เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวอย่างหนักแน่น“ทูลฝ่าบาท เรื่องที่ข้าแต่งงานแทนนั้นตระกูลเฟิ่งไม่รู้เรื่องจริง ๆ เพคะ”เซียวอวี้ไม่พูดอะไร เพียงจ้องมองนางอย่างเย็นชา ราวกับต้องการมองทะลุไปในจิตวิญญาณของนางดวงตาสองคู่ประสานกัน ภายในตำหนักเงียบสงัดจนได้ยินแม้กระทั่งเสียงลมหายใจของเขาที่ไม่เป็นจังหวะด้วยความโกรธจากนั้นเขาก็ปล่อยมือออกจากคางของนาง เขาหันกายอย่างรวดเร็วและดุดัน หันหลังให้นางเขาประสานมือไว้ด้านหลัง กำหมัดแน่นทำให้ดูออกว่าเขาสกัดกั้นความโกรธเอาไว้“เรื่องใหญ่เช่นนี้ตระกูลเฟิ่งจะไม่รู้เรื่องได้อย่างไร?“นี่เจ้าคิดว่าเราหลอกง่าย หรือมั่นใจว่าเราไม่มีทางเอาเรื่องเจ้ากัน!“ทว่าเจ้าไม่ควร...ไม่ควรอธิบายเรื่องนี้ให้เราฟังในคืนนี้ ยามนี้“เจ้าทำทุกอย่างพังหมดแล้ว!”ทำลายปิ่นหงส์ด้ามนั้น ทำลายความเชื่อใจที่เขายากจะมีเขาคิดว่าในวังหลังที่มีแต่คำหลอกลวงนี้ ฮองเฮาจะเป็นข้อยกเว้นนึกไม่ถึงว่านางก็ไม่ต่างจากผู้อื่นเลย!“ฝ่าบาท...”“หุบปาก! ยามนี้เราไม่อยากได้ยินเจ้าพูดอีก!” เซียวอวี้โมโหอย่างที่สุด เขาหันกลับมาตวาดด้วยความโกรธทว่าเมื่อสบตาเข้ากับดวงตาที่สงบนิ่งคู่นั้น เขากลับไม่
สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง แววตาเด็ดเดี่ยวแน่วแน่เรื่องที่นางจับหลิงเยี่ยนเอ๋อร์ไป นางกล้าทำก็กล้ารับ ไม่กลัวว่าจะถูกเซียวอวี้เอาความย้อนหลัง ยามนี้นางจะต้องพูดสิ่งที่ควรพูดออกมาให้หมด“หลิงเยี่ยนเอ๋อร์พูดยอมรับเองกับปาก ที่นางลงมือกับเวยเฉียง เป็นเพราะนางได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับผู้หนึ่ง“บุคคลลึกลับนั่นใช้หลักฐานความผิดมาข่มขู่นาง”“จดหมายนั่น ข้าได้มาแล้ว”นางมอบจดหมายให้เซียวอวี้เซียวอวี้ลังเลอยู่ไม่กี่อึดใจก็เปิดอ่านในเวลาเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนก็หยิบจดหมายอีกฉบับออกมา“หลายเดือนก่อนหน้านี้ จิ้งเฟยเองก็ได้รับจดหมายจากบุคคลลึกลับเช่นกัน“จดหมายฉบับนี้เผยข้อมูลกับนางว่าพ่อของข้าซื้อตัวพระที่วัดหลงหัว ทำการสลับหนังสือแห่งโชคชะตา”เซียวอวี้ขมวดคิ้วแน่นจิ้งเฟยเองก็มีส่วนเกี่ยวข้องด้วยอย่างนั้นหรือ!น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่ง นางเตรียมการทุกอย่างไว้แล้ว ทั้งเป็นระเบียบและมีความชัดเจน“จากนั้นข้าก็ร่วมมือกับจิ้งเฟย ในคืนส่งท้ายปีเก่าบุคคลลึกลับนั่นลอบเข้ามาในตำหนักฟางเฟยเพื่อส่งจดหมายลับอีกครั้ง ข้าจับนางได้คาหนังคาเขา“คนผู้นั้นก็คือเฉียวม่อ”เดิมทีนางได้เต
บนใบหน้าเยือกเย็นของเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมด้วยความราบเรียบ ดั่งดอกเหมยท่ามกลางเกล็ดน้ำค้าง ผลิบานในยามเหน็บหนาว“ข้าก็เป็นคนตระกูลเมิ่งเช่นเดียวกัน”เพียงประโยคสั้น ๆ พลันก่อคลื่นลูกใหญ่หลายชั้นสีหน้าของเซียวอวี้นิ่งค้างเฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวต่อ“ข้าถูกตระกูลเฟิ่งทอดทิ้ง คนที่รับเลี้ยงข้า คือแม่ทัพเมิ่งกับภรรยา”เซียวอวี้กระจ่างในทันทีไม่แปลกใจเลยที่ก่อนหน้านี่เขารู้สึกว่า นางดูใส่ใจเมิ่งเฉียวม่อเป็นพิเศษ ที่แท้พวกนางก็อยู่ในกองทัพเดียวกันนี่เองและไม่แปลกใจเลยที่วรยุทธ์ของนางจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้มีอาจารย์เป็นถึงเมิ่งฉวี เช่นนั้นก็ไม่แปลกเซียวอวี้ไม่ได้พูดขัดนาง นางจึงพูดต่อ“เรื่องของเวยเฉียง ตอนแรกข้าไม่คิดสงสัยเฉียวม่อเลยสักนิด แต่ต่อมาหลักฐานทุกอย่างที่สืบเจอล้วนบ่งชี้ไปที่นาง“ข้าเองก็ไม่เข้าใจเช่นเดียวกันกับท่าน ข้าเติบโตมาพร้อมกับนางตั้งแต่เด็ก ไม่มีความลับระหว่างกัน เหตุใดนางต้องทำร้ายน้องสาวแท้ ๆ ของข้า“ต่อมา ข้าก็ได้รู้จากปากของท่านอาจารย์ เหตุผลที่เขายินยอมให้คนปลอมตัวเป็นเมิ่งสิงโจว ก็เพื่อฮูหยินผู้เฒ่าในครอบครัว“หลายปีมานี้ สุขภาพร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่
ในตำหนักไม่ได้จุดตะเกรียง จึงมืดสนิทจนมองหน้าอีกฝ่ายไม่ชัดท่ามกลางความมืด พลันมีเสียงแหบพร่าของบุรุษดังขึ้นมา“เรานอนกระสับกระส่าย แต่เจ้ากลับหลับสบายเชียวนะ“ในเมื่อตื่นแล้ว ก็ลุกขึ้นมา”เพราะเป็นคนมีวรยุทธ์เหมือนกัน นางตื่นหรือไม่ตื่น เขาจึงรู้ดีแก่ใจเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงเตรียมลุกขึ้นแล้วลงจากเตียงขณะที่นางกำลังจะเลิกผ้าห่มออก ชายหนุ่มก็จับมือของนางเอาไว้“ไม่ต้องพิธีรีตองให้มาก”ขณะที่พูด เขาก็คว้ามือนางขึ้นมาจากนั้นก็นำบางอย่างยัดใส่มือของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนสัมผัสดู เหมือนจะเป็นปิ่นปักผมนางพลันนึกขึ้นมาได้ ก่อนหน้านี้ตอนอยู่ที่ตำหนักจื้อเฉิน เขาตั้งใจว่าจะให้ปิ่นหงส์แก่นางเดิมนางคิดจะปฏิเสธ ส่งคืนปิ่นนี้กลับไป กลับได้ยินเซียวอวี้กล่าวว่า“ต่อจากนี้ตำแหน่งฮองเฮายังคงเป็นของเจ้า อย่าได้คิดมากไปไกล“เราให้คนไปสืบเมิ่งเฉียวม่อแล้ว หากหลักฐานเหล่านั้นของเจ้าเป็นจริง เราจะลงโทษนางตามกฎหมาย“ทว่า เรื่องของเฟิ่งเวยเฉียงรวมถึงเรื่องที่เจ้าสวมรอยแต่งงานแทน จะทำให้เป็นเรื่องใหญ่มิได้”เฟิ่งจิ่วเหยียนฟังอย่างตั้งใจ จนมองข้ามปิ่นในมือไปชั่วขณะจร
ดวงอาทิตย์ใกล้จะลาลับขอบฟ้า ฮ่องเต้ยังคงทรงงานอยู่ในห้องทรงพระอักษรเฉินจี๋เข้ามาทูลรายงาน“ฝ่าบาท กระหม่อมได้ตรวจสอบศพเหล่านั้นด้วยตนเอง และยังให้นักชันสูตรศพมาตรวจสอบอีกครั้งแล้ว ยืนยันว่าพวกเขาโดนเข็มพิษก่อนตายพ่ะย่ะค่ะ เข็มพิษนั้นไม่อันตรายถึงชีวิต แต่สามารถทำให้คนตกอยู่ในสภาวะหมดสติได้อย่างรวดเร็ว”มือของเซียวอวี้พลันชะงัก จากนั้นก็วางพู่กันไว้บนหมอน แววตามืดทะมึน“ไม่แปลกใจเลยที่ล่มสลายตายทั้งกองทัพ”น้ำเสียงของเขาราบเรียบ แต่กลับทำให้รู้สึกหนาวเหน็บณ ตำหนักหย่งเหอเมื่อเข้าสู่ยามราตรี ฮ่องเต้ก็เสด็จมาอีกเฟิ่งจิ่วเหยียนต้อนรับอย่างนอบน้อมเซียวอวี้ถามทันที “หลิงเยี่ยนเอ๋อร์อยู่แห่งใด”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา“ฝ่าบาท ท่านอยากเจอนางหรือเพคะ?”เซียวอวี้ประทับนั่งลงบนตำแหน่งหลักเองเสร็จสรรพ ด้วยท่วงท่าสบาย ๆ “ประการแรก เราตัดสินเนรเทศนาง แต่เจ้ากลับชิงตัวนางไป นับว่าเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของเรา“ประการที่สอง นางเป็นพยานบุคคลที่สำคัญ เราก็ต้องอยากได้หลักฐานเป็นธรรมดา”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดอย่างตรงไปตรงมา“หม่อมฉันจะจัดการให้ท่านกับนางได้เจอกันเพคะ”เซียวอวี้มองสำร
ตั้งแต่ที่หลิงเยี่ยนเอ๋อร์หายตัวไป เฉินจี๋ก็ได้รับคำสั่งให้ตามหานาง ทว่ากลับไม่เจอแม้แต่ร่องรอยไม่คิดเลยว่า นางจะอยู่ในเมืองหลวงตลอด ทั้งยังถูกขังอยู่ในห้องลับมืด ๆ ไม่เห็นเดือนเห็นตะวันหวงกุ้ยเฟยผู้เคยมีสง่าราศรี ได้รับความโปรดปรานอย่างล้นหลาม บัดนี้กลับผอมแห้งติดกระดูก ผมเพ่ายุ่งเหยิงไม่ต่างอะไรกับขอทานคนหนึ่ง“เฉินจี๋! ฝ่าบาทส่งเจ้ามาช่วยข้าใช่ไหม!“ฝ่าบาทยังไม่ลืมข้าใช่หรือไม่“เจ้ารีบหน่อย รีบมาปล่อยข้า…”หลิงเยี่ยนเอ๋อร์มองมาที่เขาด้วยดวงตาเป็นประกายในที่สุดวันนี้ก็มาถึง!ในที่สุดก็จะได้ออกไปจากขุมนรกแห่งนี้!ตอนนี้เฉินจี๋ถึงเพิ่งสังเกตเห็น ข้อเท้าของนางถูกล่ามโซ่เอาไว้อีกฝั่งของโซ่เชื่อมต่อกับกำแพงฮองเฮาช่างโหดเหี้ยมเอาเรื่องดวงตาทั้งสองข้างของหลิงเยี่ยนเอ๋อร์เต็มไปด้วยความหวัง“ข้าไม่ต้องการความโปรดปรานอะไรอีกแล้ว ขอแค่มีชีวิตรอดออกไป ขอแค่ได้อาศัยอยู่ในวัง ได้อยู่ข้างกายฝ่าบาท ข้าก็พอใจแล้ว…เฉินจี๋ เจ้ามัวยืนทำอะไรอยู่ รีบหน่อยสิ!”นางเห็นเฉินจี๋ยังนิ่ง ก็ร้อนรุ่มในใจสีหน้าของเฉินจี๋ไร้ความรู้สึกใด ๆ“ข้าได้รับคำสั่งจากฝ่าบาท ให้มาสืบคดีที่คุณหนูตระกูลเ
“ท่านคิดว่า หลิงเยี่ยนเอ่อร์ไม่มีความผิดงั้นหรือ?” น้ำเสียงของเฟิ่งจิ่วเหยียนราบเรียบผิดปกติเซียวอวี้สังเกตเห็นอารมณ์ในน้ำเสียงของนาง จึงวางตะเกียบลง จดจ้องมาที่นางด้วยสายตาดุดัน“แล้วการลงโทษทารุณเพราะเรื่องส่วนตัวมันถูกต้องแล้วหรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนเงยหน้ามองเขา แววตาไร้ความหวั่นเกรง“ขออภัยที่ข้าต้องกล่าวตามตรง หากข้าไม่ลงโทษทารุณนาง หลิงเยี่ยนเอ่อร์ก็คงถูกคนของท่านส่งตัวไปอยู่เมืองอื่น ท่านตัดสินเนรเทศนางก็จริง แต่ลับหลังก็เหลือทางหนีที่ไล่ให้อยู่ดี“เพื่อแก้แค้น ข้าจึงต้องชิงตัวนางมา”ถ้อยคำของนางแฝงไปด้วยคำกล่าวฟ้อง ว่าเขาลงโทษไม่เป็นธรรมใบหน้าหล่อเหลาของเซียวอวี้ก่อเกิดแววโทสะเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่จำเป็นต้องทำให้เขาโมโห จึงเปลี่ยนเรื่องพูด“แต่ท่านวางใจได้ รอท่านได้ลงโทษเฉียวม่อแล้ว ข้าก็จะปล่อยนางไป“ไม่เพียงแค่ปล่อยนาง ยังสามารถรับนางกลับเข้ามาในวังได้”แววตาของเซียวอวี้มืดลงรับตัวกลับมาในวังหมายความว่าอย่างไรกัน!คิดอีกแง่หนึ่ง คงไม่ใช่ว่านางหึงหวง เลยพูดประชดหรอกหรือ?ความเย็นชาระหว่างคิ้วของเขาพลันเลือนหายไป ดูอ่อนโยนอย่างที่ตัวเขาเองก็ไม่สังเกตเห็น“จะประชด
เวลานี้เมื่อเซียวอวี้เห็นเมิ่งเฉียวม่อ เขาพลันนึกถึงทหารของกองทัพมังกรพยัคฆ์ที่ล่วงลับไปเหล่านั้น“มีเรื่องใด” สายตาของเขาข้ามผ่านเฉียวม่อ และมองไปยังองค์หญิงใหญ่องค์หญิงใหญ่กลับมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยแววตาประสงค์ร้าย“เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับฮองเฮา”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สะทกสะท้าน ดูนิ่งเฉยเหมือนเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับนางองค์หญิงใหญ่เอ่ยออกมาทันที“ฝ่าบาท ฮองเฮาที่อยู่ข้างกายของท่านผู้นี้ นางไม่ใช่เฟิ่งเวยเฉียงตัวจริง!”สีหน้าของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนเป็นเย็นชาเขาสั่งให้ข้าหลวงในตำหนักออกไปก่อน และย้อนถามองค์หญิงใหญ่“ท่านฟังเรื่องเหลวไหลจากผู้ใดมา?”องค์หญิงใหญ่จ้องมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยแววตาเยือกเย็น“ฝ่าบาท ข้าไม่ใช่คนที่เชื่อคำให้ร้ายของผู้อื่น “เรื่องนี้ข้าเป็นคนสืบรู้เอง” “ตอนแรกฮูหยินตระกูลเฟิ่งให้กำเนิดบุตรสาวฝาแฝด สตรีผู้นี้ถูกตระกูลเฟิ่งทอดทิ้ง นางจึงไม่ใช่คนของตระกูลเฟิ่งอีกต่อไปแล้ว“นางจึงไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นฮองเฮา!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งลงด้านข้างของเซียวอวี้ สีหน้าของนางดูปกตินางเดาว่าองค์หญิงใหญ่ไม่มีทางสงสัยภูมิหลังของนางโดยไม่มีสาเหตุ คิดว่าเฉียวม่อต
หลิวอิ๋งมาถึงจวนตระกูลเฟิ่ง วางมาดเป็นเหมือนนายหญิงกลับจวน นำรังนกยื่นให้สาวใช้“นำรังนกไปตุ๋น เดี๋ยวข้าจะดื่ม”สาวใช้ยื่นมือทั้งคู่รับมา ไม่กล้าที่จะละเลยพ่อบ้านเหลือบมองรังนก แล้วก็แอบส่ายหัวฮูหยินในอนาคตคนนี้หาเงินเก่งก็จริง ทว่าใช้จ่ายเงินก็ไม่ธรรมดาหากให้นางดูแลจัดการจวนตระกูลเฟิ่ง จะมีชีวิตที่ดีได้หรือ?หลิวอิ๋งอายุสี่สิบกว่า ปกติใช้เงินจำนวนมากในการบำรุงดูแล ใช้ผงแป้งไข่มุกทุกวัน แลดูอ่อนเยาว์กว่าอายุจริงอย่างน้อยเจ็ดแปดปีวันนี้นางแต่งตัวสวมชุดกระโปรงเบาสบายทันสมัย กล่าวกันว่าเป็นแบบที่ฝ่าบาทออกแบบให้กับฮองเฮาด้วยพระองค์เอง เมื่อสวมใส่แล้วมีความสง่ากล้าหาญ นางคิดว่า คู่ควรกับสถานะของนางที่เป็นหญิงแกร่งทางการค้าเวลานี้ มุมหนึ่งตรงระเบียงทางเดิน อี๋เหนียงหลินกับสาวใช้ยืนอยู่ตรงนั้น แอบมองดูอยู่สาวใช้แสดงสีหน้าสมน้ำหน้า“อี๋เหนียง นายท่านโกรธขนาดนี้ แม่หญิงหลิวคนนั้นโชคร้ายแน่”สายตาอี๋เหนียงหลินแฝงไปด้วยความเกลียดแค้น ชิงชัง มือออกแรง แทบอยากฉีกผ้าเช็ดหน้าให้ขาด“สารเลว! อย่าให้นางเข้ามาอยู่ที่นี่ดีที่สุด!”……หลิวอิ๋งเข้าไปในห้องโถงหน้า ก็เห็นเฟิ่งหลินจับจ้องต
ในห้องโถงส่วนหน้า จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ ความคับแค้นใจนั้นมิอาจจางหายได้ มันอัดแน่นอยู่ในทรวงอก รู้สึกอึดอัดใจยิ่งนัก พ่อบ้านรออยู่ด้านข้าง กลั้นเสียงมิกล้าหายใจแรง แผ่นหลังชุ่มไปด้วยเหงื่อเย็น ฮองเฮาพิโรธขนาดนั้นก็ไม่น่าแปลกใจ ว่าที่ฮูหยินทำเกินไปแล้วจริง ๆ กล้าไปสร้างปัญหาที่จวนพลทหาร ทั้งตบหน้าฮูหยินน้อยได้อย่างไร! บัดนี้นายท่านจึงตกที่นั่งลำบาก หันหน้าไปทางไหนก็ไม่ดี พ่อบ้านลอบถอนหายใจ หนึ่งเรื่องยังไม่ทันจบ เรื่องใหม่ก็เข้ามาอีก เด็กรับใช้รีบเร่งเดินเข้ามาข้างใน “นายท่าน! คุณชายใหญ่กลับมาแล้วขอรับ!” เพิ่งจะพูดจบ เฟิ่งเหยียนเฉินพลันเดินเข้ามาด้วยท่าทีน่าเกรงขาม เขาไม่รอให้คนไปรายงานก่อน เดินตรงมาหานายท่านเฟิ่งที่ห้องโถงส่วนหน้าโดยตรง ครั้นได้เห็นสีหน้าบึ้งตึงของบุตรชาย ก็คาดเดาได้ถึงเหตุผลที่เขามาเยือนทันที จู่ ๆ นายท่านเฟิ่งรู้สึกนั่งก็ไม่ใช่ ยืนก็ไม่ถูก เขานึกหงุดหงิดใจนัก วันนี้ช่าง “ครึกครื้น” เสียจริง! เฟิ่งเหยียนเฉินยังสวมเครื่องแบบราชการอยู่ ยืนนิ่ง พูดเข้าประเด็นทันที “ขอบังอาจถ
จวนตระกูลเฟิ่ง นายท่านเฟิ่งกำลังสั่งให้คนเขียนเทียบเชิญงานแต่ง พ่อบ้านพลันวิ่งเข้ามารายงาน “นายท่าน นายท่าน! ฮองเฮาเสด็จมาขอรับ!” สีหน้าของนายท่านเฟิ่งดูตกตะลึง เหตุใดฮองเฮาจึงมาเยือนอย่างกะทันหัน? หรือได้ยินข่าวว่าเขากำลังจะแต่งงานใหม่ จึงรีบมาขัดขวาง? อีกด้านหนึ่ง ในเรือนอี๋ชิง อี๋เหนียงหลินร้องไห้จนตาบวมไปหมดแล้ว “ไฉนนังแพศยานั่นมาทีหลังกลับได้สมหวัง! “ข้าปรนนิบัตินายท่านมานานหลายปีแล้ว นางเป็นแค่หญิงม่ายคนหนึ่ง คิดจะมาแข่งกับข้า...นายท่านจะชื่นชอบนางได้อย่างไร! “ข้าโมโหจะตายอยู่แล้ว! ให้ตายเถอะ! ข้ายอมตาย ดีกว่าทนอัดอั้นเช่นนี้!” ตั้งแต่รู้ว่าหลิวอิ๋งกำลังจะได้แต่งเข้าจวน อี๋เหนียงหลินก็ร้องไห้โวยวายอย่างหนัก ก่อนหน้านี้ได้วิ่งไปโวยวายต่อหน้านายท่านแล้ว กลับถูกตำหนิกลับมาเสียยกใหญ่ ยามนี้จึงได้แต่ระบายความอัดอั้นในเรือนของตนเอง เดิมเฟิ่งหมิงเซวียนยังมาปลอบโยนนางบ้าง ทว่านางร้องไห้บ่อยเกินไป จนเฟิ่งหมิงเซวียนรู้สึกรำคาญเช่นกัน จึงย้ายไปอยู่ที่โรงพักแรม ไม่ยอมกลับบ้านทั้งกลางวันกลางคืน อี๋เหนียงหลินยิ่งคิดก็
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้าไปในห้อง พลันเห็นมารดานั่งอยู่ข้างเตียง ใช้ผ้าเช็ดน้ำตาอยู่ แววตาของนางมืดลง ก่อนจะเร่งฝีเท้าเดินเข้าไปเร็วขึ้น ครั้นนายหญิงเฟิ่งได้ยินเสียงคนเข้ามา จึงเงยหน้ามอง เห็นว่าเป็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ก็รีบปาดน้ำตาทิ้ง เปลี่ยนจากความเศร้าเป็นยินดี “ฮองเฮา...” ถึงแม้จะเป็นแม่ลูกกัน และอยู่ในสถานที่ส่วนตัว นายหญิงเฟิ่งยังเคร่งครัดในกฎระเบียบ นางไม่อยากให้บุตรสาวกังวล จึงหาข้ออ้างง่าย ๆ โดยไม่รอให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยถามก่อน “แม่แค่คิดถึงเวยเฉียง มิรู้ว่านางอยู่ที่จางโจวนั้นเป็นอย่างไรบ้าง” การร้องไห้เมื่อคิดถึงบุตรสาว เป็นธรรมดาของมนุษย์ หากเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ก็คงจะเชื่อแล้วจริง ๆ นางเดินไปนั่งลงข้างกายของนายหญิงเฟิ่งอย่างเงียบ ๆ “พูดมาตามตรงเถิด เกิดอะไรขึ้น” นายหญิงเฟิ่งชะงักงันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกลับมาแย้มยิ้มทันที “ก็เป็นดั่งที่พูดเมื่อครู่นี้ ฮองเฮา ไฉนเจ้าถึงออกจากวัง? มีเรื่องอะไรนอกวังหรือไร?” นางยังต้องการจะเปลี่ยนเรื่องสนทนา ทว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนยังวกกลับมา “ข้าเห็นคนพวกนั้นแล้ว พวกนาง
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ