หลังจากองครักษ์ใบ้กลับเข้าห้อง กลับเห็นบุรุษที่อยู่บนคานห้องผู้นั้นนั่งอยู่ตรงนั้น มือข้างหนึ่งวางอยู่บนเข่าที่งอขึ้น และมองลงมาที่เขา พร้อมกับถามด้วยความสงสัย“ไปทำสิ่งใดมา?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ภายนอกจะระวังตัวอย่างมาก กลางวันนอน และกลางคืนเฝ้ายามขณะที่คนผู้นี้ออกไปนางก็รู้แล้วทว่าเขาอยู่นอกประตูตลอดเวลา มิได้ไปที่ใดอีก นางจึงมิได้ตามออกไปสืบดู นอกจากนี้ เขายังเป็นคนที่รุ่ยอ๋องไว้วางใจ นางก็มิควรทำตัวสอดรู้สอดเห็นองครักษ์ใบ้ทำภาษามือง่าย ๆ ราวกับจะบอกว่าเขาออกไปเดินรอบ ๆ มาเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้เค้นถามสิ่งใดอีก จึงเอนนอนลงไปตามเดิมบุรุษเหลือบมองนางแวบหนึ่ง ในดวงตามีเงามืดกระดำกระด่าง...วันรุ่งขึ้น คณะสามคนรีบเดินทางต่อองค์หญิงน้อยทรงถามเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยความใส่พระทัย“พี่ชายใหญ่ เมื่อคืนท่านกับคนประหลาดผู้นั้นนอนด้วยกันหรือ?”ชายชาตรีสองคน หากไม่นอนด้วยกัน ก็อาจจะดูแปลกอยู่บ้างเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้อธิบายมากความ นางฉวยจังหวะแขวนขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่ไว้บนคอขององค์หญิงน้อยองค์หญิงน้อยก็หยิบขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่นั้นขึ้นมากินโดยปริยายเฟิ่งจิ่วเหยียนก็ส่งขนมเปี๊ยะแผ่นใหญ่ที่
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้มาว่า ตอนนี้กองทัพกบฏในเมืองเซวียนถูกแบ่งออกเป็นสองกองกำลังฝ่ายหนึ่งนำโดยแม่ทัพฝ่ายซ้ายหวังโซ่วเหริน พวกเขาเป็นพวกหัวรุนแรง ไม่สนใจชีวิตของราษฎรอีกฝ่ายนำโดยแม่ทัพฝ่ายขวาเซี่ยงเทียน พวกเขาสนับสนุนการใช้สันติวิธีในการต่อสู้เพื่อช่วงชิงสิ่งที่สมควรได้รับ ทั้งจดจำอยู่เสมอว่าตนคือทหาร เป็นทหารที่ปกป้องราษฎรความละมุนละม่อมเพียงอย่างเดียวมิอาจเอาชนะความโหดเหี้ยมได้ทหารของเซี่ยงเทียนถูกส่งไปเฝ้าประตูเมืองทั้งสี่แห่ง ถูกโยกย้ายออกจากใจกลางของเมืองเซวียนตอนนี้ในเมืองเต็มไปด้วยทหารของหวังโซ่วเหริน พวกเขาถืออำนาจบาตรใหญ่ ไม่เกรงกลัวสิ่งใดจวนของจู้กั๋วกงก็ถูกพวกเขายึดครองด้วยสิ่งที่เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องทำคือรอให้ตงฟางซื่อลงมือเพื่อสถานการณ์โดยรวม นางไม่สามารถก่อปัญหาใหม่เพิ่มมาอีก ในคืนนั้นจึงซ่อนตัวอยู่ในบ้านหลังหนึ่งของชาวบ้านอีกด้านหนึ่งองครักษ์ใบ้พาองค์หญิงน้อยไปค้นหาอยู่รอบหนึ่ง ก็ยังไม่พบแผนที่สมบัติแผ่นนั้น ทว่าเขาขุดต้นไม้ไปหลายต้นแล้วกระทั่งขณะที่ขุดมาถึงต้นที่สิบสอง องครักษ์ใบ้ก็ทนไม่ไหวอีกต่อไป“ท่านจำได้หรือจำไม่ได้กันแน่!”องค์หญิงน้อย: !!!นิ
ทันใดนั้น มีคนสวมหน้ากากผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้น และขวางทางเซี่ยงเทียนกับคณะของเขาไว้“เจ้าเป็นผู้ใด!!” เซี่ยงเทียนระแวดระวังขึ้นมาทันทีเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่เอ่ยสิ่งใด พร้อมกระโดดขึ้นไปบนหลังคาเซี่ยงเทียนรีบตามไปทันที และตะโกนว่า “จับนักฆ่า!”อีกด้านหนึ่งณ จวนจู้กั๋วกงในห้องโถงหลักหวังโซ่วเหรินกำลังสนทนากับคนผู้หนึ่ง คนที่นั่งอยู่ตรงข้ามก็คือ บุรุษสวมชุดคลุมขาวผู้หนึ่ง บนใบหน้าสวมหน้ากาก มองเห็นหน้าตาไม่ชัดเจน ทว่าบนนิ้วมือมีแหวนน้าวสวมอยู่หวังโซ่วเหรินมีท่าทีเคารพคนผู้นี้เป็นพิเศษ“นายท่านวางใจได้ ทุกอย่างดำเนินตามแผนของนายท่าน...”ทันใดนั้น คนชุดคลุมขาวรับรู้ถึงบางอย่าง เขาเหวี่ยงมือ อาวุธลับที่ซ่อนอยู่ในแขนเสื้อก็พุ่งออกไปขณะที่ทั้งสองคนไล่ตามออกไป ก็เห็นเพียงเงาดำกระโดดข้ามออกจากกำแพงไปหวังโซ่วเหรินเหงื่อแตกพลั่กในทันที “นี่...”คนชุดคลุมขาวสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “ไล่ตาม!”ทันใดนั้น จู่ ๆ ก็มีคนสวมชุดคลุมขาวเหมือนกันหลายสิบคนปรากฏตัวออกมาจากในที่ลับ ราวกับลูกธนูคมไล่ตามคนชุดดำผู้นั้นไปหลังจากองครักษ์ใบ้หนีออกมาจากจวนจู้กั๋วกง ก็มุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกด้านหลัง
ด้านนอกประตู แม่เล้าขวางทหารกบฏเหล่านั้นไว้“ด้านในคือน้องชายของแม่ทัพหวัง...”“เหตุใดจึงไม่ได้ยินเสียงความเคลื่อนไหวใด ๆ ?”“นี่...บางทีอาจจะเหนื่อยและหลับไปแล้ว?” แม่เล้าคาดเดา“ไม่ชอบมาพากล! เปิดประตู!”ภายในห้องเหตุการณ์คับขันไม่มีทางออกแล้ว องครักษ์ใบ้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หันหลังจะกระโดดหนีออกไปทางหน้าต่างเฟิ่งจิ่วเหยียนขวางเขาไว้ และชี้ไปทางอ่างน้ำพร้อมส่งภาษามือให้เขาแววตาของบุรุษดูเยือกเย็นนี่จะให้เขาลงไปในอ่างน้ำหรือ?เวลาคับขัน เฟิ่งจิ่วเหยียนมิพูดพร่ำทำเพลง ขณะที่เขากำลังลังเลไร้สติอยู่นั้น นางก็ผลักเขาลงไปในอ่างน้ำอย่างมิเกรงใจไอ้บ้าเอ๊ย!หลังจากบุรุษขึ้นมาจากน้ำ วินาทีแรกคือขยับหน้ากากบนใบหน้าของเขาให้ตรงทว่ากลับเห็นซูฮ่วนนำสตรีผู้นั้นซ่อนไว้ในตู้เสื้อผ้า จากนั้นก็สวมชุดคลุมตัวนอกของหญิงสาว พร้อมปล่อยผมดำขลับลงมาอย่างรวดเร็วจากนั้นนางก็ลงไปในอ่างน้ำ...ปัง! กองทัพกบฏใช้กำลังพังประตูเห็นเพียงในอ่างน้ำภายในห้องนั้น หญิงสาวหันหลังให้พวกเขา กำลังดันตัวบุรุษไปที่ขอบอ่างน้ำ ท่าทางของทั้งสองคนนั้นดูใกล้ชิดแนบแน่น...หลังจากแม่เล้าเห็นแล้ว นัยน์ตาพลันม
เฟิ่งจิ่วเหยียนกับองครักษ์ใบผู้นั้น ทั้งสองคนกำลังสกัดกั้นกองทัพกบฏจำนวนนับไม่ถ้วนทว่ากองทัพกบฏทุกคนที่พุ่งเข้ามาด้านหน้า จะถูกเตะลอยคว้างและล้มลงด้วยความเร็วที่รุนแรงฉับพลันส่วนทั้งสองคนนั้นดูเหมือนไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อยเลยหวังโซ่วเหรินนั่งอยู่บนหลังม้า และมองดูจากตำแหน่งที่ไม่ไกลนัก ในใจยิ่งรู้สึกหวาดหวั่นมิได้การ!จะเสียเวลาเช่นนี้ต่อไปอีกมิได้แล้ว!เขาต้องทำตามคำสั่งของนายท่านให้สำเร็จโดยเร็ว สังหารฮ่องเต้ผู้นั้นเสีย!หวังโซ่วเหรินหยิบคันธนูและลูกธนูออกมา และยิงออกไปทางฮ่องเต้ผู้นั้นทว่า ลูกธนูดอกนั้นเห็นชัดว่ายิงออกไปอย่างแม่นยำ และขณะที่ลูกธนูอยู่ห่างจากตัวฮ่องเต้เป็นระยะห่างสามฉื่อ มันกลับหยุดลงอย่างน่าประหลาด!หวังโซ่วเหรินมิอยากเชื่อภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้านี้ จึงรีบขยี้ตาในทันทีตงฟางซื่อมีประสาทการรับรู้ต่อภัยอันตรายที่ฉับไวมาโดยตลอดเขาใช้มือข้างหนึ่งทำให้ลูกธนูดอกนั้นลอยอยู่กับที่ เพียงโบกมือเบา ๆ ลูกธนูก็ร่วงลงพื้นแล้วทว่าดูเหมือนเขาจะมิได้รับผลกระทบใด ๆ แม้แต่น้อย ยังคงจดจ่ออยู่กับการแก้กลไกลของค่ายกลประตูนั้น หวังโซ่วเหรินมิอยากเชื่อ ลูกธนูที่ยิงออกไปติด
ด้านนอกเมืองเซวียน รุ่ยอ๋องนั่งอยู่บนหลังม้า สายตาที่ดูเหมือนละมุนละม่อม กลับแฝงด้วยเจตจำนงของการสู้รบอย่างเต็มเปี่ยม“บุก!”เมื่อสูญเสียผนังทองแดงกำแพงเหล็กของประตูเมือง บวกกับไม่มีทหารมากพอที่จะสกัดกั้น ไม่นานก็ต้านทานแรงกระแทกของอาวุธที่ทำการพังประตูเมืองไม่ได้ จึงถูกกระแทกจนเปิดออกกองทัพใหญ่ของรุ่ยอ๋องบุกเข้าไปในเมืองเซวียน ภายใต้เกือกม้าเหล็กทำให้ฝุ่นลอยตลบอบอวล เหล่ากองทัพกบฏโกลาหลวุ่นวายขึ้นมาทันที เมื่อสูญเสียข้อได้เปรียบในการป้องกันที่มีอยู่เดิม ดูเหมือนจะเหลือเพียงสถานะที่ถูกฝ่ายตรงข้ามบดขยี้เท่านั้นอย่างไรเสียกองทัพใหญ่ที่นำโดยราชสำนักก็มีจำนวนหลายหมื่นคน...ในเวลาเดียวกันนั้น องครักษ์ใบ้ผู้นั้นทะยานตัวขึ้น และเตะหวังโซ่วเหรินผู้นำกองทัพกบฏตกลงจากหลังม้าทว่าหวังโซ่วเหรินสามารถนั่งอยู่ในตำแหน่งแม่ทัพได้ หาใช่มาดดีแต่ไร้ฝีมือไม่หลังจากเขาตกลงจากหลังม้า ก็รีบลุกขึ้นยืน และชักกระบี่ออกมาเพื่อป้องกันตัวจากศัตรูทว่าสุดท้ายก็ยังพ่ายแพ้ต่อองครักษ์ใบ้ผู้นั้น ไม่เกินสิบกระบวนท่า เขาก็ถูกฝ่ามือขององครักษ์ใบ้ฟาดจนกระดูกซี่โครงหัก แม้แต่แขนที่ถือดาบก็ถูกบิดจนหักด้วยตามด้
เมื่อเห็นน้องชายตายต่อหน้าต่อตา หวังโซ่วเหรินก็คำรามด้วยความโมโหอย่างสุดเสียง“ไม่! โซ่วอี้ โซ่วอี้!!!”เขาจ้องมองไปทางองครักษ์ใบ้ผู้นั้นด้วยแววตาเคียดแค้น“เป็นเจ้า เป็นเจ้าสังหารน้องชายข้า! ข้าต้องการให้เจ้าตาย!!”องครักษ์ใบ้วางคันธนูลง แววตาเยือกเย็นไร้ความรู้สึกเฟิ่งจิ่วเหยียนจ้องมองเขาโดยไม่กระพริบตา มือกำไว้แน่นอย่างอดมิได้เหล่ากองทัพกบฏที่จับตัวราษฎรเห็นหวังโซ่วอี้ตายแล้ว ก็ทำสิ่งใดไม่ถูกหวังโซ่วเหรินจึงสั่งการกองกำลังนั้น“สังหารพวกเขา! ฝ่าบาทและราชสำนักเดิมก็มิเคยสนใจชีวิตของราษฎรเมืองเซวียนอยู่แล้ว! เช่นนั้นก็สังหารพวกเขาให้หมด! ข้าต้องการให้พวกเขาถูกฝังไปพร้อมกับโซ่วอี้!”กองทัพกบฏเหล่านั้นต่างมองหน้ากัน กำลังลังเล และไม่มีการลงมือหวังโซ่วเหรินผิดหวังอย่างหนัก “เหล่าราษฎรเมืองเซวียน จงฟังให้ดี ฝ่าบาทมิใช่ตัวจริง! ราชสำนักมาเพื่อสังหารราษฎรทั้งเมือง! พวกเขาต้องการจะสังหารกองทัพกบฏอย่างพวกเรา พวกเจ้าก็ไม่รอดเช่นกัน! จงรีบหนีไป!“ประตูเมืองเปิดแล้ว จงหนีไป---”เหล่าราษฎรที่หลบซ่อนอยู่ในบ้านเรือนของตนได้ยินเสียงแว่ว ๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายบางคนยืนกรานที่จะหลบซ่
กองทัพกบฏทั้งหมดล้มเลิกที่จะต่อต้าน เหล่าราษฎรก็คุกเข่าลงอย่างสงบเรียบร้อยสายตาของเซียวอวี้เยือกเย็นและเฉียบคม“เรามาเมืองเซวียนก็เพื่อสืบหาความจริง“วันนี้พบความจริงแล้วว่า กองทัพกบฏเอื้อประโยชน์ให้กับหวังโซ่วเหรินเป็นส่วนมาก“จุดประสงค์ของเขา มิใช่อยู่ที่เบี้ยหวัดทหาร ทว่าอยู่ที่สมบัติในเมืองเซวียน จนกระทั่งคิดจะลอบสังหารกษัตริย์ หวังโซ่วเหริน เจ้ามีความผิดมหันต์!”บาดแผลของหวังโซ่วเหรินมีเลือดไหลไม่หยุด ในแววตาไม่มีความหดหู่ของผู้แพ้ มีเพียงความไม่ยินยอมเท่านั้น“เหลืออีกนิดเดียว อีกนิดเดียว ข้าก็จะทำสำเร็จแล้ว! ท่านสังหารน้องชายของข้า ฮ่องเต้ทรราชอย่างท่าน ผู้ใดก็สังหารได้!”รุ่ยอ๋องขอคำแนะนำ: “ฝ่าบาท คนที่คิดวางแผนการกบฏเช่นนี้ มีหลักฐานแน่นหนา จะสังหารเขาตอนนี้เลยหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ?”เซียวอวี้สั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เขายังมีคนสมรู้ร่วมคิด ลากตัวไป และสอบสวนอย่างละเอียด ส่วนคนอื่น ๆ ก็คุมขังไว้ก่อน รอตัดสินทีละคน”“พ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาท!”หลังจากเหล่ากองทัพกบฏถูกจับกุม ตงฟางซื่อก็ก้าวมาข้างหน้า“ฝ่าบาท ก่อนหน้านี้มิรู้สถานะของท่าน จึงล่วงเกินไปมาก”คำพูดของเขาเป็นการพูดแทนซ
เพื่อได้แต่งงานเร็ว เซียวอวี้ยังหาช่างเย็บปักมาอีกสิบกว่าคน หมุนเวียนมาทำงานด้วยเหตุนี้ ชุดแต่งงานจึงเสร็จก่อนกำหนดสำนักโหรหลวงได้ทำนาย ฤกษ์งามยามดีออกมาคือเดือนสิบ เกือบจะถูกเซียวอวี้ปลดจากตำแหน่งจากนั้นจึงรีบเปลี่ยนคำพูด กล่าวว่า“งานอภิเษกจัดวันไหน ฤกษ์งามยามดีก็คือวันนั้น!”เหล่าขุนนางนิ่งอึ้งโหรหลวงผู้นี้ ควรปลดทิ้งเสียจริง ๆ!ดังนั้น งานอภิเษกจึงกำหนดขึ้นในวันที่สิบเดือนห้าเซียวอวี้มอบหมายหน้าที่ให้รุ่ยอ๋องไปรับตัวเจ้าสาว ทั้งยังส่งกองกำลังเสริมไปให้เขาคาดโทษเสียงเยือกเย็น“เรื่องนี้ ห้ามให้มีเรื่องผิดพลาดเกิดขึ้นแม้เพียงนิด”รุ่ยอ๋องประสานมือรับคำสั่ง “น้อมรับคำสั่งพ่ะย่ะค่ะ!” การแต่งงานเร่งรัด เรียกได้ว่าคึกคักเร่าร้อนพิธีในวังมีหนิงเฟยเป็นตัวหลักในการดำเนินงาน ส่วนองค์หญิงใหญ่ก็เอาแต่ชี้นิ้วออกคำสั่งไม่น้อย ใส่ใจเสียยิ่งกว่างานแต่งของตัวเองอีกเรื่องนี้ หนิงเฟยจึงอัดอั้นจนพูดไม่ออก อีกด้าน รุ่ยอ๋องนำขบวนมารับตัวเจ้าสาว ด้วยความยิ่งใหญ่มหาศาลกลางทางถึงได้พบว่า หร่วนฝูอวี้ตามหลังมาตลอดทางเขาดึงนางออกมา ถามอย่างสุดจะทน“แม่นางหร่วน เจ้าคิดจะทำอะไรอี
เวยเฉียงหลุกหลิกไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมา มือทั้งสองข้างกำชายเสื้อ กัดริมฝีปากแน่นซ่งหลีดื่มสุรามา ใบหน้าจึงแดงระเรื่อเขาเดินเข้าไป สวมกอดนางอย่างเงอะงะ“แม่หญิง…”หัวใจของเวยเฉียงเต้นกระหน่ำเหมือนกวางวิ่งเต้น หลุบตาลง “พี่ใหญ่ซ่ง”ซ่งหลีมองตรงมาที่นาง พูดกลั้วยิ้มว่า “เจ้าควรเรียกข้าว่าสามีสิ”“เจ้าค่ะ สามี” ใบหูของนางแดงก่ำไปหมด ไม่กล้าเงยหน้ามองเขายิ่งกว่าเดิมซ่งหลีจับมือของนาง จูงนางเดินไปยังเตียงนอนจากนั้นก็ประคองนางนั่งลง ปล่อยม่านมุ้งมงคลลงทีละชั้นเวยเฉียงเห็นเช่นนั้น ลำคอพลันแห้งผาก หัวใจเต้นรัวเร็วกว่าเดิมซ่งหลีเองก็ไม่เคยมีประสบการณ์ เพียงปล่อยไปตามสัญชาตญาณของร่างกาย ค่อย ๆ โน้มตัวนางนอนลงบนเตียง ก้มลงจูบริมฝีปากของนาง ด้วยการกระทำแสนอ่อนโยนเวยเฉียงหลับตาลงอย่างประหม่า ลมหายใจกระชั้นชิด“ท่านพี่…”นางหวาดกลัวเล็กน้อยมือของซ่งหลีลูบตามร่างกายที่สั่นเทาของนางอย่างแผ่วเบา ปลอบโยนนางว่า “ไม่ต้องกลัว แม่หญิง”เขารู้ว่านางเคยผ่านเรื่องราวเลวร้ายมา เขาเองก็กลัวว่านางจะถูกกระตุ้น จนกลับไปนึกถึงเรื่องราวแสนอัปยศเหล่านั้นดังนั้น เขาจึงระมัดระวังเป็นอย่างมากเขาจะร
ภายในเรือนหอแม่สื่อและสาวใช้ไฉ่เยว่ยืนอยู่ข้างเตียง มองเจ้าบ่าวที่กำลังหน้าแดงก่ำอีกฝ่ายกลับเอาแต่จ้องตรงไปยังเจ้าสาว——เวยเฉียงมีผ้าคลุมหน้าเจ้าสาวปกปิดใบหน้า มือทั้งสองข้างวางซ้อนไว้บนตัก แผ่นหลังยืดตรง ท่านั่งดูแข็งทื่อ เห็นเท่านี้ก็พอจะรู้ว่านางกำลังประหม่าซ่งหลีเองก็ไม่ต่างกันเขารับคันชั่งที่ไฉ่เยว่ยื่นมาให้ ด้วยมือสั่นเทากลัวว่าจะเผลอเกี่ยวโดนหน้าของเวยเฉียงเขาระมัดระวัง แง้มเปิดผ้าคลุมหน้าสีแดงออก ภายใต้ผ้าผืนนั้น ใบหน้าที่แต่งแต้มอย่างงดงามหมดจรดค่อย ๆ เผยออกมาเวยเฉียงหลุบตาลงอย่างขวยเขิน ใบหน้าเล็ก ๆ แดงระเรื่อยิ่งกว่าริมฝีปากเสียอีกนางไม่รู้ว่าควรพูดสิ่งใดออกมา บรรยากาศภายในเรือนหอเงียบกริบจนแทบได้ยินเสียงเข็มหล่นหัวใจของซ่งหลีสั่นไหว“แม่หญิง เจ้าช่างงามเหลือเกิน”เขาคิดกับเวยเฉียงเป็นแค่คนไข้ที่ต้องดูแลในตอนแรก กอปรกับมีคำฝากฝังจากเพื่อนสนิทด้วยเหตุนี้ เขาจึงดูแลรักษานางอย่างไม่ขาดตกบกพร่องต่อมาเขาก็เริ่มสงสารนาง เพราะเรื่องที่นางประสบพบเจอมามันน่าหดหู่มากจริง ๆหลังจากนั้น พอได้อยู่ด้วยกันนานวันเข้า ความบริสุทธิ์ไร้เดียงสาของนางก็ทำให้เขาหวั่นไหวแ
เมื่อเจ้าสาวจะออกเรือน พี่น้องชายของเจ้าสาวจะเป็นคนแบกเจ้าสาวขึ้นเกี้ยวเฟิ่งจิ่วเหยียนสวมชุดบุรุษเต็มตัว ใช้ฐานะของพี่ชายฝั่งบ้านเจ้าสาวแบกเวยเฉียงขึ้นหลังฝีเท้าของนางมั่นคงอย่างมากเวยเฉียงพิงหลังอยู่บนหลังนาง ด้วยจิตใจที่สงบสุข“ท่านพี่ พวกเราจะต้องมีความสุข”น้ำตาหยดหนึ่ง หยดลงบนคอของเฟิ่งจิ่วเหยียนเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบเสียงเบา“แน่นอน”ล้วนกล่าวกันว่า ต้นร้ายปลายดี เวยเฉียงต้องผ่านความทุกข์มามากมายเพียงนี้ จากนี้ไปย่อมมีแต่ความราบรื่นเป็นแน่......เกี้ยวมงคลร้องรำทำเพลงไปตลอดทางจนถึงบ้านตระกูลซ่งเจ้าสาวก็ถูกคนประคองให้เดินลงมาซ่งหลีสวมชุดเจ้าบ่าว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มเขาทนไม่ไหวจนอยากจะไปประคองเจ้าสาวของตน แต่ถูกหญิงมงคลขวางเอาไว้“ท่านเจ้าบ่าว ช้า ๆ ได้พร้าเล่มงาม ทำพิธีไหว้ฟ้าดินก่อน!”ผู้คนรอบ ๆ พร้อมใจกันหัวเราะทันทีซ่งหลีเองก็หน้าแดงเช่นกันเขาไม่ได้พบเวยเฉียงนานเกินไปแล้ว คิดถึงนางยิ่งหากไม่ใช่เพราะเกิดเรื่องกับซูฮ่วน พวกเขาคงเป็นสามีภรรยากันไปนานแล้วแขกที่มาในวันนี้บางส่วนเป็นสหายที่ดีในยุทธภพของซ่งหลี เจียงหลินก็มาเช่นกันคนหลังพอได้พบเฟิ่งจิ่วเ
เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าจริงจัง “อาจารย์ อาจารย์หญิง พวกท่านปิดบังอะไรข้ากันแน่”ฮูหยินเมิ่งมองนางอย่างลึกซึ้งจิ่วเหยียนถึงกับยอมตัดสัมพันธ์กับตน ก็จะไล่สืบเรื่องมนุษย์โอสถให้ได้ นางไร้กำลังที่จะทำอะไรแล้วจริง ๆจากนั้น นางก็เปิดปากพูดอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เจ็บปวดและเศร้าโศก“ตอนนั้นสิงโจวเองก็รู้ถึงเรื่องมนุษย์โอสถ จึงแอบปกปิดตัวตนเข้าไปตรวจสอบ เขาเคยเขียนจดหมายให้พวกเรา บอกว่าพบแหล่งซ่องสุมของมนุษย์โอสถพวกนั้นแล้ว จะตามไปสืบต่อ หลังจากนั้น...”“ศิษย์พี่ถูกพวกเขาฆ่าตายหรือ?” เสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนดังขึ้นทันทีหลายปีมานี้ นางกลัวว่าจะทำให้อาจารย์และอาจารย์หญิงเศร้าใจ จึงไม่เคยตามเรื่องการตายของศิษย์พี่อย่างละเอียดมาโดยตลอดศิษย์พี่ผู้นั้นที่ดีกับนางมากที่สุด นางนึกว่าเขาไปช่วยเหลือคนอื่นแล้วเกิดอุบัติเหตุจนสิ้นชีพอย่างที่อาจารย์บอกในยามปกติฮูหยินเมิ่งทั้งใจเย็นและเข้มแข็งทว่ายามนี้เมื่อนึกถึงเรื่องของบุตรชาย นางสะอึกสะอื้นจนพูดต่อไม่ไหว จากนั้นก็ลุกแล้วเดินจากไปใบหน้าที่แข็งทื่อของแม่ทัพเมิ่ง เล่าเรื่องที่เหลือออกมา“อาจารย์หญิงของเจ้าตรวจศพด้วยตนเอง สิงโจวถูกตีจนหัวเข่
ต้วนเจิ้งที่มีท่าทางอ่อนแอ ทว่ายังมีแรงจะด่าคน“ไสหัวไป...ข้าไม่ต้องการให้เจ้ามาปรนนิบัติ! อย่ามาจับข้า...ไปไกล ๆ !”สาวใช้ผู้นั้นใจเย็นมาก ไม่ว่าเขาจะด่านางอย่างไร นางก็ยังป้อนยาให้เขาอย่างอดทนพอต้วนเจิ้งเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาก็เก็บอารมณ์ที่ระเบิดออกมาอยู่ทันที คล้ายกับได้รับความน้อยเนื้อต่ำใจถึงที่สุด ราวกับเมื่อครู่เขาไม่ใช่คนที่ด่าผู้อื่น แต่เป็นเขาที่ถูกด่า“ในที่สุดท่านก็กลับมาแล้ว...”เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปใกล้ มองขาทั้งสองข้างของเขาที่ถูกมัดไว้กับแผ่นไม้ดวงตาของต้วนเจิ้งแดงขึ้น ราวกับมีความทุกข์ใจที่ยากจะพูดออกมา“เป็นหร่านชิว นางมัดข้าเอาไว้ นางอยากได้เถ้ากระดูกของพี่ข้า“ข้าไม่ยอมบอกนาง“นางดูดพลังภายในของข้าจนแห้ง...ใช่ เจ้าคงจะยังไม่รู้! นางฝึกเคล็ดวิชาดาราโรยหมื่นวิถี!”“กว่าข้าจะหนีออกมาได้ไม่ง่ายเลย ข้าตกลงมาจนขาหัก ทั้งหมดนี่เป็นนางที่ทำร้ายข้า!“เฟิ่งจิ่วเหยียน ท่านจะต้องช่วยข้าฆ่านาง!“คนผู้นี้ช่างน่าแค้นนัก!”หลังจากที่ต้วนเจิ้งถูกช่วยออกมา ก็ฝากคนให้ช่วยพาเขามาส่งที่จวนแม่ทัพชายแดนเหนือด้วยความช่วยเหลือของแม่ทัพเมิ่ง เขาจึงถูกส่งมารักษาที่เซียวเ
“โกหก” เมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนฟังเซียวอวี้พูดเรื่องของรุ่ยอ๋องจบ ก็วิเคราะห์ออกมาเช่นนี้ปริมาณสุราที่หร่วนฝูอวี้รับได้นั้น นางรู้ชัดอย่างยิ่ง ไม่มีทางดื่มจนเมาได้เว้นเสียแต่ว่าหร่วนฝูอวี้จะยินยอมแต่แสร้งทำเป็นเมาทว่าหร่วนฝูอวี้ชอบสตรี ดังนั้นนางไม่มีทางมีอะไรกับรุ่ยอ๋องเซียวอวี้เองก็เดาได้เช่นกัน เหตุใดหร่วนฝูอวี้ต้องทำเช่นนี้ด้วยนอกเสียจากจะอยากอยู่ในเมืองหลวงต่อ เพื่ออยู่ข้างกายจิ่วเหยียนสิ่งที่เขาไม่แน่ใจคือทัศนคติของรุ่ยอ๋องหากรุ่ยอ๋องชอบหร่วนฝูอวี้เข้า นับว่าเป็นเรื่องยุ่งยากแล้วจริง ๆเขายังไม่ทันไตร่ตรองอย่างละเอียด เฟิ่งจิ่วเหยียนก็พูดขึ้นว่า“ฝ่าบาท ข้าจะไปชายแดนเหนือซักรอบ ออกเดินทางพรุ่งนี้”เซียวอวี้ได้สติทันที จากนั้นเขาก็กุมมือของนาง“ใกล้จะถึงพิธีสมรสแล้ว ไปชายแดนเหนือทำไมกัน?”เขาถูกทอดทิ้งหลายครั้งเกินไป จึงรู้ไม่สบายใจแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนนิ่งเฉย นางตอบอย่างจริงจังว่า “เวยเฉียงจะแต่งงานแล้ว”เดิมทีกำหนดวันแต่งงานของเวยเฉียงคือสิ้นเดือนสิบเอ็ดของปีที่แล้วด้วยเหตุที่เกิดเหตุร้ายขึ้นกับนางบนภูเขาเทียนฉือ งานแต่งจึงเลื่อนออกไปเซียวอวี้เริ่มคำนวณวั
เฟิ่งจิ่วเหยียนลองกระบี่ แววตาคมกล้าเผยความแข็งแกร่งออกมาพอกระบี่ล้ำค่าอยู่ในมือ นางก็รู้สึกอยากฟันอะไรซักอย่าง เปิดคมกระบี่เสียหน่อย เซียวอวี้ที่เห็นนางชอบกระบี่ชื่อหยวนมาก รอยยิ้มในแววตาก็ยิ่งเผยความอ่อนโยนทว่าผ่านไปไม่นานก็รู้สึกว่าผิดปกตินางเอาใจใส่กระบี่มากกว่าเอาใจใส่เขาโดยเฉพาะแววตาที่นางมองกระบี่ ดูลึกซึ้งเสียยิ่งกว่าเวลามองเขาเสียอีก!“เราไปดูฎีกาด้านนอกก่อน”ยามที่เซียวอวี้พูดประโยคนี้ ก็หวังว่านางจะมองตนทว่าสุดท้ายนางก็ยังจับกระบี่นั่นไปมา ไม่หันมามองไม่ส่งเสียงตอบรับ ไม่พูดอะไรซักคำเซียวอวี้: กระบี่นั่นมีดีขนาดนั้นเลยรึ?เซียวอวี้กักเก็บความเคืองโกรธเอาไว้แล้วก้าวยาว ๆ ออกไปด้านนอก อ่านฎีกาต่อเมื่อเห็นใบรายการสิ่งของที่ฝังลงหลุมศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉิน ความโกรธของเขาก็หายไปจนหมดแต่งกับภรรยาเช่นนี้ได้ ผู้เป็นสามีจะยังต้องการอะไรอีกเล่าเป็นเขาเองที่ใจแคบ เซียวอวี้ปลอบตนเองเรียบร้อย......นอกวังหลวงณ ตำหนักรุ่ยอ๋องช่วงนี้รุ่ยอ๋องถูกหร่วนฝูอวี้รัดตัวเอาไว้หมายถึงถูกรัดเอาไว้จริง ๆบนแขนของเขามีงูตัวหนึ่งพันอยู่ องครักษ์นาม หลิวหวา เป็นบุรุษร่า
เซียวอวี้รู้สึกมุทะลุน่าขันถึงว่านาง “สูญหาย” ไปหลายวัน ยังทำให้ตนเองกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ที่แท้ก็ไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของคนอื่น !เขาเดินมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ยกมือเช็ดฝุ่นบนใบหน้าให้นางด้วยตนเอง“เรื่องอันตรายเช่นนี้ ทำไมเจ้าจะต้องไปทำด้วยตนเอง ?“เจ้ารออภิเษกอยู่อย่างสงบ ไม่ได้หรือ ? ”ตอนนี้ก็เหลือเพียงชุดแต่งงานยังปักไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเขาสู่ขอนางเข้าวังมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่วันทว่าครั้งนี้ถือว่าเข้าใจหัวอก ความรู้สึกของสองสามีภรรยาตระกูลเมิ่งในตอนนั้นตอนที่นางยังเป็นเด็ก ก็คง “อยู่ไม่เป็นสุข” เช่นนี้ วันทั้งวันวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“หลุมฝังศพมีกลไกมาก ข้าก็อยากไปเรียนรู้”มองท่าทีแสวงหาความรู้ด้วยความตั้งใจจริงของนาง ในใจเซียวอวี้อ่อนไหวทันที ประคองใบหน้าของนางไว้ พร้อมจูบบนริมฝีปากของนางสองทีชื่นชอบนางอย่างมากจริง ๆ จนไม่รู้จะพรรณนายังไงเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกเขาจูบอย่างแรงจนเซถอยหลัง “พูดเรื่องจริงจัง สิ่งของที่ถูกฝังกับศพ ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด...”เซียวอวี้ใช้มือข้างหนึ่งจับท้ายทอยของนางไว้