ท่ามกลางความมืด ล้วนอาศัยการลูบคลำ เซียวอวี้ฉีกอาภรณ์ ดึงสายรัดเอวของนางอาภรณ์เสียดสีกัน ส่งเสียงดังกรอบแกรบราวกับมีไฟลุกไหม้อยู่ในตัวเขา แผดเผาไปทั่วทั้งตัวดูดดื่มด้วยสัญชาตญาณ จูบอยู่อย่างลึกล้ำคืนวันส่งท้ายปีเก่า นางเมามายอย่างไร้สติ กลับรู้จักตอบสนองเขาแต่ครั้งนี้ นางมีสติอยู่ เขากลับสัมผัสได้ถึงความไม่คล้อยตาม ความต่อต้านของนางแต่ความต่อต้านนี้ ยิ่งกระตุ้นความโหยหาของเขา เพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อย...ความคิดเฟิ่งจิ่วเหยียนสับสนวุ่นวายด้านข้างหูเป็นเสียงหายใจหอบอย่างหนักหน่วงของชายหนุ่มจูบของเขาเลื่อนลงไปตามคอของนาง ไปถึงหน้าอกของนางร่างกายของนางแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้เลยทันใดนั้น ชายหนุ่มคว้าจับมือของนาง คลายนิ้วทั้งห้าของนางออก แทรกระหว่างนิ้ว ผสานสิบนิ้วของนางไว้เขาเป็นเหมือนคลื่นอบอุ่น ห่อหุ้มนางไว้ทั้งตัวดูเหมือนนาง...ไม่มีทางหนีรอดแล้วจู่ ๆ ตามด้วยผ้าชิ้นสุดท้ายถูกดึงหลุด ในใจนางเยือกเย็นถึงที่สุดเสียงแหบแห้งที่สุดของชายหนุ่ม ดังขึ้นมาด้านข้างหูเขากัดติ่งหูของนางเบาๆ ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง เหมือนนักเดินทางมองหาน้ำดื่มดับกระหายลมหายใจแรง กระทบข้างหูของน
องค์หญิงใหญ่พูดโน้มน้าว “เมิ่งเฉียวม่อควรได้รับการให้ความสำคัญ ตอนนี้เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูคนหนึ่ง เป็นการใช้คนไม่เหมาะกับความรู้ความสามารถ”เซียวอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้น เขาพูดขึ้นมา“หากเพียงให้นางก่อตั้งกองกำลังหญิง ก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองความสามารถของนาง”องค์หญิงใหญ่ถามว่า“ฉะนั้นฝ่าบาทหมายความว่า ควรให้ตำแหน่งอะไรแก่นาง?”……จวนองครักษ์อารักขาประตูมีพระราชโองการ เฉียวม่อได้รับแต่งตั้งมอบหมายหน้าที่สำคัญนางดีใจอย่างยิ่งฝ่าบาทแต่งตั้งให้นางเป็นแม่ทัพกรมปกป้องเมือง!นางยังคิดว่า จะต้องเป็นองครักษ์อารักขาประตูครบหนึ่งปี ค่อยสามารถเลื่อนตำแหน่งตอนนี้ นางถือว่าทุกข์สิ้นสุด สุขบังเกิดแล้วหรือ?“แม่ทัพเมิ่ง รับพระราชโองการ!”เฉียวม่อรีบรับพระราชโองการมาด้วยมือทั้งคู่ ตาคิ้วยิ้มแย้มยินดีวันนั้น องค์หญิงใหญ่นำของขวัญมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง“ข้าแค่พูดเสนอฝ่าบาท ให้เจ้าก่อตั้งกองกำลังหญิง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมีความคิดอื่น ยกตำแหน่งแม่ทัพกรมปกป้องเมืองให้เจ้าโดยตรง”“เห็นทีฝ่าบาทค่อนข้างเห็นความสำคัญของเจ้า การที่ให้เจ้าเป็นองครักษ์อารักขาประตู เพียงเพื่อฝึกฝนนิ
นายท่านเฟิ่งโกรธจนปวดแน่นหน้าอก เขาระบายความโกรธกับอู๋ไป๋“เจ้า เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวกลับชายแดนเหนือ! ไปบอกตาเฒ่าเมิ่งฉวี อย่าคิดส่งคนมาทำร้ายลูกสาวของข้า! !”ฮองเฮาดี ๆ ไม่อยากเป็น จะไปแย่งตำแหน่งแม่ทัพน้อยอะไรนั่น เป็นบ้าอะไร!นี่ล้วนเป็นเพราะถูกเมิ่งฉวีเสี้ยมสอนมา!ตอนนั้นแทนที่เขาจะให้เด็กคนนั้นอดตาย ฟาดตาย ก็ไม่ควรที่จะยกให้เมิ่งฉวีส่งผลทำให้ตอนนี้เขาต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่วัน ศีรษะของคนทั้งตระกูลล้วนแขวนอยู่บนดาบนายท่านเฟิ่งพูดโน้มน้าวเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ จึงให้ฮูหยินเฟิ่งไปแต่เมื่อฮูหยินเฟิ่งเขาวัง ก็มิได้เจอฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงนอกจากสั่งให้อู๋ไป๋จัดการคนทางด้านตระกูลเฟิ่ง นางยังเขียนจดหมายให้อาจารย์หญิงหลายวันต่อมา ทางด้านชายแดนเหนือได้รับจดหมายแม่ทัพเมิ่งเป็นกังวลอย่างมาก ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ“ในจดหมาย จิ่วเหยียนพูดอย่างไรบ้าง?”“นางให้นำศพพร้อมเข็มเงินส่งกลับไป อีกอย่าง หากมีคนถาม ก็ให้ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องที่นางอภิเษกแทน”“แล้วข้าล่ะ?” แม่ทัพเมิ่งชี้ตนเอง“นางขอป้ายทองไว้ชีวิตให้กับเจ้า”แม่ทัพเมิ่งสองสามีภรรยา คาดเดาได้แล้ว
ณ เมืองหลวงชายแดนทั้งสี่ทิศเกิดศึกต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เซียวอวี้มีราชกิจยุ่งจนไม่มีเวลามาวังหลังจิ้งเฟยมายังห้องทรงพระอักษรบ่อยครั้ง แต่ก็ได้เจอฝ่าบาทน้อยครั้งมากกลางปลายเดือนมีนาคม เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับข่าวจากอู๋ไป๋สิ่งที่นางต้องการ ถูกส่งมาจากชายแดนเหนือแล้วศพของทหารกองทัพมังกรพยัคฆ์หลายคนนั้น ถูกเก็บไว้ในสถานที่เก็บศพชั่วคราวคืนวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากวังไปตรวจสอบด้วยตนเองบนใบหน้าของนางปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็นเฉียวม่อทำเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเอง ทำร้ายคนตายตั้งมากมายขนาดนี้พวกเขาจำนวนมาก ไม่ได้ตายอยู่ในมือกองทัพรัฐเหลียง แต่ถูกเฉียวม่อวางแผนชั่วช้าไว้ก่อนแล้วอู๋ไป๋รู้ความจริงแล้ว โกรธโมโหอย่างมาก“แม่ทัพน้อย จะต้องให้เฉียวม่อชดใช้ด้วยเลือด ถึงค่อยสามารถปลอบโยนวิญญาณของพี่น้องเราในสวรรค์ได้!”ทำไมนางถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้!แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักหน่วง เปียกโชกไปด้วยความหนาวเหน็บ“การศึกทางชายแดนเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”อู๋ไป๋ตอบนาง “แม่ทัพน้อยวางใจ แคว้นจ้าวสู้ฝ่ามาไม่ได้ แผนที่ป้องกันประเทศนั้นเป็นของปลอม ตอนนี้ทหารจ้าวพ่ายแพ้ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง”เฟิ่ง
“อะไรนะ...ฮองเฮาไม่ใช่ฮองเฮาตัวจริง? !”องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงตาโตเฉียวม่อแลดูซื่อตรง แววตาปกคลุมไปด้วยความบึ้งตึง“ข้าก็เพิ่งสืบรู้“ความจริงตระกูลเฟิ่งมีลูกสาวฝาแฝด พี่สาวถูกเลี้ยงอยู่ข้างนอกมาตลอด“คนที่จะต้องอภิเษกเข้าวังตัวจริง คือน้องสาวเฟิ่งเวยเฉียง“แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด น้องสาวหายตัวไป ตระกูลเฟิ่งจึงตามพี่สาวมาอภิเษกแทน”สีหน้าองค์หญิงใหญ่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวมีเรื่องแบบนี้ด้วย!ช่างไม่เคยได้ยินมาก่อนจริง!ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดขึ้นในราชวงศ์!“นี่ถือเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง! ตระกูลเฟิ่งกล้าทำได้อย่างไร!”ในฐานะที่องค์หญิงใหญ่เป็นคนในราชวงศ์ พี่สาวของฝ่าบาท ทนรับการโกหกแบบนี้ไม่ได้เฉียวม่อพูดเสริมขึ้นมาอย่างเป็นกังวล“ตระกูลเฟิ่งกระทำเช่นนี้ เจตนาที่แท้จริงนั้นยากแก่การหยั่งรู้”แววตาองค์หญิงใหญ่เยือกเย็น“ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”เฉียวม่อรีบรั้งนางไว้“ไม่ได้เพคะ องค์หญิง ตอนนี้ไม่มีหลักฐาน ฝ่าบาทไม่มีทางเชื่อแน่นอน“สู้รอหาหลักฐานให้ได้ก่อน ค่อยเปิดเผยแผนการชั่วของตระกูลเฟิ่ง”องค์หญิงใหญ่คิดดูดี ๆ นางพูดถูก จะต้องมีหลักฐานเสียก่อนแต่จะไปหาหลักฐาน
จิ้งเฟยยังดิ้นรนอยู่ในน้ำ กลับไม่มีใครลงไปช่วยนางองค์หญิงใหญ่คว้าจับเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างแข็งกร้าว“ผู้ใดเป็นคนผลัก ผู้นั้นก็ลงไปช่วย!”ที่นี่เป็นตำหนักฉือหนิง องครักษ์ สาวใช้ในบริเวณโดยรอบนี้ ล้วนเป็นคนขององค์หญิงใหญ่พูดเสร็จ นางก็จะผลักเฟิ่งจิ่วเหยียนลงไปในน้ำช่วงเดือนมีนาคม น้ำในสระเยือกเย็นไปถึงกระดูกเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับไปด้านข้าง หลบเลี่ยงการผลักขององค์หญิงใหญ่ได้แววตาองค์หญิงใหญ่โกรธจัด“ฮองเฮา เจ้า...”ที่ไหนได้ ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนหลบเลี่ยงนางได้ ทว่าพริบตาเดียวก็กระโดดลงไปในน้ำแล้วองค์หญิงใหญ่โกรธจัดจนขำหัวเราะ“ช่วย...ช่วยข้า...” จิ้งเฟยว่ายน้ำไม่เป็น อาภรณ์เครื่องประดับบนตัวทั้งหนาทั้งหนัก ผูกมัดแขนขาของนางไว้นางผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ ดื่มน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก สิ้นหวังอย่างที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย นางยากที่จะสงบสติอารมณ์และมีสติได้“ช่วยข้า...”ในขณะที่นางไม่มีเรี่ยวแรงจะดิ้นรนอีก ครั้นกำลังจะจมลงไป ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าจับนางไว้วินาทีนั้น เหมือนแสงแดดส่องลงสู่ในสระน้ำอันเยือกเย็นทันใดนั้นก็เหมือนนางสามารถยืนมั่นคงอยู่ในน้ำได้ฮ่าว...ศีรษ
ผมของเฟิ่งจิ่วเหยียนยังไม่แห้งสนิท มัดปักด้วยปิ่นปักผมอย่างง่ายลมเย็นพัดมากระทบหน้า ชายกระโปรงของนางพลิ้วไหวซุนหมัวมัวรีบไล่ตามนาง พูดเกลี้ยกล่อมอยู่อย่างปากเปียกปากแฉะ“ฮองเฮา อย่างน้อยท่านก็อธิบายให้ฝ่าบาทฟังบ้างสิเพคะ?“จะให้ฝ่าบาทเข้าใจท่านผิดเช่นนี้หรือ?”สายตาเฟิ่งจิ่วเหยียนมองไกลออกไปอย่างห่างเหิน“ไม่เป็นไร”เดิมก็เป็นคนที่ไม่เกี่ยวข้องอะไรกับนางภายในห้องโถงด้านข้างหมอหลวงกำลังตรวจชีพจรให้กับจิ้งเฟยจักรพรรดิยืนเอามือไพล่หลังอยู่ริมหน้าต่าง แววตามองไกลออกไปจิ้งเฟยมองดูเงาหลังของชายหนุ่มด้วยแววตาซับซ้อนหลังจากฮองเฮาไปแล้ว ฝ่าบาทก็ยืนอยู่ตรงนั้นตลอด ไม่รู้ว่ากำลังดูอะไรอยู่หมอหลวงตรวจเสร็จ ก็กราบทูลรายงานฝ่าบาท“ฝ่าบาท พระนางได้รับความเย็น ทำให้ร่างกายอ่อนแอ กระหม่อมจัดยาขับความเย็นให้ทานก็พอ แต่จะโดนความหนาวไม่ได้อีก ไม่อย่างนั้นอาการป่วยจะยิ่งรุนแรง”“อืม” เซียวอวี้หันไปมองจิ้งเฟยทั้งที่ตกน้ำเหมือนกัน นางอ่อนแออยู่ในสภาพเช่นนี้ ฮองเฮากลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยยังไงก็เป็นคนฝึกวรยุทธคิดว่าฮองเฮาคงไม่เป็นอะไรมากหลังจากหมอหลวงกราบทูลออกไปแล้ว จิ้งเ
ตำหนักหย่งเหอซุนหมัวมัววิ่งเข้ามารายงานอย่างมีความสุขในความโชคร้ายของคนอื่น“ฮองเฮา ท่านทายได้ไหมว่า! เกิดเรื่องกับทางตำหนักซินฮุ่ยแล้ว!“ไม่ง่ายนักที่ฝ่าบาทจะเข้ามาวังหลัง คืนนี้ต้องการให้จิ้งเฟยร่วมบรรทม แต่ไม่รู้ทำไม จิ้งเฟยทำให้ฝ่าบาทขุ่นเคือง ฝ่าบาทจึงทิ้งนางแล้วก็จากไป ยังลงโทษกักบริเวณนางด้วย!”ซุนหมัวมัวยิ่งพูดก็ยิ่งสะใจ เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้สึกปวดศีรษะแปลบ ๆ นายกำลังจัดการกิจการงานทั่วไปของวังหลัง เพียงต้องการให้ทุกเรื่องเรียบร้อยอย่างดีตั้งแต่ต้นจนจบซุนหมัวมัวพูดมากเช่นนี้ นางยากที่จะใจจดใจจ่อ“ออกไป ไม่มีคำสั่งของข้า ผู้ใดก็ห้ามเข้ามา”ซุนหมัวมัวไม่รู้ว่าตนเองพูดอะไรผิดเหลียนซวงกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเกิด ในที่สุดนางก็ได้คอยปรนนิบัติอยู่ข้างกายฮองเฮา แต่ฮองเฮามักจะเมินเฉยกับนาง ทำให้นางน้อยใจยิ่งนักเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจท่าทีสีหน้าโศกเศร้าของซุนหมัวมัว มือข้างหนึ่งปัดลูกคิด ไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมา“ยังไม่ออกไปอีก?”ซุนหมัวมัวเพิ่งหันตัว หลังจากเห็นอะไรแล้ว ก็ดีใจตกตะลึงตาค้างคือฝ่าบาท? !นางรีบก้มศีรษะถวายความเคารพ“บ่าวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาทอายุยืนหมื
เจ็ดวันต่อมาณ เมืองไท่ชางกลุ่มของเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าพักในโรงพักแรมทันทีที่เข้ามาในโรงพักแรม นางก็เห็นคนคุ้นตาคนผู้นั้นอยู่ในชุดไหมสีแดง กำลังพูดคุยกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างสนุกสนาน ขณะที่อีกฝ่ายบังเอิญเงยหน้าขึ้นมา ก็จำหน้ากากเงินของนางได้ เจียงหลินสวมใส่ชุดแดง ดูสะดุดตาท่ามกลางผู้คนอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังโดยพลันทำไมถึงมาเจอเจ้านี้อีกแล้ว นี่มันบุพเพอาละวาดชัด ๆ ให้ตายสิ…ชั่วขณะนั้น เหมือนเจียงหลินจะเห็นคนไร้หัวใจที่ทอดทิ้งตัวเอง พลันลุกขึ้นมา ตะโกนท่ามกลางผู้คนว่า “ซูฮ่วน! ข้าเห็นเจ้าแล้ว! เจ้าไม่ต้องหลบ!”เฟิ่งจิ่วเหยียน: นางไม่ได้หลบเสียหน่อยเจียงหลินเดินพรดพราดเข้ามา จับแขนของนางเอาไว้ “เจ้ากับซ่งหลีนี่แน่จริง ๆ ไปไหนก็ไม่คิดจะบอกกล่าว รู้ไหมว่าข้าตามหาพวกเจ้านานแค่ไหน!”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มุ่งมั่นตามหาพวกเขาเหมือนกันเขามีฐานะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเจียง จึงมีเรื่องให้จัดการมากมายในชีวิตประจำวัน ที่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา ก็แค่อยากให้ซูฮ่วนรู้สึกผิด และช่วยเบิกทางค้าขายให้เขาขณะที่กำลังพูด เขาพลันรู้สึกได้ถึงไ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้ามา ใบหน้านิ่งเฉยมองไปทางเซียวอวี้จู่ ๆ เขาก็บอกว่าตนเองจะกลับวังหลวง ไม่อธิบายล่วงหน้า กลับมาพูดเอาวันที่จะต้องจากไป ไม่ใช่เพราะตั้งใจ อยากเห็นนางลนลานหรอกหรือ“ไม่มีอะไรจะพูด” แววตาของนางสงบดั่งน้ำนิ่งสีหน้าของเซียวอวี้ตอนนี้ไม่น่าดูนักนางไร้น้ำใจเพียงนี้เชียวหรือ?เขาเริ่มสงสัยจริง ๆ แล้วว่านางเพียงต้องการร่างกายของเขาเท่านั้น!ระหว่างที่เซียวอวี้กำลังโศกเศร้านี้เอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ถามกลับว่า“ไม่ใช่ว่าพวกเราไปทางเดียวกันหรือ?”เขากลับเมืองหลวง นางไปเมืองโบ๋วโจว ล้วนต้องลงใต้ทั้งคู่แบบนี้แล้วหากจะบอกลากันตอนนี้ ออกจะเร็วไปเสียหน่อยเซียวอวี้จึงได้สติกลับมา “เจ้าจะออกเดินทางไปกับเราหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ“แน่นอน การเดินทางไปเมืองโบ๋วโจวเป็นเรื่องด่วน”......เมื่อรู้ว่าจิ่วเหยียนจะไปแล้ว แม้ฮูหยินเมิ่งจะไม่อาจทำใจได้ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรแต่ไหนแต่ไรมาเด็กคนนี้ก็ไปมาดุจลม อยู่ได้เพียงไม่นานคำพูดพร่ำบ่น นางก็ไม่คิดจะพูดแล้ว จึงส่งเค้กเกาลัดถุงหนึ่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนนำไปกินระหว่างทางเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง เฟิ่งจิ่วเหย
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้หาใช่ถุงยางที่เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยไม่ แต่เป็นยาขวดหนึ่งยานี้...เป็นสิ่งที่อาจารย์หญิงทำเองเช่นกันนางชัดเจนในเรื่องนี้ดีนี่คือยาคุมกำเนิดสำหรับบุรุษ ที่หายากอย่างยิ่งเท่าที่นางรู้ อาจารย์หญิงทำขึ้นมาเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นเมื่อบุรุษกินยานี้เข้าไปหนึ่งเม็ด ภายในหนึ่งวันไม่ว่าจะทำอย่างไร สตรีจะไม่มีทางตั้งครรภ์เด็ดขาด...ปฏิกิริยาตอบโต้แรกของเฟิ่งจิ่วเหยียนคือ...รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง!ทว่าในชั่วพริบตาที่นางกำลังจะเคลื่อนตัวหนี เซียวอวี้ก็คาดการณ์ได้ถึงความเคลื่อนไหวของนาง แขนเสื้อยาวโบกสะบัด พลังภายในกลายเป็นแรงผลักโครม!โครม!ประตูและหน้าต่างถูกปิดลงทั้งหมดแล้ว!ขณะเดียวกัน แขนของเขาก็ยื่นออกไปโอบเอวของนางเอาไว้“คิดจะหนีรึ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนดูหงุดหงิดอยู่มากจากนั้นเซียวอวี้ก็ยกนางขึ้นไปพาดบนบ่า แล้วเดินอย่างมั่นคงไปยังเตียงตั่ง“ปล่อยข้านะ!”เซียวอวี้ตอบ “เจ้าพูดเอง การทหารไม่หน่ายกลอุบาย”เดิมทีเขาอยากให้เมิ่งฉวีออกหน้า ให้ฮูหยินเมิ่งทำถุงยางออกมาเพิ่มอีกหน่อยทว่าเมิ่งฉวีทำไม่สำเร็จฮูหยินเมิ่งกล่าวว่าคนหนุ่มสาวต้องรู้จักควบคุ
เฟิ่งเหยียนเฉินตกตะลึงอยู่นาน เขาไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินเลยแม่เฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง“เป็นจิ่วเหยียน หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามท่านพ่อของเจ้า“เมิ่งสิงโจวตัวจริงตายจากไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเป็นจิ่วเหยียนที่เสี่ยงชีวิตปลอมตัวเป็นเขา ทว่าผู้ที่สร้างความชอบทางการทหารตลอดมาล้วนเป็นจิ่วเหยียน น้องสาวของเจ้า”เมื่อเห็นท่านแม่สงบนิ่งเพียงนี้ มั่นใจถึงเพียงนี้ ลมหายใจของเฟิ่งเหยียนเฉินก็ช้าลง“ท่านแม่ จิ่วเหยียนมีความสามารถเพียงนี้จริงหรือ?”ปกป้องรักษาชายแดนเหนือเป็นเวลาเพียงสามปี นางก็กลายเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนตัวสั่นผลงานการรบอันเลื่องลือที่นางสร้าง แม้แต่บุรุษยังยากที่จะทัดเทียมได้เขายังคิดว่าจากนี้จะต้องปกป้องน้องสาวทั้งสองคนให้ดีทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว...เป็นน้องสาวที่ปกป้องเขา ปกป้องราษฎรของหนานฉีต่างหาก!ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีน้องสาวที่เก่งกาจดุจเทพเช่นนี้!ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมิน่าเล่าคราแรกที่เห็นฮองเฮาในวัง ถึงได้รู้สึกว่านางแผ่บรรยากาศที่แข็งแกร่งออกมา ไม่เหมือนเวยเฉียงที่เขาคุ้นเคยยามนั้นเขายังนึกว่าเป็นลักษณะอันน่าเกรง
“ท่านแม่! ท่านว่าอะไรนะ ข้ายังมีน้องสาวอีกคนรึ?!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่อยากจะเชื่อน้องสาวอีกคนนึงของเขา เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวออกไปแล้วที่ฮูหยินเฟิ่งบอกเขาก็เพราะหวังว่าบุตรชายจะได้รู้ว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องปกป้องอีกคนหนึ่งเฟิ่งเหยียนเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง“ท่านแม่ เดี๋ยวนะ เหตุใดคนที่แต่งกับฮ่องเต้แต่แรกถึงเป็นจิ่วเหยียน ไม่ใช่เวยเฉียงเล่า?“เช่นนั้นเวยเฉียงล่ะ? เวยเฉียงไปไหนแล้ว?”แววตาของฮูหยินเฟิ่งแฝงไปด้วยความโกรธแค้น“เป็นท่านพ่อของเจ้า สามีชั่วนั่น! เขาคิดว่าหลังจากเวยเฉียงถูกลักพาตัวไปก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้ จึงส่งเวยเฉียงออกไปเสีย ทั้งยังโกหกว่านางตายแล้ว! เขาหลอกพวกเราทุกคน!”“หากไม่ใช่เพราะจิ่วเหยียน ยามนี้เวยเฉียงจะเป็นหรือตายอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้!”เฟิ่งเหยียนเฉินที่น่าสงสารถูกปกปิดจนไม่รู้อะไรเลย แม้แต่เรื่องที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไป สูญเสียความบริสุทธิ์ เขาก็เพิ่งได้รู้ความจริงเอาตอนนี้เขารู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งหึ่งสวรรค์!ในช่วงที่เขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มนั่น ที่แท้ตระกูลเฟิ่งกลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เขาที่เป็นพี่ชาย ช่
ณ ค่ายเป่ยต้าสีหน้าของเมิ่งฉวีเขียวคล้ำ เขามองไปที่ฮ่องเต้เบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ฝ่าบาท ท่าน...” ตรัสว่าอะไรนะ ถุงยาง?ยังอยากให้ฮูหยินทำถุงยางให้มากหน่อย?จากที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำให้ไปสิบอันหรอกหรือ?ใช้หมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!เมิ่งฉวีอดไม่ได้ที่จะคิดว่า...หนุ่มแน่นช่างกำลังวังชาดีเสียจริงเซียวอวี้ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินเมิ่ง จึงคิดจะพูดกับเมิ่งฉวีแทนถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษด้วยกันเมิ่งฉวีรู้สึกลิ้นจุกปาก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากนัก กับฮูหยิน กระหม่อมเองก็พูดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในกระโจม ท่าทางดูผ่อนคลายสงบนิ่งเขากล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า“จิ่วเหยียนกับฮูหยินเมิ่งผูกพันดุจมารดาและบุตร นางต้องแต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวง เราตัดสินใจว่าจะให้ฮูหยินเมิ่งติดตามไปด้วย”เมิ่งฉวี: !!!ฝ่าบาทจะมาพรากพวกเขาสามีภรรยาออกจากกันได้อย่างไร!นี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ?……ณ จวนแม่ทัพเวยเฉียงกับสาวใช้นามไฉ่เยว่ย้ายมาอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างยังดีที่นางคุ้นเคยกับท่านพี่และฮูหยินเมิ่ง จึงไม่ถึงกับประหม่าฮูหยินเมิ่งสงสารที่เวยเฉี
วินาทีที่ถอดหน้ากากของนางออก เซียวอวี้เห็นนางยิ้มดั่งดอกไม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางยิ้มอย่างปล่อยตัว มีความสุขอาจเป็นเพราะดื่มจนเมา ทิ้งเกราะป้องกันตัว นางล้มสู่อ้อมกอดของเขา เกาะไหล่ของเขา แล้วลุกขึ้นมา“ข้าไม่ได้เมา...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเดินยังไม่มั่นคง ยังบอกว่าไม่เมา?“ตงฟางซื่อส่งเจ้ากลับมา” เขาไม่ได้ถาม ทว่าเป็นการพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจหยิ่นลิ่วคอยปกป้องนางอยู่ตลอดตอนที่ตงฟางซื่อไปหาถึงเซียวเหยาจวี เซียวอวี้ก็รู้แล้วภายหลังนางตามตงฟางซื่อไปยังหอสุรา ดื่มสุราทานข้าวกับคนเหล่านั้น เขาก็รู้เขาอดกลั้นไม่ไปรบกวนนาง เพราะเขารู้ดี นั่นคือเพื่อนสนิทของนาง เป็นวิถีชีวิตของนางถึงแม้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเขา นั่นก็คือสิ่งที่นางไม่อาจทอดทิ้งทว่า นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ดื่มอยู่ข้างนอกจนดึกขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้วเซียวอวี้วางหน้ากาก จับปลายคางของนางไว้“ดื่มไปมากเท่าไหร่? ถึงได้เมาเป็นสภาพเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลี่มือของเขาออก แววตาเต็มไปด้วยความมัวหมอง ไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา“ก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้เมา”นางลุกขึ้น อยากหาน้ำดื่มทว่าเวลาถัดมา ตรงแขนมีแรง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตงฟางซื่อยิ่งอยู่ยิ่งดำเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาต้อนรับ“เจ้ามาได้อย่างไร?”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้มแย้ม “ข้าได้เจอกับอู๋ไป๋ จึงถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ใด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับข้ากระมัง?”สหายเก่ามาพานพบ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เป็นไปได้อย่างไร เชิญนั่ง”สายตาของตงฟางซื่อหันไปมองเฟิ่งเวยเฉียง เห็นนางหน้าตาเหมือนกับซูฮ่วน ก็เดารู้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องกันเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เขารู้จัก“คนนี้คือน้องสาวข้า เวยเฉียง”“เวยเฉียง คนนี้คือคุณชายตงฟาง”ทั้งสองคนต่างผงกศีรษะเป็นการทักทายตงฟางซื่อพูดเข้าเรื่องทันที“เรื่องของหยางเหลียนซั่ว ข้าได้บอกพวกเหล่าฝานแล้ว ทุกคนกำลังตามสืบร่องรอยของเขา ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”เฟิ่งจิ่วเหยียนให้เวยเฉียงกับต้วนเจิ้งกลับห้องไปก่อนเวยเฉียงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านพี่ คุณชายตงฟาง พวกเจ้าคุยกันตามสบาย”ต้วนเจิ้งกลับไม่ยอม“ข้าไม่ไป หยางเหลียนซั่วทำให้พี่ชายข้าตาย เป็นศัตรูของข้า ข้าจะไปตามหาเขาพร้อมกับพวกเจ้า แล้วก็ฆ่าเขา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจ เพียงเร่งเร้าตงฟางซื่
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ปิดบังแล้วนางพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา“ท่านดูไม่ออกหรือ ข้าไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนั้น?”ตลก ผู้ลี้ภัย ลิงผอมตัวดำ! ตอนกลางวันเขาพูดว่านางเช่นนี้ !นางอยากยอมรับสิแปลก!เวลานี้ เซียวอวี้ก็คิดขึ้นมาได้ นางกำลังไม่พอใจอะไรที่แท้ก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อยากยอมรับว่านางคือลิงน้อยคนนั้นเขาเสียใจอย่างมาก รีบพูดขอโทษขึ้นมา“เราผิดไปแล้ว ตอนนั้น...เรากลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิด จึงตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงแล้ว เราจดจำเจ้ามาตลอด วีรชนน้อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเซียวอวี้จูบบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็หยิบผ้าแห้งผืนนั้นมา เช็ดผมที่เปียกให้กับนางด้วยตนเอง กระทำอยู่อย่างอ่อนโยน ราวกับในมือถือสิ่งของล้ำค่าเอาไว้“ปีนั้นเมืองซีซิ่นเกิดทุพภิกขภัย เราเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกปล้นแล้ว ไม่สามารถที่จะลงมือทำร้ายประชาชน โชคดีที่เจ้ามาปรากฏ เวลานี้เราพูดความจริง เจ้าในตอนนั้นถึงแม้ยังเด็ก ทว่าท่าทีขี่ม้า ดูสง่างามยิ่งกว่าบุรุษจริงๆ”“ไม่ใช่ตลกหรอกหรือ?” นางยังคงไม่ยิ้มแย้ม คำพูดแฝงไปด้วยความเหน็บแ