“ถวายบังคมฝ่าบาท” สีหน้าตงฟางซื่อสงบอย่างผิดปกติ ปกติแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยามนี้เป็นเหมือนดั่งน้ำตายเซียวอวี้ถามด้วยเสียงเย็นชา“ผู้นำพันธมิตรตงฟาง นี่คือไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นหรือ”ตงฟางซื่ออมยิ้ม พูดขึ้นมาอย่างเยาะเย้ยตนเอง“มิใช่เช่นนั้น ข้าไม่ได้เป็นผู้นำพันธมิตรอะไรแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในใจเขารู้สึกไม่ดี จึงให้เขาไปพักในห้องก่อนจากนั้นนางก็ถามเซียวอวี้“ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?”เซียวอวี้จ้องมองดูเงาหลังของตงฟางซื่อ พร้อมถามขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“คืนนี้เขานอนที่นี่หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพาตงฟางซื่อกลับมา ให้เขาอาศัยอยู่ในจวนที่ตนเองเช่าไว้ชั่วคราว ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมทว่า เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยยังไงชายหญิงมีความแตกต่างกันเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพูดขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ฝ่าบาท”นี่ไม่แตกต่างอะไรกับการไล่แขกเซียวอวี้คว้าจับแขนของนางไว้อย่างกะทันหัน พร้อมพูดขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“ให้เขาไปพักที่อื่น”เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดเพียงว่าเขาไม่มีเหตุผลเซียวอวี้พูดขึ้นมาอีก “เราจะช่วยเช่าเรือนพักให้กับเขา ยังไงเขาก็เคยช่วยเรา เราจะละเล
เฟิ่งจิ่วเหยียนรินน้ำชาให้ตงฟางซื่อ“สีหน้าโศกเศร้า ทำใจสละตำแหน่งผู้นำพันธมิตรไม่ได้หรือ”สายตาตงฟางซื่อ กลับมายิ้มแย้มบ้าง“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยอยากที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรอะไร“ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ยามนั้นข้าถูกคนบีบบังคับไปอยู่ตำแหน่งนั้น“ยามนี้เป็นเช่นนี้ก็ดี ถือว่าได้อิสระกลับมาอีกครั้งแล้ว“ข้าคิดถึงยามที่พวกเราหลายคนบุกยุทธภพมาตลอด“เรื่องของพรรคเทียนหลง เราสืบกันเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะ“สืบเองนั้นถูกต้องแล้ว คนพวกนั้นพึ่งพาไม่ได้”ตงฟางซื่อพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “พวกเขาถูกปิดบังความจริงไปชั่วขณะ อย่าโทษพวกเขา”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉย“ข้าก็รู้อยู่แล้ว เมื่อเรื่องบานปลายถึงขนาดนี้ จะต้องเป็นพรรคเทียนหลง คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน“ทว่าหากพวกเขาไม่มีความคิดส่วนตัว ก็จะไม่ถูกยุแหย่“พรรคจำนวนมากในยุทธภพ ส่วนมากจะมิชอบถูกผูกมัดด้วยระเบียบวินัย“พรรคเทียนหลง เพียงแค่ฉีกเปิดช่องว่างนี้ และขยายให้กว้างขึ้น“ข้าไม่มีความเมตตาเหมือนอย่างเจ้า สำหรับข้า พวกเขาไม่น่าสงสาร”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้ม กลับคืนมามีพลังอีกครั้ง“ซูฮ่วน ยังไงเจ้า
ในวังหลวงในห้องทรงพระอักษร เฉินจี๋ยยกมือประสานถวายบังคม รายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ฝ่าบาท เทียบกับรายชื่อแล้ว วันนี้จับคนยุทธภพที่ต่อต้านราชสำนักได้อีกสองคน ขังไว้ในคุกหลวงแล้ว ตามที่สารภาพ พวกเขาเป็นคนของสำนักชางโกว สืบรู้มาว่าตงฟางซื่อกับซูฮ่วนอยู่ในเมืองหลวง จึงเสี่ยงเข้ามาตามหา”เซียวอวี้อ่านสาส์นกราบทูล หว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความเฉียบขาด พูดขึ้นมาอย่างลอย ๆ“รู้จักรนหาที่ตายจริง ๆ ”เฉินจี๋พูดขึ้นมา“ปกติพวกเขาไม่กล้ามามีเรื่องในเมืองหลวง ทว่าช่วงนี้ มีคำสั่งไล่ล่า ให้รางวัลอย่างงาม จึงมีผู้กล้าเข้ามา”เซียวอวี้วางสาส์นกราบทูล ดวงตาเฉียบคมแฝงไปด้วยไอสังหาร“เราไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร ใครที่เข้ามาในเมืองหลวง คิดต้องการเอาชีวิตของซูฮ่วน ล้วนจัดการให้หมดจน”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”เฉินจี๋น้อมรับพระบัญชา กลับยังมีข้อสงสัยเพียงแค่ซูฮ่วนหรือ? คนพวกนั้นยังต้องการฆ่าตงฟางซื่อด้วยนี่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงเวลารับประทานอาหารเย็นแล้วหลิวซื่อเหลียงถามอย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาท จะให้ตั้งสำรับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ช่วงหลายวันมานี้ แม้แต่อาหารเย็นฝ่าบาทก็ไม่ได้ทานอยู่ในวังแล้วไม่รู้จริง ๆ เลยว่
หลังเที่ยงเฉินจี๋กราบทูลรายงานฮ่องเต้“ฝ่าบาท จ้าวเฉิงคนนั้นไม่ยอมสารภาพอะไร กัดลิ้นฆ่าตัวตายไปแล้ว”ดวงตาเซียวอวี้ปรากฏความโหดร้ายฆ่าตัวตาย ไม่เท่ากับหวาดกลัวในความผิดหรือ“ตรวจสอบยึดจวนตระกูลจ้าว”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”หลังจากนั้น เฉินจี๋ก็กราบทูลรายงานอีก“ฝ่าบาท ช่วงนี้คนของพรรคเทียนหลงได้แสดงตัวอย่างเปิดเผย รวบรวมคนในอู่หลิน ปรึกษาหารือเรื่องจับกุมตัวตงฟางซื่อกับซูฮ่วน ยังกำจัดปีศาจชั่วร้ายมากมาย น่าสงสัยว่ากำลังดึงดูดใจผู้คน”ท่าทีเซียวอวี้เยือกเย็นชายามค่ำเขามาหาเฟิ่งจิ่วเหยียน เล่าเรื่องนี้ให้กับนางฟัง“ยามนี้พรรคเทียนหลงปรากฏตัวแล้ว เจ้ามีแผนการอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างสงบ “ฆ่าพวกเขาให้หมด”เซียวอวี้ก็คิดเช่นนี้“หากเจ้าต้องการคน บอกกับเราได้เลย”“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฟิ่งจิ่วเหยียนถวายความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ประคองแขนของนางไว้ทันที “เราเห็นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”วินาทีที่ถูกเขาสัมผัส เฟิ่งจิ่วเหยียนชักแขนกลับทันที ปฏิกิริยาอึดอัดเล็กน้อย“พ่ะย่ะค่ะ”……ก่อนหน้านี้ พรรคเทียนหลงล้วนซ่อนอยู่ในที่ลับนับจากที่ตงฟางซื่อกับซูฮ
ผู้คนที่ถูกส่งมาร่วมหารือที่พรรคเทียนหลง ล้วนเป็น “คนสำคัญ” ของแต่ละสำนัก ต่างก็ไม่ได้โง่จางซวีกล้ากล่าวหาพรรคเทียนหลง จะต้องมีหลักฐานความจริงแล้วดังนั้น พวกเขาจึงล้วนหันไปมองผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลง“ที่จางซวีพูดมา เป็นความจริงหรือ ! ”ผู้พิทักษ์คนนั้นยังคงไม่พูดไม่จาจางซวีชี้ไปหาเขา พร้อมพูดต่อ“อีกอย่างช่วงนี้มีมารชั่วช้าเพิ่มมากขึ้น ก็ล้วนเป็นพรรคเทียนหลง...”เขายังพูดไม่จบ ดาบใบหลิวเล่มหนึ่งก็ลอยมา ปาดคอของเขาโดยตรง พริบตาเดียว เลือดสดกระเซ็นออกมาคนหนุ่มที่ชื่อจางซวี ตายไปเสียแบบนี้แล้วคนอื่นเห็นดังนี้ ก็ตกตะลึงวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียง “ตูม” ดังขึ้นมาเมื่อหันไปมองดู กลไกตรงประตูหินทางเข้าปิดลงเวลานี้ พวกเขาค่อยรู้สึกได้ถึงความอันตรายกำลังมาเยือนผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลงบนที่นั่งสูงศักดิ์ลุกขึ้นมา พูดขึ้นมาเพียงคำเดียว“ฆ่า”ไม่ช้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วรอเมื่อประตูหินเปิดอีกครั้ง ยอดฝีมือแต่ละพรรคก็กลายเป็นศพไปแล้วหลังจากนั้น ศพพวกนี้ถูกขนย้ายออกไปจากพรรคเทียนหลงรอเมื่อแต่ละพรรคพบเจอศพ ทั่วทั้งยุทธภพก็สั่นสะเทือนแล้วมีคนดูรู้บาดแผลถึงแก่ชีวิตของพว
รอเมื่อเซียวอวี้ไล่ตามออกไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนในใจเขาขุ่นเคือง รีบสั่งเฉินจี๋“ไปตามซูฮ่วน ! ปกป้องนางให้ดี ต่อให้มัดก็ต้องมัดนางกลับมา ! ”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาจากจวน ก็เดินอยู่บนท้องถนนนางไม่คิดที่จะซ่อนตัวใด ๆ กลับกลัวว่าคนอื่นจะจำนางไม่ได้แล้วก็เป็นอย่างที่คิด มีคนเข้ามาหานาง“รองผู้นำพันธมิตรซู ! ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านจนเจอ ! ข้าคือหลูสวี้ ศิษย์ของสำนักจื่อหยาง เจ้าสำนักเราได้สืบความกระจ่างแล้ว ท่านกับผู้นำพันธมิตรตงฟางถูกใส่ร้าย เจ้าสำนักถูกจับ...อู้ ! ”เขายังพูดไม่จบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คว้าบีบคอของเขา ตรึงเขาไว้กับผนังด้านหลังหลูสวี้เบิกตาโตซูฮ่วนคนนี้...ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้ !เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แฝงไปด้วยไอสังหาร“นายล่อลวงตงฟางซื่อไปด้วยวิธีนี้ใช่หรือไม่?”หลูสวี้รู้สึกหายใจลำบาก “ข้าไม่...รองผู้นำพันธมิตร พวกเรา...สืบรู้ความจริง...ข้า...”ในระหว่างที่พูด เขาก็จะยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้อออกไปทว่าเขายังไม่ทันลงมือ เสียง “คลั่ก” ดังขึ้นมา“อ้าก ! ”กระดูกข้อมือของเขา กระดูกข้อมือของเขาถูกหักลงเสียแ
เจ้าสำนักจื่อหยางเบิกตาโต ดวงตาแตกร้าวเมื่อรู้ตัวว่าฝ่ามือตนเองขาดแล้ว เขาระเบิดเสียงกรีดร้องขึ้นมา“อ้าก ! ! ! ฆ่าเขา ฆ่าซูฮ่วน ! ”ไม่รอให้ทุกคนได้สติกลับมาจากอาการตกตะลึง เฟิ่งจิ่วเหยียนเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว มาถึงด้านข้างศิษย์สำนักจื่อเจียงที่ถือปลายโซ่ข้างหนึ่งไว้เสียง “คลั่ก คลั่ก” ดังขึ้นมากระดูกข้อมือคนนั้นถูกหักหลังจากนั้นก็มีเสียงกรีดร้องขึ้นมาอีก“อ้าก...”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกเท้ากระโดดขึ้นมา เตะคนนั้นลอยออกไปหลังจากนั้น นางมายังตรงหน้าตงฟางซื่อ ปกป้องเขาไว้เพียงไม่กี่ลมหายใจ ก็จัดการสองคนที่คุมตัวตงฟางซื่อไว้เมื่อคนอื่นเห็นดังนี้ เหงื่อเย็นไหลออกมาอย่างอธิบายไม่ถูกวรยุทธดีที่สุดในใต้หล้าจริง ๆ รวดเร็วอย่างไร้ที่ติ...เจ้าสำนักจื่อหยางรีบทำแผลอย่างรวดเร็ว เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้ตนเองเสียเลือดมากเกินไป เขาเห็นพวกลูกศิษย์ลังเลไม่กล้าเดินหน้า ก็ตะโกนตำหนิ“รีบบุกเข้าไป ! โจมตีตงฟางซื่อ ! ”กรงเล็บเหล็กที่แทงทะลุตงฟางซื่อ แตกต่างจากโซ่เหล็กทั่วไป เป็นอาวุธที่พวกเขาสร้างขึ้นมาโดยเฉพาะหลังจากสิ่งนี้แทงทะลุกระดูกสะบัก ก็จะหุบลงทันทีเหมือนมือคน กลายเป็นการยึดตาย
ปัง !ทั้งสองคนตกลงไปในห้องลับทั้งคู่ ทางเข้าข้างบนปิดลงทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ลดความระวังตัว ออกแรงมือ แส้รัดคอนักฆ่าคลุมหน้าคนนั้นตอนที่คนนั้นกำลังดิ้นรน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติบริเวณโดยรอบขึ้นมาทันทีมือข้างหนึ่งเปิดตะบันไฟ ส่องสว่างดู ห้องใต้ดินนี้กว้างใหญ่มาก กว้างใหญ่ยิ่งกว่าวิหารลัทธิเต๋าข้างบนและที่นี่ยังมีคนรวมตัวกันอยู่อย่างมาก... พูดอย่างถูกต้องก็คือ เป็นเหมือนหุ่นเชิดที่สูญเสียดวงวิญญาณไปแล้วพวกเขามองนางด้วยสายตาว่างเปล่า ทันใดนั้นก็รุมเข้ามา !……ในวังหลวงห้องทรงพระอักษรจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีข่าวของซูฮ่วน อารมณ์เซียวอวี้กระสับกระส่ายอยู่ไม่เป็นสุขเขากลัวนางจะเป็นเหมือนกับตงฟางซื่อ เผชิญกับอันตราย แล้วก็หายตัวไป“ฝ่าบาท ! มีข่าวแล้วพ่ะย่ะค่ะ ! ”เฉินจี๋รีบเดินเข้าไปข้างใน “กระหม่อมพบศิษย์สำนักจื่อหยางนับสิบคนที่สำนักการแพทย์ในเมืองหลวง หลังจากไต่ถามแล้วได้รู้ว่า ซูฮ่วนถูกขังอยู่ในวิหารลัทธิเต๋าทางใต้ของเมือง ! ”เซียวอวี้พรวดลุกขึ้นมา ดวงตาเฉียบคมมืดมิด“เตรียมม้า ! ”เฉินจี๋พูดทักท้วงด้วยความจงรักภักดี“ฝ่าบาท ส่งคนไปช่วยเหลือก็
คนเหล่านี้คงเป็นองครักษ์ที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์จัดให้มาปกป้องตนเองกระมังมิน่าเล่า อีกฝ่ายถึงกล้ามิพาคนมาคอยอารักขาตนเอง ยามที่พบหน้ากันครั้งแรกผู้ที่ขึ้นเป็นจักรพรรดิของแว่นแคว้นได้ หาได้มีผู้ใดเป็นคนโง่เง่าไม่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลางลุกขึ้นยืน ก่อนจะเข้าไปเล่นกับดอกไม้ที่วางอยู่บนโต๊ะข้างเตียง“อาการป่วยของเรานั้น ยามที่ยังวัยสาวอยู่ได้ทิ้งอาการป่วยเหล่านี้เอาไว้ หลายปีที่ผ่านมา อาการกับค่อย ๆ แย่ลงเรื่อย ๆ“โดยเฉพาะในช่วงไม่กี่เดือนมานี้ อาการป่วยกลับทรุดหนักเสียจนมิอาจลุกขึ้นมาสะสางราชกิจบ้านเมืองได้ อัครมหาเสนาบดีจึงใช้โอกาสนี้ในการรวบรวมพรรคพวกของตนเองขึ้นมา เมื่อเรารู้สึกตัวอีกที นางก็มีอำนาจมากมายเสียแล้ว”ท่านประมุขพลันหันหน้ากลับมามองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีสงบนิ่งแม้ว่าภูเขาไท่ซานจะถล่มลงมาตรงหน้าก็ตาม พลางยกยิ้มขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า“ผู้ที่ทรยศเรา สมควรตาย”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลางเอ่ยถามด้วยท่าทีใจเย็นว่า: “รวมไปถึงน้องสาวแท้ ๆ ของท่านด้วยหรือไม่?”นิ้วมือของประมุขแคว้นซีหนี่ว์พลันสั่นเทาเล็กน้อยนางมิได้ตอบคำถามของเฟิ่งจิ่วเหยียน ทว่า กลับเอ่ยเปลี่ยนเรื่องอื่นแทน“แค
เนื่องจากความประมาทเลินเล่อที่ภูเขาหิมะเทียนฉือ หยิ่นลิ่วจึงตั้งใจชดใช้ความผิดของตน ทั้งยังเพื่อลบล้างความอับอายในหน้าที่ของตนเองอีกด้วย ทำให้ในยามนี้เขาตั้งใจทำตามคำสั่งของฮองเฮายิ่งนักเพื่อจับตาดูความเคลื่อนไหวที่ผิดปกติไปภายในจวนอัครมหาเสนาบดีนั้น ทุก ๆ วันได้นอนหลับเพียงแค่หนึ่งชั่วยามเท่านั้นในที่สุด หยิ่นลิ่วก็พบกับเหตุการณ์ที่ผิดปกติไปในทันที“นายท่านขอรับ เมื่อคืนวานนี้ น้องสาวฝาแฝดของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ลอบเข้ามาทางประตูด้านหลังของจวนอัครมหาเสนาบดี ทั้งยังพูดคุยกันลับ ๆ อยู่นานสองนาน ข้าน้อยมิอาจเข้าไปใกล้ ๆ ได้ ทว่า พอจะฟังออกคร่าว ๆ ว่า พวกนางกำลังพยายามคิดที่จะกำจัดประมุขแคว้นซีหนี่ว์....”กองทัพอินทรีเหินสองสามคนที่อยู่ในห้องนั้นต่างพากันลอบสบตากันนี่มันลอบพระชนม์!เกรงว่าแคว้นซีหนี่ว์เองก็กำลังจะเกิดความวุ่นวาย!หัวหน้ากองทัพอินทรีเหินพลันลุกขึ้นยืน ก่อนจะโค้งกายคำนับต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน“กระหม่อมคิดว่า การเมืองภายในแคว้นซีหนี่ว์กำลังจักเกิดความระส่ำระส่าย แม้แต่ตัวประมุขแคว้นซีหนี่ว์เองก็ยากที่จะรักษาชีวิตของตนเองไว้ได้ พวกเขาย่อมมิอาจตอบรับอันใดพวกเราได้เช่นก
หลังออกจากพระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เฟิ่งจิ่วเหยียนยังมิกลับไปที่โรงพักแรมในทันทีคนเก่งกาจเพียงใดก็มิอาจสู้คนท้องถิ่นได้เพื่อป้องกันมิให้อัครมหาเสนาบดีแคว้นซีหนี่ว์ประพฤติชั่วช้า จักต้องเพิ่มความระมัดระวัง และรอบคอบไว้ดีที่สุดดังนั้น นางจึงเดินจากหอคณิกาไปที่หอหนานเฟิง แล้วค่อยวกกลับมาที่หอคณิกาอีกครั้ง ประการแรกเพื่อหาโอกาสปลอมตัวอีกครั้งเพื่อออกไปได้ง่าย ประการที่สองก็เพื่อสืบหาข่าวอย่างไรเสีย สถานที่เริงรมย์เช่นนี้ ข่าวสารจะรับรู้ได้ไวที่สุดภายในหอคณิกาเฟิ่งจิ่วเหยียนเรียกนางคณิกาที่ขายศิลปะมิขายเรือนร่างผู้หนึ่งมา เพราะรู้ว่าหญิงสาวผู้นี้มิต้องการปรนเปรอลูกค้า จึงจ่ายเงินจ้างนางแบบเหมาครึ่งเดือน เมื่ออยู่ในห้องนางก็แค่เล่นดนตรีและขับร้อง เพื่อเป็นการบังหน้าให้กับนางดังนั้นจึงได้รับประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่ายเพียงแต่รู้สึกเสียดายเงินก้อนนั้นนางคณิกาผู้นี้ตกคืนละสามตำลึงเงิน แพงกว่าค่าโรงพักแรมที่นางพักอยู่ตั้งมากโขนางใช้เงินก้อนนี้ ก็อดมิได้ที่จะรู้สึกปวดใจยังดีที่นางคณิกาผู้นี้เชื่อฟัง และมีเรื่องพูดคุย“...คุณชาย ท่านอาจจะยังมิรู้ว่า ประมุขแคว้นของเราเคยได้รับบา
เฟิ่งจิ่วเหยียนท่าทางดูเหมือนจะหมดหนทาง“เรียนใต้เท้า ทักษะการแพทย์ของข้าน้อยด้อยฝีมือ”ซู่ยวนได้ยินเช่นนั้น น้ำตาพลันร่วงไหลลงมาทันที แสดงออกถึงความรักและความห่วงใยที่แท้จริงนัก“เจ้าก็ไม่มีหนทางเลยหรือ...”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนมืดมน “ข้าน้อยขอลาก่อน”เดิมคิดว่าเมื่อพบกับซู่ยวน จะไม่พบปัญหาอื่นใดอีกผลสุดท้าย ขณะที่ใกล้จะถึงประตูวัง ก็พบกับสตรีผู้หนึ่งในชุดเครื่องแบบขุนนางข้าหลวงเตือนว่า“ผู้นั้นคือใต้เท้าจ้าวอัครมหาเสนาบดี เจ้าก็ควรแสดงความเคารพด้วยเช่นกัน”อัครมหาเสนาบดีจ้าวหรู่หลานหยุดฝีก้าว และมองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างวิเคราะห์“เจ้าก็คือหมอที่หยิบประกาศเสนอตัวผู้นั้นใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มหัวลง “ขอรับ”จ้าวหรู่หลานยื่นมือออกมาทันที และเชยคางนางขึ้นในแคว้นซีหนี่ว์ สตรีทำเรื่องเช่นนี้กับบุรุษ ไม่ถือว่าเสียมารยาทจ้าวหรู่หลานอายุน้อยกว่าประมุขแคว้น และผอมกว่าเล็กน้อยดวงตาหางตาชี้ชันคู่หนึ่ง เต็มไปด้วยความพินิจพิเคราะห์คนที่ได้เป็นถึงอัครมหาเสนาบดี หาใช่จะเป็นผู้ที่หลอกลวงได้ง่าย ๆ ไม่นางถามด้วยเสียงดุดัน“เหตุใดมิทันไรก็รีบออกจากวังแล้ว?”เฟิ่งจิ่วเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหยุดชะงักเล็กน้อย สายตาเคลื่อนลงมา มองดูคมกระบี่ที่อยู่ใกล้แค่เอื้อมถึงแม้จะถูกเปิดโปงสถานะ แต่นางยังคงมีท่าทีสงบนิ่งเมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็น ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ในชุดบรรทมสีเหลือง พระชันษาราวสี่สิบกว่า พระเกศาสยายคลุมบ่า พระพักตร์มีริ้วรอย ทว่า กาลเวลามิอาจเอาชนะหญิงงามได้ ทั้งตัวนางยังคงมีความสง่าผ่าเผย มั่นคงราวกับเสาค้ำทะเลตงไห่แคว้นซีหนี่ว์มีประมุขแคว้นเช่นนี้ มิน่าแปลกใจที่ยังคงยืนหยัดอยู่ได้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มองสำรวจเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเย็นชา“ให้ฮองเฮาเยี่ยงเจ้ามาที่แคว้นซีหนี่ว์ ฮ่องเต้ฉีทรงตัดพระทัยได้จริงหรือ เหตุใด มิกลัวว่าเราจะฆ่าเจ้า?”เฟิ่งจิ่วเหยียนก็มิเสแสร้งแกล้งทำอีก พร้อมกับยอมรับตามตรง“คารวะประมุขแคว้น”“ครั้งนี้มาเยือนแคว้นท่าน คือมาในฐานะราชทูต หาใช่มาในฐานะฮองเฮาแห่งหนานฉี และยิ่งมิใช่ในฐานะแม่ทัพน้อยเมิ่งอะไรนั่น“ที่ปลอมตัวมาพบท่าน เป็นเพราะสถานการณ์กำลังวุ่นวาย หากมีสิ่งใดรบกวนพระทัย หวังว่าท่านจะให้อภัย“ทว่า ตัวหม่อมฉัน และแม้แต่ทั้งหนานฉี ก็ไม่มีเจตนาจะล่วงเกินต่อท่าน”ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ยังคงถือกระบี่จ่ออยู่ที่นาง พร้อมกับ
ช่วงกลางเดือนแปด ดวงอาทิตย์ส่องแสงเจิดจ้าเฟิ่งจิ่วเหยียนพร้อมคณะเดินทางมาถึงแคว้นซีหนี่ว์อย่างราบรื่นแคว้นซีหนี่ว์นั้นผู้นำล้วนเป็นสตรี และที่พบเห็นตามถนนหนทาง ปรากฏตัวในที่สาธารณะ ส่วนใหญ่ก็จะเป็นสตรีทหารรักษาเมืองที่ลาดตระเวน ก็เป็นสตรีทั้งหมดเช่นกันแคว้นซีหนี่ว์ในอดีต บุรุษก็เคยเป็นผู้นำสูงสุดทว่าจากสงครามหายนะครั้งใหญ่ เหล่าบุรุษทั้งหมดตายในสนามรบ เหล่าสตรีทำได้เพียงต้องแบกรับภาระอันหนักหน่วงนานวันเข้า ถึงแม้ภายหลังบุรุษจะเพิ่มขึ้น ทว่า เหล่าสตรีได้สัมผัสกับรสชาติของการมีอำนาจ จึงไม่เต็มใจจะวางมืออีกแล้วเพื่อปฏิบัติตามแนวทางแห่งสตรีของราชวงศ์ ประมุขแคว้นแต่ละคน จึงส่งต่อบัลลังก์ให้บุตรสาวมิส่งให้บุตรชายคนที่เข้ามาเป็นขุนนาง ส่วนใหญ่ก็เป็นสตรีที่ครองตำแหน่งมากกว่าบุรุษก็เป็นขุนนางได้ ทว่ามีจำนวนน้อย อีกทั้งมิอาจครอบครองอำนาจที่แท้จริงได้เหล่าสตรีของแคว้นซีหนี่ว์เชื่อว่า มีเพียงผู้นำเป็นสตรี ถึงจะรับประกันได้ว่าอำนาจของสตรีจะไม่หลุดมือไปหากเปลี่ยนเป็นบุรุษ จักต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงแน่ดังนั้น ต่อให้ประมุขแคว้นซีหนี่ว์มีโอรส บัลลังก์ก็จะไม่มีทางส่งต่อให้องค์ชาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่าง “เห็นอกเห็นใจ”“ข้ารู้ว่าสิ่งนี้ไม่ยุติธรรมกับเจ้า หากเจ้าไม่เต็มใจ...”นางพูดไปได้ครึ่งทาง ถานไถเหยี่ยนก็เทยาออกมา และกลืนมันลงไปเสี้ยววินาทีนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนถึงกับตาค้างเพื่อทำลายหนานฉี ถานไถเหยี่ยนสามารถเสียสละถึงเพียงนี้เชียวหรือ......หลังอาหาร ขณะทั้งสองกำลังจะแยกย้ายกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจนใจ“ฝ่าบาทกังวลพระทัยว่าจะเกิดอุบัติเหตุกับบุตรของข้า ทรงต้องการให้ข้าพักผ่อนดูแลครรภ์ สถาบันทางการทหารข้าก็มิได้ไปอีกแล้ว หากเจ้ามีปัญหาอันใด ให้ทูลรายงานกับฮ่องเต้ได้โดยตรง”ถานไถเหยี่ยนเอ่ยออกมาตามตรง“หนานฉีมีแม่ทัพที่เก่งกาจและมีชื่อเสียงอยู่มากมาย ข้ามิใช่ราษฎรของหนานฉี ถึงแม้จะมียุทธวิธีดี ๆ ทูลเสนอ ฝ่าบาทก็อาจมิทรงเชื่อ“สิ่งที่ข้าทำเพื่อหนานฉีได้ ก็คือค้นหาเส้นทางลับของ ‘ใยแมงมุม’ ทั้งหมดให้ครบ เพราะมันจะสร้างประโยชน์ที่ยิ่งใหญ่ในขณะทำสงครามได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนเห็นด้วยกับความคิดของเขา“ข้าจะพูดโน้มน้าวฝ่าบาท ให้เขายอมตกลงให้เจ้าร่วมสืบหา ‘ใยแมงมุม’”หลังจากนั้น ถานไถเหยี่ยนก็มองตามจนนางขึ้นรถม้าไม่นาน เขาก็จากไปเช่นกันรอจนเขากลับม
ภายในห้องไม่มีคนอื่น เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงมิลังเล และบีบนวดหน้าท้องของเซียวอวี้เซียวอวี้ตัวเกร็งขึ้นมาในทันที สูดลมหายใจเข้า และกลั้นเอาไว้ผ่านไปไม่กี่อึดใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนดูเหมือนจะค้นพบสิ่งที่ชื่นชอบ นางพลันยกคิ้วขึ้น เหลือบตามองไปที่เซียวอวี้“ท่านยุ่งถึงเพียงนี้ ยังมีเวลาฝึกฝนพละกำลัง?”เซียวอวี้กลั้นลมหายใจนั้นมิอยู่แล้ว จึงคว้ามือของนางที่วางอยู่บนหน้าท้องของเขาขึ้นมา วางลงที่ริมฝีปากและจูบไปสองครั้ง“แผนการแต่ละวันต้องเริ่มทำตอนรุ่งสาง อีกอย่าง ศัตรูต่างแคว้นก็จดจ้องตาเป็นมัน เรายิ่งต้องทำให้ร่างกายแข็งแรงกำยำ เพื่อเตรียมพร้อมกับการนำทัพออกศึก ดังนั้น ช่วงหลายวันมานี้จึงขยันฝึกฝนมากขึ้น“เป็นอย่างไร? ฮองเฮาพอใจหรือไม่?”เขาตั้งตารอคอยคำตอบของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่แสดงความเห็นใดนางเข้าไปใกล้หูเขา น้ำเสียงแผ่วเบา ลมหายใจราวกับขนนก พัดผ่านใบหูของเขา ใจที่สงบนิ่งของเขากระตุ้นให้เกิดระลอกคลื่นนับพันเขาเพียงแค่ฟังนางเอ่ยอย่างช้า ๆ“คืนนี้ จะเปิดประตูรอท่านพี่...”เซียวอวี้ถูกปลุกเร้า ตอนนี้คิดจะ “ประหัตประหาร” นางในที่นี้ทันทีฝ่ามือใหญ่ของเขาทาบลงที่หลังเอวของนาง แล้วออ
เฟิ่งจิ่วเหยียนตัดสินใจแน่วแน่ที่จะไปเป็นราชทูตยังแคว้นซีหนี่ว์ ก่อนหน้าที่จะไป นางมิลืมที่จะเตรียมการทุกอย่างในหนานฉีทางนี้ให้เรียบร้อย“ฝ่าบาท ถานไถเหยี่ยนมีคำพูดหนึ่งที่เอ่ยไว้ไม่ผิด ก่อนหน้านี้หม่อมฉันไปสำรวจที่ช่องทางลับ และถูกซุ่มโจมตีด้วยดินปืน แน่นอนว่าจักต้องมีคนที่รู้เรื่องนี้ล่วงหน้า“แท้จริงแล้วเป็นผู้ใดกันที่แอบลงมือ จุดประสงค์นั้นคือเพื่อทำลาย ‘ใยแมงมุม’ และยังตัดขาดเบาะแสของมนุษย์โอสถด้วย หรือไม่ก็ อาจจะต้องการชีวิตของหม่อมฉัน ทั้งหมดจึงควรสืบให้กระจ่าง”เซียวอวี้เริ่มครุ่นคิดอย่างจริงจังเขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่มั่นใจ“คนที่รู้ว่าเจ้าจะไปที่ช่องทางลับ ล้วนเป็นองครักษ์คู่ใจของเรา พวกเขาแต่ละคนผ่านการคัดเลือกอย่างเข้มงวด ไม่มีทางทรยศต่อเราเด็ดขาด ทว่า ไม่มีสิ่งใดที่แน่นอน หากพัวพันกับความปลอดภัยของเจ้า เราจักสืบสวนอย่างละเอียด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะคำพูดของเขา และเอ่ยอย่างจริงจัง“คนที่หม่อมฉันสงสัยมิใช่พวกเขา“ท่านมิจำเป็นต้องเสียเวลาไปสืบสวนพวกเขา เพื่อมิให้พวกเขารู้สึกเสียกำลังใจ“สิ่งที่หม่อมฉันสงสัยคือ มีคนแอบเฝ้าสังเกตการณ์อยู่“คนผู้นี้อาจจะแอบซุ่มอยู