พักนี้เพราะความวุ่นวายจากภัยสงครามรอบด้าน ทำให้เซียวอวี้แทบจะไม่มีเวลาพักผ่อนเลยเตียงในตำหนักหย่งเหอหลังนี้ เขานอนแล้วรู้สึกสบายเป็นอย่างมากทว่าเวลานี้เอง ภายในตำหนักซินฮุ่ยจิ้งเฟยนั่งอยู่ในอ่างอาบน้ำ ดวงตาบวมด้วยความโศกเศร้าหยาดน้ำตาหยดลงผสมกับน้ำสุดท้ายนางก็ยังทำไม่สำเร็จอยู่ดี...ผู้อื่นต่างคิดว่านางได้รับความโปรดปรานจากฝ่าบาทอย่างลึกซึ้ง ทว่าที่จริงแล้วฝ่าบาทไม่เคยแตะต้องนางมาก่อนเลยภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นางจะตั้งครรภ์ได้อย่างไรกัน!คืนนี้นางจึงได้ลองกล่าวเรื่องร่วมบรรทมกับฝ่าบาทฝ่าบาทกลับส่งสายตาที่เย็นชาถึงเพียงนั้นใส่นาง เตือนให้นางอย่าได้คิดเพ้อเจ้อถึงสิ่งที่ตัวเองไม่คู่ควรไม่คู่ควร...ที่แท้แล้วนางไม่คู่ควรกับการให้กำเนิดองค์ชายอย่างนั้นหรือ?“ฮ่าฮ่า...” จิ้งเฟยโมโหจนหัวเราะเสียงต่ำอย่างที่สุดออกมา นางใช้มือกุมปากของตนเอาไว้ กดความโกรธ ความไม่ยินยอมนั้นลงไปฝ่าบาทช่างอำมหิตเสียจริงชิวหงที่ยืนอยู่นอกห้องอาบน้ำเป็นห่วงพระสนมเป็นอย่างยิ่งเดิมทีคืนนี้พระสนมสามารถร่วมบรรทมกับฝ่าบาทได้แท้ ๆ ทว่าฝ่าบาทกลับจากไปทั้งอย่างนี้ณ ตำหนักหย่งเหอท้องฟ้ามืดสนิทแล้
เซียวอวี้วางถ้วยสุราลงอย่างว่าง่าย น้ำเสียงผ่อนคลายสงบนิ่ง“ได้ ตามที่ฮองเฮาว่า”หลิวซื่อเหลียง : ?เหตุใดจึงไม่เหมือนอย่างที่เขาคิดเอาซะเลย?เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็นึกไม่ถึงเช่นกันว่าเขาจะฟังนางถึงเพียงนี้นางเพียงแต่เกรงว่าถ้าเขาดื่มมากจนเมามายไปจะทำลายแผนการของนางก็เท่านั้นขุนนางใหญ่ที่นั่งอยู่เมื่อเห็นความเปลี่ยนแปลงนี้ ต่างเกิดความรู้สึกซาบซึ้งใจ“ฝ่าบาท ครานี้แคว้นจ้าวพ่ายแพ้ครั้งใหญ่ สาแก่ใจยิ่งนัก!”“พวกเขาครอบครองผังการวางกำลังป้องกันปลอมดั่งสมบัติล้ำค่า จนนึกว่าจะสามารถทลายแนวป้องกันของหนานฉีเราได้ ช่างเพ้อเจ้อเสียจริง”“ฝ่าบาท ชายแดนเหนือมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่งนาม ‘จางฉี่หยาง’ ครานี้สร้างผลงานการศึกไม่น้อยเลย มีอนาคตยิ่งนัก!”“จางฉี่หยาง? ชื่อนี้คุ้นหูอยู่บ้าง ใช่เด็กหนุ่มที่มอบหินเซวียนอิงให้เราในตอนนั้นหรือไม่?”“ใช่แล้ว เขานั่นแหละ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนจิบสุราอึกหนึ่งโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าเซียวอวี้เกิดความรู้สึกสนใจในตัวของจางฉี่หยางขึ้นมาศิษย์ของซูฮ่วน ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาหากเขาสามารถทำงานรับใช้ราชสำนักต่อไป ราชสำนักย่อมไม่ปฏิบัติต่อเขาอย่างไม่ยุติธรรมแน่“ถ่ายทอดราช
เซียวอวี้ไม่ให้โอกาสเฟิ่งจิ่วเหยียนปฏิเสธ“เจ้าจำกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ได้หรือไม่“ยามนั้นเราโปรยกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ใส่ร่างนักฆ่าหญิงผู้นั้น บนร่างของเจ้าเองก็มีเช่นกัน”เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันนึกออกจากนั้นก็ได้ยินเขาพูดอีกว่า “กลิ่นดอกหอมหมื่นลี้เป็นของที่ใช้ติดตามคน เมื่อกลิ่นติดตัวแล้ว ภายในสามวันไม่มีทางหลุดออก ทั้งยังไม่อาจกระจายไปยังผู้อื่นได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนชะงักไปเล็กน้อยที่แท้ก็ความแตกมานานแล้วอย่างนั้นหรือ...เซียวอวี้จ้องนางนิ่ง ๆ“เจ้าใช้กำลังภายในเพื่อช่วยเราอย่างไม่เสียดาย“ยาฤทธิ์ร้ายแรงในร่างกายเรา ก็มาจากความช่วยเหลือของเจ้า“ฮองเฮา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เจ้าทำเพื่อเรา เราล้วนรู้ดี”เฟิ่งจิ่วเหยียนขมวดคิ้วน้อย ๆ“ที่ข้าช่วยท่าน ก็เพราะฐานะผู้นำแคว้นของท่าน ทว่าท่านไม่เคยรู้สึกสงสัยบ้างเลยหรือ สตรีคนหนึ่งที่ถูกเลี้ยงดูอยู่แต่ในห้องหอ เหตุใดจึงรู้วรยุทธ์?”เซียวอวี้กล่าวตอบทันที“เราเคยให้คนไปตรวจสอบมาก่อน“เคยแม้กระทั่งสงสัยว่าเจ้าไม่ใช่เวยเฉียง“คืนงานเลี้ยงไหว้พระจันทร์คืนนั้น เราจัดการทดสอบหยดเลือดความเป็นพ่อลูกของเจ้าและพ่อของเจ้า พิสูจน์แล้วว่าพวกเจ้าเป็นพ่
เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น“ทูลฝ่าบาท เรื่องที่ข้าแต่งงานแทนนั้นตระกูลเฟิ่งไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพคะ”เซียวอวี้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างเย็นชา ราวกับต้องการมองทะลุไปในจิตวิญญาณของนางดวงตาสองคู่ประสานกัน ภายในตำหนักเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขาที่ไม่เป็นจังหวะด้วยความโกรธจากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากคางของนาง เขาหันกายอย่างรวดเร็วและดุดัน หันหลังให้นางเขาประสานมือไว้ด้านหลัง กำหมัดแน่นทำให้ดูออกว่าเขาสกัดกั้นความโกรธเอาไว้“เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลเฟิ่งจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?“นี่เจ้าคิดว่าเราหลอกง่าย หรือมั่นใจว่าเราไม่มีทางเอาเรื่องเจ้ากัน!“ทว่าเจ้าไม่ควร...ไม่ควรอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังในคืนนี้ ยามนี้“เจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว!”ทำลายปิ่นหงส์ด้ามนั้น ทำลายความเชื่อใจที่เขายากจะมีเขาคิดว่าในวังหลังที่มีแต่คำหลอกลวงนี้ ฮองเฮาจะเป็นข้อยกเว้นนึกไม่ถึงว่านางก็ไม่ต่างจากผู้อื่นเลย!“ฝ่าบาท...”“หุบปาก! ยามนี้เราไม่อยากได้ยินเจ้าพูดอีก!” เซียวอวี้โมโหอย่างที่สุด เขาหันกลับมาตวาดด้วยความโกรธทว่าเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้น เขากลับไม่
สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เรื่องที่นางจับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป นางกล้าทำก็กล้ารับ ไม่กลัวว่าจะถูกเซียวอวี้เอาความย้อนหลัง ยามนี้นางจะต้องพูดสิ่งที่ควรพูดออกมาให้หมด“หลิงเยี่ยนเอ๋อร์พูดยอมรับเองกับปาก ที่นางลงมือกับเวยเฉียง เป็นเพราะนางได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง“บุคคลลึกลับนั่นใช้หลักฐานความผิดมาข่มขู่นาง”“จดหมายนั่น ข้าได้มาแล้ว”นางมอบจดหมายให้เซียวอวี้เซียวอวี้ลังเลอยู่ไม่กี่อึดใจก็เปิดอ่านในเวลาเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบจดหมายอีกฉบับออกมา“หลายเดือนก่อนหน้านี้ จิ้งเฟยเองก็ได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับเช่นกัน“จดหมายฉบับนี้เผยข้อมูลกับนางว่าพ่อของข้าซื้อตัวพระที่วัดหลงหัว ทำการสลับหนังสือแห่งโชคชะตา”เซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่นจิ้งเฟยเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ!น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง นางเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งเป็นระเบียบและมีความชัดเจน“จากนั้นข้าก็ร่วมมือกับจิ้งเฟย ในคืนส่งท้ายปีเก่าบุคคลลึกลับนั่นลอบเข้ามาในตำหนักฟางเฟยเพื่อส่งจดหมายลับอีกครั้ง ข้าจับนางได้คาหนังคาเขา“คนผู้นั้นก็คือเฉียวม่อ”เดิมทีนางได้เต
บนใบหน้าเยือกเย็นของเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมด้วยความราบเรียบ ดั่งดอกเหมยท่ามกลางเกล็ดน้ำค้าง ผลิบานในยามเหน็บหนาว“ข้าก็เป็นคนตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน”เพียงประโยคสั้น ๆ พลันก่อคลื่นลูกใหญ่หลายชั้นสีหน้าของเซียวอวี้นิ่งค้างเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวต่อ“ข้าถูกตระกูลเฟิ่งทอดทิ้ง คนที่รับเลี้ยงข้า คือแม่ทัพเมิ่งกับภรรยา”เซียวอวี้กระจ่างในทันทีไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี่เขารู้สึกว่า นางดูใส่ใจเมิ่งเฉียวม่อเป็นพิเศษ ที่แท้พวกนางก็อยู่ในกองทัพเดียวกันนี่เองและไม่แปลกใจเลยที่วรยุทธ์ของนางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มีอาจารย์เป็นถึงเมิ่งฉวี เช่นนั้นก็ไม่แปลกเซียวอวี้ไม่ได้พูดขัดนาง นางจึงพูดต่อ“เรื่องของเวยเฉียง ตอนแรกข้าไม่คิดสงสัยเฉียวม่อเลยสักนิด แต่ต่อมาหลักฐานทุกอย่างที่สืบเจอล้วนบ่งชี้ไปที่นาง“ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันกับท่าน ข้าเติบโตมาพร้อมกับนางตั้งแต่เด็ก ไม่มีความลับระหว่างกัน เหตุใดนางต้องทำร้ายน้องสาวแท้ ๆ ของข้า“ต่อมา ข้าก็ได้รู้จากปากของท่านอาจารย์ เหตุผลที่เขายินยอมให้คนปลอมตัวเป็นเมิ่งสิงโจว ก็เพื่อฮูหยินผู้เฒ่าในครอบครัว“หลายปีมานี้ สุขภาพร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่
ในตำหนักไม่ได้จุดตะเกรียง จึงมืดสนิทจนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดท่ามกลางความมืด พลันมีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังขึ้นมา“เรานอนกระสับกระส่าย แต่เจ้ากลับหลับสบายเชียวนะ“ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ลุกขึ้นมา”เพราะเป็นคนมีวรยุทธ์เหมือนกัน นางตื่นหรือไม่ตื่น เขาจึงรู้ดีแก่ใจเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเตรียมลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงขณะที่นางกำลังจะเลิกผ้าห่มออก ชายหนุ่มก็จับมือของนางเอาไว้“ไม่ต้องพิธีรีตองให้มาก”ขณะที่พูด เขาก็คว้ามือนางขึ้นมาจากนั้นก็นำบางอย่างยัดใส่มือของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสดู เหมือนจะเป็นปิ่นปักผมนางพลันนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักจื้อเฉิน เขาตั้งใจว่าจะให้ปิ่นหงส์แก่นางเดิมนางคิดจะปฏิเสธ ส่งคืนปิ่นนี้กลับไป กลับได้ยินเซียวอวี้กล่าวว่า“ต่อจากนี้ตำแหน่งฮองเฮายังคงเป็นของเจ้า อย่าได้คิดมากไปไกล“เราให้คนไปสืบเมิ่งเฉียวม่อแล้ว หากหลักฐานเหล่านั้นของเจ้าเป็นจริง เราจะลงโทษนางตามกฎหมาย“ทว่า เรื่องของเฟิ่งเวยเฉียงรวมถึงเรื่องที่เจ้าสวมรอยแต่งงานแทน จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่มิได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนฟังอย่างตั้งใจ จนมองข้ามปิ่นในมือไปชั่วขณะจร
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ฮ่องเต้ยังคงทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรเฉินจี๋เข้ามาทูลรายงาน“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบศพเหล่านั้นด้วยตนเอง และยังให้นักชันสูตรศพมาตรวจสอบอีกครั้งแล้ว ยืนยันว่าพวกเขาโดนเข็มพิษก่อนตายพ่ะย่ะค่ะ เข็มพิษนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถทำให้คนตกอยู่ในสภาวะหมดสติได้อย่างรวดเร็ว”มือของเซียวอวี้พลันชะงัก จากนั้นก็วางพู่กันไว้บนหมอน แววตามืดทะมึน“ไม่แปลกใจเลยที่ล่มสลายตายทั้งกองทัพ”น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บณ ตำหนักหย่งเหอเมื่อเข้าสู่ยามราตรี ฮ่องเต้ก็เสด็จมาอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนต้อนรับอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ถามทันที “หลิงเยี่ยนเอ๋อร์อยู่แห่งใด”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา“ฝ่าบาท ท่านอยากเจอนางหรือเพคะ?”เซียวอวี้ประทับนั่งลงบนตำแหน่งหลักเองเสร็จสรรพ ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “ประการแรก เราตัดสินเนรเทศนาง แต่เจ้ากลับชิงตัวนางไป นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเรา“ประการที่สอง นางเป็นพยานบุคคลที่สำคัญ เราก็ต้องอยากได้หลักฐานเป็นธรรมดา”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“หม่อมฉันจะจัดการให้ท่านกับนางได้เจอกันเพคะ”เซียวอวี้มองสำร
เจ็ดวันต่อมาณ เมืองไท่ชางกลุ่มของเฟิ่งจิ่วเหยียนเข้าพักในโรงพักแรมทันทีที่เข้ามาในโรงพักแรม นางก็เห็นคนคุ้นตาคนผู้นั้นอยู่ในชุดไหมสีแดง กำลังพูดคุยกับคนที่นั่งร่วมโต๊ะอย่างสนุกสนาน ขณะที่อีกฝ่ายบังเอิญเงยหน้าขึ้นมา ก็จำหน้ากากเงินของนางได้ เจียงหลินสวมใส่ชุดแดง ดูสะดุดตาท่ามกลางผู้คนอย่างมากเฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวถอยหลังโดยพลันทำไมถึงมาเจอเจ้านี้อีกแล้ว นี่มันบุพเพอาละวาดชัด ๆ ให้ตายสิ…ชั่วขณะนั้น เหมือนเจียงหลินจะเห็นคนไร้หัวใจที่ทอดทิ้งตัวเอง พลันลุกขึ้นมา ตะโกนท่ามกลางผู้คนว่า “ซูฮ่วน! ข้าเห็นเจ้าแล้ว! เจ้าไม่ต้องหลบ!”เฟิ่งจิ่วเหยียน: นางไม่ได้หลบเสียหน่อยเจียงหลินเดินพรดพราดเข้ามา จับแขนของนางเอาไว้ “เจ้ากับซ่งหลีนี่แน่จริง ๆ ไปไหนก็ไม่คิดจะบอกกล่าว รู้ไหมว่าข้าตามหาพวกเจ้านานแค่ไหน!”น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความน้อยใจ ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่ได้มุ่งมั่นตามหาพวกเขาเหมือนกันเขามีฐานะเป็นผู้สืบทอดของตระกูลเจียง จึงมีเรื่องให้จัดการมากมายในชีวิตประจำวัน ที่กล่าวถ้อยคำนี้ออกมา ก็แค่อยากให้ซูฮ่วนรู้สึกผิด และช่วยเบิกทางค้าขายให้เขาขณะที่กำลังพูด เขาพลันรู้สึกได้ถึงไ
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันหน้ามา ใบหน้านิ่งเฉยมองไปทางเซียวอวี้จู่ ๆ เขาก็บอกว่าตนเองจะกลับวังหลวง ไม่อธิบายล่วงหน้า กลับมาพูดเอาวันที่จะต้องจากไป ไม่ใช่เพราะตั้งใจ อยากเห็นนางลนลานหรอกหรือ“ไม่มีอะไรจะพูด” แววตาของนางสงบดั่งน้ำนิ่งสีหน้าของเซียวอวี้ตอนนี้ไม่น่าดูนักนางไร้น้ำใจเพียงนี้เชียวหรือ?เขาเริ่มสงสัยจริง ๆ แล้วว่านางเพียงต้องการร่างกายของเขาเท่านั้น!ระหว่างที่เซียวอวี้กำลังโศกเศร้านี้เอง เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ถามกลับว่า“ไม่ใช่ว่าพวกเราไปทางเดียวกันหรือ?”เขากลับเมืองหลวง นางไปเมืองโบ๋วโจว ล้วนต้องลงใต้ทั้งคู่แบบนี้แล้วหากจะบอกลากันตอนนี้ ออกจะเร็วไปเสียหน่อยเซียวอวี้จึงได้สติกลับมา “เจ้าจะออกเดินทางไปกับเราหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนพยักหน้าตอบ“แน่นอน การเดินทางไปเมืองโบ๋วโจวเป็นเรื่องด่วน”......เมื่อรู้ว่าจิ่วเหยียนจะไปแล้ว แม้ฮูหยินเมิ่งจะไม่อาจทำใจได้ ทว่าก็ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจอะไรแต่ไหนแต่ไรมาเด็กคนนี้ก็ไปมาดุจลม อยู่ได้เพียงไม่นานคำพูดพร่ำบ่น นางก็ไม่คิดจะพูดแล้ว จึงส่งเค้กเกาลัดถุงหนึ่งให้เฟิ่งจิ่วเหยียนนำไปกินระหว่างทางเพื่อให้ง่ายต่อการเดินทาง เฟิ่งจิ่วเหย
สิ่งที่อยู่ในกล่องไม้หาใช่ถุงยางที่เฟิ่งจิ่วเหยียนคุ้นเคยไม่ แต่เป็นยาขวดหนึ่งยานี้...เป็นสิ่งที่อาจารย์หญิงทำเองเช่นกันนางชัดเจนในเรื่องนี้ดีนี่คือยาคุมกำเนิดสำหรับบุรุษ ที่หายากอย่างยิ่งเท่าที่นางรู้ อาจารย์หญิงทำขึ้นมาเพียงหนึ่งขวดเท่านั้นเมื่อบุรุษกินยานี้เข้าไปหนึ่งเม็ด ภายในหนึ่งวันไม่ว่าจะทำอย่างไร สตรีจะไม่มีทางตั้งครรภ์เด็ดขาด...ปฏิกิริยาตอบโต้แรกของเฟิ่งจิ่วเหยียนคือ...รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง!ทว่าในชั่วพริบตาที่นางกำลังจะเคลื่อนตัวหนี เซียวอวี้ก็คาดการณ์ได้ถึงความเคลื่อนไหวของนาง แขนเสื้อยาวโบกสะบัด พลังภายในกลายเป็นแรงผลักโครม!โครม!ประตูและหน้าต่างถูกปิดลงทั้งหมดแล้ว!ขณะเดียวกัน แขนของเขาก็ยื่นออกไปโอบเอวของนางเอาไว้“คิดจะหนีรึ?”สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนดูหงุดหงิดอยู่มากจากนั้นเซียวอวี้ก็ยกนางขึ้นไปพาดบนบ่า แล้วเดินอย่างมั่นคงไปยังเตียงตั่ง“ปล่อยข้านะ!”เซียวอวี้ตอบ “เจ้าพูดเอง การทหารไม่หน่ายกลอุบาย”เดิมทีเขาอยากให้เมิ่งฉวีออกหน้า ให้ฮูหยินเมิ่งทำถุงยางออกมาเพิ่มอีกหน่อยทว่าเมิ่งฉวีทำไม่สำเร็จฮูหยินเมิ่งกล่าวว่าคนหนุ่มสาวต้องรู้จักควบคุ
เฟิ่งเหยียนเฉินตกตะลึงอยู่นาน เขาไม่อาจทำใจเชื่อสิ่งที่ได้ยินเลยแม่เฟิ่งพูดด้วยน้ำเสียงที่มั่นคง“เป็นจิ่วเหยียน หากเจ้าไม่เชื่อก็ลองไปถามท่านพ่อของเจ้า“เมิ่งสิงโจวตัวจริงตายจากไปนานแล้ว หลายปีที่ผ่านมาเป็นจิ่วเหยียนที่เสี่ยงชีวิตปลอมตัวเป็นเขา ทว่าผู้ที่สร้างความชอบทางการทหารตลอดมาล้วนเป็นจิ่วเหยียน น้องสาวของเจ้า”เมื่อเห็นท่านแม่สงบนิ่งเพียงนี้ มั่นใจถึงเพียงนี้ ลมหายใจของเฟิ่งเหยียนเฉินก็ช้าลง“ท่านแม่ จิ่วเหยียนมีความสามารถเพียงนี้จริงหรือ?”ปกป้องรักษาชายแดนเหนือเป็นเวลาเพียงสามปี นางก็กลายเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่งที่ทำให้ศัตรูหวาดกลัวจนตัวสั่นผลงานการรบอันเลื่องลือที่นางสร้าง แม้แต่บุรุษยังยากที่จะทัดเทียมได้เขายังคิดว่าจากนี้จะต้องปกป้องน้องสาวทั้งสองคนให้ดีทว่าตอนนี้ดูไปแล้ว...เป็นน้องสาวที่ปกป้องเขา ปกป้องราษฎรของหนานฉีต่างหาก!ไม่นึกเลยว่าเขาจะมีน้องสาวที่เก่งกาจดุจเทพเช่นนี้!ชั่วขณะหนึ่งเขาก็รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจมิน่าเล่าคราแรกที่เห็นฮองเฮาในวัง ถึงได้รู้สึกว่านางแผ่บรรยากาศที่แข็งแกร่งออกมา ไม่เหมือนเวยเฉียงที่เขาคุ้นเคยยามนั้นเขายังนึกว่าเป็นลักษณะอันน่าเกรง
“ท่านแม่! ท่านว่าอะไรนะ ข้ายังมีน้องสาวอีกคนรึ?!”เฟิ่งเหยียนเฉินไม่อยากจะเชื่อน้องสาวอีกคนนึงของเขา เพิ่งเกิดได้ไม่นานก็ถูกส่งตัวออกไปแล้วที่ฮูหยินเฟิ่งบอกเขาก็เพราะหวังว่าบุตรชายจะได้รู้ว่าเขายังมีน้องสาวที่ต้องปกป้องอีกคนหนึ่งเฟิ่งเหยียนเฉินอึ้งไปครู่หนึ่ง“ท่านแม่ เดี๋ยวนะ เหตุใดคนที่แต่งกับฮ่องเต้แต่แรกถึงเป็นจิ่วเหยียน ไม่ใช่เวยเฉียงเล่า?“เช่นนั้นเวยเฉียงล่ะ? เวยเฉียงไปไหนแล้ว?”แววตาของฮูหยินเฟิ่งแฝงไปด้วยความโกรธแค้น“เป็นท่านพ่อของเจ้า สามีชั่วนั่น! เขาคิดว่าหลังจากเวยเฉียงถูกลักพาตัวไปก็ไม่บริสุทธิ์ ไม่อาจเข้าวังไปเป็นฮองเฮาได้ จึงส่งเวยเฉียงออกไปเสีย ทั้งยังโกหกว่านางตายแล้ว! เขาหลอกพวกเราทุกคน!”“หากไม่ใช่เพราะจิ่วเหยียน ยามนี้เวยเฉียงจะเป็นหรือตายอยู่ข้างนอกก็ไม่รู้!”เฟิ่งเหยียนเฉินที่น่าสงสารถูกปกปิดจนไม่รู้อะไรเลย แม้แต่เรื่องที่เวยเฉียงถูกลักพาตัวไป สูญเสียความบริสุทธิ์ เขาก็เพิ่งได้รู้ความจริงเอาตอนนี้เขารู้สึกว่าในหัวมีแต่เสียงดังหึ่งหึ่งสวรรค์!ในช่วงที่เขาตกอยู่ในความกลัดกลุ้มนั่น ที่แท้ตระกูลเฟิ่งกลับเกิดเรื่องมากมายเพียงนี้เขาที่เป็นพี่ชาย ช่
ณ ค่ายเป่ยต้าสีหน้าของเมิ่งฉวีเขียวคล้ำ เขามองไปที่ฮ่องเต้เบื้องหน้าด้วยความไม่อยากจะเชื่อ“ฝ่าบาท ท่าน...” ตรัสว่าอะไรนะ ถุงยาง?ยังอยากให้ฮูหยินทำถุงยางให้มากหน่อย?จากที่เขารู้ไม่ใช่ว่าเพิ่งจะทำให้ไปสิบอันหรอกหรือ?ใช้หมดเร็วขนาดนี้เลยหรือ?!เมิ่งฉวีอดไม่ได้ที่จะคิดว่า...หนุ่มแน่นช่างกำลังวังชาดีเสียจริงเซียวอวี้ไม่สะดวกที่จะพูดเรื่องนี้กับฮูหยินเมิ่ง จึงคิดจะพูดกับเมิ่งฉวีแทนถึงอย่างไรก็เป็นบุรุษด้วยกันเมิ่งฉวีรู้สึกลิ้นจุกปาก “ฝ่าบาท เรื่องนี้ยากนัก กับฮูหยิน กระหม่อมเองก็พูดไม่ออกพ่ะย่ะค่ะ”เซียวอวี้นั่งดื่มชาอยู่ในกระโจม ท่าทางดูผ่อนคลายสงบนิ่งเขากล่าวอย่างไม่ช้าไม่เร็วว่า“จิ่วเหยียนกับฮูหยินเมิ่งผูกพันดุจมารดาและบุตร นางต้องแต่งงานไปไกลถึงเมืองหลวง เราตัดสินใจว่าจะให้ฮูหยินเมิ่งติดตามไปด้วย”เมิ่งฉวี: !!!ฝ่าบาทจะมาพรากพวกเขาสามีภรรยาออกจากกันได้อย่างไร!นี่กำลังขู่เขาอย่างนั้นหรือ?……ณ จวนแม่ทัพเวยเฉียงกับสาวใช้นามไฉ่เยว่ย้ายมาอยู่ที่นี่ รู้สึกไม่คุ้นเคยอยู่บ้างยังดีที่นางคุ้นเคยกับท่านพี่และฮูหยินเมิ่ง จึงไม่ถึงกับประหม่าฮูหยินเมิ่งสงสารที่เวยเฉี
วินาทีที่ถอดหน้ากากของนางออก เซียวอวี้เห็นนางยิ้มดั่งดอกไม้เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นนางยิ้มอย่างปล่อยตัว มีความสุขอาจเป็นเพราะดื่มจนเมา ทิ้งเกราะป้องกันตัว นางล้มสู่อ้อมกอดของเขา เกาะไหล่ของเขา แล้วลุกขึ้นมา“ข้าไม่ได้เมา...”เซียวอวี้ขมวดคิ้วเดินยังไม่มั่นคง ยังบอกว่าไม่เมา?“ตงฟางซื่อส่งเจ้ากลับมา” เขาไม่ได้ถาม ทว่าเป็นการพูดขึ้นมาอย่างมั่นใจหยิ่นลิ่วคอยปกป้องนางอยู่ตลอดตอนที่ตงฟางซื่อไปหาถึงเซียวเหยาจวี เซียวอวี้ก็รู้แล้วภายหลังนางตามตงฟางซื่อไปยังหอสุรา ดื่มสุราทานข้าวกับคนเหล่านั้น เขาก็รู้เขาอดกลั้นไม่ไปรบกวนนาง เพราะเขารู้ดี นั่นคือเพื่อนสนิทของนาง เป็นวิถีชีวิตของนางถึงแม้ว่านางกำลังจะแต่งงานกับเขา นั่นก็คือสิ่งที่นางไม่อาจทอดทิ้งทว่า นางเป็นสตรีผู้หนึ่ง ดื่มอยู่ข้างนอกจนดึกขนาดนี้ เหลวไหลเกินไปแล้วเซียวอวี้วางหน้ากาก จับปลายคางของนางไว้“ดื่มไปมากเท่าไหร่? ถึงได้เมาเป็นสภาพเช่นนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนคลี่มือของเขาออก แววตาเต็มไปด้วยความมัวหมอง ไม่เย็นชาเหินห่างเหมือนทุกวันที่ผ่านมา“ก็บอกแล้ว ข้าไม่ได้เมา”นางลุกขึ้น อยากหาน้ำดื่มทว่าเวลาถัดมา ตรงแขนมีแรง
ไม่ได้เจอกันหลายเดือน ตงฟางซื่อยิ่งอยู่ยิ่งดำเฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นมาต้อนรับ“เจ้ามาได้อย่างไร?”ตงฟางซื่อหรี่ตายิ้มแย้ม “ข้าได้เจอกับอู๋ไป๋ จึงถามเขาว่าเจ้าอยู่ที่ใด ไม่ใช่ว่าไม่ต้อนรับข้ากระมัง?”สหายเก่ามาพานพบ มิใช่เรื่องน่ายินดีหรือเฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงใจ “เป็นไปได้อย่างไร เชิญนั่ง”สายตาของตงฟางซื่อหันไปมองเฟิ่งเวยเฉียง เห็นนางหน้าตาเหมือนกับซูฮ่วน ก็เดารู้ว่าพวกนางเป็นพี่น้องกันเฟิ่งจิ่วเหยียนแนะนำให้เขารู้จัก“คนนี้คือน้องสาวข้า เวยเฉียง”“เวยเฉียง คนนี้คือคุณชายตงฟาง”ทั้งสองคนต่างผงกศีรษะเป็นการทักทายตงฟางซื่อพูดเข้าเรื่องทันที“เรื่องของหยางเหลียนซั่ว ข้าได้บอกพวกเหล่าฝานแล้ว ทุกคนกำลังตามสืบร่องรอยของเขา ข้ามาหาเจ้าในวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่งจะปรึกษา”เฟิ่งจิ่วเหยียนให้เวยเฉียงกับต้วนเจิ้งกลับห้องไปก่อนเวยเฉียงพูดขึ้นมาด้วยเสียงเบา “ท่านพี่ คุณชายตงฟาง พวกเจ้าคุยกันตามสบาย”ต้วนเจิ้งกลับไม่ยอม“ข้าไม่ไป หยางเหลียนซั่วทำให้พี่ชายข้าตาย เป็นศัตรูของข้า ข้าจะไปตามหาเขาพร้อมกับพวกเจ้า แล้วก็ฆ่าเขา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจ เพียงเร่งเร้าตงฟางซื่
เรื่องราวมาถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วเหยียนก็ไม่ปิดบังแล้วนางพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าเย็นชา“ท่านดูไม่ออกหรือ ข้าไม่ได้อยากพูดถึงเรื่องนั้น?”ตลก ผู้ลี้ภัย ลิงผอมตัวดำ! ตอนกลางวันเขาพูดว่านางเช่นนี้ !นางอยากยอมรับสิแปลก!เวลานี้ เซียวอวี้ก็คิดขึ้นมาได้ นางกำลังไม่พอใจอะไรที่แท้ก็อยากรักษาภาพลักษณ์ที่สมบูรณ์แบบ ไม่อยากยอมรับว่านางคือลิงน้อยคนนั้นเขาเสียใจอย่างมาก รีบพูดขอโทษขึ้นมา“เราผิดไปแล้ว ตอนนั้น...เรากลัวว่าเจ้าจะเข้าใจผิด จึงตั้งใจพูดแบบนั้น ความจริงแล้ว เราจดจำเจ้ามาตลอด วีรชนน้อย”เฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะเล็กน้อย มองดูเขาอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งเซียวอวี้จูบบนหน้าผากของนาง จากนั้นก็หยิบผ้าแห้งผืนนั้นมา เช็ดผมที่เปียกให้กับนางด้วยตนเอง กระทำอยู่อย่างอ่อนโยน ราวกับในมือถือสิ่งของล้ำค่าเอาไว้“ปีนั้นเมืองซีซิ่นเกิดทุพภิกขภัย เราเพิ่งเข้าเมืองมาก็ถูกปล้นแล้ว ไม่สามารถที่จะลงมือทำร้ายประชาชน โชคดีที่เจ้ามาปรากฏ เวลานี้เราพูดความจริง เจ้าในตอนนั้นถึงแม้ยังเด็ก ทว่าท่าทีขี่ม้า ดูสง่างามยิ่งกว่าบุรุษจริงๆ”“ไม่ใช่ตลกหรอกหรือ?” นางยังคงไม่ยิ้มแย้ม คำพูดแฝงไปด้วยความเหน็บแ