ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จจากชำระกาย กำลังนั่งสางผมอยู่ข้างตั่งนอกหน้าต่างพลันมีเสียงกึกกัก เหมือนเสียงลูกไก่จิกเม็ดข้าวสาร ดวงตาของนางเป็นประกาย จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปทันทีบนบานหน้าต่างกระดาษสะท้อนเงาด้านข้างของนาง ผมยาวสยาย จมูกเป็นสันคมนางเปิดหน้าต่างออกไป นกพิราบส่งสารขนดำกำลังใช้ปากจิกขอบหน้าต่าง ดูร้อนใจราวกับจะพูดว่า “เหตุใดจึงมาเปิดประตูช้าถึงเพียงนี้”ดูฉุนเฉียวอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดกระบอกไม้ไผ่ที่ผูกติดกับขานกพิราบส่งสาร และหยิบสารลับด้านในออกมา—— [หนูถูกจับเข้ากรงแล้ว]หนู หมายถึงพวกโจรภูเขาเหล่านั้นทำศึกต้องใช้กลอุบายนางหลอกพวกเขา จัดส่งไปยังซ่องชายชั้นต่ำ พวกเขาจะถูกเฉือนลิ้น ตัดเส้นเอ็นมือเอ็นเท้า จะถูกทรมานทุกวัน จนกระทั่งตาย!แต่ถึงแม้โจรภูเขาจะได้รับผลกรรม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังไม่มีความสุขเวยเฉียงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น ต่อให้ทรมานพวกโจรภูเขาเท่าใด ก็ยากที่จะบรรเทาความแค้นในใจของนางได้คนชั่วร้ายอย่างหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ยังไม่ถูกจับแม้แต่สาวใช้อย่างเหลียนซวงก็ยังโกรธแค้น“ผู้บงการตัวจริงยังคงลอยนวล มันไม่ยุติธรรมเลย! หรือฮ่องเต้จะไม่เ
ตำหนักหย่งเหอ ฮ่องเต้เสด็จมาเสวยพระกระยาหารเช้าเป็นครั้งแรก ห้องครัวรีบเร่งจัดเตรียมสำรับเพิ่มเติม ดูคร่ำเคร่งเป็นพิเศษ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้นเงียบมากเซียวอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องหวังว่านางจะตักอาหารให้กับฮ่องเต้ บางครั้งถึงขั้นว่า “แย่ง” ตักอาหารในจานเดียวกันกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำเหลียนซวงส่งสัญญาณบอกฮองเฮาด้วยสายตาอยู่หลายครั้ง ให้นางแสดงท่าทีต้อนรับมากกว่านี้ พูดสักสองสามประโยคเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่ฮองเฮากลับทำเป็นเพิกเฉยทันใดนั้น ฮองเฮาอ้าปากจะเอ่ยเหลียนซวงกำลังรอฟัง แต่กลับได้ยินว่า“เติมข้าวอีกหนึ่งถ้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ความอยากอาหารจึงมีมากกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปตอนที่นางอยู่ในค่ายทหาร อยู่ร่วมกับกลุ่มบุรุษ ก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดแปลกแตกต่างไปทว่าอยู่ในวังหลวงกลับดูแปลกแยกไปสักหน่อยหลังจากนางเติมข้าวเป็นถ้วยที่สาม เซียวอวี้ก็เงยหน้าขึ้นมองตอนที่เขาไปกินอาหารร่วมกับนางสนมคนอื่น พวกนางแทบจะไม่กินสักเท่าไร บางคนยังคอยปรนนิบัติ และตักอาหารให้เขาด้วยซ้ำอีกอย่างแต่ละคนกระเพาะเล็กแบบนก กินไม่กี่คำก็บอกว่า
เหลียนซวงเพิ่งถามคำถามเมื่อครู่จบ อยู่ ๆ ก็เริ่มกระจ่างขึ้น“ฮองเฮาเพคะ รุ่ยอ๋องเคยบอกว่า ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานสตรีที่มีทักษะขี่ม้า“ท่านจัดงานแข่งขันขี่ม้าโปโล เพราะอยากจะช่วยให้นางสนมคนอื่น ๆ ช่วงชิงความโปรดปรานกระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างเรียบเฉย“ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน คือหรงเฟยที่มีทักษะขี่ม้า ไม่ใช่จะเป็นผู้ใดก็ได้”“ฮองเฮา บ่าวโง่เขลา แล้วท่านทำเพื่อเหตุผลใดกัน?”“ปลาตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด [1]” แววตาสงบนิ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียน มีประกายแสงสีดำแวบหนึ่ง เหลียนซวงคิดทบทวน แน่นอนว่ามีสิ่งเดียวเท่านั้นคือ ฮองเฮาต้องการเล่นงานกุ้ยเฟยแต่จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร นางก็ยังคิดไม่ออก......ตำหนักหลิงเซียวพอได้ยินว่าเมื่อเช้าฮ่องเต้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้ากับฮองเฮา กุ้ยเฟยก็รู้สึกว้าวุ่นและโกรธเคือง“นังสารเลวสมควรตาย! ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน มาบังคับฝ่าบาทให้ลงโทษข้า ตอนนี้ยังจะกล้ามาล่อลวงฝ่าบาทอีก!”พอชุนเหอเห็นพระสนมมีท่าทางโมโห จึงพูดเกลี้ยกล่อม“พระสนม ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้ฮองเฮายอมสงบ กลัวว่าฮองเฮาจะใช้เรื่องของจ้าวเฉียนกับโจรภูเขา ก่อปัญหาใหม่ตามมาอีก ซึ่งจะไม่เป็
ตำหนักหย่งเหอหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำหนดให้การเข้าเฝ้าคารวะหวนคืนกลับมา ยังมีสนมหลายนางอ้างว่าเจ็บป่วยมาคารวะไม่ได้อาการป่วยเป็นเรื่องเท็จ แต่หันไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกุ้ยเฟยต่างหากเป็นเรื่องจริงภายในตำหนัก เหลียนซวงเกล้าผมให้เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางบ่นอย่างกระฟัดกระเฟียด“พระนาง คนอื่นไม่เท่าไร แม้แต่นางสนมเจียงก็ยังขอลาไม่มา“หรือนางลืมไปแล้ว ว่าท่านทรงมีบุญคุณกับนาง?“ก่อนหน้านี้นางไหว้วานคนมาบอก ว่าจะยอมช่วยท่านคัดกฎของวังยี่สิบรอบ บ่าวยังนึกว่านางมีเจตนาอยากลงเรือลำเดียวกับท่านเสียอีก“ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นพวกไร้จุดยืนเช่นเดียวกัน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังฉวยเวลาว่างอ่านรายการบัญชี กล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา“เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะพุ่งเข้าหาผลประโยชน์ และหลีกเลี่ยงภัยอันตราย”บริเวณห้องโถงด้านหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งหลัก ทั้งสองฝั่งขนาบข้างด้วยเหล่านางสนมพวกนางผุดตัวลุกขึ้นพร้อมกัน เพื่อทำความเคารพฮองเฮา“ถวายบังคมฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” “นั่งลงเถอะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดสายตามองพวกนางคร่าว ๆ นางในวังหลังล้วนงดงาม ดั่งเกษรผลิบานสะพรั่งช่างน่าอนิจจ
ณ ตำหนักหลิงเซียวยามที่กุ้ยเฟยได้ยินเรื่องนี้ หัวคิ้วพลันขมวดแน่น“ฮองเฮาบ้าไปแล้วหรือไร! บังอาจมาบังคับให้ข้าเข้าร่วมแข่งขันด้วยเชียวหรือ?“นี่นางคิดว่า พอมีตราประทับทองแล้ว จะสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แม้แต่ข้าก็ต้องเชื่อฟังนางอย่างนั้นหรือ!”หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนฝ่าบาทเพิ่งกล่าวเตือนนาง ว่าห้ามก่อเรื่องในช่วงระยะนี้ นางกับฮองเฮาก็คงได้เห็นดีกันแล้ว!เรื่องการแข่งขันขี่ม้าโปโล ไม่ได้มีเพียงกุ้ยเฟยที่ไม่พอใจหลังจากการชุมนุมยามเช้าเสร็จสิ้นลง เหล่านางสนมก็มารวมตัวกัน ทั้งยังพร่ำบ่นออกมาไม่หยุด“เข้าร่วมแข่งขันขี่ม้าโปโลบ้าบออะไรกัน! ฮองเฮานี่ก็ช่างแปลกประหลาด ถึงได้คิดเรื่องพิลึกเช่นนี้ออกมาได้!” “แม้นฮองเฮาจะพูดจาฟังดูสวยหรู แต่ข้าก็ไม่เต็มใจเข้าร่วม ยามนั้นกับยามนี้ไม่เหมือนกันเสียสักหน่อย ปัจจุบันกองกำลังของแคว้นหนานฉีเราก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ไฉนสตรีอย่างเรา ๆ ต้องไปปกป้องแคว้นด้วย”“ฮองเฮาเพิ่งรับตำแหน่งก็แผลงฤทธิ์เสียแล้ว คิดจะทรมานกันชัด ๆ ข้าล่ะอยากจะเห็นเหลือเกิน ว่าการแข่งขันขี่ม้าโปโลนี่จะถูกจัดขึ้นได้หรือไม่”อีกด้านหนึ่ง หนิงเฟยตรงดิ่งไปกล่าวฟ้องที่ตำหนักฉื
ณ ห้องทรงพระอักษร เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มโค้งคำนับ“ถวายบังคมฝ่าบาท”เซียวอวี้ประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะ แววตาคมกริบน่าเกรงขาม“เรามีเรื่องต้องสะสาง มีเรื่องอันใด รีบพูดมา”สนามขี่ม้าหลวงมีคนไปเข้าร่วมการฝึกแค่สองคน เรื่องนี้เขาเองก็ได้ยินแล้วคิดว่าฮองเฮาน่าจะควบคุมนางสนมเหล่านั้นไม่ได้ จึงอยากให้เขาออกคำสั่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ยาบรรเทาอาการปวดศีรษะของกุ้ยเฟยใกล้จะหมดแล้ว หม่อมฉันจึงเอามาให้อีกหนึ่งขวด”คิ้วคมของเซียวอวี้เลิกขึ้นสูงนางแค่มาส่งยางั้นหรือ?ต่อมานัยน์ตาของเขาพลันฉายแววแข็งกร้าวครู่หนึ่ง“คราก่อนฮองเฮาบอกว่า เหลืออยู่ขวดเดียวสุดท้าย”คำพูดของเขาแฝงไปด้วยแววไต่ถามราวกับว่าประโยคถัดไปสามารถออกคำสั่งลงโทษนางโทษฐานพูดปดต่อจักรพรรดิได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับไปอย่างเรียบนิ่ง“หม่อมฉันเขียนจดหมายส่งให้ท่านพ่อ ให้เขาติดตามหมอพเนจรผู้นั้นโดยเฉพาะ“ช่างบังเอิญ ที่ไม่กี่วันก่อนหมอพเนจรผู้นั้นมาที่เมืองหลวง”เซียวอวี้สงสัยว่านางกำลังโกหก แต่ก็ไม่มีหลักฐาน“ช่างบังเอิญจริง ๆ”จากนั้นเขาก็ถามว่า “แล้วเหตุใดไม่เอาไปส่งที่ตำหนักหลิงเซียวโดยตรงล่ะ”
เหล่านางสนมทยอยออกมาน้อมรับกระแสรับสั่ง แต่ละคนต่างมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยจากนั้นก็ได้ยินข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยขึ้น“ฮองเฮาทรงส่งหมอหลวงมาตรวจพระสนมทั้งหลาย“ผู้ใดป่วยจักได้รักษา ส่วนผู้ใดจงใจอ้างเรื่องป่วยไม่ยอมไปสนามม้าหลวง จักถูกลงโทษให้คัดกฎของวังห้าสิบรอบ และถูกโบยห้าครั้ง!”เหล่านางสนมต่างมีสีหน้าหลากหลายในบรรดาพวกนางไม่มีใครคาดคิด ว่าฮองเฮาจะลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!จากนั้นเหล่าหมอหลวงก็เข้ามาตรวจให้เหล่านางสนมทีละคนผลตรวจเป็นอย่างไรแทบไม่ต้องคาดเดาแต่ละคนต่างถูกโบย ทั้งยังถูกลงโทษให้คัดกฎของวัง ส่วนทางหนิงเฟยเพราะมีบอกกล่าวล่วงหน้า และมีไทเฮาคอยปกป้อง ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรมีนางสนมบางคนไม่ยอม จึงเอ่ยถามว่า “แล้วกุ้ยเฟยล่ะ! ได้ยินมาว่าวันนี้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ไปที่สนามม้าหลวงเหมือนกัน! เหตุใดฮองเฮาถึงไม่กล้าลงโทษนางบ้าง?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม“คาดว่าเวลานี้ กระแสรับสั่งคงไปถึงตำหนักหลิงเซียวแล้วขอรับ”“อะไรนะ? ฮองเฮากล้าลงโทษกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ?” ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อณ ตำหนักหลิงเซียวผู้คุมโทษมีท่าทางดุร้าย“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”ชุนเ
กุ้ยเฟยมองไปยังทางเข้า แต่กลับไม่เห็นขบวนเสด็จขันทีผู้นั้นมีเหงื่อเย็น ๆ ผุดขึ้นมาเต็มหน้าผาก“พระนาง หลิวกงกงกล่าวว่า ฝ่าบาท…ฝ่าบาททรงเหนื่อยล้ามาทั้งวัน จึงเข้าบรรทมตั้งแต่หัววันแล้วพ่ะย่ะค่ะ ทั้งมีกระแสรับสั่งว่า ห้ามผู้ใดเข้าไปรบกวนเด็ดขาด”ชุนเหอนิ่งอึ้ง“เจ้าเลอะเลือนหรือไง นี่ยังพูดไม่ชัดอีกหรือ พระนางกำลังจะถูกโบยนะ!”พระนางเป็นถึงแก้วตาดวงใจของฝ่าบาท ไม่มีทางรวมอยู่ใน “ผู้ใด” ที่ว่านั้นแน่!สีหน้าของกุ้ยเฟยก่อเกิดไอเย็น สายตาที่มองมาทางขันที แฝงไปด้วยไอสังหารเศษสวะไร้ประโยชน์!ในเวลาสำคัญเช่นนี้ ขนาดเชิญเสด็จฝ่าบาทมาก็ยังไม่ได้อีกข้าหลวงผู้คุมโทษมองหน้ากันไปมา จากนั้นก็ลุกขึ้นมาพูด“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”พวกเขาเตรียมเข้ามาจับตัว ชุนเหอพลันตะโกนเสียงดัง“สามหาว! พวกเจ้ากล้าดีอย่างไร!”……ผ่านไปครึ่งชั่วยามกุ้ยเฟยก็เอนพิงแท่นบรรทมอย่าง “อ่อนแรง”เมื่อเห็นชุนเหอเปิดม่านมุ้งเข้ามา นางก็รีบถามทันที“ฝ่าบาทล่ะ? เขามาไหม?”ชุนเหอกัดริมฝีปาก แล้วส่ายหน้า“ทางตำหนักจื้อเฉิน หลิวกงกงเองก็ยังไม่สามารถเข้าไปกราบทูลได้เลยเพคะ” “พระนาง บางทีฝ่าบาทอาจจะทรงเหนื
หินเซวียนอิง เคยย่ำจนรองเท้าเหล็กสึกไม่พบพาน ตอนนี้กลับได้มาเฟิ่งจิ่วเหยียนรีบถามทันที“นี่คือหินเซวียนอิง เจ้ามีได้อย่างไร?”จางฉีหยางกลับแปลกประหลาดใจ“อาจารย์ ทำไมท่านก็รู้จักหินเซวียนอิง?“เมื่อสามปีก่อน ครั้งแรกที่ข้าได้เจอแม่ทัพน้อยเมิ่ง ได้ยินเขากับท่านพ่อคุยกันเรื่องหินเซวียนอิง ดูเหมือนนางจะชอบหินนี้มาก ดูในตำราก็มีบันทึกไว้“ความจำของข้าดี จึงจดจำไว้“ตำบลหลินผิงที่บ้านเกิดของข้า มีหุบเขามากมาย ยามมีเวลาว่าง ข้าก็จะออกค้นหาไปทั่ว เมื่อหนึ่งปีก่อน ข้าได้เจอหินเซวียนอิง ดังนั้นข้าจึงนำมันมาเป็นของขวัญคารวะอาจารย์...”เมื่อสามปีก่อน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็คิดอยากปรับเปลี่ยนปืนหอกไฟรูปแบบใหม่ตอนนั้นนางก็มั่นใจแล้วว่า สิ่งสำคัญที่สุด ก็คือฉนวนกันความร้อน และสิ่งที่เหมาะสมในการทำเป็นฉนวนกันความร้อนที่สุด ก็คือเหล็กเซวียนอิงที่หล่อหลอมมาจากหินเซวียนอิงคิดไม่ถึงว่า ถูกเด็กคนนี้ได้ยินอย่างไม่ตั้งใจ และช่วยนางตามหาจนเจอแล้ว!ปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนสงบควบคุมตนเองได้ดีต่อให้ดีใจแค่ไหน ก็ไม่มีทางแสดงออกมานางรีบถามจางฉีหยาง“ข้าก็ชอบหินเซวียนอิงอย่างมาก บอกข้าได้ไหมว่า เจ้าเ
ริมฝีปากจางฉีหยางแห้งแตก เสียงที่พูดออกมาค่อนข้างเสียงแหบแห้งอย่างยิ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนสบสายตากับเขา มองเห็นถึงรัศมีสังหารในแววตาของเขา“ไหว้ผู้ล่วงลับ เดินผ่านทางนี้” นางพูดอธิบายเพราะจางฉีหยางหิวโซเป็นเวลานาน มือจึงสั่นเทา เอาสิ่งของเซ่นไหว้พวกนั้นคืนให้กับนาง“เอาคืนไป! แม่ของข้าไม่ต้องการสิ่งพวกนี้!”เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเหมือนมองไม่เห็นการปฏิเสธของเขานางชักกระบี่ออกมาจากฟักตรงเอวตามด้วยเสียงรอยแตกร้าวดังในอากาศ ต้นไม้ด้านข้างต้นหนึ่งถูกนางโค่นลง ตัดเป็นกระดานขนาดเท่าศิลาหลุมศพจางฉีหยางมองดูภาพนี้ แววตาไม่มีความเคลื่อนไหวใด ๆจนเฟิ่งจิ่วเหยียนเอาแผ่นไม้นั่นวางบนพื้น แล้วถามเขา“ผู้ล่วงลับสกุลอะไร”จางฉีหยางมีปฏิกิริยาขึ้นมาเล็กน้อย มองดูนางอย่างแปลกประหลาดใจเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย ไม่มีความสงสารอย่างสูงส่ง“มีป้ายหลุมศพ ก็จะไม่กลายเป็นวิญญาณเร่ร่อน”จางฉีหยางหัวเราะเย้ย“ข้าไม่เชื่อ”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาเหมือนล้อเล่นว่า“เป็นผีก็สามารถหลงทางได้ มีป้ายหลุมศพ ต่อไปแม่ของเจ้าก็จะรู้ว่า ที่นี่เป็นบ้านของนาง เป็นบ้านที่ลูกชายของนางสร้างให้นางด้วยต
จางฉีหยางตอบโต้รวดเร็วมาก หลบเลี่ยงฝ่ามือแรกของเฉียวม่อได้จากนั้นเฉียวม่อโจมตีเขาอีกอย่างต่อเนื่องจางฉีหยางเดินทางไกลมาอย่างเหน็ดเหนื่อย ทั้งหิวทั้งหนาวเวลานี้จึงไม่ค่อยมีเรี่ยวแรงเท่าไรนักแต่ต่อให้อยู่ภายใต้สภาพเช่นนี้ ยังสามารถหลบเลี่ยงเฉียวม่อได้ ซ้ำยังสามารถหาโอกาสตอบโต้ได้สีหน้าเฉียวม่อมืดมิดอย่างรวดเร็วเด็กคนนี้ เก่งกาจกว่าที่นางคิดไว้นางแกล้งทำเป็นจู่โจมส่วนล่างของเขา ฉวยโอกาสตอนที่เขาตอบโต้ เคลื่อนตัวไปทางด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว เตะหลังเข่าของเขาอย่างรุนแรงจางฉีหยางงอเข่าลง ขาข้างหนึ่งคุกเข่าลงจากนั้น เฉียวม่อใช้แขนรัดคอเขาไว้จากทางด้านหลังจางฉีหยางถูกบีบให้เงยศีรษะขึ้นมา อ้าปากกว้างเพื่อหายใจเฉียวม่อไม่ผ่อนมือ เพิ่มแรงมากขึ้น เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ...จนสีหน้าจางฉีหยางเขียวม่วง สกุลฉินเห็นว่าไม่ดีแน่ จึงรีบร้องเรียกขึ้นมาว่า“แม่ทัพน้อย!”เฉียวม่อค่อยผ่อนคลายมือ อยากที่จะกำจัดให้สิ้นซากเสียเดี๋ยวนี้สกุลฉินรีบประคองลูกชายลุกขึ้นมา ปัดฝุ่นบนตัวให้กับเขาจางฉีหยางหายใจหอบ ดวงตาสีดำเข้มจ้องมองที่เฉียวม่อหลังจากดีขึ้นบ้างแล้ว เขายกมือประสานหันไปทำความเคารพนา
“มีทั้งหมด...สามคน ข้าไม่ค่อยได้เห็นอีกสองคนนั้น”“แม่นางเมิ่งมีคำสั่ง...พวกเรา เราก็ทำตาม”ชายขายผักพูดไปด้วย เลือดไหลไปด้วยไม่ค่อยได้เห็น ซึ่งก็คือเคยเห็นบ้างแล้วเฟิ่งจิ่วเหยียนถามอีก“อีกสองคนนั้นมีลักษณะเป็นยังไง”“คนหนึ่งบนใบหน้ามีไฝ ส่วนอีกคนหนึ่ง...คนนั้นชอบไปบ่อนเล่นการพนัน เป็นคนที่มีนิสัยลักขโมย หน้าตาปากแหลมแก้มเหมือนลิง...ท่านผู้กล้า ปล่อยข้าไปเถอะ ที่ข้ารู้ก็ล้วนบอกหมดแล้ว!”เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้กริชเชยคางของเขาขึ้นมา“ทำไมพวกเจ้าต้องฟังคำสั่งเฉียวม่อ”ชายขายผักเสียเลือดมาก จนอ่อนแรงอย่างยิ่ง“พวกเรา... พวกเราล้วนถูกราชสำนักออกหมายนำจับ...เป็นโจรเจียงหยาง หากไม่เชื่อฟังนาง ก็จะส่งตัวพวกเราไปให้ทางการ”“เชื่อฟังนาง นางให้เงินพวกเราได้ใช้จ่าย...”“อีกอย่าง...นางวางยาพิษพวกเรา...ให้ยาถอนพิษพวกเราตามเวลาที่กำหนด ไม่อย่างนั้น...ก็จะตาย”“ท่านผู้กล้า ตอนนี้ข้าหักหลังนาง ไม่มีทางรอดแล้ว“ขอร้องท่าน...ให้ข้าได้ตายอย่างรวดเร็วด้วยเถอะ!”แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนเยือกเย็นชา พร้อมพูดขึ้นมาว่า “ได้”จากนั้นนางยกมีดขึ้นมาแล้วปาดลง ปาดคอชายขายผักตายเดิมก็เป็นอาชญากรรายใหญ่ ต
อู๋ไป๋บาดเจ็บสาหัสอย่างมาก หลังจากฟื้นขึ้นมาแล้วเห็นแม่ทัพน้อย ก็รู้ว่าตนเองมีชีวิตรอดแล้วร่างกายท่อนบนของเขา พันเต็มไปด้วยผ้าพันแผล สีหน้าซีดอ่อนแรง“แม่...”ทันใดนั้นก็เห็นว่าภายในห้องยังมีคนอื่น จึงรีบเปลี่ยนเป็นร้องเรียกขึ้นมาว่า “นายท่าน”เฟิ่งจิ่วเหยียนที่สวมหน้ากากเงินครึ่งชิ้น หันมามองดูเขาหมอกำลังบอกนางเกี่ยวกับข้อควรระวังของผู้บาดเจ็บหลังจากนางฟังแล้วก็จดจำไว้ จากนั้นก็จ่ายค่ารักษา ออกมาส่งหมอด้วยตนเองผ่านไปครู่หนึ่ง นางกลับเข้ามาในห้องอีกครั้ง แล้วเห็นอู๋ไป๋พยายามจะลุกขึ้นมานั่งนางรีบพูดสั่งทันทีว่า“อย่าเคลื่อนไหว”เขาบาดเจ็บสาหัสอย่างมาก ไม่รู้สึกเลยสักนิดหรือ?อู๋ไป๋รีบนอนลงอย่างเชื่อฟัง ฉีกยิ้มอย่างขมขื่น พร้อมพูดขึ้นมาว่า“นายท่าน กระหม่อมผิวหยาบเนื้อหนา ไม่เป็นไร”พูดว่าไม่เป็นไรนั้นเป็นความเท็จเขายังจำได้ มีดที่แทงลงมาหลายทีนั้น เจ็บปวดอย่างมาก“นายท่าน ชายขายผักคนนั้น...”“จับตัวมาได้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดแทรกคำพูดของเขาอู๋ไป๋ยังอยากพูดอะไรอีก ก็มีชายหนุ่มแปลกหน้าคนหนึ่งวิ่งเข้ามา“รองผู้นำพันธมิตร! เมื่อครู่ชายขายผักคนนั้นยังคิดอยากวิ่งหนี
ตำหนักเย็น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับลูกศรมาหนึ่งอันบนหัวลูกศร เสียบกระดาษไว้หนึ่งแผ่นเป็นลายมือของเฉียวม่อ...[ศิษย์พี่ ติดหนี้ชีวิตเจ้าอีกหนึ่งชีวิตแล้ว แต่ข้าจะให้เจ้าหาเจอทางหนีสุดท้ายได้ง่ายๆ ได้อย่างไร? คราวหน้าส่งคนที่ฉลาดกว่านี้หน่อยนะ]เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่า เกิดเรื่องกับอู๋ไป๋แล้วนางขมวดคิ้วแน่น ไม่กล้าชักช้าแม้ชั่วขณะเดียว ฟ้ายังไม่มืดก็ออกจากวังแล้วอู๋ไป๋ติดตามนางจากค่ายเป่ยต้า มาจนถึงเมืองหลวงเขาไม่เพียงเป็นลูกน้องคนสนิท ลูกน้องที่มีความสามารถของนาง ยังเป็นเพื่อนของนางเพื่อต่อสู้กับนาง เฉียวม่อทำร้ายคนตายไปอย่างมากมายแล้วอู๋ไป๋ นางจะต้องตามหาให้เจอ!……ท่ามกลางผู้คนมากมาย ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีเบาะแสอะไรเลย ตามหาคนหนึ่ง เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าวิ่งไปมากี่ที่ที่นางสามารถตามหา ก็มีเพียงชายขายผักจากคำบอกเล่าของชาวบ้านบริเวณรอบๆ นางวาดภาพชายขายผักคนนั้นขึ้นมาเวลาพลบค่ำโรงรับจำนำแห่งหนึ่งในเขตชานเมือง คนงานกำลังเตรียมปิดร้าน ชายสวมหน้ากากเงินคนหนึ่ง คว้าจับกรอบประตูไว้ ไม่สนใจความเจ็บปวดที่ถูกประตูหนีบ พูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเยือ
ไทฮองไทเฮาหันมองไปข้างนอก ดวงตาเบิกโตอย่างไม่รู้ตัว“ฮ่องเต้? เจ้ามาทำอะไร!”นางมาจัดการฮองเฮาเป็นการส่วนตัว ไม่ได้บอกเซียวอวี้รับรู้เซียวอวี้ก้าวเท้ายาวเข้ามาในตำหนัก ใช้เท้ากระทืบข้าหลวงที่คิดจะลงมือทำร้ายเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมทั้งปกป้องนางไว้ข้างหลัง เผชิญหน้ากับไทฮองไทเฮาโดยตรง“เสด็จย่า ควรเป็นเราถามท่าน ท่านทำอะไรอยู่ที่นี่”เขาสวมอาภรณ์สีม่วง สีหน้าเยือกเย็นชา เป็นเหมือนดั่งหุบเขาหิมะ คนเห็นแล้วรู้สึกหวาดกลัวเฟิ่งจิ่วเหยียนแอบเก็บอาวุธลับไว้ ไทฮองไทเฮานั่งอยู่ตรงนั้น พูดขึ้นมาอย่างไม่รู้สึกผิดเลยสักนิดว่า“ข้าทำเช่นนี้ ล้วนเพื่อความมั่นคงของแผ่นดิน“สตรีตระกูลเฟิ่งไม่ควรเข้าวัง ยิ่งไม่ควรเป็นฮองเฮาของเจ้า”ฮ่องเต้กตัญญูต่อนางมาตลอด นางไม่เชื่อว่า ฮ่องเต้จะไม่เชื่อฟังนางเพราะเหตุนี้ดวงตาสีเข้มของเซียวอวี้หนักหน่วงมืดมน“เราได้ให้นางมาอยู่ในตำหนักเย็นแล้ว เสด็จย่าอย่าบีบคั้นกันจนเกินไป ยิ่งไปกว่านั้น เราเคยพูดแล้วว่า เราไม่เคยเชื่อในคำทำนายของหนังสือแห่งโชคชะตาในปีนั้น”ปัง!ไทฮองไทเฮาฟาดตบโต๊ะอย่างโกรธโมโห“ฮ่องเต้ เจ้าจะเลอะเลือนไม่ได้!“ผู้หญิงคนนี้...นางจะเป
ไทฮองไทเฮาเสด็จมายังตำหนักเย็นด้วยพระองค์เอง แฝงไปด้วยความแปลกประหลาดและแล้ว ลางสังหรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนนั้นไม่มีผิดคนที่มาไม่ได้มีเพียงไทฮองไทเฮา ยังมีนางข้าหลวงหนึ่งคนนางข้าหลวงคนนั้นถือถาดไม้สีดำ สิ่งของที่วางอยู่บนถาด ทำให้คนเห็นแล้วอกสั่นขวัญแขวนมีผ้าขาว สุราหนึ่งจอก ยังมีกริชเล่มหนึ่งเหลียนซวงแสดงสีหน้าหวาดกลัว เบิกตาโตอย่างไม่อยากเชื่อไทฮองไทเฮาต้องการที่จะ...ประหารฮองเฮา? ! !นางรีบหันไปมองพระนางของตนเองเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนถวายความเคารพ สวมอาภรณ์ธรรมดา ยากที่จะบดบังความสง่างามของนางได้นางก็มองเห็นสิ่งของพวกนั้นแล้ว ท่าทีสงบนิ่ง สีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง แม้ภูเขาไท่พังทลายลงต่อหน้าก็ตาม“ถวายบังคมไทฮองไทเฮา”สายตาไทฮองไทเฮามองผ่านนาง มีคนประคองเดินไปนั่งบนที่นั่งหลักอย่างเชื่องช้า“ตอนนี้ข้าดูแลจัดการวังหลัง ควรแบ่งเบาความกังวลของฝ่าบาท”“ฮองเฮา เจ้ารู้ไหม ระยะนี้ที่วังหน้า เกิดปัญหาวุ่นวายเพราะเรื่องของเจ้า?”แววตาน้ำเสียงไทฮองไทเฮา ล้วนเต็มไปด้วยความตำหนิติเตียนราวกับเฟิ่งจิ่วเหยียนก็คือคนร้ายคนนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับริมฝีปากพูดขึ้นมาว่า “หม่อมฉันอยู่ในตำหนักเ
“มันลวกข้า!” “อ๊าก! ร้อน!” บรรดาพลทหารต่างพากันโยนปืนหอกไฟที่พาดอยู่บนหัวไหล่ทิ้งไป ลูกปืนสูญเสียการควบคุม พุ่งมายังแท่นเฝ้าชมตรงฝั่งนี้แทน “คุ้มครองฮ่องเต้!” เฉินจี๋ราชองครักษ์หูตาว่องไว พลิกโต๊ะอาหารขึ้นเป็นเกราะกำบัง เซียวอวี้นั่งนิ่งไม่สะทกสะท้าน หัวคิ้วขมวดแน่น ดูเหมือนว่าปืนหอกไฟแบบใหม่อันนี้ ก็ไม่ได้สมบูรณ์แบบทุกด้าน ขุนนางท่านอื่นล้วนพุ่งหาที่กำบังอย่างคล่องแคล่วรวดเร็ว พริบตาเดียว สถานการณ์พลันโกลาหล กระทั่งลูกปืนถูกยิงจนหมด สถานการณ์เลวร้ายได้ผ่านพ้นไปแล้ว เหล่าขุนนางทั้งหลายค่อยยื่นศีรษะออกมาอีกครั้ง ชะเง้อคอมอง อยากสืบเสาะถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง เฉียวม่อยามนี้ก็สติหลุดลอยไปแล้วเช่นกัน เหตุใดถึงร้อนลวกขึ้นมา? พิมพ์เขียวนั่นก็มีแผ่นกันความร้อนเขียนไว้อยู่ไม่ใช่หรือ! หัวหน้าคนอื่นก็ตรวจสอบแล้ว ทุกคนล้วนคิดตรงกันว่าสมบูรณ์แบบ! เซียวอวี้หยัดกายขึ้น เงาร่างสูงใหญ่บดบังแสงอาทิตย์ เขาจ้องมองสถานที่เกิดเหตุอย่างดูแคลน ก่อนจะทิ้งสายตามองบนตัวเฉียวม่อในตอนสุดท้าย แม้ว่าไม่มีเสียงตำหนิใดถูกเอื้อนเอ่ยออกมา กระนั้นแล้วยังทำให้คนพรั่นพรึงจนสั่นสะท้านได้