เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังตรวจสอบศพของสายลับอย่างละเอียดนั้น พลันพบรอยสักเล็ก ๆ ที่ด้านในของแขนเขาหากมองผ่าน ๆ มิได้สังเกตนั้นย่อมคิดว่าเป็นปานเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงวาดลวดลายรอยสักนั้นบนกระดาษในทันที มันคล้ายกับรูปร่างของอสรพิษที่กำลังขดตัวลวดลายนี้ ราวกับนางเคยพบเห็นที่ไหนมาก่อนหากแต่นางจำมิได้แล้วหลังจากที่สอบถามจากทุกฝ่ายแล้วนั้น เฟิ่งจิ่วเหยียนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่านี่คือสัญลักษณ์เดิมของแคว้นจ้าวแคว้นจ้าวนั้นตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของแคว้นหนานฉี หลังจากประวัติศาสตร์ผ่านพ้นไปกว่าสิบชั่วอายุคนนั้น สัญลักษณ์เดิมของแคว้นจึงค่อย ๆ เปลี่ยนไปผู้ที่ยังคงรักษาสัญลักษณ์เดิมเอาไว้นั้นก็คือจิ้งอ๋องแห่งแคว้นจ้าวที่แตกแยกออกมา“รองผู้นำพันธมิตรขอรับ เมื่อมองดูเช่นนี้แล้ว สายลับผู้นี้ย่อมเป็นคนของแคว้นจ้าวอย่างแน่นอน!” เถ้าแก่ร้านรับจำนำผิงอันพลางเอ่ยออกมาด้วยท่าทีโล่งใจนับว่าสายตาเฉียบคมมีแววยิ่งนักนั่นเป็นเพราะสายตาของรองผู้นำพันธมิตรที่มีความเฉียบคมหากเป็นสายตาของเฒ่าชราเช่นเขาละก็ คงมิมีทางหาเจออย่างแน่นอนเมื่อมีเบาะแสแล้วนั้น เรื่องราวก็สามารถจัดการได้ง่ายขึ้นเฟิ่งจิ่วเหยียน
เฉินจี๋รู้ได้ทันทีว่าซูฮ่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส คิดอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พลันคิดได้ว่าตนเองเป็นราชองครักษ์ของฝ่าบาท ยึดถือความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นสำคัญ เขาจึงถอยกลับมายืนจุดเดิม “คุณชายซู ต้องการให้เชิญหมอมารักษาเจ้าหรือไม่” เฉินจี๋สมกับเป็นคนของเซียวอวี้จริง ๆ ช่างไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด เฉกเช่นเดียวกับเจ้านายของตน คนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ย่อมต้องการหมอมารักษา เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไปทูลฝ่าบาท ซูฮ่วนได้ทำสิ่งที่เขาฝากฝังไว้สำเร็จแล้ว” ขณะที่เอ่ย นางได้ยื่นกระบอกไม้ไผ่ส่งสาส์นกระบอกหนึ่งให้เขาด้วย เฉินจี๋หันกายกลับไปและเข้าไปรายงานภายในห้องพักแรมทันที “นายท่าน คุณชายซูกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก ภายในห้อง เซียวอวี้ยังมิได้เข้านอน เขากำลังหารือเรื่องการจัดทำแผนที่ป้องกันประเทศสี่ทิศฉบับใหม่อยู่กับรุ่ยอ๋องและแม่ทัพหลี่ ซูฮ่วนกลับมาในเวลานี้ จึงทำให้เขารู้สึกผิดคาดยิ่งนัก เขามองออกไปข้างนอก กลับไม่เห็นเงาร่างของซูฮ่วนแล้ว เฉินจี๋รู้สึกงุนงงเช่นกัน เพียงชั่วพริบ
ณ ห้องทรงพระอักษร องค์หญิงใหญ่มีรูปลักษณ์สูงส่ง หางคิ้วยกขึ้น ระหว่างคิ้วแต้มด้วยหนึ่งชาดดอกท้อ ดวงตาเรียวยาว กอปรกับแววตาที่ดูคุกคามผู้คน แคว้นต้าเซี่ยนั้นแห้งแล้งไร้ฝน ทำให้ผิวพรรณที่บอบบางของนางแห้งกร้านเป็นสีเหลือง ใบหน้าหม่นหมองกายผอมบาง เสริมให้ดูใจร้ายขึ้นอีกไม่น้อย “ฝ่าบาท เมื่อข้าอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ในปีนั้น เจ้าสัญญาว่าในวันข้างหน้าจะทำตามคำขอของข้าหนึ่งประการ หลายปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ข้าจะถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในต้าเซี่ย กลับไม่เคยเอ่ยปากขอร้องท่านเลย “ในยามนี้ ข้าขอร้องให้ท่านได้โปรดปล่อยตัวแม่ทัพน้อยเมิ่งด้วยเถิด” แววตาของเซียวอวี้ไร้ความรู้สึก และถามตามตรง “เสด็จพี่หญิงกับนางเป็นสหายเก่ากันหรือ?” มิเช่นนั้นจะเอ่ยขอร้องแทนเมิ่งเฉียวม่อทันทีที่กลับถึงมาตุภูมิได้อย่างไร องค์หญิงใหญ่หวนนึกถึงวันวาน นัยน์ตาพลันพร่ามัว “ในปีนั้นข้าแบกรับการถูกเหยียดหยามไม่ไหว จึงหลบหนีออกจากแคว้นต้าเซี่ยจนมาถึงชายแดนเหนือของแคว้นหนานฉี ถูกไล่ล่ามาตลอดทาง สุดท้ายก็ได้แม่ทัพน้อยเมิ่งช่วยชีวิตข้าไว้ “บุญคุณช่วยชีวิตนี้ ข้าจักต้องตอบแทน
แม้ว่าใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้เผยอารมณ์นึกคิดมากนัก เซียวอวี้ก็สามารถมองเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี เพราะเรื่องที่เขาสั่งให้ปล่อยตัวเมิ่งเฉียวม่อก่อนกำหนด หลังจากที่องค์หญิงใหญ่เดินออกไปแล้ว เซียวอวี้เดินลงจากที่นั่งตำแหน่งสูง แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน มิได้เผยรัศมีของฮ่องเต้ เพียงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ในช่วงปีที่เราเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์นั้น ต้องเผชิญทั้งศึกภายในและศึกภายนอก เสด็จพี่หญิงจึงเสียสละตัวเอง เพื่ออภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นต้าเซี่ย “เราติดค้างนางอยู่” “เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดสายตาลงมองไปที่อิฐปูพื้น สีหน้าไม่เผยความรู้สึก นางมีปฏิกิริยาที่ดูเรียบเรื่อยขนาดนี้ เซียวอวี้กลับรู้สึกว่านางไม่เข้าใจเขาเลย ดังนั้น เขาจึงกล่าวต่ออีก “เช่นนั้นก็ถือว่าเราไม่รักษาสัจจะเถิด “และเราได้ไตร่ตรองดูแล้ว เมิ่งเฉียวม่อถูกจำคุกมาหลายวันแล้ว นั่นถือว่าเพียงพอ “เจ้ามีฐานะเป็นฮองเฮา สมควรมีความใจกว้างบ้าง “ในเวลานั้นนางเปิดเผยที่อยู่ของเจ้า สำหรับเจ้าคือการไม่รักษาสัจจะ ทว่าในฐานะที่นางเป็นขุนนาง การรายงานที่อยู่ของฮองเฮ
ณ ตำหนักฉือหนิง ไทเฮากำลังตระกองกอดพระธิดาโดยสายเลือดซึ่งมิได้พบหน้ามานานหลายปี ด้วยน้ำตาคลอหน่วย “ฉีเอ๋อร์! ลูกของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว...แม่เฝ้าคิดถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน สวรรค์เห็นแล้วคงจะเมตตา และส่งเจ้ากลับคืนมาแล้ว...” หนิงเฟยก็นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสุขใจมากล้น พลางยกมือเช็ดน้ำตาอย่างตื้นตันใจ “พี่หญิง ท่านป้าคิดคำนึงถึงท่านทุกวันคืน เฝ้าแต่นับวันรอคอย ท่านควรจะกลับมาตั้งนานแล้ว ท่านป้าเป็นห่วงท่านเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าก็เป็นห่วงท่าน กลัวว่าแคว้นต้าเซี่ยจะผิดสัญญาคืนคำ...โชคดีที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย” องค์หญิงใหญ่ยืดหลังตั้งตรง ดวงตาเป็นสีแดงระเรื่อ ทว่ามิได้หลั่งน้ำตามากนัก ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในแคว้นต้าเซี่ย น้ำตาของนางได้เหือดแห้งไปนานแล้ว “เสด็จแม่เพคะ หลังจากที่ฮ่องเต้ชราของต้าเซี่ยสิ้นพระชนม์ โอรสของเขาขึ้นครองราชย์แทน หม่อมฉันกลายเป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้ กลับกลายเป็นว่าเดรัจฉานนั้น...เขายังต้องการครอบครองหม่อมฉันด้วย!” เมื่อไทเฮาได้ยินเช่นนั้น พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ว่าอันใดนะ! เขาไร้ยางอายและทำตัวขัดหลัก
ย่ำสนธยามาเยือน องค์หญิงใหญ่ได้พบกับสตรีนางหนึ่งระหว่างทาง สตรีนางนั้นดูไม่เหมือนกับเป็นคนในวังเลย นางกำลังเร่งรีบไปที่ห้องทรงพระอักษร จึงมิได้เห็นคนผู้นี้อยู่ในสายตา ทว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาคำนับทักทายนาง ก่อนจะกล่าว “หม่อมฉันเมิ่งเฉียวม่อ ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่” องค์หญิงใหญ่พลันตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็มองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ความคิดของนางย้อนกลับไปในปีนั้น... ครั้งแรกที่นางเดินทางถึงแคว้นต้าเซี่ย ฮ่องเต้ผู้เฒ่าทรงโปรดปรานนางมาก ทว่าในเวลาไม่ถึงสองเดือน เขาก็เปลี่ยนไปโปรดปรานคนใหม่ ในพระราชวัง หากมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ และไม่รู้วิธีสร้างเส้นสายกับผู้อื่น ผลลัพธ์นั้นสามารถจินตนาการได้เลย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางต้องทรมานแสนสาหัสจากความอัปยศนานัปการ ในภายหลัง นางทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงลงมือสังหารนางสนมรักของอดีตฮ่องเต้ แล้วหลบหนีออกจากแคว้นต้าเซี่ยโดยมีองครักษ์คนสนิทให้การอารักขา นางรู้ว่าการกระทำวู่วามของตน อาจจะเป็นภัยต่อแคว้นหนานฉี ทว่าในยามนั้นนางแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไป หลังจากหลบหนีไปถึง
เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ผล็อยหลับไปในห้องทรงพระอักษรโดยไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ นางย่อกายคำนับให้เซียวอวี้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ สำหรับคำพูดขององค์หญิงใหญ่เมื่อครู่นี้ นางแค่แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เซียวอวี้มองดูนางด้วยท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ปล่อยให้นางกลับออกไป องค์หญิงใหญ่รอจนนางเดินออกไปแล้ว ก็เอ่ยวาจาที่ชอบธรรม “ฝ่าบาท ได้โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย แล้วข้าจะต้องหาหลักฐานที่นางใส่ร้ายป้ายสีแม่ทัพน้อยเมิ่งได้แน่!” งูมีวิถีของงูฉันใด หนูก็มีเส้นทางของหนูฉันนั้น เป็นไปไม่ได้เลยว่าฮองเฮาจะเป็นผู้บริสุทธิ์! จักต้องทำให้ฝ่าบาทได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง เพื่อป้องกันมิให้นางประทุษร้ายต่อแม่ทัพน้อยเมิ่งอีกครั้ง ณ จวนองครักษ์อารักขาประตู หลังจากที่เฉียวม่อได้ตามสืบจากหลายช่องทาง ก็ได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น นางพึมพำอยู่กับตัวเอง “ที่แท้ ก็เป็นบุญคุณช่วยชีวิต...” เฉียวม่อพ่นลมหายใจผ่านจมูกอย่างเย็นชา ศิษย์พี่ชอบช่วยชีวิตผู้คนมากจริง ๆ ทว่า ศิษย์พี่ที่เย็นชาไม่กล้าเอ่ยความจริงกับอง
ภายใต้การซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าขององค์หญิงใหญ่ เฉียวม่อจึงต้อง “ฝืนใจ” บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ฮองเฮาหลบหนีออกไปครานั้น องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นแล้วไซร้ พลันตกตะลึงไม่น้อย “มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ!?” เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี! เฉียวม่อแสร้งทำเป็นช่วยอธิบายเสียหน่อย “ฮองเฮาทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเพคะ เนื่องจากโกรธที่ฝ่าบาทมิเคยลืมเลือนหรงเฟยผู้ล่วงลับไปเลย ขึ้นชื่อว่าสตรี ย่อมมีความอิจฉาริษยาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว” องค์หญิงใหญ่ยิ้มเยาะด้วยความโกรธ “นางเอาแต่ใจตัวเองเกินไป เห็นฝ่าบาทเป็นอะไร มองเกียรติยศของฮองเฮานั้นเป็นอย่างไร? ทำตัวเสมือนพวกนางสนมน้อยใหญ่เหล่านั้น ช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก!” เฉียวม่อเร่งรีบหันมองไปรอบ ๆ และเอ่ยอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงเพคะ เรื่องนี้มีน้อยคนที่รู้ อีกทั้งฝ่าบาทยังมีคำสั่งกับผู้ที่รู้เรื่องว่า ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด...โทษหม่อมฉันเอง มิควรพูดมากกับท่านเลย” องค์หญิงใหญ่ยกมือตบไหล่นางเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี เกรงว่าฮองเฮาจะมองแค่เจ้าเป็นสตรี ทว่ากลับได้รับความนับถืออย่างสูงจากฝ่
จิ้งเฟยยังดิ้นรนอยู่ในน้ำ กลับไม่มีใครลงไปช่วยนางองค์หญิงใหญ่คว้าจับเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างแข็งกร้าว“ผู้ใดเป็นคนผลัก ผู้นั้นก็ลงไปช่วย!”ที่นี่เป็นตำหนักฉือหนิง องครักษ์ สาวใช้ในบริเวณโดยรอบนี้ ล้วนเป็นคนขององค์หญิงใหญ่พูดเสร็จ นางก็จะผลักเฟิ่งจิ่วเหยียนลงไปในน้ำช่วงเดือนมีนาคม น้ำในสระเยือกเย็นไปถึงกระดูกเฟิ่งจิ่วเหยียนขยับไปด้านข้าง หลบเลี่ยงการผลักขององค์หญิงใหญ่ได้แววตาองค์หญิงใหญ่โกรธจัด“ฮองเฮา เจ้า...”ที่ไหนได้ ถึงแม้เฟิ่งจิ่วเหยียนหลบเลี่ยงนางได้ ทว่าพริบตาเดียวก็กระโดดลงไปในน้ำแล้วองค์หญิงใหญ่โกรธจัดจนขำหัวเราะ“ช่วย...ช่วยข้า...” จิ้งเฟยว่ายน้ำไม่เป็น อาภรณ์เครื่องประดับบนตัวทั้งหนาทั้งหนัก ผูกมัดแขนขาของนางไว้นางผลุบ ๆ โผล่ ๆ อยู่ในน้ำ ดื่มน้ำเข้าไปเป็นจำนวนมาก สิ้นหวังอย่างที่สุดเมื่ออยู่ต่อหน้าความตาย นางยากที่จะสงบสติอารมณ์และมีสติได้“ช่วยข้า...”ในขณะที่นางไม่มีเรี่ยวแรงจะดิ้นรนอีก ครั้นกำลังจะจมลงไป ก็มีมือข้างหนึ่งคว้าจับนางไว้วินาทีนั้น เหมือนแสงแดดส่องลงสู่ในสระน้ำอันเยือกเย็นทันใดนั้นก็เหมือนนางสามารถยืนมั่นคงอยู่ในน้ำได้ฮ่าว...ศีรษ
“อะไรนะ...ฮองเฮาไม่ใช่ฮองเฮาตัวจริง? !”องค์หญิงใหญ่ตกตะลึงตาโตเฉียวม่อแลดูซื่อตรง แววตาปกคลุมไปด้วยความบึ้งตึง“ข้าก็เพิ่งสืบรู้“ความจริงตระกูลเฟิ่งมีลูกสาวฝาแฝด พี่สาวถูกเลี้ยงอยู่ข้างนอกมาตลอด“คนที่จะต้องอภิเษกเข้าวังตัวจริง คือน้องสาวเฟิ่งเวยเฉียง“แต่ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด น้องสาวหายตัวไป ตระกูลเฟิ่งจึงตามพี่สาวมาอภิเษกแทน”สีหน้าองค์หญิงใหญ่เดี๋ยวเขียวเดี๋ยวขาวมีเรื่องแบบนี้ด้วย!ช่างไม่เคยได้ยินมาก่อนจริง!ยิ่งไปกว่านั้นยังเกิดขึ้นในราชวงศ์!“นี่ถือเป็นการหลอกลวงเบื้องสูง! ตระกูลเฟิ่งกล้าทำได้อย่างไร!”ในฐานะที่องค์หญิงใหญ่เป็นคนในราชวงศ์ พี่สาวของฝ่าบาท ทนรับการโกหกแบบนี้ไม่ได้เฉียวม่อพูดเสริมขึ้นมาอย่างเป็นกังวล“ตระกูลเฟิ่งกระทำเช่นนี้ เจตนาที่แท้จริงนั้นยากแก่การหยั่งรู้”แววตาองค์หญิงใหญ่เยือกเย็น“ข้าจะไปกราบทูลฝ่าบาทเดี๋ยวนี้!”เฉียวม่อรีบรั้งนางไว้“ไม่ได้เพคะ องค์หญิง ตอนนี้ไม่มีหลักฐาน ฝ่าบาทไม่มีทางเชื่อแน่นอน“สู้รอหาหลักฐานให้ได้ก่อน ค่อยเปิดเผยแผนการชั่วของตระกูลเฟิ่ง”องค์หญิงใหญ่คิดดูดี ๆ นางพูดถูก จะต้องมีหลักฐานเสียก่อนแต่จะไปหาหลักฐาน
ณ เมืองหลวงชายแดนทั้งสี่ทิศเกิดศึกต่อสู้อย่างต่อเนื่อง เซียวอวี้มีราชกิจยุ่งจนไม่มีเวลามาวังหลังจิ้งเฟยมายังห้องทรงพระอักษรบ่อยครั้ง แต่ก็ได้เจอฝ่าบาทน้อยครั้งมากกลางปลายเดือนมีนาคม เฟิ่งจิ่วเหยียนได้รับข่าวจากอู๋ไป๋สิ่งที่นางต้องการ ถูกส่งมาจากชายแดนเหนือแล้วศพของทหารกองทัพมังกรพยัคฆ์หลายคนนั้น ถูกเก็บไว้ในสถานที่เก็บศพชั่วคราวคืนวันนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนออกจากวังไปตรวจสอบด้วยตนเองบนใบหน้าของนางปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็นเฉียวม่อทำเพื่อความเห็นแก่ตัวของตนเอง ทำร้ายคนตายตั้งมากมายขนาดนี้พวกเขาจำนวนมาก ไม่ได้ตายอยู่ในมือกองทัพรัฐเหลียง แต่ถูกเฉียวม่อวางแผนชั่วช้าไว้ก่อนแล้วอู๋ไป๋รู้ความจริงแล้ว โกรธโมโหอย่างมาก“แม่ทัพน้อย จะต้องให้เฉียวม่อชดใช้ด้วยเลือด ถึงค่อยสามารถปลอบโยนวิญญาณของพี่น้องเราในสวรรค์ได้!”ทำไมนางถึงได้โหดเหี้ยมขนาดนี้!แววตาเฟิ่งจิ่วเหยียนหนักหน่วง เปียกโชกไปด้วยความหนาวเหน็บ“การศึกทางชายแดนเหนือเป็นอย่างไรบ้าง”อู๋ไป๋ตอบนาง “แม่ทัพน้อยวางใจ แคว้นจ้าวสู้ฝ่ามาไม่ได้ แผนที่ป้องกันประเทศนั้นเป็นของปลอม ตอนนี้ทหารจ้าวพ่ายแพ้ล่าถอยอย่างต่อเนื่อง”เฟิ่ง
นายท่านเฟิ่งโกรธจนปวดแน่นหน้าอก เขาระบายความโกรธกับอู๋ไป๋“เจ้า เจ้าไสหัวไปเดี๋ยวนี้! ไสหัวกลับชายแดนเหนือ! ไปบอกตาเฒ่าเมิ่งฉวี อย่าคิดส่งคนมาทำร้ายลูกสาวของข้า! !”ฮองเฮาดี ๆ ไม่อยากเป็น จะไปแย่งตำแหน่งแม่ทัพน้อยอะไรนั่น เป็นบ้าอะไร!นี่ล้วนเป็นเพราะถูกเมิ่งฉวีเสี้ยมสอนมา!ตอนนั้นแทนที่เขาจะให้เด็กคนนั้นอดตาย ฟาดตาย ก็ไม่ควรที่จะยกให้เมิ่งฉวีส่งผลทำให้ตอนนี้เขาต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่วัน ศีรษะของคนทั้งตระกูลล้วนแขวนอยู่บนดาบนายท่านเฟิ่งพูดโน้มน้าวเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ จึงให้ฮูหยินเฟิ่งไปแต่เมื่อฮูหยินเฟิ่งเขาวัง ก็มิได้เจอฮองเฮาเฟิ่งจิ่วเหยียนตั้งใจที่จะหลบเลี่ยงนอกจากสั่งให้อู๋ไป๋จัดการคนทางด้านตระกูลเฟิ่ง นางยังเขียนจดหมายให้อาจารย์หญิงหลายวันต่อมา ทางด้านชายแดนเหนือได้รับจดหมายแม่ทัพเมิ่งเป็นกังวลอย่างมาก ถามขึ้นมาอย่างร้อนใจ“ในจดหมาย จิ่วเหยียนพูดอย่างไรบ้าง?”“นางให้นำศพพร้อมเข็มเงินส่งกลับไป อีกอย่าง หากมีคนถาม ก็ให้ยืนยันว่าไม่รู้เรื่องที่นางอภิเษกแทน”“แล้วข้าล่ะ?” แม่ทัพเมิ่งชี้ตนเอง“นางขอป้ายทองไว้ชีวิตให้กับเจ้า”แม่ทัพเมิ่งสองสามีภรรยา คาดเดาได้แล้ว
องค์หญิงใหญ่พูดโน้มน้าว “เมิ่งเฉียวม่อควรได้รับการให้ความสำคัญ ตอนนี้เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูคนหนึ่ง เป็นการใช้คนไม่เหมาะกับความรู้ความสามารถ”เซียวอวี้ครุ่นคิดครู่หนึ่งจากนั้น เขาพูดขึ้นมา“หากเพียงให้นางก่อตั้งกองกำลังหญิง ก็ถือเป็นการสิ้นเปลืองความสามารถของนาง”องค์หญิงใหญ่ถามว่า“ฉะนั้นฝ่าบาทหมายความว่า ควรให้ตำแหน่งอะไรแก่นาง?”……จวนองครักษ์อารักขาประตูมีพระราชโองการ เฉียวม่อได้รับแต่งตั้งมอบหมายหน้าที่สำคัญนางดีใจอย่างยิ่งฝ่าบาทแต่งตั้งให้นางเป็นแม่ทัพกรมปกป้องเมือง!นางยังคิดว่า จะต้องเป็นองครักษ์อารักขาประตูครบหนึ่งปี ค่อยสามารถเลื่อนตำแหน่งตอนนี้ นางถือว่าทุกข์สิ้นสุด สุขบังเกิดแล้วหรือ?“แม่ทัพเมิ่ง รับพระราชโองการ!”เฉียวม่อรีบรับพระราชโองการมาด้วยมือทั้งคู่ ตาคิ้วยิ้มแย้มยินดีวันนั้น องค์หญิงใหญ่นำของขวัญมาแสดงความยินดีด้วยตนเอง“ข้าแค่พูดเสนอฝ่าบาท ให้เจ้าก่อตั้งกองกำลังหญิง ไม่คิดว่าฝ่าบาทจะมีความคิดอื่น ยกตำแหน่งแม่ทัพกรมปกป้องเมืองให้เจ้าโดยตรง”“เห็นทีฝ่าบาทค่อนข้างเห็นความสำคัญของเจ้า การที่ให้เจ้าเป็นองครักษ์อารักขาประตู เพียงเพื่อฝึกฝนนิ
ท่ามกลางความมืด ล้วนอาศัยการลูบคลำ เซียวอวี้ฉีกอาภรณ์ ดึงสายรัดเอวของนางอาภรณ์เสียดสีกัน ส่งเสียงดังกรอบแกรบราวกับมีไฟลุกไหม้อยู่ในตัวเขา แผดเผาไปทั่วทั้งตัวดูดดื่มด้วยสัญชาตญาณ จูบอยู่อย่างลึกล้ำคืนวันส่งท้ายปีเก่า นางเมามายอย่างไร้สติ กลับรู้จักตอบสนองเขาแต่ครั้งนี้ นางมีสติอยู่ เขากลับสัมผัสได้ถึงความไม่คล้อยตาม ความต่อต้านของนางแต่ความต่อต้านนี้ ยิ่งกระตุ้นความโหยหาของเขา เพิ่มยิ่งขึ้นเรื่อย...ความคิดเฟิ่งจิ่วเหยียนสับสนวุ่นวายด้านข้างหูเป็นเสียงหายใจหอบอย่างหนักหน่วงของชายหนุ่มจูบของเขาเลื่อนลงไปตามคอของนาง ไปถึงหน้าอกของนางร่างกายของนางแข็งทื่อ ทำอะไรไม่ได้เลยทันใดนั้น ชายหนุ่มคว้าจับมือของนาง คลายนิ้วทั้งห้าของนางออก แทรกระหว่างนิ้ว ผสานสิบนิ้วของนางไว้เขาเป็นเหมือนคลื่นอบอุ่น ห่อหุ้มนางไว้ทั้งตัวดูเหมือนนาง...ไม่มีทางหนีรอดแล้วจู่ ๆ ตามด้วยผ้าชิ้นสุดท้ายถูกดึงหลุด ในใจนางเยือกเย็นถึงที่สุดเสียงแหบแห้งที่สุดของชายหนุ่ม ดังขึ้นมาด้านข้างหูเขากัดติ่งหูของนางเบาๆ ลูกกระเดือกกลิ้งขึ้นลง เหมือนนักเดินทางมองหาน้ำดื่มดับกระหายลมหายใจแรง กระทบข้างหูของน
สีหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบสงบ หายใจหนักเล็กน้อยนางกำหมัดในแขนเสื้อไว้แน่น ตอบอย่างนอบน้อม“เพคะ”เหลียนซวงขมวดคิ้วขึ้นมาอย่างตื่นเต้น ในใจกระสับกระส่ายอย่างซับซ้อนนางเป็นเพียงสาวใช้ต่ำต้อยคนหนึ่ง ตายไปก็ช่างเถอะ ฮองเฮาไม่ควรที่จะเผื่อเส้นทางให้กับนางเซียวอวี้ส่งเสียงเมิน“นายบ่าวรักกันลึกซึ้งเหลือเกิน”ยามนี้ ซุนหมัวมัวที่ไม่รู้เรื่องอะไรเดินเข้ามาเอ่ยถาม “ฝ่าบาท ฮองเฮา จะรับประทานอาหารค่ำหรือยังเพคะ?”ซุนหมัวมัวยิ้มแย้มอย่างเอาใจ เหลือบเห็นเหลียนซวงคุกเข่าอยู่บนพื้น ยังคิดว่ายัยเด็กคนนี้ทำอะไรผิดอีก พลันเกิดความรู้สึกที่ดั่งหัวอกเดียวกัน รอยยิ้มกลายเป็นหวาดกลัวไม่เป็นสุขขึ้นมาทันทีทว่าเห็นว่า ฝ่าบาทแลดูอารมณ์ดีอย่างไม่น้อย ลุกขึ้นมาจับมือฮองเฮา แววตาที่ปกติเคร่งขรึมเฉียบคม แลดูอมยิ้ม“ตั้งสำหรับ”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ปัดมือของเขา แต่ก็ไม่มีกะจิตกะใจทานข้าวนางพูดกับเหลียนซวง “เตรียมเก็บข้าวของ ออกจากวังพรุ่งนี้”เหลียนซวงทำใจไม่ได้“เพคะ ฮองเฮา”นางกำลังจะไป จู่ๆ เซียวอวี้ก็พูดขึ้นมา“ยังไงก็เป็นนางข้าหลวงใหญ่ข้างกายฮองเฮา พรุ่งนี้เราให้องครักษ์ส่งเจ้ากลับบ้านเกิด”
สำนักหมอหลวง หลังจากแคว้นซีหนี่ว์ตื่นขึ้นมา แววตาเต็มไปด้วยความเศร้านางแพ้แล้ว...เวลาต่อมา นางก็เต็มไปด้วยความไม่พอใจทั้งที่สามารถเอาชนะได้!นางลุกขึ้นมานั่ง กลับเห็นองครักษ์คนหนึ่งยืนอยู่ปลายเตียง ในมือถือดาบไว้เล่มหนึ่ง ราวกับรอนางอยู่นานแล้วนางรู้ว่า ต่อจากนี้ตนเองควรทำอย่างไรการที่พ่ายแพ้การประลองนั้น ไม่เพียงต้องยกเหมืองหินทองแดงดำให้แคว้นหนานฉีห้าร้อยชั่ง ยังต้องตัดมือทั้งคู่ของนางช่างมันเถอะนางกลายเป็นคนบาปของแคว้นซีหนี่ว์แล้วมือราชทูตแคว้นซีหนี่ว์สั่นเทา หยิบดาบเล่มนั้นมา...ห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้กำลังตรวจอ่านพระราชฎีกา เฉินจี๋เข้ามารายงาน“ฝ่าบาท ราชทูตแคว้นซีหนี่ว์คนนั้น ปาดคอฆ่าตัวตายแล้ว!”เซียวอวี้แสดงท่าทีเมินเฉยเขาไม่เห็นใจราชทูตคนนั้น พูดขึ้นมาอย่างค่อนข้างโหดร้าย“ตัดมือของนางทั้งสองข้าง แล้วนำศพส่งกลับไปยังแคว้นซีหนี่ว์”เฉินจี๋ยกมือประสาน น้อมรับคำสั่งหลังจากผ่านไปหนึ่งชั่วยามตำหนักหย่งเหอหมอหลวงท่านหนึ่งมาตรวจชีพจรเฟิ่งจิ่วเหยียนเอามือวางไว้บนโต๊ะ หมอหลวงตรวจชีพจรให้นางไปด้วย พร้อมพูดไปด้วย“ฮองเฮา กระหม่อมทำตามที่ท่านรับสั่ง แอบ
บนที่นั่งสูง ฮ่องเต้ประทับอยู่ด้วยท่วงท่าสง่างาม ดวงเนตรของเขาฉายความดูแคลนใต้หล้า และเอ่ยอย่างเคร่งขรึม “วันนี้แม่ทัพหญิงนามเมิ่งเฉียวม่อ ผู้ซึ่งผ่านสิบสามสมรภูมิโดยไร้พ่ายแพ้ วีรสตรีผู้สร้างคุณูปการให้แก่บ้านเมืองเช่นนี้ เราจะมอบป้ายทองไว้ชีวิตให้เป็นรางวัล “นอกจากนี้ ให้ถ่ายทอดคำสั่งของเราลงไป ทหารแคว้นหนานฉีของเรานั้น หากผู้ใดมีความสามารถย่อมไม่สนชาติกำเนิดหรือเพศชายหญิง สมควรยึดถือเมิ่งเฉียวม่อเป็นแบบอย่าง มุมานะเพื่อตนเอง ขุนนางแม่ทัพไม่ขึ้นอยู่กับชาติกำเนิด!” เฉียวม่อดีใจอย่างมาก พลันรีบขอบคุณด้วยกลัวว่าฮ่องเต้จะนึกเปลี่ยนพระทัย “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท!” องค์หญิงใหญ่ก็ยินดีกับนางด้วยใจจริง ไม่ลืมยืนขึ้นและยิ้มอย่างพอใจไปทางเซียวอวี้ด้วย “ฝ่าบาททรงพระปรีชา! เชื่อว่าเหล่าทัพทหารได้รับความสบายใจเช่นนี้ ย่อมยินดีรับใช้ท่าน และสละชีวิตเพื่อแคว้นหนานฉี!” ตรงที่นั่ง เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสายตาเย็นชา และไร้ซึ่งรอยยิ้ม องค์หญิงใหญ่เห็นปฏิกิริยาที่แปลกของนางได้อย่างชัดเจน “ฮองเฮา ท่านไม่พอใจหรือไร หรือว่าท่านกำลังนึกคัดค้านพระบัญชาของฝ