“มีราชโองการ! หวงกุ้ยเฟยรับราชโองการ!”ชุนเหอประคองหวงกุ้ยเฟยเดินออกมาด้านนอกตำหนัก และโค้งคำนับจากนั้นก็คอยฟังข้าหลวงผู้นั้นอ่านราชโองการ“ฮ่องเต้ทรงมีรับสั่ง จ้าวเฉียนนำทรัพย์สินของพระราชวังไปขายต่อ มีหลักฐานชัดเจน ส่วนหวงกุ้ยเฟยละเลยการตรวจสอบ นับตั้งแต่บัดนี้ ให้นำตราประทับทอง ส่งมอบให้กับฮองเฮาเพื่อควบคุมวังหลัง...”เมื่อได้ยินเช่นนี้ สีหน้าหวงกุ้ยเฟยพลันเปลี่ยนในทันทีฮ่องเต้ต้องการยึดตราประทับทองของนางไปจริงหรือ?ถึงเวลานี้ ราชโองการยังอ่านไม่จบพลันได้ยินข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยอีกว่า“นอกจากนี้ ให้หวงกุ้ยเฟยลดตำแหน่งลงมาเป็นกุ้ยเฟย!”อะไรกัน!ทุกคนในตำหนักหลิงเซียวต่างมีสีหน้าตกตะลึงจ้าวเฉียนทำความผิด เหตุใดหวงกุ้ยเฟยจึงถูกลงโทษร้ายแรงเช่นนี้?ตั้งแต่หวงกุ้ยเฟยได้รับความโปรดปราน ก็ไม่เคยเกิดเรื่องเช่นนี้ชุนเหอก็ไม่อยากเชื่อ จึงรีบประคองพระสนมของตนใบหน้าของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ยังคงสงบนิ่ง แต่มือไม้ชา สีหน้าไม่แช่มชื่นเหมือนปกติทั่วไป“หม่อมฉัน น้อมรับราชโองการ”หลังจากข้าหลวงที่อ่านราชโองการกลับไป หลิงเยี่ยนเอ๋อร์ก็นั่งลงบนเก้าอี้ แววตาดูว่างเปล่า ไม่รู้ว่านางกำลังคิด
ตำหนักหย่งเหอเฟิ่งจิ่วเหยียนเสร็จจากชำระกาย กำลังนั่งสางผมอยู่ข้างตั่งนอกหน้าต่างพลันมีเสียงกึกกัก เหมือนเสียงลูกไก่จิกเม็ดข้าวสาร ดวงตาของนางเป็นประกาย จึงลุกขึ้นยืนและเดินไปทันทีบนบานหน้าต่างกระดาษสะท้อนเงาด้านข้างของนาง ผมยาวสยาย จมูกเป็นสันคมนางเปิดหน้าต่างออกไป นกพิราบส่งสารขนดำกำลังใช้ปากจิกขอบหน้าต่าง ดูร้อนใจราวกับจะพูดว่า “เหตุใดจึงมาเปิดประตูช้าถึงเพียงนี้”ดูฉุนเฉียวอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนเปิดกระบอกไม้ไผ่ที่ผูกติดกับขานกพิราบส่งสาร และหยิบสารลับด้านในออกมา—— [หนูถูกจับเข้ากรงแล้ว]หนู หมายถึงพวกโจรภูเขาเหล่านั้นทำศึกต้องใช้กลอุบายนางหลอกพวกเขา จัดส่งไปยังซ่องชายชั้นต่ำ พวกเขาจะถูกเฉือนลิ้น ตัดเส้นเอ็นมือเอ็นเท้า จะถูกทรมานทุกวัน จนกระทั่งตาย!แต่ถึงแม้โจรภูเขาจะได้รับผลกรรม เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ยังไม่มีความสุขเวยเฉียงบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนั้น ต่อให้ทรมานพวกโจรภูเขาเท่าใด ก็ยากที่จะบรรเทาความแค้นในใจของนางได้คนชั่วร้ายอย่างหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ยังไม่ถูกจับแม้แต่สาวใช้อย่างเหลียนซวงก็ยังโกรธแค้น“ผู้บงการตัวจริงยังคงลอยนวล มันไม่ยุติธรรมเลย! หรือฮ่องเต้จะไม่เ
ตำหนักหย่งเหอ ฮ่องเต้เสด็จมาเสวยพระกระยาหารเช้าเป็นครั้งแรก ห้องครัวรีบเร่งจัดเตรียมสำรับเพิ่มเติม ดูคร่ำเคร่งเป็นพิเศษ บรรยากาศบนโต๊ะอาหารนั้นเงียบมากเซียวอวี้ไม่เอ่ยสิ่งใด เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่เอ่ยสิ่งใดเช่นกัน ยิ่งไม่ต้องหวังว่านางจะตักอาหารให้กับฮ่องเต้ บางครั้งถึงขั้นว่า “แย่ง” ตักอาหารในจานเดียวกันกับฮ่องเต้ด้วยซ้ำเหลียนซวงส่งสัญญาณบอกฮองเฮาด้วยสายตาอยู่หลายครั้ง ให้นางแสดงท่าทีต้อนรับมากกว่านี้ พูดสักสองสามประโยคเพื่อให้บรรยากาศผ่อนคลาย แต่ฮองเฮากลับทำเป็นเพิกเฉยทันใดนั้น ฮองเฮาอ้าปากจะเอ่ยเหลียนซวงกำลังรอฟัง แต่กลับได้ยินว่า“เติมข้าวอีกหนึ่งถ้วย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนฝึกวรยุทธ์ ความอยากอาหารจึงมีมากกว่าสตรีธรรมดาทั่วไปตอนที่นางอยู่ในค่ายทหาร อยู่ร่วมกับกลุ่มบุรุษ ก็ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดผิดแปลกแตกต่างไปทว่าอยู่ในวังหลวงกลับดูแปลกแยกไปสักหน่อยหลังจากนางเติมข้าวเป็นถ้วยที่สาม เซียวอวี้ก็เงยหน้าขึ้นมองตอนที่เขาไปกินอาหารร่วมกับนางสนมคนอื่น พวกนางแทบจะไม่กินสักเท่าไร บางคนยังคอยปรนนิบัติ และตักอาหารให้เขาด้วยซ้ำอีกอย่างแต่ละคนกระเพาะเล็กแบบนก กินไม่กี่คำก็บอกว่า
เหลียนซวงเพิ่งถามคำถามเมื่อครู่จบ อยู่ ๆ ก็เริ่มกระจ่างขึ้น“ฮองเฮาเพคะ รุ่ยอ๋องเคยบอกว่า ฮ่องเต้ทรงโปรดปรานสตรีที่มีทักษะขี่ม้า“ท่านจัดงานแข่งขันขี่ม้าโปโล เพราะอยากจะช่วยให้นางสนมคนอื่น ๆ ช่วงชิงความโปรดปรานกระมัง!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างเรียบเฉย“ฮ่องเต้ทรงโปรดปราน คือหรงเฟยที่มีทักษะขี่ม้า ไม่ใช่จะเป็นผู้ใดก็ได้”“ฮองเฮา บ่าวโง่เขลา แล้วท่านทำเพื่อเหตุผลใดกัน?”“ปลาตัวไหนเต็มใจก็มาติดเบ็ด [1]” แววตาสงบนิ่งของเฟิ่งจิ่วเหยียน มีประกายแสงสีดำแวบหนึ่ง เหลียนซวงคิดทบทวน แน่นอนว่ามีสิ่งเดียวเท่านั้นคือ ฮองเฮาต้องการเล่นงานกุ้ยเฟยแต่จะเกี่ยวข้องกันอย่างไร นางก็ยังคิดไม่ออก......ตำหนักหลิงเซียวพอได้ยินว่าเมื่อเช้าฮ่องเต้เสด็จไปเสวยพระกระยาหารเช้ากับฮองเฮา กุ้ยเฟยก็รู้สึกว้าวุ่นและโกรธเคือง“นังสารเลวสมควรตาย! ไม่รู้ว่าใช้วิธีไหน มาบังคับฝ่าบาทให้ลงโทษข้า ตอนนี้ยังจะกล้ามาล่อลวงฝ่าบาทอีก!”พอชุนเหอเห็นพระสนมมีท่าทางโมโห จึงพูดเกลี้ยกล่อม“พระสนม ฝ่าบาททรงทำเช่นนี้ ก็เพื่อทำให้ฮองเฮายอมสงบ กลัวว่าฮองเฮาจะใช้เรื่องของจ้าวเฉียนกับโจรภูเขา ก่อปัญหาใหม่ตามมาอีก ซึ่งจะไม่เป็
ตำหนักหย่งเหอหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนกำหนดให้การเข้าเฝ้าคารวะหวนคืนกลับมา ยังมีสนมหลายนางอ้างว่าเจ็บป่วยมาคารวะไม่ได้อาการป่วยเป็นเรื่องเท็จ แต่หันไปเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับกุ้ยเฟยต่างหากเป็นเรื่องจริงภายในตำหนัก เหลียนซวงเกล้าผมให้เฟิ่งจิ่วเหยียน พลางบ่นอย่างกระฟัดกระเฟียด“พระนาง คนอื่นไม่เท่าไร แม้แต่นางสนมเจียงก็ยังขอลาไม่มา“หรือนางลืมไปแล้ว ว่าท่านทรงมีบุญคุณกับนาง?“ก่อนหน้านี้นางไหว้วานคนมาบอก ว่าจะยอมช่วยท่านคัดกฎของวังยี่สิบรอบ บ่าวยังนึกว่านางมีเจตนาอยากลงเรือลำเดียวกับท่านเสียอีก“ไม่คิดเลยว่านางจะเป็นพวกไร้จุดยืนเช่นเดียวกัน!”เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังฉวยเวลาว่างอ่านรายการบัญชี กล่าวโดยไม่เงยหน้าขึ้นมา“เป็นเรื่องปกติที่คนเราจะพุ่งเข้าหาผลประโยชน์ และหลีกเลี่ยงภัยอันตราย”บริเวณห้องโถงด้านหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งบนตำแหน่งหลัก ทั้งสองฝั่งขนาบข้างด้วยเหล่านางสนมพวกนางผุดตัวลุกขึ้นพร้อมกัน เพื่อทำความเคารพฮองเฮา“ถวายบังคมฮองเฮา ขอพระองค์ทรงพระเจริญ” “นั่งลงเถอะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดสายตามองพวกนางคร่าว ๆ นางในวังหลังล้วนงดงาม ดั่งเกษรผลิบานสะพรั่งช่างน่าอนิจจ
ณ ตำหนักหลิงเซียวยามที่กุ้ยเฟยได้ยินเรื่องนี้ หัวคิ้วพลันขมวดแน่น“ฮองเฮาบ้าไปแล้วหรือไร! บังอาจมาบังคับให้ข้าเข้าร่วมแข่งขันด้วยเชียวหรือ?“นี่นางคิดว่า พอมีตราประทับทองแล้ว จะสามารถทำทุกอย่างได้ตามอำเภอใจ แม้แต่ข้าก็ต้องเชื่อฟังนางอย่างนั้นหรือ!”หากไม่ใช่เพราะเมื่อคืนฝ่าบาทเพิ่งกล่าวเตือนนาง ว่าห้ามก่อเรื่องในช่วงระยะนี้ นางกับฮองเฮาก็คงได้เห็นดีกันแล้ว!เรื่องการแข่งขันขี่ม้าโปโล ไม่ได้มีเพียงกุ้ยเฟยที่ไม่พอใจหลังจากการชุมนุมยามเช้าเสร็จสิ้นลง เหล่านางสนมก็มารวมตัวกัน ทั้งยังพร่ำบ่นออกมาไม่หยุด“เข้าร่วมแข่งขันขี่ม้าโปโลบ้าบออะไรกัน! ฮองเฮานี่ก็ช่างแปลกประหลาด ถึงได้คิดเรื่องพิลึกเช่นนี้ออกมาได้!” “แม้นฮองเฮาจะพูดจาฟังดูสวยหรู แต่ข้าก็ไม่เต็มใจเข้าร่วม ยามนั้นกับยามนี้ไม่เหมือนกันเสียสักหน่อย ปัจจุบันกองกำลังของแคว้นหนานฉีเราก็แข็งแกร่งมากพอแล้ว ไฉนสตรีอย่างเรา ๆ ต้องไปปกป้องแคว้นด้วย”“ฮองเฮาเพิ่งรับตำแหน่งก็แผลงฤทธิ์เสียแล้ว คิดจะทรมานกันชัด ๆ ข้าล่ะอยากจะเห็นเหลือเกิน ว่าการแข่งขันขี่ม้าโปโลนี่จะถูกจัดขึ้นได้หรือไม่”อีกด้านหนึ่ง หนิงเฟยตรงดิ่งไปกล่าวฟ้องที่ตำหนักฉื
ณ ห้องทรงพระอักษร เฟิ่งจิ่วเหยียนก้มโค้งคำนับ“ถวายบังคมฝ่าบาท”เซียวอวี้ประทับนั่งอยู่หลังโต๊ะ แววตาคมกริบน่าเกรงขาม“เรามีเรื่องต้องสะสาง มีเรื่องอันใด รีบพูดมา”สนามขี่ม้าหลวงมีคนไปเข้าร่วมการฝึกแค่สองคน เรื่องนี้เขาเองก็ได้ยินแล้วคิดว่าฮองเฮาน่าจะควบคุมนางสนมเหล่านั้นไม่ได้ จึงอยากให้เขาออกคำสั่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างเรียบนิ่ง“ยาบรรเทาอาการปวดศีรษะของกุ้ยเฟยใกล้จะหมดแล้ว หม่อมฉันจึงเอามาให้อีกหนึ่งขวด”คิ้วคมของเซียวอวี้เลิกขึ้นสูงนางแค่มาส่งยางั้นหรือ?ต่อมานัยน์ตาของเขาพลันฉายแววแข็งกร้าวครู่หนึ่ง“คราก่อนฮองเฮาบอกว่า เหลืออยู่ขวดเดียวสุดท้าย”คำพูดของเขาแฝงไปด้วยแววไต่ถามราวกับว่าประโยคถัดไปสามารถออกคำสั่งลงโทษนางโทษฐานพูดปดต่อจักรพรรดิได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนตอบกลับไปอย่างเรียบนิ่ง“หม่อมฉันเขียนจดหมายส่งให้ท่านพ่อ ให้เขาติดตามหมอพเนจรผู้นั้นโดยเฉพาะ“ช่างบังเอิญ ที่ไม่กี่วันก่อนหมอพเนจรผู้นั้นมาที่เมืองหลวง”เซียวอวี้สงสัยว่านางกำลังโกหก แต่ก็ไม่มีหลักฐาน“ช่างบังเอิญจริง ๆ”จากนั้นเขาก็ถามว่า “แล้วเหตุใดไม่เอาไปส่งที่ตำหนักหลิงเซียวโดยตรงล่ะ”
เหล่านางสนมทยอยออกมาน้อมรับกระแสรับสั่ง แต่ละคนต่างมีลางสังหรณ์ไม่ดีเลยจากนั้นก็ได้ยินข้าหลวงผู้นั้นเอ่ยขึ้น“ฮองเฮาทรงส่งหมอหลวงมาตรวจพระสนมทั้งหลาย“ผู้ใดป่วยจักได้รักษา ส่วนผู้ใดจงใจอ้างเรื่องป่วยไม่ยอมไปสนามม้าหลวง จักถูกลงโทษให้คัดกฎของวังห้าสิบรอบ และถูกโบยห้าครั้ง!”เหล่านางสนมต่างมีสีหน้าหลากหลายในบรรดาพวกนางไม่มีใครคาดคิด ว่าฮองเฮาจะลงโทษอย่างโหดเหี้ยมเช่นนี้!จากนั้นเหล่าหมอหลวงก็เข้ามาตรวจให้เหล่านางสนมทีละคนผลตรวจเป็นอย่างไรแทบไม่ต้องคาดเดาแต่ละคนต่างถูกโบย ทั้งยังถูกลงโทษให้คัดกฎของวัง ส่วนทางหนิงเฟยเพราะมีบอกกล่าวล่วงหน้า และมีไทเฮาคอยปกป้อง ดังนั้นจึงไม่เป็นอะไรมีนางสนมบางคนไม่ยอม จึงเอ่ยถามว่า “แล้วกุ้ยเฟยล่ะ! ได้ยินมาว่าวันนี้กุ้ยเฟยก็ไม่ได้ไปที่สนามม้าหลวงเหมือนกัน! เหตุใดฮองเฮาถึงไม่กล้าลงโทษนางบ้าง?”ข้าหลวงผู้นั้นตอบกลับอย่างนอบน้อม“คาดว่าเวลานี้ กระแสรับสั่งคงไปถึงตำหนักหลิงเซียวแล้วขอรับ”“อะไรนะ? ฮองเฮากล้าลงโทษกุ้ยเฟยจริง ๆ หรือ?” ทุกคนต่างมีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อณ ตำหนักหลิงเซียวผู้คุมโทษมีท่าทางดุร้าย“กุ้ยเฟย ต้องขอล่วงเกินแล้ว!”ชุนเ
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั
เฟิ่งจิ่วเหยียนมาพบกับถานไถเหยี่ยนอีกครั้ง แววตาของเขายังคงสงบเงียบดังเดิม ทว่า มิได้ไร้ชีวิตชีวาเหมือนดังแต่ก่อนอีกด้วย“ถานไถเหยี่ยน เจ้ารู้หรือไม่ว่า แคว้นตงซานได้ส่งราชทูตมาขอพาตัวเจ้ากลับไปจัดการด้วย?”ถานไถเหยี่ยนพลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีเฉยเมย“คิดไว้แล้วว่าจักต้องเป็นเช่นนี้“พวกเขาหาได้มาเพื่อข้าไม่ แต่มาเพื่อ ‘ใยแมงมุม’ ของตระกูลถานไถต่างหาก”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีท่าเคร่งขรึมไปในทันที“เจ้าจึงคิดใช้ประโยชน์จากคนทุกคน รวมไปถึงแคว้นตงซานด้วยหรือ”ถานไถเหยี่ยนพลันหัวเราะเยาะตนเองออกมา“ดังนั้น ชีวิตนั้นแสนสั้น อย่างไรย่อมต้องถูกผู้อื่นสังหารตามอำเภอใจ”เขารู้ดีว่า หากตนเองกลับไปถึงแคว้นตงซานเมื่อใดนั้น จุดจบคงมิได้ดีนักทว่า เขาหาได้กลัวตายไม่ ทั้งยังมองดูความตายอย่างไม่ยี่หระอีกด้วยเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเอ่ยตรงเข้าประเด็นในทันที“เจ้าคิดดีแล้วหรือ”เรียวคิ้วดวงตาที่งดงามของถานไถเหยี่ยน พลันเผยให้เห็นท่าทีเด็ดขาดออกมาหากเขายังตัดสินใจไม่ได้ เขาคงมิมาขอพบนางเช่นนี้“กระหม่อมเต็มใจที่จะช่วยให้หนานฉีรวมใต้หล้าเป็นหนึ่งพ่ะย่ะค่ะ” พูดจบ เขาพลันโค้งกายคำนับเฟิ่งจิ่วเหยียนในทันที
ราชทูตหลี่หลิงแสดงสีหน้าประหลาดใจทันทีทำการค้า?นี่เป็นการบังคับฝืนใจกันโดยแท้แคว้นตงซานพวกเขาไม่เคยทำการค้ากับแคว้นอื่นมาก่อนทว่าหากไม่ยินยอม เกรงว่าฮ่องเต้ฉีจักต้องให้พวกเขาชดเชยด้วยการยกดินแดนให้เป็นแน่!ต้องโทษที่เขาผิดพลาดเพราะคำพูด จนสร้างปัญหาเช่นนี้!หลี่หลิงรู้สึกเสียใจอย่างมาก พร้อมกับมองไปทางหยวนจั้นที่อยู่ข้างกันหยวนจั้นพยักหน้าเบา ๆหลังจากหลี่หลิงได้รับอนุญาต ถึงได้ก้าวไปข้างหน้า“เรื่องทำการค้า ถือเป็นประโยชน์ต่อทั้งสองแคว้น กระหม่อมจะนำเจตนารมณ์นี้กราบทูลต่อกษัตริย์ของกระหม่อม!”เวลายิ่งนานอุปสรรคยิ่งมาก เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีทางให้โอกาสพวกเขาได้กลับคำ“ฝ่าบาท แม้จริงอยู่ที่ว่าเรื่องดี ๆ มักจะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่หม่อมฉันกลัวว่าเวลาจะไม่คอยท่า มิสู้ให้คนร่างหนังสือข้อตกลงขึ้นมา แล้วให้ราชทูตลงนาม จากนั้นค่อยนำกลับไปยังแคว้นตงซาน พร้อมกับออกสาส์นตราตั้งอย่างเป็นทางการ?”ราชทูตถูกส่งมา ก็ถือเป็นตัวแทนของฮ่องเต้นั่นเอง ทันทีที่ลงนาม ก็จะไม่มีทางกลับคำเซียวอวี้ยิ้มน้อย ๆ และกุมมือเฟิ่งจิ่วเหยียนต่อหน้าฝูงชน“นับว่าฮองเฮาวิเคราะห์ได้รอบคอบ“ใครก็ได้ ไปร่า
แคว้นตงซานมีราชทูตสองคนหลี่หลิงผู้นั้นตกหลุมพรางกับคำพูด เมื่อเห็นว่าทำให้แคว้นตนกำลังตกอยู่ในอันตราย เหงื่อก็เริ่มผุดออกมาเต็มใบหน้าเขามองไปทางราชทูตอีกผู้หนึ่ง---หยวนจั้นชายหนุ่มรูปร่างซูบผอม ท่าทางดูเหมือนใจเย็น ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ แทบจะมิได้เอ่ยสิ่งใดเลยในยามนี้ เขาเอ่ยอย่างช้า ๆ “กระหม่อมได้ยินว่า ครั้งนี้หนานฉีเอาชนะแต่ละแคว้นได้ เป็นเพราะมีตัวช่วยอย่าง ‘ใยแมงมุม’ ที่ดัดแปลงโดยตระกูลตงฟาง ทว่าการค้นพบ ‘ใยแมงมุม’ ก็เป็นความดีความชอบของถานไถเหยี่ยนเช่นกัน“ดังนั้น กระหม่อมสงสัยว่า ถานไถเหยี่ยนยุยงให้เกิดข้อพิพาท ก็เพื่อล่อลวงกองกำลังของแต่ละแคว้นมาที่หนานฉี ทำให้ง่ายต่อการที่จะทำลายแต่ละแคว้น“มิเช่นนั้นจะทำไปเพื่อเหตุใด ตามหลักเหตุผล แคว้นท่านจักต้องเกลียดชังถานไถเหยี่ยนจนเข้ากระดูก ทว่าตอนนี้แค่เพียงจับเขาคุมขังไว้?“หากมองจากสิ่งนี้ แคว้นท่านไม่ยินยอมที่จะมอบถานไถเหยี่ยนให้ในตอนนี้ ก็เพื่อต้องการจะปกป้องชีวิตถานไถเหยี่ยน”ขุนนางหนานฉีเริ่มโมโห“ช่างพูดจาใส่ร้ายอย่างชั่วช้า! คนเลวนั้นกล่าวโทษคนอื่นเพื่อปกปิดความผิดตน!”“เมื่อครู่ยังพูดว่าถานไถเหยี่ยนเป็นคนของแคว
ราชทูตแคว้นตงซานมาพร้อมกับผ้าทอและอาชา เริ่มจากปฏิบัติด้วยความสุภาพก่อน“แคว้นตงซานเราไม่เคยเกี่ยวข้องกับข้อพิพาทระหว่างแคว้น ครั้งนี้แต่ละแคว้นมาล้อมโจมตีหนานฉี ฮ่องเต้พวกเราก็ได้ยินข่าวลือเหล่านี้เช่นกัน ต่างพูดกันว่า ข้อพิพาทนี้ ต้นเหตุมาจากการยุยงของแคว้นตงซาน”ราชทูตแคว้นอื่นต่างมองหน้ากันราชทูตแคว้นตงซานผู้นี้หมายความว่าอย่างไร? คำนึงแต่ตนเองไม่สนใจผู้อื่นรึ?ในตอนแรก มิใช่แคว้นตงซานพวกเขาส่งคนมาพูดหว่านล้อมว่า หากร่วมมือกับพวกเขาโจมตีหนานฉี จะแบ่งดินแดนหนานฉีให้หรอกหรือ!หลี่หลิงราชทูตแคว้นตงซานกล่าวต่อ“หลังจากสืบสวนอยู่หลายทาง พวกเราถึงสืบพบว่า เดิมทีแล้ว ทั้งหมดนี้ถานไถเหยี่ยนเป็นคนทำ“เขาหลอกลวงอวดอ้าง จนได้รับความไว้วางพระทัยจากฝ่าบาทของเรา ถูกยกย่องให้เป็นราชครู และถือเป็นแขกผู้ทรงเกียรติของแคว้นตงซานด้วย “นึกไม่ถึงว่า เขายังไม่พึงพอใจกับสิ่งนี้ เจตนาจะหลอกล่อกษัตริย์ของเรา ให้กษัตริย์ของเราโจมตีหนานฉี เพื่อจะได้เป็นมหาอำนาจ กษัตริย์ของเรามีสติ จึงไม่หลงกลการยั่วยุ“นึกไม่ถึงว่าเขายังไม่ยอมหยุดความคิดชั่วร้าย ยังแอบตระเวนไปยังแต่ละแคว้น เพื่อยุยงให้แต่ละแคว้นล้อ