สิบวันให้หลัง ณ ชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนหันกลับไปมองด้วยความเหงาครู่หนึ่ง ซึ่งตกอยู่ในสายตาของอู๋ไป๋ เขาจึงอดพูดไม่ได้ “แม่ทัพน้อย ถ้าหันกลับไปตอนนี้ ก็ยังไม่สายเกินนะขอรับ” เขารู้ชัดเจน แม่ทัพน้อยมิใช่คนเย็นชาไร้น้ำใจ ตรงกันข้ามคือให้ความสำคัญกับมิตรภาพเป็นพิเศษ หากมีบ้านให้กลับไป เหตุใดจะต้องแยกย้ายไปสุดฟ้า ไม่มีผู้ใดล่วงรู้ถึงความลำบากใจของแม่ทัพน้อย เหมือนกับที่เขารู้ ในมุมหนึ่ง จากคำพูดของคนชุดคลุมดำ บัดนี้แม่ทัพน้อยตกเป็นเป้าหมายของสมาชิกพรรคเทียนหลง ไม่รู้ว่าคนเหล่านั้นรู้จักโฉมหน้าแท้จริงภายใต้หน้ากากของแม่ทัพน้อย ตั้งแต่เมื่อใด และยังรู้ด้วยว่าฮองเฮาองค์ปัจจุบันเคยเป็น “เมิ่งสิงโจว” โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากเบาะแสที่สืบได้ล่าสุด พรรคเทียนหลงแอบฟื้นคืนความรุ่งโรจน์มานานแล้ว อีกทั้งประมุขพรรคของพวกเขา จะออกจากที่ซ่อนในเร็ววันนี้ ในอีกด้านหนึ่ง “เมิ่งสิงโจว” กลายเป็นหนามยอกอกของพวกเขา กอปรกับตัวตนของซูฮ่วน——เป็นหนึ่งในผู้นำที่กวาดล้างพรรคเทียนหลงในปีนั้น เกรงว่าพรรคเทียนหลงจะรู้ความจริงในไม่ช้าก็เร็ว และชำระแค้นเก่าแค้นใหม่
มังกรพสุธาที่อัดแน่นอยู่ในนั้น ทำให้คนรู้สึกขนพองสยองเกล้า ราวกับว่าพวกมันสัมผัสได้ถึงอันตราย จึงค่อย ๆ ว่ายมาทางเฟิ่งจิ่วเหยียน พร้อมกับดวงตาที่เปล่งแสงสีเขียวเข้ม บ้างก็กระโดดขึ้นไป เกาะติดอยู่บนกำแพงหิน แล้วคลานเข้าไปหานาง พวกมันไม่ใช่มังกรพสุธาธรรมดาอีกแล้ว จากผิวหนังที่นูนและบวมนั้น มองแวบแรกก็รู้ว่ามีพิษ เฟิ่งจิ่วเหยียนรีบกินยาเม็ดต้านพิษ และค่อย ๆ ชักกระบี่ออกจากฝัก... สองชั่วยามต่อมา นอกถ้ำ อู๋ไป๋รอคอยอย่างกระวนกระวายใจ และกังวล เขากลัวว่าแม่ทัพน้อยจะตกอยู่ในอันตราย จึงอยากจะเข้าไปตรวจสอบ ในขณะที่เขาลังเลไม่กล้าตัดสินใจ พลันมีคนเดินออกมาแล้ว เขารีบเข้าไปต้อนรับทันที “แม่ทัพน้อย...” ครั้นเพิ่งจะเปิดปากพูด ก็ได้เห็นเลือดเต็มใบหน้าของแม่ทัพน้อย ซึ่งน่าหวาดผวายิ่งนัก อู๋ไป๋พลันตื่นตัวขึ้นมาทันที รีบไปอารักขาจากด้านหลัง เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “ไม่มีคนอยู่ข้างใน” อู๋ไป๋ยังสงสัย “แล้วเลือดบนร่างกายของท่าน…” เมื่อเอ่ยเช่นนี้ เขาพลันตอบสนองขึ้นมาอย่างกะทันหัน “หรือเป็นมังกรพสุธาขอรับ? แม
คนชุดคลุมดำล้มลงกับพื้น จนกระทั่งตายก็ยังคิดไม่ตก ว่าเพราะเหตุใด... อย่าว่าแต่คนชุดคลุมดำแล้ว แม้แต่ผู้คนรอบข้าง รวมทั้งหร่วนฝูอวี้ ก็ล้วนตะลึงงัน พวกเขาหันมามองหน้ากันเลิ่กลั่ก สังหารคนทั้งอย่างนี้เลยหรือ? ไม่ต้องสอบปากคำเลยหรือไร? อู๋ไป๋ก็งุนงงมาก พวกเขาใช้เวลาสืบหานานนัก แม่ทัพน้อยกลับสังหารอีกฝ่ายในพริบตา นางไม่อยากจะรู้แล้วหรือว่า เบื้องหลังการตายของต้วนไหวซวี่คืออะไร? หร่วนฝูอวี้กลืนน้ำลายลงคอ ก่อนจะยกนิ้วหัวแม่มือให้ และยิ้มแห้ง ๆ “การแทงของสามีนี้ ช่างสะใจยิ่งนัก!” ซูฮ่วนผู้นี้ บางครั้งก็ชั่วร้ายเสียยิ่งกว่านาง เฟิ่งจิ่วเหยียนใช้หางตามองร่างในชุดคลุมดำอย่างเย็นชา นางเดินทางมาไกลนับพันลี้ ก็เพียงเพื่อที่จะฆ่าเขา ไยจะต้องปล่อยให้เขาจูงจมูกได้อีกเล่า? การแก้แค้นนั้น สังหารศัตรูต้องมาก่อน ความจริงเป็นเรื่องรอง โดยเฉพาะกับคนที่ปากแข็ง และคนที่ไม่มีจุดอ่อนเลย เป็นที่แน่ชัดว่าเค้นเอาคำตอบไม่ได้ กับโจรประเภทนี้ เพียงแค่สังหารโดยตรง และไม่ต้องเอ่ยไร้สาระ จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนหันไปเอ่ยกับหร่วนฝูอวี้ “ควักอวัยวะภายใน
เมื่อมาถึงชายแดนแคว้นหนานฉี เฟิ่งจิ่วเหยียนกับอู๋ไป๋หาโรงเตี๊ยมพักผ่อนระหว่างทางก่อนทั้งสองคนสวมหน้ากาก นั่งอยู่ที่ตำแหน่งใกล้ถนนคนงานโรงเตี๊ยมไม่เห็นว่านี่เป็นเรื่องแปลก บริการอาหารเสร็จ ก็ไปดูแลรับแขกคนอื่นวันนี้โรงเตี๊ยมนี้คึกคักมาก มีกลุ่มคนที่นั่งอยู่โต๊ะข้าง ๆ พูดคุยกันขึ้นมา“เรื่องที่เกิดขึ้นในเมืองหลวงเมื่อปีก่อน พวกเจ้าได้ยินกันแล้วหรือยัง?”“เรื่องอันใด?”“เจ้าไม่รู้หรือ? ปีที่แล้ว ฝ่าบาทกับฮองเฮาหย่าร้างกันแล้ว!”“อ้อ อ้อ จำได้แล้ว ตอนนั้นถือเป็นเรื่องร้อนแรงช่วงเวลาหนึ่ง!”“ข้าว่า ฮองเฮาไม่มีเหตุผล หาเรื่องไม่เป็นเรื่อง! สตรีทั่วไปล้วนยึดหลักสามคล้อยสี่คุณธรรม ในฐานะที่นางเป็นราชินีแห่งแผ่นดิน กลับตำหนิฝ่าบาทต่อหน้าสาธารณะ ‘หลิ้วเก้า’ อะไรนั่น ตัวนางเองกระทำได้ไม่ดี ฝ่าบาทลงโทษนางแล้วยังไง?”“ใช่ ๆ ข้าว่า สตรีเช่นนี้ ไม่เอาก็ช่างเถอะ! ฝ่าบาทควรที่จะปลดฮองเฮา!”“ใช่ ๆ สตรีของตระกูลเฟิ่ง ต่อไปไม่ต้องคิดที่จะได้แต่งงานอีก ก่อให้เกิดเรื่องแบบนี้ คนที่เสียเปรียบไม่ใช่ตัวนางเองหรือ หากข้ามีลูกสาวแบบนี้ คงทุบตีนางตายแน่ จะได้ไม่ทำให้ข้าอับอายขายหน้า! ”ชายอ้วนหัวโตใ
เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจเรื่องของคนอื่น ทานข้าวเสร็จแล้ว นางก็เดินทางต่อ มุ่งหน้าไปทางเหนือหลายวันผ่านไป นางกับอู๋ไป๋เดินทางผ่านใกล้ที่ว่าการปกครอง เพราะมีคนมากมาย จึงต้องลงจากม้าแล้วจูงเดินเอาหลังจากเดินเข้าไปใกล้แล้วค่อยรู้ว่า เป็นพวกคนที่มาหย่าร้าง เบียดแน่นอยู่บนถนนหน้าที่ว่าการปกครองรอบด้านยังมีพ่อค้าขายของริมถนนมามุงดู ต่อว่าตำหนิ วิพากษ์วิจารณ์เหล่าสตรีที่มารอหย่าร้าง“เพ้ย! ช่างหน้าไม่อาย! กล้าก่อเรื่องหย่าร้างที่ว่าการปกครอง!”“ใช่ ๆ ! น่าอับอายขายหน้า! ข้าเป็นผู้หญิงยังอับอายแทนพวกนาง ผู้ชายเลี้ยงดูครอบครัวก็ลำบากมากพอแล้ว ยังจะมาก่อเรื่องพวกนี้!”“ไม่รู้ว่าฝ่าบาทเป็นอะไร ที่มีพระราชโองการประกาศออกมาเช่นนี้ สตรีผู้ใดที่ไปทำการหย่าร้างในที่ว่าการปกครอง ทางการล้วนต้องรับเรื่อง”“ยิ่งกว่านั้น พวกเจ้าหน้าที่แต่ละแห่ง เพื่อเสร็จสิ้นการสอบสวน ล้วนทำงานอย่างหนัก! ที่ว่าการอำเภอตรงข้าม แค่เมื่อวานก็หย่าร้างไปแล้วแปดคน!”ชายขายผักคนหนึ่งพูดขึ้นมา“ล้วนเป็นเพราะฮองเฮา นำมาซึ่งการปฏิบัติตนที่ไม่ดี! สตรีขอหย่าร้าง อำนาจสามีอยู่ที่ใด!”สตรีที่อยู่ด้านข้างผงกศีรษะอย่างต่อเนื่อง
แคว้นหนานฉีจะมีการรวบรวมผลสถิติเปรียบเทียบในทุก ๆ สามปี เพื่อได้ทราบข้อมูลประชากรของแผ่นดิน โดยเฉพาะจำนวนการเกิด จำนวนการตาย ตลอดจนรายละเอียดของคนอายุมากถึงแปดสิบ เด็กอายุน้อยถึงหกขวบ รวมถึงส่วนสูง รูปลักษณ์หน้าตาเมื่อหนึ่งเดือนกว่าที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ทะเบียนราษฎรเข้าวังมารายงานการปฏิบัติหน้าที่ราชการ หลังจากการตรวจสอบข้อมูลเป็นเวลาหลายเดือนในปีที่แล้ว แคว้นหนานฉีอาจเกิดวิกฤตการณ์ในระหว่างชายหญิงที่ยังไม่ได้แต่งงาน จำนวนผู้หญิงมีน้อยกว่าผู้ชายมาก ในผู้ชายจำนวนสิบคน มีเพียงคนเดียวที่สามารถได้แต่งงานยิ่งไม่ต้องพูดถึงชายบางคนที่มีเมียเยอะ มากชู้หลายเมีย ทำให้ผู้ชายมากมายไม่มีภรรยาทหารรักษาการณ์ชายแดน ส่วนใหญ่ไม่ได้แต่งงานหากเป็นเช่นนี้ต่อไป ผ่านไปยี่สิบปี แคว้นหนานฉีคงไม่มีทหารแล้วดังนั้น เซียวอวี้ยอมที่จะเปิดคลังแผ่นดิน ส่งเสริมกระแสการหย่าร้างในหมู่บ้านชาวบ้านขอเพียงทำให้มีผู้หญิงมากมายรอที่จะมีคู่ครอง จึงจะสามารถรักษาความสมดุลในการแต่งงานแน่นอนว่านอกจากเหตุผลอย่างเป็นทางการแล้ว เขาก็ยังมีความคิดเห็นส่วนตัวอยู่บ้างเขาเพิ่งสูญเสียฮองเฮาไป จะยอมเห็นคนอื่นรักใคร่ อยู่กัน
“เมิ่งสิงโจว? แม่ทัพน้อยเมิ่งของค่ายเป่ยต้าคนนั้นหรือ?” ฝ่ายชายขมวดคิ้วขึ้นมาทันทีเขาเคยได้ยินมาก่อน แม่ทัพน้อยเมิ่งคนนั้นมีวรยุทธสูงมากสายตาหญิงสาวสวมม่านคลุมหน้าฉายแววไอสังหาร พร้อมพูดกับฝ่ายชายอีกครั้ง“หากเจ้าสามารถฆ่าเมิ่งสิงโจว ประมุขพรรคจะต้องแต่งตั้งให้เจ้าเป็นราชาอย่างแน่นอน”“เพราะเหตุใด?” ถึงแม้ฝ่ายชายจะอยากได้คุณความดี แต่ก็อดแปลกใจไม่ได้บนมือหญิงสาวสวมสร้อยข้อมือมุก ในระหว่างที่เคลื่อนไหวเล็กน้อย ส่งเสียงกระดิ่งกระทบกันดังชัดไพเราะน่าฟังหญิงสาวพูดขึ้นมาอย่างเชื่องช้า“เพราะ...คุณชายใหญ่”ฝ่ายชายเข้าใจขึ้นมาทันที“หรืออาการบาดเจ็บของคุณชาย เป็นเพราะเมิ่งสิงโจว?”เขารู้เพียงว่า เมื่อประมาณห้าหกปีก่อน ลูกชายเพียงคนเดียวของประมุขพรรค จู่ ๆ ก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจนหมดสติ จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีวิธีทำให้ฟื้นขึ้นมาได้คนร้ายก็ไม่อาจสืบรู้ชัดเจนมาตลอดหญิงสาวพยักศีรษะ น้ำเสียงอ่อนหวานมีเสน่ห์“ใช่ คือเมิ่งสิงโจว“นี่เป็นความลับระหว่างเจ้ากับข้า“หากเจ้าสามารถฆ่าเมิ่งสิงโจวได้ก่อนที่ประมุขพรรคจะออกมา ถึงตอนนั้นก็จะไม่มีผู้ใดสามารถแย่งตำแหน่งราชามังกรดำกับเจ้า”ฝ่ายช
ยามปกติเฟิ่งจิ่วเหยียนมักจะฟันดาบและเล่นปืน ไม่มีเวลาว่างก็ปลูกดอกไม้ดอกหญ้าเซียวเหยาจวีในอดีต สิ่งที่เห็นค่อนข้างเหี่ยวเฉาแต่วันนี้นางเดินเข้ามา สิ่งที่มองเห็น คือดอกไม้สีสันสวยสดงดงามมีนกเกาะเรียงแถวอยู่บนกิ่งก้าน ร้องจ้อกแจ้กจอแจ มีชีวิตชีวาอย่างมากสาวใช้ไฉ่เยว่ยุ่งอยู่กับงานในเรือน มองเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียนเป็นคนแรก ต่อให้นางสวมหน้ากากไว้ แต่งตัวเป็นชาย“ท่านกลับมาแล้วหรือ!” ดวงตาไฉ่เยว่เป็นประกาย รีบวางไม้กวาดในมือ ต้อนรับนางเข้าไปในบ้านเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไม่เห็นใครอื่น จึงถามขึ้นมา “เวยเฉียงล่ะ?”ไฉ่เยว่รินน้ำชาให้นางไปด้วย ตอบไปด้วยว่า“หมอเทวดาซ่งพาคุณหนู ไปเด็ดดอกไม้ข้างหลังเขาแล้วเจ้าค่ะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วเล็กน้อย“เด็ดดอกไม้?”ชายเดี่ยวหญิงโสด ไม่เป็นการเหมาะสมต่อให้นางเชื่อมั่นในความมีศีลธรรมของซ่งหลี...เพิ่งพูดเสร็จ นางก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังมาจากไกลจนใกล้เข้ามาเมื่อลุกขึ้นมามองดู ก็เห็นซ่งหลีกับเวยเฉียงเดินเคียงบ่าเคียงไหล่มา บนศีรษะเวยเฉียงยังสวมมงกุฎดอกไม้ ไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย รอยยิ้มสดใสยิ่งกว่าดอกไม้ซ่งหลีสวมเสื้อผ้าธรรมดา ในมือถือตะกร้าไ
หยางเหลียนซั่วมิเคยคิดเลยว่า ตนเองจะมีบุตรสาวแท้ ๆ กับเขาด้วยเขาไม่เชื่อหร่านชิวก็ไม่เชื่อเช่นกัน“ท่านแม่! ท่านกำลังพูดเรื่องอะไรกัน!”คนพวกนี้เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือนาง ถึงได้เอ่ยคำโกหกเหล่านี้ออกมางั้นหรือ?เมื่อเห็นว่าหยางเหลียนซั่วยังมีเจตนาที่ต้องการจะสังหารบุตรสาวของตนเองอีกครั้ง ฮูหยินหร่านจึงเปิดเผยเรื่องราวที่แท้จริงในปีนั้นออกมาโดยมิสนสิ่งใดอีก“หยางเหลียนซั่ว! ท่านจำมิได้หรือ... ในปีนั้น ยามที่ท่านฝึกฝนวิชามารได้ไม่นาน เกิดธาตุไฟเข้าแทรก จึงจำความสิ่งใดมิชัดแจ้ง ถึงได้ ถึงได้ทำให้ข้าได้รับความอับอายเช่นนั้น!“หร่านชิวคือบุตรสาวของท่าน! เป็นบุตรสาวที่ข้าตั้งครรภ์ในคืนนั้น!”หยางเหลียนซั่วก่นด่าสาปแช่งออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“นังสารเลว! ผู้ที่ธาตุไฟเข้าแทรกคือเจ้าต่างหาก!”หร่านชิวเมื่อเห็นมารดาของตนเองสำลักออกมาเป็นเลือดไม่มีหยุดนั้น พร้อมทั้งร่างกายที่ค่อย ๆ เย็นชืดนางพยายามประคองมารดาของตนเอง “ท่านแม่ ท่านมิต้องพูดอันใดแล้ว ท่านมิควรมาที่นี่!”กำลังภายในในร่างกายของหยางเหลียนซั่วนั้นกำลังเกิดการปั่นป่วนยิ่งนัก หากแต่ถูกเขากดมันเอาไว้หยางเหลียนซั่วนึกหง
หร่านชิวที่เป็นผู้ฝึกตนวิชาดาราโรยหมื่นวิถีนั้น กำลังดูดซับกำลังภายในของหยางเหลียนซั่ว จนทำให้ทักษะของนางเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากทั้งนางและหยางเหลียนซั่วต่างก็ต่อกรกันตั้งแต่พื้นดินจนไปถึงบนภูเขา ทว่า ไม่ว่าพวกเขาจะเคลื่อนตัวไปที่ใด ทั้งฝุ่นควันเศษหินต่างก็ปลิวว่อนตลบอบอวลไปหมดในขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง กองทัพหนานฉีก็กำลังโรมรันกับกองทัพเยี่ยนรองแม่ทัพเยี่ยนที่เห็นเงาของหยางเหลียนซั่วเลือนรางนั้น ภายในใจนึกเป็นกังวลยิ่งนักมิใช่กล่าวว่าตนเองสามารถสังหารฮ่องเต้หนานฉีได้อย่างง่ายดายงั้นหรือ?เหตุใดยามนี้ถึงยังไม่ยอมจัดการเล่า?ฝั่งของเขาใกล้จะต้านไม่ไหวเต็มทีแล้ว!เมื่อพบเจอกับการซุ่มโจมตีของกองทัพหนานฉีหลายต่อหลายครั้งเช่นนี้ ยามที่พวกเขาคิดว่าสามารถจัดการได้แล้วนั้น ก็มักจะมีคนกลุ่มใหม่พุ่งเข้ามาต่ำช้ายิ่งนัก!เหล่าทหารของกองทัพเยี่ยนต่างก็หวาดผวาไปในทันทีแม่ทัพใหญ่กองทัพฉีกวนไหลอิ้งขี่ม้าบุกเข้ามา พลางร้องตะโกนออกมาว่า“กองทัพเยี่ยนจงฟัง ท่านแม่ทัพของเรากล่าวว่า ตราบใดที่พวกเจ้ายอมวางอาวุธ ถอดชุดเกราะออก และโยนหมวกเหล็กบนหัวทิ้งไปเพื่อยอมจำนนนั้น ก็จักอนุญาติให้กองทัพเยี่
“พวกเจ้ายังคิดที่จะโกหกข้าอีกหรือ! ซูฮ่วน เจ้าสมควรตาย!” หยางเหลียนซั่วไม่มีทางที่ถูกคำพูดยั่วยุของพวกเขาทำให้ไขว้เขวอีกต่อไปเขาหาได้คิดฟังสิ่งใดไม่ พลางสูบฉีดกำลังภายในของตงฟางซื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนชักดาบของตนเองออกมาในทันที ก่อนจะพุ่งทะยานเข้าไป ราวกับนกนางแอ่นที่บินได้อย่างคล่องแคล่ว พลางพุ่งตรงไปที่หยางเหลียนซั่ว...หูทั้งสองข้างของหยางเหลียนซั่วกระตุกขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อสัมผัสได้ถึงพลังดาบอันแหลมคมที่เข้ามาใกล้ ๆ เขาเอียงตัวไปด้านข้าง ถูกบังคับให้เก็บพลังภายในกลับตงฟางซื่อถือโอกาสหลุดพ้นออกมาและล้มลง หลังของเขากระแทกกับพื้นหินอันขรุขระไปในทันที พร้อมด้วยผมเผ้าที่กระจัดกระจายออกมาหยางเหลียนซั่วมีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างรวดเร็ว ก่อนจะหันไปโต้กลับเฟิ่งจิ่วเหยียนภายในใจของเขาที่มีจิตใจอาฆาตแค้นนั้น อยากที่จะสังหารนักฆ่าที่ปลิดชีพบุตรชายของตนเป็นอย่างยิ่ง!ทว่า หยางเหลียนซั่วหาได้โจมตีออกไปโดยตรงไม่ แต่กลับเคลื่อนที่ไปที่ข้างหลังของนางแทนพร้อมทั้งฝ่ามือที่กำลังจะกระแทกมาที่หลังของนาง“ซูฮ่วน! ระวัง!” ตงฟางซื่อร้องเตือนผัวะยามที่เฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้ากลับมานั้น เป็นเซียวอวี
“หยางเหลียนซั่ว ในที่สุดเจ้าก็ปรากฏตัวออกมาเสียที!”บนเนินเขา ตงฟางซื่อพร้อมทั้งเหล่าสหายในยุทธภพมากมายมารวมตัวกันจัดตั้งค่ายกลเฟิ่งจิ่วเหยียนที่ได้ติดต่อกับพวกเขามาก่อนหน้านั้น การซุ่มโจมตีกานโจวในครานี้ ไม่เพียงแต่เพื่อกองทัพเยี่ยนเท่านั้น แต่ยังเพื่อจับกุมหยางเหลียนซั่วอีกด้วยถึงแม้ว่าหยางเหลียนซั่วจักสามารถระบุตำแหน่งได้จากการฟังเสียงก็ตาม แต่นั่นก็ต้องใช้เวลาในการปรับตัวพอสมควรอีกทั้ง กานโจวแห่งนี้เป็นสถานที่ที่หยางเหลียนซั่วไม่คุ้นชินอีกด้วยผมเผ้าของหยางเหลียนซั่วที่มิได้มัดให้เรียบร้อยนั้น ทว่า ดวงตาทั้งสองข้างกลับถูกมัดด้วยผ้าสีดำ หูของเขาตั้งขึ้นเพื่อพยายามแยกแยะเสียงอย่างเต็มที่“เซียวอวี้! ซูฮ่วน! พวกเจ้าสองคน ไสหัวออกมาเดี๋ยวนี้!”อย่างแรก เขาต้องการหวนคืนแว่นแคว้น อย่างที่สองเขาต้องการแก้แค้นพวกมันสองคนสังหารบุตรชายของเขา แค้นในครานี้อย่างไรก็ต้องชำระ!เฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่บนที่สูง พลางก้มมองดูเขาอย่างเย็นชาผู้ที่ยืนอยู่ข้าง ๆ นางนั้นคือเซียวอวี้เหล่าแม่ทัพคนอื่น ๆ ก็นำกองกำลังของตนออกไปสู้รบกับกองทัพเยี่ยนที่เนินเขาด้วยกำลังพลเพียงแค่ห้าพันนายเท่านั้น
เมื่อเป่ยเยี่ยนต้องการถอยทัพนั้น หาใช่เรื่องดีสำหรับหยางเหลียนซั่วไม่เขาจึงเข้าพบฉินเซียวในทันที“ท่านแม่ทัพ นี่เป็นเพียงเล่ห์เหลี่ยมของพวกฉีเท่านั้น…”กองทัพใหญ่ได้เคลื่อนย้ายแล้ว ฉินเซียวมิต้องการฟังเรื่องไร้สาระอันใดจากเขาอีก“หยางเหลียนซั่ว เป็นเพราะเจ้ากล่าวว่าพวกเรามีโอกาสได้ชัย ฝ่าบาทจึงส่งกองกำลังเสริมมาให้กับพวกเราแน่! พวกเราหาได้มีความคิดที่จะต้องมารบกับหนานฉีจริง ๆ ไม่! ยามนี้งามหน้ายิ่งนัก เรื่องของเจ้าก็มิอาจจัดการได้สำเร็จ ยังมาทำให้พวกเราต้องสูญเสียกองกำลังอีกครึ่งหนึ่งไปอีก!“แม่ทัพเช่นข้านึกสงสัยยิ่งนัก ว่าเจ้าร่วมมือกับเซียวอวี้เพื่อมาทำลายเป่ยเยี่ยนของข้าใช่หรือไม่!“ไสหัวไป! คิดว่าตนเองเป็นใครกัน ถึงจะมาให้พวกข้าทำงานถวายชีวิตให้กับเจ้า?”ใบหน้าของหยางเหลียนซั่วพลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปในทันทีเพียงแค่เขาโบกมือเล็กน้อยก็คว้าเข้าที่คอของฉินเซียวฉินเซียวตกใจยิ่งนักทั้งยังเจือไปด้วยความโกรธเกรี้ยว“หยางเหลียนซั่ว...เจ้า...”ทันใดนั้น เขาก็รู้สึกว่ากำลังภายในที่ร่างกายของเขากำลังรั่วไหลออกมาหยางเหลียนซั่วที่กำลังดูดซึมกำลังภายใน พลางเอ่ยถามออกมาด้วยท่าทีเคร
เมื่อปีใหม่มาเยือน กองทัพหนานฉีจึงเริ่มโจมตีกลับเป็นระลอก ๆ การโจมตีกลับในครานี้เป็นเพียงแค่การยั่วยุเท่านั้น หาใช่การสู้รบจริง ๆ ไม่ดูเหมือนจะมิเป็นอันตรายอันใด ทว่า เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้บ่อยครั้งทั้งวันทั้งคืนเข้า ก็ทำเอาทั้งกองทัพเยี่ยนตกอยู่ในความวิตกกังวลตลอดเวลาหลังจากเป็นเช่นนี้ไปนานครึ่งเดือนนั้น ตกกลางคืน พลันเกิดเหตุการณ์เลวร้ายขึ้นภายในค่ายกองทัพเยี่ยน...“ท่านแม่ทัพ! ท่านแม่ทัพ! ค่ายแตกขอรับ!”ค่ายแตกในที่นี่หมายถึงค่ายเกิดการจลาจลปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก ทว่า นับเป็นเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบร้ายแรงต่อกองทัพเป็นอย่างมากฉินเซียวลุกขึ้นมาในทันที เหล่าองครักษ์จึงกรูเข้าอารักขาเขา พลางกล่าวคำรามออกมาว่า“คุ้มกันท่านแม่ทัพหนีออกไป!”การจลาจลในค่ายพลันเกิดขึ้นมาอย่างไม่ทันคาดคิดเพียงแค่ทหารนายหนึ่งร้องตะโกนขึ้นมาว่า “ฆ่า” พลางทำเอาทหารภายในกองทัพหันมาห้ำหั่นกันเอง กองทัพเยี่ยนในยามนี้พลันตกอยู่ในความสับสนอลหม่านไปในทันทีเหล่าทหารกองทัพเยี่ยนในยามนี้คล้ายกับแมลงวันที่ไร้หัว พวกเขารีบร้อนลุกขึ้นมาสวมใส่เสื้อผ้า พลางกรีดร้องออกมาด้วยความโกลาหลวุ่นวายในส
มังกรไฟที่หนานฉีลากออกมา จะทำให้กองทัพเยี่ยนถูกโจมตีอย่างหนักก่อนหน้านี้ กองทัพเยี่ยนคิดไปเองว่า การสร้างปืนหอกไฟที่มีเฉพาะของหนานฉีขึ้นมา จะทำให้เป่ยเยี่ยนไร้คู่ต่อกร ผู้ใดจะคิดว่า หนานฉีก็แอบลักจำเช่นกัน!แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยน---ฉินเซียวก็มิอยากเชื่อ เขาจักต้องเห็นด้วยตาตนเอง มิเช่นนั้น ยากจะรับประกันได้ว่ากองทัพฉีมิได้หลอกลวง!หลังจากเข้าไปใกล้ เมื่อเห็นฐานมังกรไฟของกองทัพฉี ก็เหมือนกับของเป่ยเยี่ยนพวกเขาทุกประการ!กองทัพฉียังส่งคนกลุ่มเล็ก ๆ กลุ่มหนึ่ง ลากมังกรไฟไปทางด้านกองทัพเยี่ยนของพวกเขา มังกรไฟของทั้งสองแคว้นเฉียดผ่านกันไป สถานการณ์ทำเอาคนพูดไม่ออกกองทัพฉียังคงโห่ร้อง“ฮ่องเต้พวกเราตรัสว่า ขอบคุณเป่ยเยี่ยนที่ส่งกระสุนมังกรไฟมาให้!”ฉินเซียวมือไม้อ่อนแรงขึ้นมาทันทีกระสุนมังกรไฟลูกนั้นมอบให้กลุ่มกบฏพรรคเทียนหลง เพื่อช่วยพวกเขาก่อความวุ่นวาย และสังหารฮ่องเต้ตอนนี้กลับมาปรากฏอยู่ที่นี่!หากหนานฉีมีมังกรไฟจริง ๆ แผนการของเขาก็คงใช้กันไม่ได้แล้วมิใช่แค่เพียงกองทัพเยี่ยน แม้แต่เหล่าทหารหนานฉีในด่านเฉาอวี๋ ในเวลานี้ต่างตะลึงงัน และประหลาดใจอย่างที่สุดแม่ทัพใหญ่ก
เฟิ่งจิ่วเหยียนสวมใส่ชุดเกราะ เซียวอวี้เห็นแล้ว ในใจรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที“เจ้าจะทำอะไร มิใช่พูดแล้วหรือว่า เรื่องสำคัญอันดับแรกของเจ้าคือการพักฟื้นจากอาการบาดเจ็บ”เฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งและใจเย็น“อาการบาดเจ็บของหม่อมฉันไม่ร้ายแรง หากอยู่ที่นี่ไปตลอด ในทางตรงกันข้ามร่างกายจะยิ่งไม่สบาย“การขับไล่กองทัพเยี่ยน เรื่องนี้ไม่ควรรอช้า ยิ่งไปกว่านั้นหยางเหลียนซั่วก็อยู่ที่กองทัพเยี่ยนด้านนั้นด้วย การจัดการพวกเขาโดยเร็วที่สุด ถึงเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรก”เซียวอวี้ไม่เห็นด้วยเขาขวางนางไว้ แววตาดูเคร่งขรึม“เราไม่อนุญาต อาการบาดเจ็บของเจ้ายังไม่หายดี จะได้รับบาดเจ็บไม่ได้อีก”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“หม่อมฉันจะดูแลตนเองให้ดี”“จิ่วเหยียน เจ้า...”เขายังคิดจะเกลี้ยกล่อมนาง ทว่าด้านนอกกลับได้ยินเสียงรายงาน“ฝ่าบาท กองทัพเยี่ยนตะโกนโวยวาย ให้เราส่งมอบตัวซูฮ่วน มิเช่นนั้นจะเปิดฉากสงคราม”ชายแดนด้านตะวันออกด้านนอกด่านเฉาอวี๋ กองทัพเยี่ยนมืดฟ้ามัวดิน ธงรบสีแดงถูกลมพัดเสียงดังพรึ่บพรั่บกองทัพทั้งสองประจันหน้ากัน แม่ทัพใหญ่ของกองทัพเยี่ยนฉินเซียวท่าทางหยิ่งทะนงเพราะด้านหลัง
เซียวอวี้โอบกอดคนที่อยู่ในอ้อมแขนไว้ ไม่อยากให้นางเห็นน้ำตาที่ควบคุมไม่ได้นั้นโธ่เอ๊ย!บุรุษไม่ควรหลั่งน้ำตาง่าย ๆ แล้วเขาร่ำไห้ได้อย่างไร!ช่างอับอายขายหน้าจริง ๆ !ทว่า...รู้สึกอิ่มเอมใจในที่สุดจิ่วเหยียนก็บอกว่ารักเขาความรู้สึกของเซียวอวี้ผสมปนเปกัน เขาหอมที่แก้มนาง“เจ้าพูดอะไร? เมื่อครู่เราไม่ได้ยิน”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยอย่างจริงจัง“ไม่ได้ยินหรือ ถ้าเช่นนั้นก็แล้วไปเถิด”มือสองข้างของเซียวอวี้ประคองใบหน้านางขึ้นมาทันที “ใจร้ายนัก เจ้าตั้งใจ เราก็แค่อยากได้ยินเจ้าพูดอีกครั้ง มิได้หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนดึงมือของเขาออก จากนั้น เงยคางขึ้น แตะลงไปที่ข้างริมฝีปากเขาเบา ๆ“เพคะ หม่อมฉันรักท่าน…”ในสมองของเซียวอวี้ราวกับพลุดอกไม้ไฟระเบิดขึ้น โชติช่วง สุกสกาว ไม่มีวันร่วงโรยแขนสองข้างของเขาโอบตัวเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ ราวกับได้กินน้ำผึ้งมิปาน รู้สึกมีความสุข“จิ่วเหยียน เราดีใจจริง ๆ ได้ยินเจ้าพูดเช่นนี้ ตายก็ไม่เสียใจจริง ๆ!”ต่อมาฟังนางเล่าเรื่องราว ถึงรู้ว่าสิ่งที่นางประสบพบเจอนั้นเสี่ยงอันตรายซ้ำแล้วซ้ำเล่าขณะที่หิมะถล่มใกล้เข้ามา ตามสามัญสำนึก ควรจะวิ่งไปด้านข้าง ทว่