เฉินจี๋รู้ได้ทันทีว่าซูฮ่วนได้รับบาดเจ็บสาหัส คิดอยากจะยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือ พลันคิดได้ว่าตนเองเป็นราชองครักษ์ของฝ่าบาท ยึดถือความปลอดภัยของฝ่าบาทเป็นสำคัญ เขาจึงถอยกลับมายืนจุดเดิม “คุณชายซู ต้องการให้เชิญหมอมารักษาเจ้าหรือไม่” เฉินจี๋สมกับเป็นคนของเซียวอวี้จริง ๆ ช่างไม่เห็นแก่หน้าผู้ใด เฉกเช่นเดียวกับเจ้านายของตน คนได้รับบาดเจ็บสาหัสขนาดนี้ ย่อมต้องการหมอมารักษา เฟิ่งจิ่วเหยียนกล่าวกับเขาด้วยน้ำเสียงอ่อนแรง “ไปทูลฝ่าบาท ซูฮ่วนได้ทำสิ่งที่เขาฝากฝังไว้สำเร็จแล้ว” ขณะที่เอ่ย นางได้ยื่นกระบอกไม้ไผ่ส่งสาส์นกระบอกหนึ่งให้เขาด้วย เฉินจี๋หันกายกลับไปและเข้าไปรายงานภายในห้องพักแรมทันที “นายท่าน คุณชายซูกลับมาแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลังจากนั้น ประตูก็ถูกเปิดออก ภายในห้อง เซียวอวี้ยังมิได้เข้านอน เขากำลังหารือเรื่องการจัดทำแผนที่ป้องกันประเทศสี่ทิศฉบับใหม่อยู่กับรุ่ยอ๋องและแม่ทัพหลี่ ซูฮ่วนกลับมาในเวลานี้ จึงทำให้เขารู้สึกผิดคาดยิ่งนัก เขามองออกไปข้างนอก กลับไม่เห็นเงาร่างของซูฮ่วนแล้ว เฉินจี๋รู้สึกงุนงงเช่นกัน เพียงชั่วพริบ
ณ ห้องทรงพระอักษร องค์หญิงใหญ่มีรูปลักษณ์สูงส่ง หางคิ้วยกขึ้น ระหว่างคิ้วแต้มด้วยหนึ่งชาดดอกท้อ ดวงตาเรียวยาว กอปรกับแววตาที่ดูคุกคามผู้คน แคว้นต้าเซี่ยนั้นแห้งแล้งไร้ฝน ทำให้ผิวพรรณที่บอบบางของนางแห้งกร้านเป็นสีเหลือง ใบหน้าหม่นหมองกายผอมบาง เสริมให้ดูใจร้ายขึ้นอีกไม่น้อย “ฝ่าบาท เมื่อข้าอภิเษกเชื่อมสัมพันธ์ในปีนั้น เจ้าสัญญาว่าในวันข้างหน้าจะทำตามคำขอของข้าหนึ่งประการ หลายปีที่ผ่านมานี้ ต่อให้ข้าจะถูกทรมานอย่างไร้มนุษยธรรมในต้าเซี่ย กลับไม่เคยเอ่ยปากขอร้องท่านเลย “ในยามนี้ ข้าขอร้องให้ท่านได้โปรดปล่อยตัวแม่ทัพน้อยเมิ่งด้วยเถิด” แววตาของเซียวอวี้ไร้ความรู้สึก และถามตามตรง “เสด็จพี่หญิงกับนางเป็นสหายเก่ากันหรือ?” มิเช่นนั้นจะเอ่ยขอร้องแทนเมิ่งเฉียวม่อทันทีที่กลับถึงมาตุภูมิได้อย่างไร องค์หญิงใหญ่หวนนึกถึงวันวาน นัยน์ตาพลันพร่ามัว “ในปีนั้นข้าแบกรับการถูกเหยียดหยามไม่ไหว จึงหลบหนีออกจากแคว้นต้าเซี่ยจนมาถึงชายแดนเหนือของแคว้นหนานฉี ถูกไล่ล่ามาตลอดทาง สุดท้ายก็ได้แม่ทัพน้อยเมิ่งช่วยชีวิตข้าไว้ “บุญคุณช่วยชีวิตนี้ ข้าจักต้องตอบแทน
แม้ว่าใบหน้าของเฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้เผยอารมณ์นึกคิดมากนัก เซียวอวี้ก็สามารถมองเห็นว่านางอารมณ์ไม่ดี เพราะเรื่องที่เขาสั่งให้ปล่อยตัวเมิ่งเฉียวม่อก่อนกำหนด หลังจากที่องค์หญิงใหญ่เดินออกไปแล้ว เซียวอวี้เดินลงจากที่นั่งตำแหน่งสูง แล้วมาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน มิได้เผยรัศมีของฮ่องเต้ เพียงเอ่ยกับนางด้วยน้ำเสียงสงบนิ่ง “ในช่วงปีที่เราเพิ่งจะขึ้นครองบัลลังก์นั้น ต้องเผชิญทั้งศึกภายในและศึกภายนอก เสด็จพี่หญิงจึงเสียสละตัวเอง เพื่ออภิเษกเชื่อมสัมพันธ์กับแคว้นต้าเซี่ย “เราติดค้างนางอยู่” “เพคะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดสายตาลงมองไปที่อิฐปูพื้น สีหน้าไม่เผยความรู้สึก นางมีปฏิกิริยาที่ดูเรียบเรื่อยขนาดนี้ เซียวอวี้กลับรู้สึกว่านางไม่เข้าใจเขาเลย ดังนั้น เขาจึงกล่าวต่ออีก “เช่นนั้นก็ถือว่าเราไม่รักษาสัจจะเถิด “และเราได้ไตร่ตรองดูแล้ว เมิ่งเฉียวม่อถูกจำคุกมาหลายวันแล้ว นั่นถือว่าเพียงพอ “เจ้ามีฐานะเป็นฮองเฮา สมควรมีความใจกว้างบ้าง “ในเวลานั้นนางเปิดเผยที่อยู่ของเจ้า สำหรับเจ้าคือการไม่รักษาสัจจะ ทว่าในฐานะที่นางเป็นขุนนาง การรายงานที่อยู่ของฮองเฮ
ณ ตำหนักฉือหนิง ไทเฮากำลังตระกองกอดพระธิดาโดยสายเลือดซึ่งมิได้พบหน้ามานานหลายปี ด้วยน้ำตาคลอหน่วย “ฉีเอ๋อร์! ลูกของข้า ในที่สุดเจ้าก็กลับมาแล้ว...แม่เฝ้าคิดถึงเจ้าทั้งวันทั้งคืน สวรรค์เห็นแล้วคงจะเมตตา และส่งเจ้ากลับคืนมาแล้ว...” หนิงเฟยก็นั่งอยู่ด้านข้างด้วยความสุขใจมากล้น พลางยกมือเช็ดน้ำตาอย่างตื้นตันใจ “พี่หญิง ท่านป้าคิดคำนึงถึงท่านทุกวันคืน เฝ้าแต่นับวันรอคอย ท่านควรจะกลับมาตั้งนานแล้ว ท่านป้าเป็นห่วงท่านเสียจนกินไม่ได้นอนไม่หลับ ข้าก็เป็นห่วงท่าน กลัวว่าแคว้นต้าเซี่ยจะผิดสัญญาคืนคำ...โชคดีที่ท่านกลับมาได้อย่างปลอดภัย” องค์หญิงใหญ่ยืดหลังตั้งตรง ดวงตาเป็นสีแดงระเรื่อ ทว่ามิได้หลั่งน้ำตามากนัก ระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาในแคว้นต้าเซี่ย น้ำตาของนางได้เหือดแห้งไปนานแล้ว “เสด็จแม่เพคะ หลังจากที่ฮ่องเต้ชราของต้าเซี่ยสิ้นพระชนม์ โอรสของเขาขึ้นครองราชย์แทน หม่อมฉันกลายเป็นพระสนมของอดีตฮ่องเต้ กลับกลายเป็นว่าเดรัจฉานนั้น...เขายังต้องการครอบครองหม่อมฉันด้วย!” เมื่อไทเฮาได้ยินเช่นนั้น พลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ “ว่าอันใดนะ! เขาไร้ยางอายและทำตัวขัดหลัก
ย่ำสนธยามาเยือน องค์หญิงใหญ่ได้พบกับสตรีนางหนึ่งระหว่างทาง สตรีนางนั้นดูไม่เหมือนกับเป็นคนในวังเลย นางกำลังเร่งรีบไปที่ห้องทรงพระอักษร จึงมิได้เห็นคนผู้นี้อยู่ในสายตา ทว่าอีกฝ่ายกลับเข้ามาคำนับทักทายนาง ก่อนจะกล่าว “หม่อมฉันเมิ่งเฉียวม่อ ถวายบังคมองค์หญิงใหญ่” องค์หญิงใหญ่พลันตัวแข็งทื่อ จากนั้นก็มองดูคนตรงหน้าด้วยสายตาไม่อยากจะเชื่อ ความคิดของนางย้อนกลับไปในปีนั้น... ครั้งแรกที่นางเดินทางถึงแคว้นต้าเซี่ย ฮ่องเต้ผู้เฒ่าทรงโปรดปรานนางมาก ทว่าในเวลาไม่ถึงสองเดือน เขาก็เปลี่ยนไปโปรดปรานคนใหม่ ในพระราชวัง หากมิได้รับความโปรดปรานจากฮ่องเต้ และไม่รู้วิธีสร้างเส้นสายกับผู้อื่น ผลลัพธ์นั้นสามารถจินตนาการได้เลย ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้ นางต้องทรมานแสนสาหัสจากความอัปยศนานัปการ ในภายหลัง นางทนไม่ไหวอีกแล้ว จึงลงมือสังหารนางสนมรักของอดีตฮ่องเต้ แล้วหลบหนีออกจากแคว้นต้าเซี่ยโดยมีองครักษ์คนสนิทให้การอารักขา นางรู้ว่าการกระทำวู่วามของตน อาจจะเป็นภัยต่อแคว้นหนานฉี ทว่าในยามนั้นนางแค่อยากจะมีชีวิตรอดต่อไป หลังจากหลบหนีไปถึง
เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ผล็อยหลับไปในห้องทรงพระอักษรโดยไม่รู้ตัวเลยจริง ๆ นางย่อกายคำนับให้เซียวอวี้ “ฝ่าบาท หม่อมฉันขอทูลลาเพคะ สำหรับคำพูดขององค์หญิงใหญ่เมื่อครู่นี้ นางแค่แกล้งทำเป็นว่าไม่ได้ยิน เซียวอวี้มองดูนางด้วยท่าทางอยากจะพูดแต่ก็ไม่พูด สุดท้ายก็ปล่อยให้นางกลับออกไป องค์หญิงใหญ่รอจนนางเดินออกไปแล้ว ก็เอ่ยวาจาที่ชอบธรรม “ฝ่าบาท ได้โปรดให้เวลาข้าสักหน่อย แล้วข้าจะต้องหาหลักฐานที่นางใส่ร้ายป้ายสีแม่ทัพน้อยเมิ่งได้แน่!” งูมีวิถีของงูฉันใด หนูก็มีเส้นทางของหนูฉันนั้น เป็นไปไม่ได้เลยว่าฮองเฮาจะเป็นผู้บริสุทธิ์! จักต้องทำให้ฝ่าบาทได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของนาง เพื่อป้องกันมิให้นางประทุษร้ายต่อแม่ทัพน้อยเมิ่งอีกครั้ง ณ จวนองครักษ์อารักขาประตู หลังจากที่เฉียวม่อได้ตามสืบจากหลายช่องทาง ก็ได้ล่วงรู้ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีนั้น นางพึมพำอยู่กับตัวเอง “ที่แท้ ก็เป็นบุญคุณช่วยชีวิต...” เฉียวม่อพ่นลมหายใจผ่านจมูกอย่างเย็นชา ศิษย์พี่ชอบช่วยชีวิตผู้คนมากจริง ๆ ทว่า ศิษย์พี่ที่เย็นชาไม่กล้าเอ่ยความจริงกับอง
ภายใต้การซักถามซ้ำแล้วซ้ำเล่าขององค์หญิงใหญ่ เฉียวม่อจึงต้อง “ฝืนใจ” บอกเล่าถึงเหตุการณ์ที่ฮองเฮาหลบหนีออกไปครานั้น องค์หญิงใหญ่ได้ยินเช่นนั้นแล้วไซร้ พลันตกตะลึงไม่น้อย “มีเรื่องแบบนั้นด้วยหรือ!?” เป็นเรื่องที่เหลวไหลสิ้นดี! เฉียวม่อแสร้งทำเป็นช่วยอธิบายเสียหน่อย “ฮองเฮาทำไปเพราะอารมณ์ชั่ววูบเพคะ เนื่องจากโกรธที่ฝ่าบาทมิเคยลืมเลือนหรงเฟยผู้ล่วงลับไปเลย ขึ้นชื่อว่าสตรี ย่อมมีความอิจฉาริษยาไม่มากก็น้อยอยู่แล้ว” องค์หญิงใหญ่ยิ้มเยาะด้วยความโกรธ “นางเอาแต่ใจตัวเองเกินไป เห็นฝ่าบาทเป็นอะไร มองเกียรติยศของฮองเฮานั้นเป็นอย่างไร? ทำตัวเสมือนพวกนางสนมน้อยใหญ่เหล่านั้น ช่างน่าอับอายขายหน้ายิ่งนัก!” เฉียวม่อเร่งรีบหันมองไปรอบ ๆ และเอ่ยอย่างระมัดระวัง “องค์หญิงเพคะ เรื่องนี้มีน้อยคนที่รู้ อีกทั้งฝ่าบาทยังมีคำสั่งกับผู้ที่รู้เรื่องว่า ห้ามแพร่งพรายออกไปเด็ดขาด...โทษหม่อมฉันเอง มิควรพูดมากกับท่านเลย” องค์หญิงใหญ่ยกมือตบไหล่นางเบา ๆ “ข้ารู้ว่าเจ้าเป็นขุนนางผู้จงรักภักดี เกรงว่าฮองเฮาจะมองแค่เจ้าเป็นสตรี ทว่ากลับได้รับความนับถืออย่างสูงจากฝ่
ความผิดที่เฉียวม่อได้กระทำต่อเวยเฉียงและกองทัพมังกรพยัคฆ์นั้น ไม่อาจมีอะไรมาลบล้างความผิดได้ และเฟิ่งจิ่วเหยียนจะไม่มีวันให้อภัย ทว่าเพื่อผลประโยชน์ของบ้านเมือง มิอาจให้เรื่องส่วนตัวมาทำให้เสียการใหญ่ได้ หากว่าเฉียวม่อพ่ายแพ้การประลอง มันจะกลายเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของแคว้นหนานฉี ก่อนการประลองจะเริ่มขึ้น เฟิ่งจิ่วเหยียนได้ส่งเหลียนซวงไปเตือนเฉียวม่อให้เพิ่มความระมัดระวังเป็นพิเศษ โดยเฉพาะดาบคู่ที่ชาวซีหนี่ว์ชำนาญ เฉียวม่อไม่ได้เห็นเรื่องนี้เป็นจริงเป็นจัง “กลับไปทูลฮองเฮาเถอะ นางไม่จำเป็นต้องกังวล เพราะข้าจะต้องได้ชัยชนะอย่างแน่นอน” ศิษย์พี่ประเมินนางต่ำเกินไปแล้ว ในช่วงบ่าย ใกล้ถึงเวลาเริ่มการประลอง เหล่าขุนนางอำมาตย์ของหนานฉีอยู่พร้อมหน้า และมีราชทูตจากหลายแคว้นร่วมเป็นสักขีพยาน เฟิ่งจิ่วเหยียนและองค์หญิงใหญ่ก็ไม่พลาดงานนี้ เซียวอวี้มิได้แปลกใจเลยที่เห็นว่าองค์หญิงใหญ่ใส่ใจกับเรื่องนี้ เพียงแค่ไม่คาดคิดว่าฮองเฮาก็ใส่ใจมากเช่นกัน เขาสั่งให้คนจัดเตรียมที่นั่ง และให้เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งเคียงข้างกาย เฟิ่งจิ่วเหยียนพุ่งความสนใจท
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั