ฝานจิ้นบาดเจ็บสาหัส เฉินจี๋รีบไปเชิญหมอทันที ครั้นหมอได้เห็นอาการบาดเจ็บของเขาแล้ว พลันมีสีหน้าลำบากใจ “บาดแผลภายนอกไม่ร้ายแรง ทว่า...” “ทว่าอะไร” เฟิ่งจิ่วเหยียนถามอย่างเยือกเย็น “ข้าก็มิอาจระบุได้ชัดเจน ทว่ามันคล้ายกับยาอู๋ตู๋สานนั้นยิ่งนัก” หว่างคิ้วของเซียวอวี้สะท้อนความเฉียบคม “ใช่ยาอู๋ตู๋สานซึ่งเป็นยาต้องห้ามในแดนเหนือหรือไม่” หมอพยักหน้างึก ๆ “ถูกต้อง ตำนานเล่าว่ายาอู๋ตู๋สานนั้นทำให้อยู่มิสู้ตาย และยังทำให้ผู้คนเคลิ้มดั่งเซียนหรือสิ้นหวังจนอยากตายอีกด้วย มันได้รับความนิยมในแดนเหนือระยะหนึ่งแล้ว ทว่ามันก็ทำให้แดนเหนือเต็มไปด้วยศพ แคว้นต่าง ๆ จึงระบุว่ามันเป็นยาต้องห้าม ครั้นเมื่อได้สัมผัสกับยาอู๋ตู๋สานนั้นแล้ว จักอยู่โดยขาดมันไม่ได้อีก ถึงแม้จะไม่ใช่ยาพิษ ก็น่ากลัวไม่ด้อยไปกว่ายาพิษเลย” เฟิ่งจิ่วเหยียนกำหมัดแน่น นางก็เคยได้ยินเรื่องของ ยาอู๋ตู๋สานเช่นกัน เมื่อพิษนี้กำเริบแล้ว จักทำให้คนเจ็บปวดรวดร้าวใจแทบอยากจะตายให้รู้แล้วรู้รอดไป สูญเสียสติ และทำเรื่องบ้า ๆ นางยังรู้อีกว่า พิษนี้ไม่มีทางรักษาได้ ได้แต่ต้องทานต่อไปเรื่อย
เซียวอวี้ถ่ายทอดคำสั่ง “จงเร่งรุดไปที่หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ และลอบสืบหา ผู้ที่คิดต่อต้านราชสำนัก” “น้อมรับพระบัญชา!” ในขณะนี้ เมืองตงซิ่น ณ หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ เหล่าศิษย์จากสำนักต่าง ๆ ได้เข้าปิดล้อมแน่นขนัดจนแม้แต่น้ำหยดเดียวก็ผ่านไปไม่ได้ ในหมู่พวกเขามีคนที่ยืนอยู่บนตำแหน่งสูง ปากก็ร้องตะโกน “ท่านทั้งหลาย ครั้งนี้พวกเราจะต้องมีใจเด็ดเดี่ยว ร่วมแรงร่วมใจกัน! ผู้นำพันธมิตรจะต้องให้คำอธิบายแก่พวกเรา! “สหายชาวยุทธ มีหลายคนถูกราชสำนักบีบบังคับถึงขั้นจนตรอก เหตุผลในการก่อตั้งพันธมิตรอู่หลิน คือการต่อสู้กับความอยุติธรรมทุกรูปแบบของราชสำนัก! ยุทธภพคือแดนแห่งความผาสุกของพวกเรา มิควรถูกแปดเปื้อน! “พวกเราฝึกฝนวิทยายุทธ เพื่อปล้นคนรวยช่วยคนจน กระทำการกล้าหาญชอบธรรม อย่าลดศักดิ์ศรีเพื่อไปเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก!” ทุกคนที่อยู่ด้านล่างพลันขานรับเสียงดังลั่น “ถูกต้องอย่างที่ว่า! อย่าเป็นสุนัขรับใช้ของราชสำนัก!” “บรรดาเจ้าสำนักได้เข้าไปหารือกับผู้นำพันธมิตรอีกครั้ง และนี่เป็นโอกาสสุดท้ายของพันธมิตรอู่หลิน หากพวกเขายังต้องการจะเป็นขุนน
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เคยคิดเลยว่า หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ที่ก่อนหน้านี้ยังเต็มไปด้วยชีวิตชีวา ตอนนี้จะถูกทำลายจนกลายเป็นสภาพเช่นนี้ได้ พืชผลในทุ่งนาถูกถอนรากถอนโคนออกจนสิ้น เมล็ดธัญพืชที่ชาวบ้านตากแห้งไว้ก็ถูกเทกระจาดเกลื่อนพื้น บ้านเรือนบางหลังถูกเผาทำลาย เหลือเพียงโครงร่างเท่านั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนเจอชาวบ้านคนหนึ่ง และซักถามรายละเอียด ชาวบ้านคนนั้นเอ่ยอย่างทอดถอนใจ “ท่านมาสายไปแล้ว คงจะไม่ได้ยินกระมัง เมื่อครู่นี้เหล่าศิษย์ของพรรคชิงอวี่มาชี้ตัว พวกเขาได้เห็นกับตาของตนเอง ว่าผู้นำพันธมิตรสังหารประมุขพรรคชิงอวี่ “ยังมีคนในพรรคอีกหลายคนที่มาชี้ตัวด้วย กล่าวว่าในปีนั้นพรรคเทียนหลงถูกผู้นำพันธมิตรใส่ร้าย และนำหลักฐานมายืนยันอีกมากมายด้วย “ในขณะนี้ผู้นำพันธมิตรได้เรียกศิษย์ของสำนักต่าง ๆ ทั้งหมด ไปลงคะแนนเสียงว่าเขาต้องลงจากตำแหน่งหรือไม่! เฮ้อ! หมู่บ้านเสิ่นเจียอู่ไม่เหมือนเดิมแล้ว...” เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ยินดังนั้น พลันรีบวิ่งไปที่หอประชุมทันที ทุกคนอยู่กันที่นั่นจริง ๆ สำนักต่าง ๆ ทั้งหมดในยุทธภพมารวมตัวกันที่นี่ ปิดล้อมชั้นหนึ่งต่อด้วยอีกช
“ถวายบังคมฝ่าบาท” สีหน้าตงฟางซื่อสงบอย่างผิดปกติ ปกติแววตาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม ยามนี้เป็นเหมือนดั่งน้ำตายเซียวอวี้ถามด้วยเสียงเย็นชา“ผู้นำพันธมิตรตงฟาง นี่คือไม่สามารถจัดการปัญหาเหล่านั้นหรือ”ตงฟางซื่ออมยิ้ม พูดขึ้นมาอย่างเยาะเย้ยตนเอง“มิใช่เช่นนั้น ข้าไม่ได้เป็นผู้นำพันธมิตรอะไรแล้ว”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในใจเขารู้สึกไม่ดี จึงให้เขาไปพักในห้องก่อนจากนั้นนางก็ถามเซียวอวี้“ดึกขนาดนี้แล้ว ทำไมท่านมาอยู่ที่นี่?”เซียวอวี้จ้องมองดูเงาหลังของตงฟางซื่อ พร้อมถามขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“คืนนี้เขานอนที่นี่หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพาตงฟางซื่อกลับมา ให้เขาอาศัยอยู่ในจวนที่ตนเองเช่าไว้ชั่วคราว ไม่มีอะไรไม่เหมาะสมทว่า เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยยังไงชายหญิงมีความแตกต่างกันเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปฏิเสธ เพียงพูดขึ้นมา “ดึกมากแล้ว ฝ่าบาท”นี่ไม่แตกต่างอะไรกับการไล่แขกเซียวอวี้คว้าจับแขนของนางไว้อย่างกะทันหัน พร้อมพูดขึ้นมาด้วยเสียงเคร่งขรึม“ให้เขาไปพักที่อื่น”เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดเพียงว่าเขาไม่มีเหตุผลเซียวอวี้พูดขึ้นมาอีก “เราจะช่วยเช่าเรือนพักให้กับเขา ยังไงเขาก็เคยช่วยเรา เราจะละเล
เฟิ่งจิ่วเหยียนรินน้ำชาให้ตงฟางซื่อ“สีหน้าโศกเศร้า ทำใจสละตำแหน่งผู้นำพันธมิตรไม่ได้หรือ”สายตาตงฟางซื่อ กลับมายิ้มแย้มบ้าง“เป็นไปได้อย่างไร เจ้าก็รู้ ข้าไม่เคยอยากที่จะเป็นผู้นำพันธมิตรอะไร“ก็เหมือนอย่างที่เจ้าพูด ยามนั้นข้าถูกคนบีบบังคับไปอยู่ตำแหน่งนั้น“ยามนี้เป็นเช่นนี้ก็ดี ถือว่าได้อิสระกลับมาอีกครั้งแล้ว“ข้าคิดถึงยามที่พวกเราหลายคนบุกยุทธภพมาตลอด“เรื่องของพรรคเทียนหลง เราสืบกันเอง”เฟิ่งจิ่วเหยียนผงกศีรษะ“สืบเองนั้นถูกต้องแล้ว คนพวกนั้นพึ่งพาไม่ได้”ตงฟางซื่อพูดขึ้นมาอย่างอ่อนโยน “พวกเขาถูกปิดบังความจริงไปชั่วขณะ อย่าโทษพวกเขา”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเมินเฉย“ข้าก็รู้อยู่แล้ว เมื่อเรื่องบานปลายถึงขนาดนี้ จะต้องเป็นพรรคเทียนหลง คอยขับเคลื่อนอยู่เบื้องหลังอย่างแน่นอน“ทว่าหากพวกเขาไม่มีความคิดส่วนตัว ก็จะไม่ถูกยุแหย่“พรรคจำนวนมากในยุทธภพ ส่วนมากจะมิชอบถูกผูกมัดด้วยระเบียบวินัย“พรรคเทียนหลง เพียงแค่ฉีกเปิดช่องว่างนี้ และขยายให้กว้างขึ้น“ข้าไม่มีความเมตตาเหมือนอย่างเจ้า สำหรับข้า พวกเขาไม่น่าสงสาร”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้ม กลับคืนมามีพลังอีกครั้ง“ซูฮ่วน ยังไงเจ้า
ในวังหลวงในห้องทรงพระอักษร เฉินจี๋ยยกมือประสานถวายบังคม รายงานอย่างชัดถ้อยชัดคำ“ฝ่าบาท เทียบกับรายชื่อแล้ว วันนี้จับคนยุทธภพที่ต่อต้านราชสำนักได้อีกสองคน ขังไว้ในคุกหลวงแล้ว ตามที่สารภาพ พวกเขาเป็นคนของสำนักชางโกว สืบรู้มาว่าตงฟางซื่อกับซูฮ่วนอยู่ในเมืองหลวง จึงเสี่ยงเข้ามาตามหา”เซียวอวี้อ่านสาส์นกราบทูล หว่างคิ้วปกคลุมไปด้วยความเฉียบขาด พูดขึ้นมาอย่างลอย ๆ“รู้จักรนหาที่ตายจริง ๆ ”เฉินจี๋พูดขึ้นมา“ปกติพวกเขาไม่กล้ามามีเรื่องในเมืองหลวง ทว่าช่วงนี้ มีคำสั่งไล่ล่า ให้รางวัลอย่างงาม จึงมีผู้กล้าเข้ามา”เซียวอวี้วางสาส์นกราบทูล ดวงตาเฉียบคมแฝงไปด้วยไอสังหาร“เราไม่สนว่าเจ้าจะใช้วิธีอะไร ใครที่เข้ามาในเมืองหลวง คิดต้องการเอาชีวิตของซูฮ่วน ล้วนจัดการให้หมดจน”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”เฉินจี๋น้อมรับพระบัญชา กลับยังมีข้อสงสัยเพียงแค่ซูฮ่วนหรือ? คนพวกนั้นยังต้องการฆ่าตงฟางซื่อด้วยนี่พระอาทิตย์ตกดิน ถึงเวลารับประทานอาหารเย็นแล้วหลิวซื่อเหลียงถามอย่างระมัดระวัง“ฝ่าบาท จะให้ตั้งสำรับหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”ช่วงหลายวันมานี้ แม้แต่อาหารเย็นฝ่าบาทก็ไม่ได้ทานอยู่ในวังแล้วไม่รู้จริง ๆ เลยว่
หลังเที่ยงเฉินจี๋กราบทูลรายงานฮ่องเต้“ฝ่าบาท จ้าวเฉิงคนนั้นไม่ยอมสารภาพอะไร กัดลิ้นฆ่าตัวตายไปแล้ว”ดวงตาเซียวอวี้ปรากฏความโหดร้ายฆ่าตัวตาย ไม่เท่ากับหวาดกลัวในความผิดหรือ“ตรวจสอบยึดจวนตระกูลจ้าว”“พ่ะย่ะค่ะ ! ”หลังจากนั้น เฉินจี๋ก็กราบทูลรายงานอีก“ฝ่าบาท ช่วงนี้คนของพรรคเทียนหลงได้แสดงตัวอย่างเปิดเผย รวบรวมคนในอู่หลิน ปรึกษาหารือเรื่องจับกุมตัวตงฟางซื่อกับซูฮ่วน ยังกำจัดปีศาจชั่วร้ายมากมาย น่าสงสัยว่ากำลังดึงดูดใจผู้คน”ท่าทีเซียวอวี้เยือกเย็นชายามค่ำเขามาหาเฟิ่งจิ่วเหยียน เล่าเรื่องนี้ให้กับนางฟัง“ยามนี้พรรคเทียนหลงปรากฏตัวแล้ว เจ้ามีแผนการอย่างไร”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างสงบ “ฆ่าพวกเขาให้หมด”เซียวอวี้ก็คิดเช่นนี้“หากเจ้าต้องการคน บอกกับเราได้เลย”“ขอบพระทัยฝ่าบาท” เฟิ่งจิ่วเหยียนถวายความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ประคองแขนของนางไว้ทันที “เราเห็นเจ้าเป็นเพื่อนที่ดี ไม่ต้องมากพิธีเช่นนี้”วินาทีที่ถูกเขาสัมผัส เฟิ่งจิ่วเหยียนชักแขนกลับทันที ปฏิกิริยาอึดอัดเล็กน้อย“พ่ะย่ะค่ะ”……ก่อนหน้านี้ พรรคเทียนหลงล้วนซ่อนอยู่ในที่ลับนับจากที่ตงฟางซื่อกับซูฮ
ผู้คนที่ถูกส่งมาร่วมหารือที่พรรคเทียนหลง ล้วนเป็น “คนสำคัญ” ของแต่ละสำนัก ต่างก็ไม่ได้โง่จางซวีกล้ากล่าวหาพรรคเทียนหลง จะต้องมีหลักฐานความจริงแล้วดังนั้น พวกเขาจึงล้วนหันไปมองผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลง“ที่จางซวีพูดมา เป็นความจริงหรือ ! ”ผู้พิทักษ์คนนั้นยังคงไม่พูดไม่จาจางซวีชี้ไปหาเขา พร้อมพูดต่อ“อีกอย่างช่วงนี้มีมารชั่วช้าเพิ่มมากขึ้น ก็ล้วนเป็นพรรคเทียนหลง...”เขายังพูดไม่จบ ดาบใบหลิวเล่มหนึ่งก็ลอยมา ปาดคอของเขาโดยตรง พริบตาเดียว เลือดสดกระเซ็นออกมาคนหนุ่มที่ชื่อจางซวี ตายไปเสียแบบนี้แล้วคนอื่นเห็นดังนี้ ก็ตกตะลึงวินาทีต่อมา ก็ได้ยินเสียง “ตูม” ดังขึ้นมาเมื่อหันไปมองดู กลไกตรงประตูหินทางเข้าปิดลงเวลานี้ พวกเขาค่อยรู้สึกได้ถึงความอันตรายกำลังมาเยือนผู้พิทักษ์พรรคเทียนหลงบนที่นั่งสูงศักดิ์ลุกขึ้นมา พูดขึ้นมาเพียงคำเดียว“ฆ่า”ไม่ช้า กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่วรอเมื่อประตูหินเปิดอีกครั้ง ยอดฝีมือแต่ละพรรคก็กลายเป็นศพไปแล้วหลังจากนั้น ศพพวกนี้ถูกขนย้ายออกไปจากพรรคเทียนหลงรอเมื่อแต่ละพรรคพบเจอศพ ทั่วทั้งยุทธภพก็สั่นสะเทือนแล้วมีคนดูรู้บาดแผลถึงแก่ชีวิตของพว
คนเฝ้าประตูยื่นจดหมายให้กับหลิวอิ๋ง“นี่คือจดหมายที่ฮูหยินผู้เฒ่าฝากไว้ให้ท่าน”หลิวอิ๋งรีบรับจดหมายมา และเปิดอ่านในทันที---[อาอิ๋ง เหตุการณ์กะทันหันนัก เช้านี้ข้าต้องเดินทางไปจางโจว เพื่อไปร่วมฉลองวันไหว้พระจันทร์กับเวยเฉียง เนื่องด้วยระยะทางไกล จึงมิอาจรอช้าได้แม้แต่วินาทีเดียว ดังนั้นจึงมิได้บอกลากับเจ้า วันข้างหน้าหากพบเจอปัญหาใด เพียงเข้าไปในวังเพื่อพบฮองเฮา นางจักดูแลเจ้ากับเจิ้งจีเป็นอย่างดีแน่นอน]หลิวอิ๋งอ่านจดหมายจบแล้ว ในใจรู้สึกเป็นกังวลรีบไปกะทันหันเช่นนี้ ช่างดูมีลับลมคมในจริง ๆ!ดูเหมือนจงใจจะหลบเลี่ยงนาง!นางถึงขั้นสงสัยว่าจดหมายนี้เป็นความจริงหรือไม่หลิวอิ๋งยิ้มพร้อมเอ่ยกับคนเฝ้าประตู: “พวกเจ้าน่าจะรู้ว่าข้าเป็นใคร ถึงท่านพี่หญิงไม่อยู่แล้ว แต่ข้าทำของบางอย่างหล่นอยู่ในห้องนาง ดังนั้นจึงต้องเข้าไปหาดู”ท่าทีของบ่าวรับใช้ที่เฝ้าประตูดูแข็งกร้าว“หากมิได้รับอนุญาตจากเจ้านาย พวกเรามิอาจให้ท่านเข้าไปในจวนได้ ท่านโปรดรอสักครู่ ให้พวกเราเข้าไปถามฮูหยินก่อน”หลิวอิ๋งพยักหน้า“ได้ ข้าจะรอ”ในรอยยิ้มของนางแฝงความร้ายกาจดุจคมมีดรออยู่สักครู่ คนที่ไปรายงานก็ออกม
เมื่อเห็นท่านพี่หญิงออกมา หลิวอิ๋งพลันเปลี่ยนสีหน้าอย่างฉับพลัน ยิ้มพร้อมก้าวไปข้างหน้า“ท่านพี่หญิง”นายหญิงเฟิ่งก้าวอย่างกระฉับกระเฉง และขึ้นรถม้าไปพร้อมกับหลิวอิ๋งภายในรถม้า นายหญิงเฟิ่งสีหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม“อาอิ๋ง ฮองเฮาก็แค่ปากร้ายใจดี พวกเราล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ฮองเฮาย่อมต้องดูแลพวกเจ้าสองคนแม่ลูกเป็นอย่างดี”หลิวอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ในใจเกิดความรู้สึกสงสัยอยู่บ้างฮองเฮาเชื่อน้าหญิงเยี่ยงนางจริง ๆ หรือจะเป็นแผนถ่วงเวลา?หากเป็นอย่างหลัง เช่นนั้นแล้ว นับว่าฮองเฮาผู้นี้มีความคิดลึกล้ำมากกว่าที่นางคาดการณ์ไว้หลิวอิ๋งหมกมุ่นครุ่นคิด มิได้ตั้งใจฟังว่าต่อจากนั้นนายหญิงเฟิ่งเอ่ยสิ่งใดสำหรับนางแล้ว ทั้งหมดเป็นเพียงเรื่องไร้แก่นสาร......ณ จวนพลทหารเฟิ่งเหยียนเฉินเพิ่งจะเลิกจากปฏิบัติงาน ภรรยาโจวซื่อก็ดึงเขาเข้าไปในห้อง ด้วยความปีติยินดีที่ยากจะระงับได้“ท่านพี่ วันนี้ท่านแม่บอกข้าว่า นางจะออกเดินทางไปจางโจวแล้ว”“เหตุใดถึงกะทันหันเช่นนี้?” เฟิ่งเหยียนเฉินรู้สึกสงสัยโจวซื่อในแววตาแฝงรอยยิ้ม “เป็นเจตนาของฮองเฮา”ถึงแม้จะมิรู้ว่า ฮองเฮาทรงทำเช่นนี้ มีจุดประสงค์อื่
เจิ้งจีร้อนใจดั่งไฟสุม“ท่านแม่ เช่นนั้นทำอย่างไรดี! เป็นผู้ใดกันแน่ เป็นผู้ใดที่คิดร้ายพวกเรา!“จักต้องเป็นคนที่อิจฉาพวกเรา ถึงวิ่งโร่ไปพูดให้ร้ายต่อหน้าท่านป้า!”สีหน้าของหลิวอิ๋งดูเย็นชา เผยให้เห็นความมีไหวพริบของคนทำการค้าการขาย“มิใช่ผู้ใด เป็นฮองเฮา”“ฮองเฮา?” เจิ้งจีประหลาดใจยิ่งนักนางซักถามมารดา “เหตุใดฮองเฮาต้องการสืบเรื่องของพวกเรา? พวกเราก็มิเคยล่วงเกินนาง?”หลิวอิ๋งก็แค่คาดเดาเท่านั้น ทว่าก็มีความเป็นไปได้อย่างมาก“หลังจากท่านป้าเจ้าออกมาจากในวัง ก็มาซักถามข้าเกี่ยวกับเรื่องราวในอดีต จักต้องเป็นฮองเฮาที่บอกเรื่องนี้กับนางเป็นแน่”เจิ้งจีตระหนักขึ้นมาในทันทีใช่แน่!นอกจากฮองเฮา ก็ไม่มีผู้ใดอีกแล้ว!“ท่านแม่ ท่านป้าว่าอย่างไรบ้าง? ท่านป้าก็มิสนใจพวกเราอีกแล้วหรือ?”หลิวอิ๋งแค่นเสียงเย็นชา“ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง เป็นญาติเพียงคนเดียวของครอบครัวมารดานาง ความสัมพันธ์ของพวกเรา มิใช่ผู้ใดจะสามารถยุยงได้อย่างง่ายดาย“ไม่มีผู้ใดเข้าใจนางดีไปกว่าข้า นางเป็นคนใจอ่อน”วันนี้คุกเข่าต่อหน้าท่านพี่ ซ้ำยังหลั่งน้ำตาออกมามากมายเช่นนั้น คงเพียงพอที่จะกระทบจิตใจนางแล้ว
จวนพลทหารหลิวอิ๋งคุกเข่าลงกับพื้น ร่ำไห้สะอึกสะอื้น“ท่านพี่หญิง ตอนนั้นข้าวู่วามเกินไป และเอาแต่ใจเกินไป“ข้าอิจฉาที่ท่านมีโอกาสได้แต่งเข้าจวนตระกูลเฟิ่ง ข้ามิอาจยอมรับได้ เห็นกันอยู่ว่าข้ารู้จักกับเฟิ่งหลินมาก่อน และเห็นกันอยู่ว่าข้ากับเขามีความสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกัน ขาดก็แต่เพียงการแต่งงาน แต่ในวันที่เขามาทาบทามสู่ขอ จู่ ๆ กลับเปลี่ยนใจ และหันไปขอแต่งงานกับท่าน“ท่านจะให้ข้ายอมรับเหตุการณ์พลิกผันใหญ่โตเช่นนี้ได้อย่างไร?“ในตอนนั้นข้าเพิ่งเข้าสู่วัยสาว ยังเป็นที่รักใคร่หวงแหนของคนในครอบครัวอย่างท่านพ่อท่านแม่และพี่หญิง ย่อมมิอาจยอมรับเรื่องทำนองนี้ได้เลย!“และข้าก็ชอบเขาจริง ๆ ดังนั้น...ดังนั้น ข้าจึงทำเรื่องเช่นนั้นด้วยความขาดสติ”นายหญิงเฟิ่งฟังอย่างนิ่งเงียบ หัวใจคล้ายกับถูกมีดกรีดตอนอาอิ๋งยังเล็ก ก็เป็นเด็กที่ได้รับความเอ็นดูจากครอบครัวเป็นที่สุด ปรารถนาสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น ทุกคนต่างก็รักใคร่นางคนประเภทนี้ อยู่ ๆ ก็ถูกทอดทิ้งและถูกหักหลัง ย่อมต้องทำเรื่องโง่เขลาอย่างเลี่ยงไม่ได้นางไม่ผิด อาอิ๋งก็ไม่ผิดเช่นกันคนที่ผิดคือเฟิ่งหลินเป็นเฟิ่งหลินที่ทำร้ายพวกนางสองพี่
จวนพลทหารนายหญิงเฟิ่งฟื้นเมื่อหนึ่งชั่วยามก่อนหน้า นางปฏิเสธข้อเสนอของฝ่าบาทและฮองเฮา——เรื่องพักฟื้นในวังเพราะว่า มีบางเรื่อง นางต้องพูดกับอาอิ๋งให้ชัดเจนนายหญิงเฟิ่งถูกหมัวมัวในวังพามาส่ง สีหน้าไม่ค่อยดีเท่าไรนักโจวซื่อผู้เป็นลูกสะใภ้ประคองนางนั่งลงบนเตียง ใบหน้าแสดงความห่วงใยไม่น้อย“ท่านแม่ ร่างกายของท่านเป็นอย่างไรบ้าง? ยังเจ็บอยู่หรือไม่?”นางได้ยินองครักษ์พูดว่า ท่านแม่เป็นลมหมดสติไปในวังการเข้าวังในครั้งนี้ มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? นายหญิงเฟิ่งตบหลังมือของลูกสะใภ้ “ไม่มีอะไร ประเดี๋ยวจะมีแขกมาหา เจ้าพานางเข้ามาได้เลยนะ”“เจ้าค่ะ”ไม่นาน หลิวอิ๋งก็มาถึงโจวซื่อโค้งให้หลิวอิ๋งเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับนายหญิงเฟิ่งอย่างเหมาะเจาะ “ท่านแม่ ข้าขอไปดูเฉียวเอ๋อร์ก่อนนะ”เฉียวเอ๋อร์คือลูกสาวของนางกับเฟิ่งเหยียนเฉิน อายุสองขวบ อยู่ในช่วงวัยที่กำลังติดคนนายหญิงเฟิ่งพยักหน้าให้โจวซื่อ “อืม ไปเถอะ ฝากปิดประตูด้วยนะ”หลังจากปิดประตู ภายในห้องก็เหลือแค่สองพี่น้องหลิวอิ๋งนั่งลงข้างนายหญิงเฟิ่ง ถามอย่างร้อนใจ“ท่านพี่ ฮองเฮาทรงว่าอย่างไรบ้าง?”ถึงแม้จะถามออกไปเช่นนี้ แ
อารมณ์ของนายหญิงเฟิ่งซับซ้อนอย่างมาก พลันน้ำตาไหลพรากออกมากลับได้ยิน หยวนเส่ากล่าวต่อ“แม้นหลิวอิ๋งจะตั้งท้องลูกของคุณชาย ฮูหยินเฒ่ายังไม่ยอมดังเดิม“นางให้เงินตระกูลหลิวไปก้อนหนึ่ง เพื่อให้พวกเขาได้กินอยู่อย่างสุขสบาย แต่มีข้อแม้อยู่สองอย่าง อย่างแรกคือให้หลิวอิ๋งเอาเด็กออก และอย่าได้คิดที่จะเข้ามาในจวนตระกูลเฟิ่ง ส่วนอีกอย่างคือ…”นางมองนายหญิงเฟิ่ง “ต้องตัดความสัมพันธ์กับท่าน”นายหญิงเฟิ่งไม่คิดเลยว่า เรื่องมันจะเป็นเช่นนี้คำพูดต่อมา เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนเล่าเอง“เงินเหล่านั้น เดิมทีมากพอให้ตระกูลหลิวมีกินมีใช้ แต่น่าเสียดายที่บุตรชายของพวกเขาไม่เอาไหน เอาแต่เที่ยวกินติดพนัน จนกิจการตระกูลล่มจมหมดตัว“ส่วนน้าหญิง นางไม่ได้ทำแท้งตามที่ตระกูลเฟิ่งบอกในตอนนั้น แต่พาลูก พร้อมสินสมรสมากมาย ไปแต่งงานกับพ่อค้าผู้หนึ่ง ณ ที่ห่างไกล“ยามที่ตระกูลหลิวอับจนหนทาง เพราะหนี้สิน เคยไปขอความช่วยเหลือที่เจียงโจว แต่กลับถูกปฏิเสธไล่ตะเพิดออกมานอกประตู”นี่คือเรื่องที่นางส่งคนไปสืบที่เจียงโจวเมื่อนายหญิงเฟิ่งรู้ต้นสายปลายเหตุทั้งหมด บริเวณหน้าอกพลันบีบรัด ในหูมีเสียงอื้ออึงดังขึ้นมาไม่หย
นายหญิงเฟิ่งไม่สามารถยอมรับได้ในขณะนั้น น้องสาวแท้ ๆ ของตัวเอง แอบตั้งท้องกับเฟิ่งหลิน!นางรับได้ที่น้องสาวจะแต่งงานกับเฟิ่งหลินในตอนนี้ แต่กลับรับไม่ได้ที่พวกเขาโกหกนาง และทรยศนาง!เจิ้งจีอายุเท่าเหยียนเฉินหากสิ่งที่จิ่วเหยียนพูดมาคือความจริง เช่นนั้น ช่วงที่นางกับเฟิ่งหลินเพิ่งแต่งงานกันใหม่ ๆ อาอิ๋งก็คง…นายหญิงเฟิ่งหายใจอย่างเจ็บปวด ออกแรงจับกุมมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ มองบุตรสาวอย่างมีความหวัง“จิ่วเหยียน มันคือเรื่องจริงหรือ? พวกเขา…”ความเจ็บปวดระยะยาวไม่เท่าความเจ็บปวดระยะสั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าอย่างจริงจัง“ใช่ ข้าไม่เอาเรื่องแบบนี้มาโกหกท่านหรอก”การฟังความเพียงข้างเดียว อาจทำให้ท่านแม่เชื่อได้ยากนางจึงหาพยานหลักฐานมาด้วยหนึ่งชั่วยามต่อมา อู๋ไป๋ก็พาหญิงชราคนหนึ่ง มาที่ตำหนักหย่งเหอหญิงชราผู้นั้นผมหงอก ก้าวเดินอย่างโซเซอู๋ไป๋ยืนอยู่นอกตำหนัก ปล่อยให้นางเข้าไปเองคนเดียวหญิงชราโค้งคำนับให้เฟิ่งจิ่วเหยียน การสั่งสอนที่ฝังลึกอยู่ในร่างกาย ทำให้นางทำความเคารพได้อย่างถูกต้อง“ข้าน้อย ถวายบังคมฮองเฮา”หญิงชราอายุราว ๆ เจ็ดสิบแปดสิบ ฟันหลุดไปแล้วหลายซี่ทว่
นายหญิงเฟิ่งรู้สึกผิดต่อน้องสาวมาก หลายปีมานี้ นี่เป็นครั้งแรกที่อาอิ๋งมาขอความช่วยเหลือจากนาง นางอยากเข้าร่วมงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวัง นางคิดว่า ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องทำให้อาอิ๋งสมปรารถนาให้ได้วันรุ่งขึ้น นางเข้าวังขอเข้าพบฮองเฮาภายในตำหนักหย่งเหอสองแม่ลูกนั่งอยู่ด้วยกัน มีเพียงหว่านซิวอยู่รับใช้เพียงคนเดียว ไม่มีเรื่องต้องห้ามอะไรนายหญิงเฟิ่งพูดอย่างจริงจัง“ฮองเฮา ทางบ้านของแม่เหลือเพียงท่านน้าของเจ้าแล้ว“นางเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของข้า หลายปีมานี้ ข้าไม่ได้ดูแลนางให้ดี“สามีของนางจากไปเร็ว เด็กกำพร้ากับหญิงหม้าย ใช้ชีวิตอย่างลำบาก...”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้สึกสงสาร ถามนางอย่างตรงไปตรงมา“ท่านอยากจะพูดอะไร?”คำพูดของนายหญิงเฟิ่งถูกขัดจังหวะ จึงยิ่งอ้ำ ๆ อึ้ง ๆนี่เป็นบุตรสาวแท้ ๆ ของนางก็จริง ทว่าด้วยเหตุที่ไม่ได้เลี้ยงจนโตด้วยตนเอง หรืออาจเป็นเพราะบุตรสาวคนนี้อยู่ในค่ายทหารมาหลายปี บนร่างจึงเจือด้วยรังสีฆ่าฟัน มีนิสัยทำอะไรเด็ดขาด ตนจึงรู้สึกกลัวนางอยู่บ้างนายหญิงเฟิ่งหลุบตาลงและค่อย ๆ พูดว่า“ข้า...ข้าได้ยินว่าใกล้จะถึงงานเลี้ยงเทศกาลไหว้พระจันทร์ในวังแล้ว ท่านน้
เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดตามองเหล่าทหารใหม่หลายร้อยนายนั้น แล้วหันไปสั่งการอู๋ไป๋“คะแนนสอบกลศึกของทหารเหล่านี้ ไม่ให้แต้มแม้แต่แต้มเดียว”อู๋ไป๋ยืดคอตั้งตรง เผยให้เห็นความหยิ่งยโสอยู่หลายส่วน“พ่ะย่ะค่ะ!”ทหารหลายร้อยนายเหล่านั้นเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความไม่ยินยอมการสอบประเมินทหารใหม่ที่เพิ่งเข้าค่ายทหารนั้น ครอบคลุมไปถึงกลศึก การขี่ม้ายิงธนู และการวาดแผนที่เป็นต้นคะแนนสอบที่สูงหรือต่ำนั้น ใช้ตัดสินว่าพวกเขาจะได้เป็นทหารทัพไหนทัพกลางดีที่สุดทัพซ้ายและขวา สองทัพนี้รองลงมาที่แย่ที่สุดคือกองเสบียง กองดูแลอาวุธ ที่อนาคตไม่มีโอกาสได้เข้าสู่สนามรบยามนี้แค่คำพูดเดียวของฮองเฮา ก็ทำให้คะแนนกลศึกของพวกเขากลายเป็นศูนย์ ใช้อำนาจรังแกคนชัด ๆ!“ฮองเฮา เพราะเหตุใดพ่ะย่ะค่ะ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้อธิบายให้มากความ“ในเมื่อรู้ว่าสตรีเป็นทหารไม่ง่าย ก็ต้องเห็นคุณค่าของโอกาสในตอนนี้ของพวกเจ้าให้ดี“พอถูกสตรีนำหน้า ก็อับอายจนโมโห ทำไม อยากให้ข้าชมพวกเจ้าว่ามีอนาคตยาวไกล จะต้องเอาชนะกองทัพสตรีได้แน่อย่างนั้นรึ?“ทหารทุกนาย วิ่งรอบค่ายร้อยรอบ!”เหล่าทหารใหม่ที่ถูกกดขี่บีบบังคับได้แต่ทำ