีที่ปริปาก แม่นางหร่านที่ใส่ผ้าคลุมหน้าก็เข้ามาในห้อง วิ่งตรงเข้ามาหาผู้พิทักษ์“ท่านประมุขรู้เรื่องนี้แล้ว ผู้พิทักษ์ ตอนนี้เจ้ากำลังทำให้ราชสำนักแตกตื่น นับเป็นความผิดมหันต์!”แววตาของผู้พิทักษ์เยือกเย็นเป็นแค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม กล้าดีอย่างไรมาสอนเขา?“เจ้ารีบไปคุ้มกันท่านประมุข ฝากบอกท่านประมุขด้วย ข้าจะไปรับโทษด้วยตัวเอง”คนจากสำนักอื่นที่มาขอความช่วยเหลือเห็นท่าทีไม่ดี จึงพากันรีบเผ่นหนีทหารบุกมาอย่างองอาจ พวกเขารับมือไม่ไหวแน่ทุกสำนักตกอยู่ในศึกอันขมขื่นระยะเวลาเพียงชั่วข้ามคืน ยุทธภพกลับปั่นป่วนไปหมดคุกในแต่ละแห่งอัดแน่นไปด้วยคนจนวุ่นวายชาวยุทธภพลงนามร่วมต่อสู้ ฟ้องร้องเรื่องที่ราชส
ภายในศาลาแปดเหลี่ยมอันเงียบสงบทางทิศตะวันตกของวัง มีสองพี่น้องนั่งเผชิญหน้ากันอยู่บนโต๊ะหินมีกระดานหมากรุกวางบนนั้น ซึ่งใกล้จะจบตาแล้วใบหน้าของเซียวจั๋วประดับด้วยรอยยิ้มบางเบา ราวกับว่ายังเป็นพี่ชายผู้มีจิตใจโอบอ้อมอารีย์เหมือนในตอนนั้น“แนวการเล่นหมากรุกของฝ่าบาทแตกต่างจากเมื่อก่อนเยอะเลย”เซียวอวี้พูดลอย ๆ “ทุกสิ่งย่อมมีการเปลี่ยนแปลง”เซียวจั๋วส่งเสียงกระแอม เหมือนกำลังข่มกลั้นอะไรบางอย่าง“มีบางอย่าง ที่อยากถามฝ่าบาทมาโดยตลอด“เรื่องในครานั้น ท่านเจ้าเชื่อว่าข้าคือผู้บริสุทธิ์หรือไม่?”ตอนนั้น องค์รัชทายาทลอบฆ่าพี่ชายแท้ ๆ ทั้งยังก่อกบฏเพื่อประโยชน์ส่วนตัว สร้างความสั่นสะเทือนแก่ราชสำนักสายตาของเซียวอวี้ทอดมองผิวน้ำบริเวณห่างไกล กล่าวอย่างเชื่องช้าว่า“เรื่องมันผ่านมาตั้งนานแล้ว เราจำไม่ได้”เซียวจั๋วยิ้มออกมาบางเบา นัยน์ตาทอแววขมขื่น“พูดตามตรง จนถึงตอนนี้ข้ายังคาดคิดไม่ถึงเลยว่า สุดท้ายคนที่ได้นั่งบัลลังก์ จะเป็นท่าน”ในการแข่งขันขององค์ชายทั้งหลาย เซียวอวี้เป็นคนที่ถูกตัดออกไปขุนนางในราชสำนักเองก็ไม่มีใครอยู่ข้างเขาใครก็ไม่รู้ว่า ฮ่องเต้องค์ก่อนจะเลือกเดิน
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั
บนบัลลังก์มังกร หลิวอิ๋งมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังได้เปรียบแล้วฝืนยิ้ม“ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเรื่องภายในของแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นหนานฉี...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะหลิวอิ๋งที่กำลังพูดด้วยแววตาเย็นชา“ข้าจะพบประมุขแคว้น”หลิวอิ๋งซ่อนเจตนาไม่ดีไว้ในรอยยิ้ม“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ประมุขแคว้นทรงสวรรคตแล้ว ยามนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะกลัวว่าในแคว้นจะเกิดความวุ่นวาย หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็รีบไปที่ตำหนักบรรทมสิ ประมุขแคว้น...ทรงอยู่ในโลงแล้ว”“อะไรนะ!” ปฏิกิริยาของมั่วซินหมัวมัวรุนแรงมากหลิวอิ๋งแสร้งแสดงท่าทีเสียใจ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้า ไหล่สั่นสะท้าน ราวกับกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้านางก้มศีรษะลงครึ่งนึง แล้วกล่าวเสริมว่า“เหล่าขุนนางรักเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังพวกท่าน ทว่านี่เป็นเรื่องกะทันหัน ภายในก็วุ่นวาย ภายนอกศัตรูรุกราน ข้าไม่กล้าพูดออกมา“วันนี้ กบฏมั่วซินกลับเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง ในที่สุดวิญญาณของท่านพี่ที่อยู่บนสวรรค์ ก็ได้ตายตาหลับเสียที“ท่านพี่...”นางร้องไห้เสียใจ ทำให้เหล่าขุนนางร้องตามไปด้วย“ท่านประมุข!”มั่วซินห
เหล่าขุนนางของแคว้นซีหนี่ว์ล้วนรู้ดี มั่วซินหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ข้างกายประมุข ได้รับความไว้วางใจจากประมุขเป็นอย่างมากคำพูดของนาง น่าจะไม่ผิดทว่า ใต้เท้าซู่ยวนคนนี้ เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของประมุข...ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครมั่วซินกล่าวหาว่าสถานะซู่ยวนเป็นตัวปลอม ซู่ยวนก็กล่าวหาว่ามั่วซินกบฏ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นของตนเองจนเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาพูด“เหตุใดไม่ให้ประมุขทรงตรัสด้วยตนเอง?”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สายตาหลิวอิ๋งฉายแววความโหดร้าย“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทำร้ายพี่สาว! พวกเจ้าเป็นโจรกบฏ อย่าคิดที่จะได้พบประมุข! ทหาร จัดการพวกนาง!”“ข้าจะดูว่าใครกล้าลงมือ!” แม่ทัพใหญ่หูย่วนเอ๋อร์ออกมายืนด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนกับมั่วซินหมัวมัวหลิวอิ๋งตำหนิหูย่วนเอ๋อร์“แม่ทัพหู เจ้าก็คิดจะกบฏหรือ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความจริง ถูกคนหลอกลวง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบมายืนฝั่งข้า! จับกุมตัวโจรกบฏ!”หูย่วนเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม“ต่อให้จะลงโทษใคร ก็ควรให้ประมุขตัดสิน! ใต้เท้าซู่ยวน ประมุขอยู่ที่ใด!”หลิวอิ๋งเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดตนเอง บีบ
ในพระราชวัง แคว้นซีหนี่ว์หลิวอิ๋งพาประมุขกลับวังอย่างเปิดเผย เหล่าข้าหลวงล้วนเคารพนาง ไม่สงสัยในตัวนางเพื่อไม่ให้ประมุขเปิดปากขอความช่วยเหลือ หลิวอิ๋งให้นางทานยาสลบ ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะหมดสติเทียบกับความใจเย็นของหลิวอิ๋ง เจิ้งจีรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้ามองผู้ใดจนกระทั่งพาประมุขส่งมาถึงตำหนักบรรทม หลังจากสั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไปแล้ว เจิ้งจีค่อยถามด้วยเสียงเบา“ท่านแม่ เราทำเช่นนี้ จะไม่มีใครรู้จริง ๆ หรือ?”หลิวอิ๋งมองประมุขบนเตียง ด้วยแววตาโหดเหี้ยม“นางใกล้จะตายแล้ว ตำแหน่งประมุข ไม่ช้าก็จะเป็นของข้า ขอเพียงข้าควบคุมทั่วทั้งแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้า!”เจิ้งจียังคงรู้สึกหวาดกลัวหวนคิดถึงเมื่อไม่นาน นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาในจวนชานเมือง สังหารองครักษ์ข้างกายประมุข แล้วก็ปลอมเป็นองครักษ์ ร่วมมือกับพวกนาง พาประมุขกลับวังตอนนี้ นักฆ่าพวกนั้นก็อยู่ในวัง กระทั่ง คอยจับตามองอยู่ข้างกายพวกเขาต่อให้ท่านแม่เป็นประมุข ก็จะสามารถสบายใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงหรือ?“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้ากลัว”น้ำเสียงเจิ้งจีสั่นเทาหลิวอิ๋งลูบใบหน้านาง พูดเตือนนาง
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ