ไทฮองไทเฮาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง“เจ้าแต่งเข้าวังมาก็นานแล้ว หากยังมิได้เข้าร่วมบรรทมกับฝ่าบาทอีกใช้ได้ที่ใดกัน?”เดิมทีพระนางตั้งใจจะเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้ ทว่า ฝ่าบาทที่มิใส่ใจเรื่องนี้จึงได้แต่พยายามบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดในเมื่อฝ่าบาทสามารถทำให้ฮองเฮาตั้งครรภ์ได้แล้วนั้น เช่นนี้พระองค์ย่อมมิอาจหาเรื่องปฏิเสธไปได้อีกอีกทั้ง เขาที่เคารพรักเสด็จย่าเช่นนางมาโดยตลอดในยามที่เพิ่งจัดพิธีมงคลสมรสไปได้ไม่นานนั้น ฮองเฮาก็ยังเป็นสตรีพรหมจรรย์อยู่ หากแต่เป็นพระนางที่ออกคำสั่ง จึงทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาได้เข้าหอเช่นนี้การถวายตัวของฉานเอ๋อร์นั้น ไทฮองไทเฮาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งใบหน้าสวยงามของมู่หรงฉานพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงพลางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“หม่อมฉันน้อมรับฟังคำของท่านเพคะ”ถึงแม้ท่าทีของมู่หรงฉานจักดูอ่อนโยนเรียบร้อย ทว่า นัยน์ตากลับฉายแววความทะเยอทะยานออกมาแต่งเข้าวังมาในฐานะสนม ประสูติพระโอรส เดิมทีทั้งหมดล้วนแต่เป็นเป้าหมายของนางทว่านางถูกเรื่องราวของตระกูลมารดาฉุดรั้งเอาไว้เท่านั้นในยามนี้ก็ปล่อยให้ฮองเฮามีอำนาจเหนือกว
เฉียวม่อที่ยืนมาโดยตลอดนั้น เมื่อได้ยินเฟิ่งจิ่วเหยียนออกคำสั่งให้ตนเองคุกเข่าลง นางถึงกับชะงักไปในทันทีแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนฉายแววเย็นชา“ข้าสั่งให้เจ้าคุกเข่า เจ้าย่อมมิอาจยืนได้ ตนเองเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก แม้แต่กฏเช่นนี้ยังมิรู้งั้นหรือ?”เฉียวม่อรู้สึกจุกอกขึ้นมาในทันทีไม่ว่านางจักเอ่ยเล่นลิ้นออกมาอย่างไร ย่อมมิอาจอยู่เหนืออำนาจของราชสำนักไปได้ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะศิษย์พี่เอ็นดูนาง อย่าว่าแต่ให้คุกเข่าเลย แม้แต่ให้ยืนนาน ๆ ศิษย์พี่ก็หาให้นางทำเช่นนั้นไม่ความห่างของระดับชั้นนี้ ทำเอาเฉียวม่อมิอาจรับได้ นางยืนนิ่งมิขยับเช่นนั้นอยู่นานเมื่อได้ยินคำสั่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น องครักษ์ของวังหลวงจึงได้เข้ามาในตำหนักเฉียวม่อที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันนึกไปถึงศิษย์พี่ยามที่อยู่ในค่ายทหาร เพียงแค่ร้องเรียกคำเดียว บรรดาเหล่าทหารก็จะก้าวออกมารับคำสั่งในทันทีนี่คืออำนาจเป็นแม่ทัพนั้นมีอำนาจ ฮองเฮาก็มีอำนาจเช่นกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีดุดันว่า“เมิ่งเฉียวม่อกระทำตัวต่อเราด้วยความหยาบคาย ลากออกไปคุกเข่าสักหนึ่งชั่วยามเสีย”ทหารองครักษ์รับคำสั่งพวกเขาหาได
เฉียวม่อคุกเข่าท่ามกลางลมหนาวที่พัดเข้ากระดูมานานกว่าครึ่‘ชั่วยาม เมื่อเห็นฝ่าบาทเสด็จมานั้น นางจึงรีบหันหน้าไปหาด้วยท่าทีไร้หนทางในทันทีมิคิดเลยว่า ฝ่าบาทหาได้หันมามองนางสักตาเดียวไม่ พลางเดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านในตำหนักแทนเฉียวม่อจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฝ่าบาท พลางกำหมัดที่แดงก่ำจากความหนาวเย็นเอาไว้แน่นศิษย์พี่มิได้ชมชอบฝ่าบาท นางรู้ดีแล้วฝ่าบาทเล่า?ฝ่าบาทดูเหมือนจะ...ชอบศิษย์พี่มากทว่า ไม่ว่าจะชมชอบสตรีมากเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็คงมิยอมให้สตรียื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องราวในราชสำนักอย่างแน่นอน ทั้งยังมิยินยอมให้นางมารังแกท่านแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของตนเองอีกด้วย!ภายในตำหนักในเมื่อเซียวอวี้เข้ามานั้น เขาก็ไล่คนอื่น ๆ ให้ออกไปในทันที ซันหมัวมัวหันกลับไปมองฮองเฮาด้วยท่าทีหมดหนทาง พลางใช้สายตาสื่อออกมาวว่า “ผู้ใดให้ท่านมิฟังคำข้า เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ทว่า บนใบหน้าหาได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือรู้สึกผิดอันใดไม่“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”เซียวอวี้พลางถามด้วยท่าทีดุดัน“เหตุใดต้องลงโทษแม่ทัพเมิ่งให้นั่งคุกเข่าด้วย?”เซียวอวี้มิได้เอ่ยต่
เมื่อได้ยินว่าเฉียวม่อเป็นลม สายตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนไปในทันทีพลางขมวดคิ้วเป็นปม เพื่ออดกลั้นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโมโหเอาไว้ พร้อมเอ่ยตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาว่า“เจ้าทำได้ ‘ดี’ ยิ่ง!”เซียวอวี้จึงสั่งให้คนไปอุ้มเฉียวม่อเข้าไปพักที่ตำหนักข้าง ทั้งยังเรียกตัวให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูอาการของนางในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง ห้ามคนภายในตำหนักหย่งเหอแพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปไม่นานนัก เฉียวม่อจึงตื่นขึ้นมาภายในตำหนักที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมีนางกำนัลสาวใช้ที่รอปรนนิบัตินางอยู่ภายในตำหนักนั้น“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” นางกำนัลเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเฉียวม่อหาได้เป็นลมจริง ๆ ไม่นางเพียงแค่อดทนรอไม่ไหวเท่านั้นในยามนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียง พลางแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนแรงออกมาให้เห็น“พยุงข้า...ขึ้นมา ข้ายังคุกเข่าไม่ครบหนึ่งชั่วยาม...”ตึก!นางทำเหมือนขาทั้งสองข้างได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังไม่ไหว เมื่อนางลุกขึ้นมานั้นร่างกายจึงล้มลงไปบนพื้นในทันทีนางกำนัลจึงเข้ามาช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยไว“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านมิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ
เซียวอวี้หยิบถุงหอมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันทีเขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพื่อมิให้นางคิดทำอะไรบุ่มบ่ามในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสียงสั่งการไปยังด้านนอกตำหนักว่า“เชิญหมอหลวง!”ไม่นานนัก หมอหลวงชราที่เป็นผู้ดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ของฮองเฮาก็รีบมาในทันทีเขารู้ดีว่าฮองเฮาหาได้ตั้งครรภ์ไม่หมอหลวงเพียงแค่ดมถุงหอมก็สามารถสรุปออกมาได้ว่า“ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้คือกลิ่นหลิงหลิงพ่ะย่ะค่ะ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หาได้พบความผิดปกติไม่คำพูดของหมอหลวงหลังจากนั้นกลับขยายความออกมาในทันที“ทว่า ของสิ่งนี้มีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นชะมด หากสตรีมีครรภ์สัมผัสได้สูดกลิ่นเข้าไปเป็นเวลานานนั้น ย่อมส่งผลต่อทารกในครรภ์ จนนำไปสู่การตกเลือดหรืออาจทำให้ทารกในครรภ์ตายได้พ่ะย่ะค่ะ! มิต้องเอ่ยถึงสตรีตั้งครรภ์เลย แม้แต่สตรีปกติทั่วไปก็มิเหมาะที่จะพกถุงหอมนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนลอบกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตนเองเจอจนได้...ดวงตาของเซียวอวี้ค่อย ๆ มืดครึ้มลง ราวกับว่าแสงสว่างที่ค่อย ๆ มอดดับไป ทั้งยังเจือไปด้วยความหนาวเย็น ทำเอาผู้คนนึกหวาดกลัวจนตัวสั่นไปในทันทีทว่า
เมื่อเฉียวม่อเห็นฝ่าบาทเดินออกจากตำหนักหย่งเหอไปนั้น นางจึงรีบติดตามไปในทันทีนางที่เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูนั้น โดยปกติแล้วหากมิได้มีพระราชโองการเรียกตัวย่อมมิอาจเข้ามาในวังได้ในฐานะที่นางเป็นสตรีนั้น เกรงว่าไม่ว่าจักมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด ก็มิอาจเข้าร่วมการว่าความหรือการประชุมเพื่อพูดคุยเรื่องบ้านเมืองได้หากว่ากันแล้ว นางมีโอกาสน้อยมากนักที่จะได้พบฮ่องเต้ยามที่นางอยากจะเอ่ยเรื่องบางอย่างออกมานั้น กลับเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน ราวกับอยากจะสังหารผู้ใดก็ไม่ปานนางพลันรู้สึกหวาดผวาไปในทันที ความประทับใจที่ฝ่าบาทมีให้แก่นางนั้น อย่างมากที่สุดคือท่าทีเข้มงวดหรือใบหน้าที่มีรอยยิ้ม หาได้น่ากลัวเท่ากับวันนี้ไม่“เรื่องใด?” กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งก็ไม่ปาน สามารถแช่แข็งความอบอุ่นโดยรอบที่หลงเหลืออยู่เฉียวม่อที่ได้สติกลับมานั้น นางจึงรีบยกมือขึ้นคำนับในทันที“หม่อมฉันมีพิมพ์เขียวอาวุธที่หม่อมฉันอยากจะนำมาถวายแด่ฝ่าบาทเพคะ!”ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าทำเอารู้สึกความเจ็บปวดขึ้นมาในฐานะฮ่องเต้ของแผ่นดินนั้น
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีกว่าผู้ใด ปืนหอกไฟแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะสามารถใช้การได้ดี แต่แท้จริงแล้ว หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่สิ่งที่เฉียวม่อมองว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าจนนำไปเป็นของตัวเอง แท้จริงแล้วล้วนเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับนางในขณะเดียวกัน ผู้คนภายในกรมศัสตราวุธต่างก็พากันล้อมดูภาพพิมพ์เขียวแผ่นนั้นสายตาของพวกเขาพลันเปล่งประกายออกมา ทั้งยังเอ่ยชมเชยออกมาไม่ขาดปากว่า“เมิ่งเฉียวม่อผู้นี้นับว่าเป็นวีรสตรีจริง ๆ ! นางสามารถวาดพิมพ์เขียวออกมาได้งดงามจริง ๆ !”“กรมศัสตราวุธของพวกเรามิได้มีของดี ๆ แบบนี้มานานแล้ว! แจ้งข่าวแก่ช่างฝีมือทุกนายว่า เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องสนใจ รีบสร้างปืนหอกไฟแบบใหม่ขึ้นมาเสียก่อนเถอะ!”“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยยิ่งนัก!”หลังจากที่ได้เห็นภาพพิมพ์เขียวนั้น คำชื่นชมสรรเสริญเยินยอที่มีต่อเฉียวม่อก็เพิ่มขึ้นมาในทันทีสตรีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ใต้หล้านับว่าหาได้ยากยิ่งนักนับว่าโชคดีที่นางเกิดและเติบโตในหนานฉีปืนหอกไฟหรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปืนฉับพลัน ปืนลำสั้นจักยาวประมาณหนึ่งนิ้ว และปืนลำกล้องยาวจักยาวถึงเจ็ดนิ้วรูปร่างภายนอกดูเหมือนท่อยาว ๆ หลังจากที่มีการ
ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั้น พลันทุบปิ่นปักผมในมือลง ทำเอานางกำนัลที่กำลังทำผมให้อยู่ถึงกับหวาดผวารีบคุกเข่าลงไปในทันที“พระสนมใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ!”หนิงเฟยมองดูตัวเองในคันฉ่อง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของนางหลังจากที่ใช้ชีวิตทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมานานหลายปี ใบหน้านี้หาได้หลงเหลือความเป็นสตรีในวัยแรกแย้มเอาไว้ไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ มากมาย ถึงได้มองดูมีความเปล่งประกายงดงามออกมานางที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางสนม หากแต่หาได้เคยร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ไม่ บอกไปผู้ใดจักไปเชื่อฮองเฮาที่มาทีหลังแต่มีสถานะที่มั่นคง นางก็หาได้อันใดไม่ ในยามนี้นางยังมาถูกสตรีเช่นมู่หรงฉานที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ครบหนึ่งปีแซงหน้าไปอีก!ทั้งยังเป็นในวันเกิดของนางอีก...หนิงเฟยยังคงเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า“ฝ่าบาทเรียกตัวให้จิ้งกุ้ยเหรินมาร่วมบรรทมจริง ๆ หรือ?”สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบร้อนพยักหน้าลงในทันที“เพ...เพคะ”นางรู้ดีว่าพระสนมไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยโป้ปดออกมาเรื่องที่จิ้งกุ้ยเหรินถูกเรียกให้
เซียวอวี้รู้สึกมุทะลุน่าขันถึงว่านาง “สูญหาย” ไปหลายวัน ยังทำให้ตนเองกลายเป็นสภาพเช่นนี้ ที่แท้ก็ไปขุดหลุมฝังศพบรรพบุรุษของคนอื่น !เขาเดินมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ยกมือเช็ดฝุ่นบนใบหน้าให้นางด้วยตนเอง“เรื่องอันตรายเช่นนี้ ทำไมเจ้าจะต้องไปทำด้วยตนเอง ?“เจ้ารออภิเษกอยู่อย่างสงบ ไม่ได้หรือ ? ”ตอนนี้ก็เหลือเพียงชุดแต่งงานยังปักไม่เสร็จ ไม่อย่างนั้นเขาสู่ขอนางเข้าวังมาตั้งแต่แรกแล้ว เขาจะได้ไม่ต้องอกสั่นขวัญแขวนทุกวี่วันทว่าครั้งนี้ถือว่าเข้าใจหัวอก ความรู้สึกของสองสามีภรรยาตระกูลเมิ่งในตอนนั้นตอนที่นางยังเป็นเด็ก ก็คง “อยู่ไม่เป็นสุข” เช่นนี้ วันทั้งวันวิ่งไปโน่นวิ่งไปนี่เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“หลุมฝังศพมีกลไกมาก ข้าก็อยากไปเรียนรู้”มองท่าทีแสวงหาความรู้ด้วยความตั้งใจจริงของนาง ในใจเซียวอวี้อ่อนไหวทันที ประคองใบหน้าของนางไว้ พร้อมจูบบนริมฝีปากของนางสองทีชื่นชอบนางอย่างมากจริง ๆ จนไม่รู้จะพรรณนายังไงเฟิ่งจิ่วเหยียนถูกเขาจูบอย่างแรงจนเซถอยหลัง “พูดเรื่องจริงจัง สิ่งของที่ถูกฝังกับศพ ไม่สามารถใช้ได้ทั้งหมด...”เซียวอวี้ใช้มือข้างหนึ่งจับท้ายทอยของนางไว้
หร่านชิวตายไปแล้ว พรรคเทียนหลง สำนักจินเหลียนล้มล้างอย่างสิ้นเชิง หยางเหลียนซั่วเป็นมนุษย์หมูได้ไม่กี่วัน ก็เสียชีวิตใต้ก้อนหินที่ถูกคนขว้างปานับจากนั้น ยุทธภพไม่มีพรรคเทียนหลงอีก ทายาทราชวงศ์แคว้นเฉินขาดสิ้นวันเกิดวันที่สองของเซียวอวี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนพาคนมาถึงป่าทุรกันดาร ตามหาหลุมฝังศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉินเพื่องานนี้ นางนำตัวโจรปล้นสุสานหลายคนออกมาจากคุกหลวงคนชำนาญทำงานเฉพาะทางโจรปล้นสุสานพวกนี้ใช้ความเชี่ยวชาญที่มี เพียงไม่กี่วัน สามารถกำหนดตำแหน่งหลุมศพได้โดยประมาณจากการขุดอยู่อย่างต่อเนื่อง มีโลงศพปรากฏขึ้นมาที่แปลกก็คือ โลงศพนี้วางเป็นแนวตั้งโจรปล้นสุสานพูดขึ้นมาอย่างตื่นเต้น “ฝังศพแนวตั้ง คนในโลงศพมีสถานะสูงส่ง! ใช่! จะต้องเป็นโลงศพของฮ่องเต้ไท่จงแคว้นเฉินแน่ ! ”องครักษ์คนหนึ่งพบว่าดินร่วน “มีเหตุผิดปกติ ! ”หลังจากขุดดินร่วน ปรากฏประตูเตี้ยบานหนึ่งเฟิ่งจิ่วเหยียนมองประตูเตี้ยนั้น แล้วก็รีบสั่งให้คนย้ายโลงศพออกมา เพื่อหาสถานที่ฝังใหม่อีกครั้งจากนั้นก็สั่งคนงัดประตูเตี้ยนั้นออก ดูว่าข้างหลังประตูมีอะไรไม่นาน ประตูถูกงัดเปิดออกเห็นเพียงข้างในเป็นรูแคบ
ได้ยินประโยคหลังของเซียวอวี้ ท่าทีเฟิ่งจิ่วเหยียนเปลี่ยนไปเล็กน้อยลองเขา?เฟิ่งจิ่วเหยียนหันตัวไป ถามทั้งที่รู้“ลองอย่างไร? ”เซียวอวี้จับมือของนางไว้ ลูบจากหน้าอกของเขาเลื่อนไปถึงท้องน้อย ในเวลาเดียวกันสายตาก็จับจ้องนาง ดูการเปลี่ยนแปลงการแสดงออกของนางเฟิ่งจิ่วเหยียนหายใจกระสับกระส่าย ดวงตาหรี่ลง มองเห็นอารมณ์ในสายตาของนางไม่ชัดเจนเซียวอวี้ขยับเข้ามาใกล้ข้างหูของนาง ยิ้มหัวเราะด้วยเสียงแหบเบา ๆ“ล้อเจ้าเล่น”นางมักจะสุขุมเย็นชา อยากเห็นท่าทีเอียงอายของนางนั้น ยากมากจริง ๆพูดเสร็จ เขาก็ปล่อยมือของนาง แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง“เราอยากเก็บไว้ในคืนวันแต่งงาน”ก่อนวันแต่งงาน เขาต้องอดกลั้นไว้ยามที่เขากำลังถอยออก เฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวเข้ามาหา คว้าจับคอเสื้อของเขา แววตาเต็มไปด้วยความก้าวร้าว ราวกับเผชิญหน้ากับศัตรูในสนามรบ“หากข้าจะเอาล่ะ ? ”เซียวอวี้ก้าวถอยหลังหลังหนึ่งก้าว ใบหน้าสับสนเล็กน้อยอย่างไม่น่าเชื่อ“จิ่วเหยียน เจ้าสงบหน่อย”เขาก็อยากพลอดรักกับนาง ทว่าก็อยากได้งานแต่งงานที่ครบสมบูรณ์เฟิ่งจิ่วเหยียนกวาดมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า สายตาเต็มไปด้วยรอยยิ้มไม่ชัดเจ
หร่วนฝูอวี้อ้อมมาข้างหน้ารุ่ยอ๋อง สายตาเต็มไปด้วยความสนใจ“ข้าเดาว่า ตอนนี้เจ้าจะต้องแปลกใจอย่างมาก ว่าข้ารู้ได้อย่างไร“ความจริงนั้น ง่ายมาก“ผู้ชายที่ไม่ชอบข้า หากไม่ใช่มีคนรักแล้ว ก็เป็นคนที่ไม่ชอบผู้หญิง! ส่วนท่าน ก็คืออย่างหลัง”รุ่ยอ๋อง: นางช่างมั่นใจในตนเองหร่วนฝูอวี้พูดอีก“ท่านคงกำลังคิดว่า ทำไมข้าถึงได้มั่นใจในตนเองขนาดนี้“ฮ่าๆ ผู้หญิงที่งดงามอย่างข้า...”รุ่ยอ๋องแลดูอ่อนโยนราวกับหยก พูดขึ้นมาอย่างไม่ช้าไม่เร็ว ด้วยน้ำเสียงที่ห่วงใย“แม่นางหยวน เจ้าเดินไปข้างหน้า เลี้ยวขวาที่ตรงทางแยกที่สอง เจ้าจะเห็นร้านเกี๊ยวร้านหนึ่ง ทางด้านทิศตะวันออก ด้านหน้าห้องที่สอง เจ้าเดินเข้าไป หมอที่นั่นจะตรวจอาการของเจ้าให้เป็นอย่างดี”หร่วนฝูอวี้: ! !เขากำลังด่าว่านางป่วย?……ในรถม้าเฟิ่งจิ่วเหยียนงีบหลับครู่หนึ่งหลายวันมานี้นางยุ่งกับการตามจับโจรสลัด อดหลับอดนอนรอเมื่อนางตื่นขึ้นมา พบว่าทิศทางไม่ถูกต้องนางรีบเปิดม่านหน้าต่าง มองออกไปข้างนอก“นี่ไม่ใช่ทางไปโรงพักแรม”นางหันมามองเซียวอวี้ที่อยู่ด้านข้างเซียวอวี้เอื้อมมือโอบเอวของนางไว้ ในความมืดมิด แววตาเต็มไปด้วยความเ
ดวงตาหร่วนฝูอวี้เต็มไปด้วยความรัก พูดกับเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างยิ้มหวาน“ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะเข้าวังกับเจ้า”จากนั้นก็เปลี่ยนน้ำเสียง หันไปพูดกับเซียวอวี้“ฮ่องเต้ฉี ท่านแต่งตั้งให้หม่อมฉันเป็นสนมอะไรก็ได้ หม่อมฉันก็ไม่ต้องการตำหนักใหญ่โต ได้อาศัยอยู่กับท่านพี่ของข้าก็พอ”ตาคิ้วเซียวอวี้เยือกเย็นอย่างที่สุด ฟันกรามหลังคันยิก ๆ ยัก ๆแต่งตั้งเป็นสนม?นางช่างวางแผนได้ดีสายตาที่เซียวอวี้มองนาง ราวกับมองคนตาย“เจ้าหรือ โกศกำลังดี”“ท่าน!” สายตาหร่วนฝูอวี้ปรากฏรัศมีสังหาร กลับไม่สามารถฆ่าเขาได้จริง ๆนางหันไปควงแขนเฟิ่งจิ่วเหยียน ท่าทีราวกับไม่มีใครแยกพวกเขาออกจากกันได้ พูดขึ้นมาอย่างออดอ้อน“ท่านพี่ เจ้ายังติดค้างข้าค่ำคืนแห่งวสันต์”เซียวอวี้โมโหมาก“เจ้าอยากตายหรือ!”หร่วนฝูอวี้ฟังคำพูดของเขาเข้าหูซ้ายทะลุหูขวา พูดอย่างถูกต้องก็คือ ไม่สนใจกับการมีตัวตนอยู่ของเขาเลยนางพูดเตือนเฟิ่งจิ่วเหยียน“เจ้าลืมไปแล้วหรือ? ตอนที่เจ้าอยู่ชายแดนใต้ ยืมหมอผีของข้าไปคนหนึ่ง เจ้ารับปากข้า เราสองคน...อืม?”ในระหว่างที่พูด นิ้วมือหร่วนฝูอวี้เกาะบนไหล่เฟิ่งจิ่วเหยียน แสดงออกถึงความงดงามอ่อนโ
เฟิ่งจิ่วเหยียนเช่าบ้านไว้หนึ่งหลัง ขังโจรสลัดพวกนั้นไว้ข้างในพวกเขาถูกทรมานจนเนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลอู๋ไป๋ชี้ไปยังตรงมุมที่หายใจรวยรินคนนั้น แล้วก็พูดกับเฉินจี๋“คนนั้นแหละ ก่อนหน้านี้เกือบหนีไป นายท่านไล่ตามกลับมาด้วยตนเอง”พวกโจรสลัดเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน ราวกับหนูเจอแมว ตัวสั่นเทาไม่หยุดพวกเขาเคยเป็นกองโจรสลัดที่เก่งกาจ ตอนนี้กลับถูกหนุ่มคนหนึ่ง ตบตีจนแม้แต่แม่ก็จำไม่ได้แล้ว“อย่าตี... อย่าตีข้า ที่ควรพูดข้าก็ล้วนพูดหมดแล้ว...”เฉินจี๋หิ้วคนหนึ่งขึ้นมา ลากไปตรงหน้าเซียวอวี้นิ้วมือทั้งสิบของคนนั้นเปื้อนไปด้วยเลือด ดูก็รู้ว่าถูกทรมานมาก่อนเขาพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงสั่นเทา “มีคนให้ทองพวกเราเป็นจำนวนมาก สั่งพวกเราลงมือทำเช่นนั้น “พวกเราทำงานรับค่าจ้าง รู้เพียงว่านั่นคือเรือของตระกูลมั่งคั่ง...ไม่เช่นนั้น ต่อให้พวกเรามีความกล้าหาญคับฟ้า ก็ไม่กล้าปล้นเรือของราชวงศ์“ตอนที่เรือคว่ำ คนอื่นหนีไปหมดแล้ว ผู้หญิงคนนั้นกระโดดลงจากเรือ พวกเราเป็นคนช่วยนางขึ้นมา“นางเอาป้ายหยกของนางให้พวกเรา บอกว่ามีมูลค่ามาก ขอให้พวกเราปล่อยนางไป“นางสวยงดงามมาก เดิมพวกเราคิดอยากบังคับขืนใจ เมื่
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ว่าในวังมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิด จึงนัดไว้เป็นเวลายามไฮ่สุดท้าย ก่อนยามไฮ่หนึ่งชั่วยาม เซียวอวี้ก็มาแล้วเขาแต่งตัวสวมอาภรณ์สีแดง “งดงามฉูดฉาดหรูหรา” เฟิ่งจิ่วเหยียนมองข้างหลัง ยังนึกว่าเจียงหลินโผล่มาแขกรอบข้างต่างมองดูเขานางมาถึงหอสุราก่อนเวลาครึ่งชั่วยาม คิดไม่ถึงว่าเขามาเร็วกว่า“หม่อมฉันจองห้องส่วนตัว อยู่ชั้นสอง” เซียวอวี้คว้าจับมือของนางไว้ทันที กลับถูกนางสะบัดทิ้งด้วยสัญชาตญาณยังไง เวลานี้นางแต่งกายเป็นบุรุษผู้ชายสองคนเดินจุงมือกัน ดูได้ที่ไหนมือเซียวอวี้ค้างอยู่กลางอากาศ น้อยใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกหรือนางโกรธที่ตนเองไม่ได้อยู่กับนางมาหลายวัน?เมื่อเข้าไปในห้องส่วนตัวแล้ว เซียวอวี้รวบโอบกอดคนตรงหน้าทันทีข้างนอกประตู อู๋ไป๋ปิดประตูห้องอย่างรวดเร็วเขาเงยศีรษะขึ้นมา เห็นเฉินจี๋ไม่ขยับเขยื้อน ได้แต่ยืนตัวตรง ก็ทนไม่ไหวแล้วจริงๆ“ข้าว่า เจ้าปิดประตูไม่เป็นหรือ?”เฉินจี๋ : ?ภายในห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนผลักเซียวอวี้ ขมวดคิ้วพูดขึ้นมา“เนื้อตัวหม่อมฉันสกปรก”เซียวอวี้เพิ่งค่อยสังเกตเห็น บนอาภรณ์ของนางเปื้อนไปด้วยฝุ่น ราวกับได้มุดผ่านตร
คำพูดที่มู่หรงหลันพูดก่อนตาย รุ่ยอ๋องเล่าให้เฟิ่งจิ่วเหยียนฟัง “น่าเสียดาย นางพูดเพียงมนุษย์โอสถ ไม่พูดอะไรต่อ” ระหว่างคิ้วรุ่ยอ๋องเต็มไปด้วยความโศกเศร้าเฟิ่งจิ่วเหยียนครุ่นคิด“พรรคเทียนหลงเคยเลี้ยงมนุษย์โอสถ ควรที่จะสืบต่อไป ทว่าเรื่องนี้ควรให้ฝ่าบาทตัดสินพระทัย”เมื่อพูดเสร็จ นางทำความเคารพกล่าวลารุ่ยอ๋องหันมามองเงาร่างของนางที่เดินจากไป ยังรู้สึกประหลาดใจ...แม่ทัพน้อยเมิ่งที่กล้าหาญสง่างามมีชีวิตชีวาในตอนนั้น กลับเป็นสตรี……ความผิดที่มู่หรงเหลียนรับสารภาพ พัวพันกับคดีที่ไม่เป็นธรรมมากมายเมื่อรวมกับคำสารภาพของหยางเหลียนซั่ว ดังนั้น คดีความอยุติธรรมของอดีตรัชทายาทกับตระกูลเฉินก็กระจ่างขึ้นวันรุ่งขึ้น อาชญากรรมของพรรคเทียนหลงถูกเปิดเผยต่อสาธารณะ ผู้กระทำผิดหลัก หยางเหลียนซั่ว ถูกเปลี่ยนให้เป็น “มนุษย์สุกร” ลากตัวไปในตลาด ให้ผู้คนมุงดูหยางเหลียนซั่วยังสามารถได้ยิน เขาเสียใจอย่างมาก ไม่สามารถฆ่าตัวตายเพื่อรักษาศักดิ์ศรีเป็นถึงผู้สืบเชื้อสายมาจากราชวงศ์แคว้นเฉิน ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากจัณฑาลเหล่านี้หยางเหลียนซั่วในยามนี้ ในทุกวันที่มีชีวิตอยู่ ล้วนเป็นการทรมานที่เจ็บปวด
เซียวอวี้ไม่เคยคิดมาก่อน ตนเองฟังคำสั่งเสียของอดีตฮ่องเต้ผิดไปเฟิ่งจิ่วเหยียนอธิบายอย่างใจเย็น“ในเมื่อพูดจาคลุมเครือไม่ชัดเจน ฉะนั้น ‘สื่อ’(ที่มีความหมายว่าตาย) กับ ‘ซื่อ’(ที่มีความหมายว่าสกุล) สับสนได้ง่าย”“ ‘หลิว’(ที่มีความหมายว่าเก็บไว้) เป็นพยางค์สุดท้ายที่อดีตฮ่องเต้ทรงตรัส ไม่สามารถออกเสียงชัดถ้อยเหมือนคนปกติ ด้วยการหายใจลากเสียงยาว คนอื่นได้ยิน หลิว ถูกแยกกลายเป็น ‘ลี่โฮ้ว’(ที่มีความหมายว่าตั้งเป็นฮองเฮา) ” เซียวอวี้ยังคงสงสัย“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ทำไมไม่พูดให้กระจ่างโดยตรง? พูดว่าสังหารมู่หรง ไม่ชัดเจนยิ่งกว่าหรือ”ตาคิ้วเฟิ่งจิ่วเหยียน ปกคลุมไปด้วยความเยือกเย็น“อยู่ในชายแดนเหนือ ข้าเคยได้ยินคำสั่งเสียของคนนับไม่ถ้วน ในขณะที่คนใกล้สิ้นใจ รู้ตัวเองว่ามีเวลาคับขัน จึงคำนึงถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน สำหรับอดีตฮ่องเต้ สิ่งที่สำคัญที่สุดในประโยคสมบูรณ์ก็คือ มู่หรง”“หรือจะเป็นมู่หรงหลัน ตระกูลมู่หรง ทั้งเผ่าพันธุ์มู่หรง พระองค์อยากเตือนท่าน มู่หรงมีปัญหา”“ทว่าหลังจากพระองค์พูดมู่หรงสองพยางค์ ก็ยากลำบากมากแล้ว ซึ่งเห็นได้จากประโยคที่พระองค์พูดอย่างสั้น ๆ เขากังวลว่าพยางค