เซียวอวี้ถ่ายทอดคำสั่ง “จงเร่งรุดไปที่หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ และลอบสืบหา ผู้ที่คิดต่อต้านราชสำนัก” “น้อมรับพระบัญชา!” ในขณะนี้ เมืองตงซิ่น ณ หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ได้เข้าปิดล้อมแน่นขนัดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้ ในหมู่พวกเขามีคนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งสูง ปากก็ร้องตะโกน “ท่านทั้งหลาย ครั้งนี้พวกเราจะต้องมีใจเด็ดเดี่ยว ร่วมแรงร่วมใจกัน! ผู้นำพันธมิตรจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกเรา! “สหายชาวยุทธ มีหลายคนถูกราชสำนักบีบบังคับถึงขั้นจนตรอก เหตุผลในการก่อตั้งพันธมิตรอู่หลิน คือการต่อสู้กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบของราชสำนัก! ยุทธภพคือแดนแห่งความผาสุกของพวกเรา มิควรถูกแปดเปื้อน! “พวกเราฝึกฝนวิทยายุทธ เพื่อปล้นคนรวยช่วยคนจน กระทำการกล้าหาญชอบธรรม อย่าลดศักดิ์ศรีเพื่อไปเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก!” ทุกคนที่อยู่ด้านล่างพลันขานรับเสียงดังลั่น “ถูกต้องอย่างที่ว่า! อย่าเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก!” “บรรดาเจ้าสำนักได้เข้าไปหารือกับผู้นำพันธมิตรอีกครั้ง และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพันธมิตรอู่หลิน หากพวกเขายังต้องการจะเป็นขุนน
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เคยคิดเลยว่า หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้จะถูกทำลายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้ พืชผลในทุ่งนาถูกถอนรากถอนโคนออกจนสิ้น เมล็ดธัญพืชที่ชาวบ้านตากแห้งไว้ก็ถูกเทกระจาดเกลื่อนพื้น บ้านเรือนบางหลังถูกเผาทำลาย เหลือเพียงโครงร่างเท่านั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนเจอชาวบ้านคนหนึ่ง และซักถามรายละเอียด ชาวบ้านคนนั้นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ท่านมาสายไปแล้ว คงจะไม่ได้ยินกระมัง เมื่อครู่นี้เหล่าศิษย์ของพรรคชิงอวี่มาชี้ตัว พวกเขาได้เห็นกับตาของตนเอง ว่าผู้นำพันธมิตรสังหารประมุขพรรคชิงอวี่ “ยังมีคนในพรรคอีกหลายคนที่มาชี้ตัวด้วย กล่าวว่าในปีนั้นพรรคเทียนหลงถูกผู้นำพันธมิตรใส่ร้าย และนำหลักฐานมายืนยันอีกมากมายด้วย “ในขณะนี้ผู้นำพันธมิตรได้เรียกศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ทั้งหมด ไปลงคะแนนเสียงว่าเขาต้องลงจากตำแหน่งหรือไม่! เฮ้อ! หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว...” เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินดังนั้น พลันรีบวิ่งไปที่หอประชุมทันที ทุกคนอยู่กันที่นั่นจริง ๆ สำนักต่าง ๆ ทั้งหมดในยุทธภพมารวมตัวกันที่นี่ ปิดล้อมชั้นหนึ่งต่อด้วยอีกช
“ถวายบังคมฝ่าบาท” สีหน้าตงฟางซื่อสงบอย่างผิดปกติ ปกติแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยามนี้เป็นเหมือนดั่งน้ำตายเซียวอวี้ถามด้วยเสียงเย็นชา“ผู้นำพันธมิตรตงฟาง นี่คือไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นหรือ”ตงฟางซื่ออมยิ้ม พูดขึ้นมาอย่างเยาะเย้ยตนเอง“มิใช่เช่นนั้น ข้าไม่ได้เป็นผู้นำพันธมิตรอะไรแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในใจเขารู้สึกไม่ดี จึงให้เขาไปพักในห้องก่อนจากนั้นนางก็ถามเซียวอวี้“ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?”เซียวอวี้จ้องมองดูเงาหลังของตงฟางซื่อ พร้อมถามขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“คืนนี้เขานอนที่นี่หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพาตงฟางซื่อกลับมา ให้เขาอาศัยอยู่ในจวนที่ตนเองเช่าไว้ชั่วคราว ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมทว่า เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยยังไงชายหญิงมีความแตกต่างกันเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพูดขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ฝ่าบาท”นี่ไม่แตกต่างอะไรกับการไล่แขกเซียวอวี้คว้าจับแขนของนางไว้อย่างกะทันหัน พร้อมพูดขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“ให้เขาไปพักที่อื่น”เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดเพียงว่าเขาไม่มีเหตุผลเซียวอวี้พูดขึ้นมาอีก “เราจะช่วยเช่าเรือนพักให้กับเขา ยังไงเขาก็เคยช่วยเรา เราจะละเล
เฟิ่งจิ่วเหยียนรินน้ำชาให้ตงฟางซื่อ“สีหน้าโศกเศร้า ทำใจสละตำแหน่งผู้นำพันธมิตรไม่ได้หรือ”สายตาตงฟางซื่อ กลับมายิ้มแย้มบ้าง“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยอยากที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรอะไร“ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ยามนั้นข้าถูกคนบีบบังคับไปอยู่ตำแหน่งนั้น“ยามนี้เป็นเช่นนี้ก็ดี ถือว่าได้อิสระกลับมาอีกครั้งแล้ว“ข้าคิดถึงยามที่พวกเราหลายคนบุกยุทธภพมาตลอด“เรื่องของพรรคเทียนหลง เราสืบกันเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะ“สืบเองนั้นถูกต้องแล้ว คนพวกนั้นพึ่งพาไม่ได้”ตงฟางซื่อพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “พวกเขาถูกปิดบังความจริงไปชั่วขณะ อย่าโทษพวกเขา”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉย“ข้าก็รู้อยู่แล้ว เมื่อเรื่องบานปลายถึงขนาดนี้ จะต้องเป็นพรรคเทียนหลง คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน“ทว่าหากพวกเขาไม่มีความคิดส่วนตัว ก็จะไม่ถูกยุแหย่“พรรคจำนวนมากในยุทธภพ ส่วนมากจะมิชอบถูกผูกมัดด้วยระเบียบวินัย“พรรคเทียนหลง เพียงแค่ฉีกเปิดช่องว่างนี้ และขยายให้กว้างขึ้น“ข้าไม่มีความเมตตาเหมือนอย่างเจ้า สำหรับข้า พวกเขาไม่น่าสงสาร”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้ม กลับคืนมามีพลังอีกครั้ง“ซูฮ่วน ยังไงเจ้า
ในวังหลวงในห้องทรงพระอักษร เฉินจี๋ยยกมือประสานถวายบังคม รายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ฝ่าบาท เทียบกับรายชื่อแล้ว วันนี้จับคนยุทธภพที่ต่อต้านราชสำนักได้อีกสองคน ขังไว้ในคุกหลวงแล้ว ตามที่สารภาพ พวกเขาเป็นคนของสำนักชางโกว สืบรู้มาว่าตงฟางซื่อกับซูฮ่วนอยู่ในเมืองหลวง จึงเสี่ยงเข้ามาตามหา”เซียวอวี้อ่านสาส์นกราบทูล หว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความเฉียบขาด พูดขึ้นมาอย่างลอย ๆ“รู้จักรนหาที่ตายจริง ๆ ”เฉินจี๋พูดขึ้นมา“ปกติพวกเขาไม่กล้ามามีเรื่องในเมืองหลวง ทว่าช่วงนี้ มีคำสั่งไล่ล่า ให้รางวัลอย่างงาม จึงมีผู้กล้าเข้ามา”เซียวอวี้วางสาส์นกราบทูล ดวงตาเฉียบคมแฝงไปด้วยไอสังหาร“เราไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร ใครที่เข้ามาในเมืองหลวง คิดต้องการเอาชีวิตของซูฮ่วน ล้วนจัดการให้หมดจน”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”เฉินจี๋น้อมรับพระบัญชา กลับยังมีข้อสงสัยเพียงแค่ซูฮ่วนหรือ? คนพวกนั้นยังต้องการฆ่าตงฟางซื่อด้วยนี่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงเวลารับประทานอาหารเย็นแล้วหลิวซื่อเหลียงถามอย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาท จะให้ตั้งสำรับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ช่วงหลายวันมานี้ แม้แต่อาหารเย็นฝ่าบาทก็ไม่ได้ทานอยู่ในวังแล้วไม่รู้จริง ๆ เลยว่
หลังเที่ยงเฉินจี๋กราบทูลรายงานฮ่องเต้“ฝ่าบาท จ้าวเฉิงคนนั้นไม่ยอมสารภาพอะไร กัดลิ้นฆ่าตัวตายไปแล้ว”ดวงตาเซียวอวี้ปรากฏความโหดร้ายฆ่าตัวตาย ไม่เท่ากับหวาดกลัวในความผิดหรือ“ตรวจสอบยึดจวนตระกูลจ้าว”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”หลังจากนั้น เฉินจี๋ก็กราบทูลรายงานอีก“ฝ่าบาท ช่วงนี้คนของพรรคเทียนหลงได้แสดงตัวอย่างเปิดเผย รวบรวมคนในอู่หลิน ปรึกษาหารือเรื่องจับกุมตัวตงฟางซื่อกับซูฮ่วน ยังกำจัดปีศาจชั่วร้ายมากมาย น่าสงสัยว่ากำลังดึงดูดใจผู้คน”ท่าทีเซียวอวี้เยือกเย็นชายามค่ำเขามาหาเฟิ่งจิ่วเหยียน เล่าเรื่องนี้ให้กับนางฟัง“ยามนี้พรรคเทียนหลงปรากฏตัวแล้ว เจ้ามีแผนการอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างสงบ “ฆ่าพวกเขาให้หมด”เซียวอวี้ก็คิดเช่นนี้“หากเจ้าต้องการคน บอกกับเราได้เลย”“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฟิ่งจิ่วเหยียนถวายความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ประคองแขนของนางไว้ทันที “เราเห็นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”วินาทีที่ถูกเขาสัมผัส เฟิ่งจิ่วเหยียนชักแขนกลับทันที ปฏิกิริยาอึดอัดเล็กน้อย“พ่ะย่ะค่ะ”……ก่อนหน้านี้ พรรคเทียนหลงล้วนซ่อนอยู่ในที่ลับนับจากที่ตงฟางซื่อกับซูฮ
ผู้คนที่ถูกส่งมาร่วมหารือที่พรรคเทียนหลง ล้วนเป็น “คนสำคัญ” ของแต่ละสำนัก ต่างก็ไม่ได้โง่จางซวีกล้ากล่าวหาพรรคเทียนหลง จะต้องมีหลักฐานความจริงแล้วดังนั้น พวกเขาจึงล้วนหันไปมองผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลง“ที่จางซวีพูดมา เป็นความจริงหรือ ! ”ผู้พิทักษ์คนนั้นยังคงไม่พูดไม่จาจางซวีชี้ไปหาเขา พร้อมพูดต่อ“อีกอย่างช่วงนี้มีมารชั่วช้าเพิ่มมากขึ้น ก็ล้วนเป็นพรรคเทียนหลง...”เขายังพูดไม่จบ ดาบใบหลิวเล่มหนึ่งก็ลอยมา ปาดคอของเขาโดยตรง พริบตาเดียว เลือดสดกระเซ็นออกมาคนหนุ่มที่ชื่อจางซวี ตายไปเสียแบบนี้แล้วคนอื่นเห็นดังนี้ ก็ตกตะลึงวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียง “ตูม” ดังขึ้นมาเมื่อหันไปมองดู กลไกตรงประตูหินทางเข้าปิดลงเวลานี้ พวกเขาค่อยรู้สึกได้ถึงความอันตรายกำลังมาเยือนผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลงบนที่นั่งสูงศักดิ์ลุกขึ้นมา พูดขึ้นมาเพียงคำเดียว“ฆ่า”ไม่ช้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วรอเมื่อประตูหินเปิดอีกครั้ง ยอดฝีมือแต่ละพรรคก็กลายเป็นศพไปแล้วหลังจากนั้น ศพพวกนี้ถูกขนย้ายออกไปจากพรรคเทียนหลงรอเมื่อแต่ละพรรคพบเจอศพ ทั่วทั้งยุทธภพก็สั่นสะเทือนแล้วมีคนดูรู้บาดแผลถึงแก่ชีวิตของพว
รอเมื่อเซียวอวี้ไล่ตามออกไป ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของเฟิ่งจิ่วเหยียนในใจเขาขุ่นเคือง รีบสั่งเฉินจี๋“ไปตามซูฮ่วน ! ปกป้องนางให้ดี ต่อให้มัดก็ต้องมัดนางกลับมา ! ”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาจากจวน ก็เดินอยู่บนท้องถนนนางไม่คิดที่จะซ่อนตัวใด ๆ กลับกลัวว่าคนอื่นจะจำนางไม่ได้แล้วก็เป็นอย่างที่คิด มีคนเข้ามาหานาง“รองผู้นำพันธมิตรซู ! ในที่สุดข้าก็ตามหาท่านจนเจอ ! ข้าคือหลูสวี้ ศิษย์ของสำนักจื่อหยาง เจ้าสำนักเราได้สืบความกระจ่างแล้ว ท่านกับผู้นำพันธมิตรตงฟางถูกใส่ร้าย เจ้าสำนักถูกจับ...อู้ ! ”เขายังพูดไม่จบ เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คว้าบีบคอของเขา ตรึงเขาไว้กับผนังด้านหลังหลูสวี้เบิกตาโตซูฮ่วนคนนี้...ทำไมถึงโหดร้ายขนาดนี้ !เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น แฝงไปด้วยไอสังหาร“นายล่อลวงตงฟางซื่อไปด้วยวิธีนี้ใช่หรือไม่?”หลูสวี้รู้สึกหายใจลำบาก “ข้าไม่...รองผู้นำพันธมิตร พวกเรา...สืบรู้ความจริง...ข้า...”ในระหว่างที่พูด เขาก็จะยิงเกาทัณฑ์แขนเสื้อออกไปทว่าเขายังไม่ทันลงมือ เสียง “คลั่ก” ดังขึ้นมา“อ้าก ! ”กระดูกข้อมือของเขา กระดูกข้อมือของเขาถูกหักลงเสียแ
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ
หลังจากท่านผู้เฒ่าหลินรู้สถานะของเฟิ่งจิ่วเหยียน เดิมทีก็คิดจะสานสัมพันธ์เป็นเครือญาติกับนางทว่านางกลับบอกว่า มิใช่เครือญาติแท้ ๆ หรือ?ใครมิใช่เครือญาติแท้ ๆ กันเล่า?เฟิ่งจิ่วเหยียนถามด้วยสีหน้าเย็นชา “บุตรสาวคนที่สองของตระกูลหลิว เมื่อคลอดออกมาก็มอบให้พวกเจ้าดูแลใช่หรือไม่?”ท่านผู้เฒ่าหลินสีหน้าเต็มไปด้วยความหวาดหวั่นและงุนงง นึกไม่ถึงว่า สิ่งที่นางต้องการจะถาม กลับเป็นเรื่องราวในตอนนั้น...เขาก้มศีรษะลง กลัวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนจะเห็นสีหน้าของตน“พ่ะย่ะค่ะ! ตอนนั้น น้องสาวของข้าน้อยคลอดบุตรสาวคนเล็ก ก็มอบให้พวกเราดูแลเลย“ฮองเฮา เรื่องนี้ยังจะมีอะไรให้น่าพูดถึงอีก?”เฟิ่งจิ่วเหยียนยังคงถือเครื่องมือทรมานนั้นอยู่ในมือ สายตาดูเยือกเย็นไร้ความปรานี“เจ้ายืนยันได้หรือไม่ว่า เด็กที่มอบให้กับมือพวกเจ้าในตอนนั้น เพิ่งจะคลอดมาได้ไม่นาน?”ท่านผู้เฒ่าหลินตอบด้วยความมั่นอกมั่นใจ“แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ! เด็กคนนั้นคลอดออกมาได้ไม่กี่วัน ก็ถูกพวกเรานำมาดูแลแล้ว...”“โกหก” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเย็นชา นางเงยหน้าขึ้นมองท่านผู้เฒ่าหลิน “หากข้าเดาไม่ผิด เด็กคนนั้น ตอนที่มาถึงมือพวกเจ้า น่าจ
ภายในคุกที่ว่าการท่านผู้เฒ่าหลินในวัยชรา ยืนพิงอยู่มุมกำแพงด้วยอาการตัวสั่นเทาเขามองไปยังเจ้าหน้าที่เหล่านั้นโดยฝืนทำเป็นสงบนิ่ง“พวกเจ้า พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาจับข้า ข้าไม่มีความผิด...”เอ่ยยังมิทันจบ เจ้าหน้าที่ก็ถอยแยกเป็นสองฝั่ง เพื่อเปิดช่องทางตรงกลางหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนก็เข้ามาจากด้านนอก เส้นผมนางถูกรวบยกสูง ดวงตาทั้งคู่ดูองอาจน่ายำเกรง“ทุกคนออกไปก่อน”ตามคำสั่งของนาง บรรดาเจ้าหน้าที่ก็ออกไปอย่างรู้งาน อู๋ไป๋ปิดประตูห้องขัง และคอยเฝ้าอยู่ด้านนอกห้องขังภายในห้องขังท่านผู้เฒ่าหลินมิรู้จักเฟิ่งจิ่วเหยียน ในตอนแรกคิดว่านางเป็นขุนนาง ทว่าพอได้ยินเสียงนางเป็นสตรี ก็มิแน่ใจแล้วว่านางเป็นใคร“เจ้าเป็นใคร?” ท่านผู้เฒ่าหลินมองนางตาไม่กะพริบ ไม่มีท่าทีอ่อนข้อสายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูเยือกเย็นและหมางเมิน ราวกับดวงดาวระยิบในค่ำคืนเหน็บหนาว ทำเอาผู้คนสั่นสะท้านนางมองท่านผู้เฒ่าหลิน พลางแสร้งทำเป็นหยิบเครื่องมือทรมานที่อยู่ด้านข้างขึ้นมาโดยมิได้ตั้งใจแค่การกระทำนี้ ก็ทำให้ท่านผู้เฒ่าหลินตกใจกลัวจนลำคอแห้งผาก ดวงตาเบิกกว้าง ยืนนิ่งไม่เคลื่อนไหว“ข้า ข้ามิเคยทำเรื่องช
ไม่นานรุ่ยอ๋องก็จัดหาหญิงสาวให้กับหร่วนฝูอวี้ได้แล้ว เป็นสาวใช้ภายในจวนเขายืนอยู่นอกห้อง ยืนอยู่นานก็มิยอมไปหนึ่งชั่วยามต่อมา ด้านในก็เรียกขอน้ำสาวใช้ผลักประตูเดินออกมารุ่ยอ๋องรีบหันไปมองนาง เห็นเพียงนางถืออ่างเลือดออกมา“พระชายาเป็นอย่างไรบ้าง?” เขาถามด้วยท่าทีใส่ใจการถอนพิษกู่เสน่ห์ มิใช่แค่ต้องมีสัมพันธ์กับใครสักคนเท่านั้นหรือ?เหตุใดจึงมีเลือดออกมามากมายเพียงนี้?สาวใช้ตอบด้วยอาการตัวสั่นเทา“พระชายาเลือดออกมาก บ่าวคอยช่วยพระชายาเปลี่ยนอาภรณ์ และชำระร่างกายเจ้าค่ะ”สีหน้าของรุ่ยอ๋องเปลี่ยนไปเล็กน้อยดูแล้วสาวใช้ผู้นี้ ไม่เหมือน...“แค่ช่วยพระชายาชำระร่างกาย?” เขาถามด้วยความไม่แน่ใจสาวใช้พยักหน้าซ้ำ ๆ“เจ้าค่ะ”รุ่ยอ๋องรู้สึกงุนงง มิรู้ว่าหร่วนฝูอวี้ทำสิ่งใดลงไปหรือว่า เขาเข้าใจเจตนาของนางผิดไป นางขอให้เขาหาหญิงสาวให้นาง มิใช่เพื่อจะถอนพิษกู่เสน่ห์หรอกหรือ?ในระหว่างที่ครุ่นคิด เขาก็พุ่งตรงเข้าไปในห้องทันทีทว่าเห็นหร่วนฝูอวี้นั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือดเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้า หร่วนฝูอวี้พลันลืมตาขึ้นนางจ้องมองไปทางรุ่ยอ๋อง ดว
ฉึก---ตามเข็มที่หร่วนฝูอวี้แทงลงไป กู่เสน่ห์ในร่างกายของรุ่ยอ๋องก็แตกระเบิด แปรเปลี่ยนเป็นกองเลือดในเวลานี้ รุ่ยอ๋องรู้สึกเพียงความเจ็บปวดอย่างรุนแรงโจมตีเข้ามา จากนั้นตามมาด้วยความรู้สึกโล่งสบายราวกับปล่อยวางของหนักกู่เสน่ห์ หายไปแล้วเขาผ่อนลมหายใจออกมายาว ๆ มิคาดคิดว่า กู่เสน่ห์ที่ทรมานเขามาหลายเดือนนั้น จะกำจัดได้อย่างราบรื่นเช่นนี้...ในชั่วขณะนั้น หร่วนฝูอวี้ในสภาพราวกับใบไม้แห้งที่อยู่ตรงหน้าเขา ทั้งตัวคนกลับเอนมาทางด้านหน้า และล้มลงในอ้อมอกเขารุ่ยอ๋องรีบประคองนางไว้ทันที โดยมิรู้สาเหตุ“เจ้าเป็นอะไร?”เมื่อครู่นางก็ยังดี ๆ อยู่มิใช่หรือ?เมื่อก้มลงมอง สีหน้านางซีดขาวไร้เลือดฝาด ส่งเสียงครวญครางด้วยความเจ็บปวดรุ่ยอ๋องรับรู้ได้ทันทีว่า นี่อาจจะเป็นผลที่ย้อนกลับมาทำร้ายของกู่เสน่ห์!หากต้องการจะฝังกู่เสน่ห์ให้กับคนอื่น ตนเองก็ต้องฝังกู่เสน่ห์ตัวแม่ไว้ด้วยเช่นกันตอนนี้กู่เสน่ห์ตัวลูกในร่างกายของเขาตายไปแล้ว หร่วนฝูอวี้ย่อมต้องทรมานเป็นธรรมดาทว่าเขามิมีความรู้ด้านนี้มากนัก มิรู้ว่าอาการของนางร้ายแรงเพียงใด เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตหรือไม่รุ่ยอ๋องจึงตัดสินใจเด็ดข
หลิวอิ๋งต้องการอาศัยสถานะราชทูต เพื่อเข้าวังไปพบฮ่องเต้ทว่า ฮ่องเต้และฮองเฮาเสด็จออกไปภายนอก ยังมิได้เสด็จกลับวัง ข้าหลวงจึงเพียงรายงานเรื่องนี้ขึ้นไปตามลำดับขั้นภายในวังเมื่อฮองเฮาไม่อยู่ หน้าที่ในวังหลังจึงอยู่ภายใต้การควบคุมดูแลของหนิงเฟยนางได้ยินว่าด้านนอกประตูวังมีราชทูตมาจากแคว้นซีหนี่ว์ ต้องการจะขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ พลันรู้สึกราวกับว่าเผชิญศัตรูตัวฉกาจถึงอย่างไร นางก็แค่รับผิดชอบแต่ในวังหลัง นี่เกี่ยวข้องกับเรื่องสำคัญของบ้านเมือง นางมิเคยจัดการมาก่อนเช่นกัน“รีบไปเชิญรุ่ยอ๋องมาเดี๋ยวนี้!”หายากที่นางจะมีช่วงเวลาที่สงบสุขไม่กี่วัน จู่ ๆ ก็มีราชทูตมาเยือน คงมิใช่ต้องการให้นางจัดงานเลี้ยงในวัง และต้อนรับราชทูตอีกแล้วกระมัง!เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ หนิงเฟยรู้สึกหงุดหงิดกระวนกระวายนางเริ่มจะคิดถึงฮองเฮาขึ้นมาแล้วเหตุการณ์ในวังแห่งนี้ ช่างเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า จนรู้สึกสับสนวุ่นวายรุ่ยอ๋องก็มิเคยได้ยินมาก่อนว่า ราชทูตจากแคว้นซีหนี่ว์จะเดินทางมาเยือนเขาพบกับหลิวอิ๋งเป็นการส่วนตัวสิ่งที่นางพูด เป็นคำพูดเพียงฝ่ายเดียวถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ทว่าก็ควรเชื่อแม้จะยังยื
เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้กลับไปยังเมืองหลวงในทันทีไม่ นางต้องการจะสืบเรื่องของซู่ยวนให้กระจ่างเซียวอวี้ยังมีราชกิจที่ต้องสะสาง สองคนจึงแยกทางกันณ เมืองหลวงหลิวอิ๋งแม่ลูกมาถึงในฐานะราชทูต คณะก็เข้าพักในโรงพักแรม ทว่ามิคาดคิดว่า วันต่อมาก็เกิดเรื่องไม่ชอบมาพากลขึ้นเช้าวันรุ่งขึ้น เจิ้งจีวิ่งเข้ามาพร้อมกับร้องตะโกน“ท่านแม่! ท่านแม่! เหตุใดคนอื่น ๆ ถึงหายไปแล้วเจ้าคะ?”สีหน้าหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความประหลาดใจคณะราชทูตที่มาพร้อมกับพวกนาง ยังมีขุนนางอีกหลายคนคนเหล่านั้นจะหายไปได้อย่างไร?หลิวอิ๋งวิ่งไปยังห้องที่พวกเขาพักอยู่ ตรวจดูแต่ละห้อง ทว่าว่างเปล่าไร้เงาคนนี่ช่างน่าแปลกยิ่งนัก!สีหน้าเจิ้งจีดูกังวลใจ“ท่านแม่ พวกเขาคงมิได้ถูกมองว่าเป็นสายลับ และถูกจับตัวไปแล้ว?”หลิวอิ๋งสงบสติ เอ่ยพึมพำ“เป็นไปมิได้”แคว้นซีหนี่ว์กับหนานฉีเป็นพันธมิตรกัน หนานฉีคงมิทำให้พวกนางต้องขุ่นเคืองใจหลิวอิ๋งจึงตัดสินใจในทันที “ไปแจ้งทางการ!”ณ ที่ว่าการเจ้าหน้าที่ศาลพาสองแม่ลูกมายังห้องโถงรองซึ่งแตกต่างจากห้องโถงหลักที่ใช้สอบสวนคดี ห้องโถงรองเป็นสถานที่ที่ขุนนางจัดการงานราชการ และรับรองสหาย
เฟิ่งจิ่วเหยียนตอบนายหญิงเฟิ่งด้วยท่าทีระวังคำพูด“หลิวอิ๋งต่างหากที่เป็นหลิวหนิงบุตรสาวคนโตเริ่มแรกของตระกูลหลิว “ทว่า นี่เป็นเพียงการคาดเดาของข้า มิได้มั่นใจเต็มร้อย”นางยึดถือตามความเชื่อเรื่องการกดดวงชะตา จึงได้คาดเดาทว่าประมุขแคว้นซีหนี่ว์กลับเชื่ออย่างสนิทใจหากเป็นเช่นนั้น ข้อสงสัยเกี่ยวกับอายุ ก็คลี่คลายได้มิยากแล้วนางมองไปที่นายหญิงเฟิ่ง สายตาแสดงออกถึงความอ่อนโยน“เจ้าถึงจะเป็นน้องสาวของเรา ตระกูลหลิวให้เจ้าเป็นตัวตายตัวแทน ให้เจ้าแทนที่ตัวตนของหลิวหนิง“ปิ่นปักผมที่หักนั้น ก็เป็นของเจ้า มันเป็นหลักฐานที่ทำให้พวกเราพี่น้องได้รู้ถึงสายสัมพันธ์”นายหญิงเฟิ่งสีหน้าดูสับสน แยกไม่ออกว่าอะไรจริง และอะไรเท็จขึ้นมาชั่วขณะเฟิ่งจิ่วเหยียนเสนอแนะ“รอหม่อมฉันกลับไปที่หนานฉี จะสืบเรื่องนี้ให้กระจ่างต่อไป”ประมุขแคว้นกังวลพระทัยว่านางจักพานายหญิงเฟิ่งกลับไปด้วย สีหน้าดูเคร่งเครียดขึ้นมาทันทีจากนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนมองไปทางมารดา “สิ่งที่ข้ารู้ ก็บอกให้ท่านรู้แล้วทั้งหมด ตอนนี้ ถึงเวลาที่ท่านต้องตัดสินใจแล้ว ท่านจะกลับไปหนานฉีกับข้า หรือจะอยู่ต่อ?”นายหญิงเฟิ่งตกอยู่ในภาวะก
นายหญิงเฟิ่งคิดอย่างไรก็ยังมิเข้าใจว่า ตนเองกลายเป็นน้องสาวของประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้อย่างไรเห็นกันอยู่ว่านางเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่านพ่อท่านแม่ เรื่องนี้ เพื่อนบ้านและญาติมิตรที่บ้านเกิด ล้วนเป็นพยานได้พวกเขาต่างเห็นตอนนางคลอดเฟิ่งจิ่วเหยียนหยิบภาพเหมือนของคนตระกูลหลิวออกมา แล้ววางไว้บนโต๊ะตรงหน้ามารดา“หากดูจากภาพเหมือนแล้ว ท่านไม่เหมือนบุตรแท้ ๆ ของพวกเขาเลย”นายหญิงเฟิ่งคิ้วขมวดแน่น ในช่วงเวลาสั้น ๆ มิอาจยอมรับเรื่องเช่นนี้ได้หากนางมิใช่บุตรแท้ ๆ เหตุใดถึงถูกท่านพ่อท่านแม่รับมาเลี้ยงยังมี ปิ่นปักผมที่หักอันนั้น ก็มิใช่ของอาอิ๋งหรอกหรือ?นางรู้สึกสับสนในใจยิ่งนักในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองไปยังประมุขแคว้นซีหนี่ว์ พลางเอ่ยอย่างช้า ๆ “ข้าสืบพบว่า ตอนนั้นสามีภรรยาตระกูลหลิวให้กำเนิดบุตรสาวคนโต พร้อมกับตั้งชื่อว่าหลิวหนิง“หลิวหนิงตั้งแต่เกิด ร่างกายก็มิค่อยแข็งแรง มักจะร้องไห้งอแงในตอนกลางคืน“คนในหมู่บ้านต่างพูดว่า นางถูกวิญญาณชั่วร้ายตามรังควาน ในไม่ช้าก็จะถูกวิญญาณอาฆาตมาเอาชีวิต”นายหญิงเฟิ่งได้ยินเช่นนี้ จึงพยักหน้าเล็กน้อย“มีเรื่องเช่นนั้นจริง ท่านพ่อท่านแ