ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั้น พลันทุบปิ่นปักผมในมือลง ทำเอานางกำนัลที่กำลังทำผมให้อยู่ถึงกับหวาดผวารีบคุกเข่าลงไปในทันที“พระสนมใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ!”หนิงเฟยมองดูตัวเองในคันฉ่อง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของนางหลังจากที่ใช้ชีวิตทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมานานหลายปี ใบหน้านี้หาได้หลงเหลือความเป็นสตรีในวัยแรกแย้มเอาไว้ไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ มากมาย ถึงได้มองดูมีความเปล่งประกายงดงามออกมานางที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางสนม หากแต่หาได้เคยร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ไม่ บอกไปผู้ใดจักไปเชื่อฮองเฮาที่มาทีหลังแต่มีสถานะที่มั่นคง นางก็หาได้อันใดไม่ ในยามนี้นางยังมาถูกสตรีเช่นมู่หรงฉานที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ครบหนึ่งปีแซงหน้าไปอีก!ทั้งยังเป็นในวันเกิดของนางอีก...หนิงเฟยยังคงเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า“ฝ่าบาทเรียกตัวให้จิ้งกุ้ยเหรินมาร่วมบรรทมจริง ๆ หรือ?”สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบร้อนพยักหน้าลงในทันที“เพ...เพคะ”นางรู้ดีว่าพระสนมไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยโป้ปดออกมาเรื่องที่จิ้งกุ้ยเหรินถูกเรียกให้
ณ ตำหนักหย่งเหอ การที่จิ้งกุ้ยเหรินได้ร่วมบรรทม ฮองเฮาไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ กลับเป็นซุนหมัวมัวที่ร้อนใจจนอยู่ไม่เป็นสุข หากว่าจิ้งกุ้ยเหรินก็ตั้งครรภ์พระโอรสด้วย ฮองเฮาก็มิใช่ผู้เดียวที่ได้ครอบครองความโปรดปรานจากฝ่าบาท! ยิ่งไปกว่านั้นจิ้งกุ้ยเหรินกับหรงเฟยดูคล้ายกันราวกับแกะ บัดนี้ฝ่าบาทยังแสดงความปรารถนาต่อนาง เกรงว่าในวันข้างหน้าจะต้องเต็มไปด้วยความโปรดปรานนางอย่างแน่นอน เหตุใดฮองเฮายังมีอารมณ์ไปเยือนตำหนักฉือหนิง เพื่อร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฟยอีกเล่า! ตำหนักฉือหนิง ไทเฮา ฮองเฮาและเหล่านางสนมร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฟย ทว่าช่างไร้ความครื้นเครง เนื่องจากหัวใจของใครหลายคนลอยไปอยู่ที่ตำหนักฟางเฟยแล้ว สุราชั้นยอดที่ดื่มนี้ช่างไร้รสชาติ ไทเฮาเคยผ่านการเป็นนางสนมมาก่อน ย่อมทราบความคิดของพวกนาง นางเอ่ยอย่างมีความนัย “ในเมื่อได้เข้าวังกันแล้ว ทุกคนจึงเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน สมควรมีความปรารถนาดีต่อกัน จึงจะทำให้วังหลังแห่งนี้เกิดความสามัคคีได้ และเมื่อนั้นฝ่าบาทจึงสามารถทุ่มเทกับราชกิจในพระราชวังส่วนหน้าได้อย่า
“ฮองเฮาเพคะ” นางสนมเจียงเดินออกมาจากหลังต้นไม้ พร้อมแววตาที่หนักอึ้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง “มีธุระอันใด?” นางสนมเจียงผงกศีรษะด้วยความลังเลใจ หลังจากนั้น นางก็เดินตามเฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ตำหนักหย่งเหอด้วยกัน เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงชั้นในแล้ว นางสนมเจียงพลันรีบร้อนคุกเข่าลงต่อหน้านางทันที “ฮองเฮา ท่านได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความเงียบสงบอย่างยิ่ง “อยากร่วมบรรทมด้วยหรือ?” น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือก นางสนมเจียงพลันกัดริมฝีปาก และพยักหน้าอย่างยากลำบาก นางหันหน้าระบายความในใจต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยน้ำตาคลอหน่วย “หม่อมฉันมิรู้วิธีต่อสู้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเลย “จิ้งกุ้ยเหรินเข้าวังช้ากว่าหม่อมฉัน กลับสามารถ...กลับสามารถได้ร่วมบรรทมแล้ว หม่อมฉันไม่อยากยอมรับจริง ๆ “ฮองเฮาเพคะ ในราตรีนี้หนิงเฟยใช้วาจาหยาบคายก็จริง ทว่านางมิได้พูดเกินความจริงเลย บัดนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์ มิอาจร่วมบรรทมด้วยได้ ย่อมจะมีคนถือโอกาสนี้ปีนขึ้นที่สูงกว่า “แทนที่จะ...แทนที่จะให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ มิสู
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิทราบสาเหตุที่ตัวเองหมดสติ เมื่อตื่นขึ้นมา พลันได้เห็นเซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง ด้วยสีหน้าบึ้งตึง และประกายตาคมกริบกว่าเดิม “ตื่นแล้วรึ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เจือกลิ่นอายสังหาร นางมองเลยออกไป จึงได้เห็นเหลียนซวงคุกเข่าอยู่บนพื้น ยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนติดต่อกันอยู่นอกตำหนัก ลอยทะลุเข้ามาในโสตของนาง หนึ่งในนั้นมีซุนหมัวมัวที่ถูกทรมานอย่างหนักด้วย นางถูกโบยด้วยไม้ ปากก็ร้องตะโกนขอความเป็นธรรม “ฝ่าบาท บ่าวมีความภักดีต่อฮองเฮาอย่างสุดซึ้ง! ฝ่าบาทเพคะ——บ่าวไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายพระโอรสเลย...” เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องการลุกขึ้น กลับได้ยินเซียวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “นอนลง!” นางรู้สึกสับสน ทว่ายังรู้สึกได้ชัดเจนถึงร่างกายที่อ่อนแรงมาก ราวกับถูกถ่ายเลือดออกมา... น้ำเสียงของเซียวอวี้มิต่างจากกรวดทราย ที่ประสานกับความหนาวเหน็บของเหมันตฤดู “หากว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์บุตรอยู่จริง ๆ วันนี้คงรักษาชีวิตไว้มิได้” เฟิ่งจิ่วเหยียนย่นคิ้วเบา ๆ ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เหลียนซวงก็เงยหน้า
ในเดือนแรกของปี อากาศยังคงหนาวเหน็บ บรรดาข้าหลวงถูกกดลงกับพื้นเป็นแถวเรียงราย แล้วโบยด้วยไม้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า จนเนื้อตัวเต็มไปด้วยแผลเหวอะหวะ ผู้คนต่างเล่าลือว่าฮ่องเต้เผด็จการและโหดเหี้ยม ทว่ามู่หรงฉานไม่เคยได้เห็นเองกับตา ในเวลานี้มาได้เห็นแล้ว นางค่อนข้างรู้สึกไม่สบายใจนัก นางสงบจิตใจพลางฝืนเดินเข้าสู่ห้องบรรทม เมื่อได้เห็นฝ่าบาทประทับอยู่ข้างเตียง หัวคิ้วขมวดมุ่น ส่วนฮองเฮากำลังนอนอยู่บนเตียง มองแล้วน่าจะยังไม่ได้สติเลย “หม่อมฉันถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ...” มู่หรงฉานก้าวเดินไปข้างหน้า น้ำเสียงนุ่มนวลละมุนละไม เซียวอวี้ได้ยินเสียงของนาง เพียงเหลือบมองผ่านทางหางตา นัยน์ตาของเขาสื่อถึงแววตำหนิ “ข้างนอกอากาศหนาวนัก ออกมาทำอันใด?” ถ้อยคำเหล่านี้ทำให้ผู้คนได้ยินถึงความใส่ใจที่เจืออยู่ มู่หรงฉานตอบเสียงแผ่วเบา “หม่อมฉันเป็นห่วงฮองเฮาเพคะ ฝ่าบาท พระวรกายของฮองเฮาเป็นอย่างไรบ้างเพคะ?” เซียวอวี้เบนสายตามองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียน และกล่าวน้ำเสียงเย็นชา “มิได้ร้ายแรงแต่อย่างใด” สายตาของจิ้งกุ้ยเหรินหยุดลงที่ครรภ์นั้นของฮองเ
ไทฮองไทเฮาก็ประหลาดใจเล็กน้อย เนื่องจากไม่คาดคิดว่าฮ่องเต้จะยินยอมปลดฮองเฮาอย่างง่ายดาย ดูเหมือนว่าตอนนั้นที่เขาคัดค้านการปลดฮองเฮา คงเพราะเห็นแก่บุตรในครรภ์ของฮองเฮาเป็นแน่ ทว่าหลังจากนั้น เซียวอวี้ก็กล่าวเสริมว่า “เพียงแต่เรื่องนี้มิอาจทำโดยพลการ เราจึงต้องการทราบว่าเสด็จย่าประสงค์จะปลดฮองเฮาด้วยเหตุผลใด?” ไทฮองไทเฮาไตร่ตรองอยู่สักพัก หากฮองเฮาไม่ได้กระทำความผิดร้ายแรง ก็มิอาจปลดนางลงจากตำแหน่งได้ตามอำเภอใจจริง ทว่า ก็มิอาจเปิดเผยหนังสือแห่งโชคชะตาออกสู่สาธารณชนได้เช่นกัน เวลานี้นางประสบกับความลำบากใจ “เช่นนั้นประกาศต่อสาธารณชนว่านางป่วยด้วยโรคเรื้อรัง!”…… ข่าวการแท้งบุตรของฮองเฮา ได้แพร่กระจายไปยังตระกูลเฟิ่งที่อยู่นอกพระราชวังอย่างรวดเร็ว หลังจากได้ทราบข่าวแล้ว นายท่านเฟิ่งรู้สึกราวกับได้เผชิญกับศัตรูที่ชั่วร้าย ร่างกายพลันทรุดลงบนเก้าอี้ “ทารกน้อย ไม่มีแล้วหรือ?” หลานชายของเขา ว่าที่องค์รัชทายาทในอนาคต และความรุ่งโรจน์ของตระกูลเฟิ่ง พลันสูญสิ้นหมดแล้ว! ด้านฮูหยินเฟิ่งกลับกังวลเกี่ยวกับร่างกายหงส์ของฮองเฮามากกว่า
ณ ตำหนักวั่นโซ่ว ไทฮองไทเฮาเค้นถาม “เพียงเนรเทศฮองเฮาไปที่ตำหนักเย็นเท่านั้นหรือ? เช่นนั้นแล้วราชโองการปลดฮองเฮาเล่า?” สาวใช้ตะลึงพรึงเพริด “ราชโองการปลดฮองเฮา…ยังมิได้ประกาศเพคะ” ไทฮองไทเฮาขมวดคิ้วขึ้น ฮ่องเต้ครานี้คิดจะทำอะไรหรือ? หรือเขายังไม่คิดจะปลดฮองเฮา? ไม่ นางต้องคิดมากเกินไปแล้วแน่ ฮ่องเต้เพียงแต่มีราชกิจรัดตัว จึงยังไม่คิดถึงเรื่องนี้ในยามนี้ “ช่างเถิด คอยอีกสามสี่วันค่อยว่ากันเถิด” การปลดฮองเฮาจำเป็นต้องผ่านการตรวจสอบอย่างโปร่งใสทุกช่องทาง มิใช่เรื่องที่จะสำเร็จในวันสองวันอยู่แล้ว ขณะเดียวกัน ณ ตำหนักฉือหนิง ก็กำลังสดับฟังข่าวเรื่องการปลดฮองเฮาอยู่เช่นกัน ท่าทีตอบสนองของไทเฮาดุเดือดรุนแรงเป็นอย่างยิ่ง “เป็นพระประสงค์ของไทฮองไทเฮาอีกแล้วหรือ?” “ไยฝ่าบาททรงเชื่อฟังตามคำสั่งของนางไปหมดทุกอย่าง! ร่วมเรือนหอกับฮองเฮาต้องเป็นเช่นนี้ ร่วมบรรทมกับจิ้งกุ้ยเหรินต้องเป็นเช่นนั้น ยามนี้แม้แต่จะปลดฮองเฮายังไม่คิดจะมาหารือกับข้า!” “ในสายตาของเขาคงไม่เหลือที่ให้พระมารดาอย่างข้าผู้นี้ดำรงอยู่เสียนานแล้วกระมัง!” กุ้ยหมัวมัวรู้สึกวิตกอย่างหนักหน่วง “ไทเฮาเพค
ห่างจากเวลาที่เฟิ่งจิ่วเหยียนถูกลอบวางยาพิษ เพียงสิบสี่ชั่วยามเท่านั้น เซียวอวี้รวดเร็วเด็ดขาดดั่งอสนีบาตลมพายุ จับตัวคนร้ายลอบวางยาพิษได้แล้วจริง ๆ เฟิ่งจิ่วเหยียนเองก็รู้สึกสงสัยเช่นกัน ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นใคร ถึงได้เสาะหายาพิษหายากอย่างอ่างโลหิตมาไว้ในครอบครองได้เช่นนี้ เหลียนซวงสืบทราบมาจนได้คำตอบแล้ว “เป็นหลี่เหม่ยเหรินเพคะ! เข้าวังมาพร้อมกับจิ้งกุ้ยเหริน ในคืนนั้นที่ตำหนักฉือหนิงจัดงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดฉลองให้หนิงเฟย หลี่เหม่ยเหรินเองก็อยู่ด้วยเพคะ” “เป็นนางลอบผสมยาพิษลงในสุราที่พระนางดื่ม” “ทว่าฝ่าบาทสืบว่านางเป็นคนลงมือได้อย่างไร บ่าวเองก็ไม่ทราบเพคะ” “หลังจากค้นพบความจริงแล้ว หลี่เหม่ยเหรินคนนั้นก็ถูกรับสั่งประหาร ได้ยินมาว่าก่อนตายยังถูกทรมาน ร่างกายทั้งบนล่างไม่เหลือชิ้นดีเลยเพคะ…” เหลียนซวงยิ่งพูดยิ่งรู้สึกขนลุกขนพองไปทั้งตัว เหมือนว่าคืนนี้ลมพัดมาเป็นระยะ มืดทึมทึบน่ากลัวอย่างไรพิกล เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีความทรงจำใดเกี่ยวกับหลี่เหม่ยเหรินคนนั้น ทว่า ในวังแห่งนี้เหตุการณ์เจ้าปองร้ายข้า ข้าปองร้ายเจ้าก็มีไม่น้อย บางครั้งไม่จำเป็นต้องมีความแค้นลึกซึ้งใ
หลิวอิ๋งดิ้นรนเหมือนคนบ้า“ปล่อยข้า! ข้าเป็นน้องสาวแท้ ๆ ของท่านประมุขนะ! ข้าจะไปพบท่านพี่! พวกเจ้าจะทำร้ายท่านพี่ของข้า!”“ขุนนางรัก รีบหยุดพวกเขาเร็ว!“พวกเขาต้องมีเจตนาร้ายแน่!”ยามนี้เหล่าขุนนางต่างไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ต่อให้พวกนางอยากจะช่วย ก็ยังต้องดูด้วยว่าตนมีความสามารถที่จะช่วยหรือไม่แม่ทัพใหญ่ทั้งสี่มีอำนาจคุมกองทัพ รวมกับฮองเฮาแคว้นหนานฉีเองก็อยู่ที่นี่ จะให้สู้อย่างไรเล่า?อีกทั้งประมุขคนใหม่นี้มีเหตุผลชอบธรรมจริงหรือไม่ ก็ยังต้องพิจารณากันอีกที!หากนางไม่ใช่ซู่ยวนจริง ๆ พวกนางจะไม่กลายเป็นประสงค์ดีแต่ดันทำเรื่องไม่ดีลงไป แล้วช่วยคนชั่วทำความผิดหรอกหรือ?เสียงโวยวายของหลิวอิ๋ง เฟิ่งจิ่วเหยียนทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่นางสั่งทุกคนอย่างหนักแน่น“แม่ทัพหู ท่านดูแลท้องพระโรงให้ดี“แม่ทัพอีกสามท่านแยกกันเฝ้าประตูวัง ไม่อนุญาตให้ผู้ใดเข้าออกทั้งสิ้น ป้องกันไม่ให้สายลับของแคว้นอื่นฉวยโอกาสสร้างความวุ่นวาย“มั่วซินหมัวมัว พาขุนนางคนสนิทสองสามคนตามข้าไปพบท่านประมุข”“เพคะ!” หูย่วนเอ๋อร์และมั่วซินหมัวมัวตอบรับคำสั่งขุนนางบุ๋นบู๊ที่เหลือเห็นเช่นนี้ก็รู้สึกสั
บนบัลลังก์มังกร หลิวอิ๋งมองเฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังได้เปรียบแล้วฝืนยิ้ม“ที่แท้ก็เป็นเรื่องเข้าใจผิดนี่เอง ถึงอย่างไรความจริงก็เป็นเรื่องภายในของแคว้นซีหนี่ว์ แคว้นหนานฉี...”เฟิ่งจิ่วเหยียนขัดจังหวะหลิวอิ๋งที่กำลังพูดด้วยแววตาเย็นชา“ข้าจะพบประมุขแคว้น”หลิวอิ๋งซ่อนเจตนาไม่ดีไว้ในรอยยิ้ม“ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ประมุขแคว้นทรงสวรรคตแล้ว ยามนี้ยังไม่ได้ประกาศออกไป เพราะกลัวว่าในแคว้นจะเกิดความวุ่นวาย หากพวกเจ้าไม่เชื่อก็รีบไปที่ตำหนักบรรทมสิ ประมุขแคว้น...ทรงอยู่ในโลงแล้ว”“อะไรนะ!” ปฏิกิริยาของมั่วซินหมัวมัวรุนแรงมากหลิวอิ๋งแสร้งแสดงท่าทีเสียใจ ใช้มือหนึ่งปิดใบหน้า ไหล่สั่นสะท้าน ราวกับกำลังสะอึกสะอื้นด้วยความเศร้านางก้มศีรษะลงครึ่งนึง แล้วกล่าวเสริมว่า“เหล่าขุนนางรักเอ๋ย ไม่ใช่ว่าข้าต้องการปิดบังพวกท่าน ทว่านี่เป็นเรื่องกะทันหัน ภายในก็วุ่นวาย ภายนอกศัตรูรุกราน ข้าไม่กล้าพูดออกมา“วันนี้ กบฏมั่วซินกลับเดินเข้ามาติดกับดักด้วยตนเอง ในที่สุดวิญญาณของท่านพี่ที่อยู่บนสวรรค์ ก็ได้ตายตาหลับเสียที“ท่านพี่...”นางร้องไห้เสียใจ ทำให้เหล่าขุนนางร้องตามไปด้วย“ท่านประมุข!”มั่วซินห
เหล่าขุนนางของแคว้นซีหนี่ว์ล้วนรู้ดี มั่วซินหมัวมัวเป็นคนเก่าแก่ข้างกายประมุข ได้รับความไว้วางใจจากประมุขเป็นอย่างมากคำพูดของนาง น่าจะไม่ผิดทว่า ใต้เท้าซู่ยวนคนนี้ เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของประมุข...ชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนไม่รู้ว่าควรจะเชื่อใครมั่วซินกล่าวหาว่าสถานะซู่ยวนเป็นตัวปลอม ซู่ยวนก็กล่าวหาว่ามั่วซินกบฏ ทั้งสองฝ่ายต่างก็มีความคิดเห็นของตนเองจนเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาพูด“เหตุใดไม่ให้ประมุขทรงตรัสด้วยตนเอง?”เมื่อพูดออกมาเช่นนี้ สายตาหลิวอิ๋งฉายแววความโหดร้าย“ข้าไม่มีทางให้พวกเจ้าทำร้ายพี่สาว! พวกเจ้าเป็นโจรกบฏ อย่าคิดที่จะได้พบประมุข! ทหาร จัดการพวกนาง!”“ข้าจะดูว่าใครกล้าลงมือ!” แม่ทัพใหญ่หูย่วนเอ๋อร์ออกมายืนด้านหน้า ปกป้องเฟิ่งจิ่วเหยียนกับมั่วซินหมัวมัวหลิวอิ๋งตำหนิหูย่วนเอ๋อร์“แม่ทัพหู เจ้าก็คิดจะกบฏหรือ! เห็นแก่ที่พวกเจ้าไม่รู้ความจริง ถูกคนหลอกลวง ข้าให้โอกาสพวกเจ้าเป็นครั้งสุดท้าย รีบมายืนฝั่งข้า! จับกุมตัวโจรกบฏ!”หูย่วนเอ๋อร์พูดขึ้นมาอย่างเคร่งขรึม“ต่อให้จะลงโทษใคร ก็ควรให้ประมุขตัดสิน! ใต้เท้าซู่ยวน ประมุขอยู่ที่ใด!”หลิวอิ๋งเห็นว่าคนพวกนี้ไม่ฟังคำพูดตนเอง บีบ
ในพระราชวัง แคว้นซีหนี่ว์หลิวอิ๋งพาประมุขกลับวังอย่างเปิดเผย เหล่าข้าหลวงล้วนเคารพนาง ไม่สงสัยในตัวนางเพื่อไม่ให้ประมุขเปิดปากขอความช่วยเหลือ หลิวอิ๋งให้นางทานยาสลบ ทำให้นางตกอยู่ในสภาวะหมดสติเทียบกับความใจเย็นของหลิวอิ๋ง เจิ้งจีรู้สึกตื่นเต้น ไม่กล้ามองผู้ใดจนกระทั่งพาประมุขส่งมาถึงตำหนักบรรทม หลังจากสั่งให้ข้าหลวงทั้งหมดออกไปแล้ว เจิ้งจีค่อยถามด้วยเสียงเบา“ท่านแม่ เราทำเช่นนี้ จะไม่มีใครรู้จริง ๆ หรือ?”หลิวอิ๋งมองประมุขบนเตียง ด้วยแววตาโหดเหี้ยม“นางใกล้จะตายแล้ว ตำแหน่งประมุข ไม่ช้าก็จะเป็นของข้า ขอเพียงข้าควบคุมทั่วทั้งแคว้นซีหนี่ว์ ก็จะไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูกับข้า!”เจิ้งจียังคงรู้สึกหวาดกลัวหวนคิดถึงเมื่อไม่นาน นักฆ่าพวกนั้นบุกเข้ามาในจวนชานเมือง สังหารองครักษ์ข้างกายประมุข แล้วก็ปลอมเป็นองครักษ์ ร่วมมือกับพวกนาง พาประมุขกลับวังตอนนี้ นักฆ่าพวกนั้นก็อยู่ในวัง กระทั่ง คอยจับตามองอยู่ข้างกายพวกเขาต่อให้ท่านแม่เป็นประมุข ก็จะสามารถสบายใจไม่ทุกข์ไม่ร้อนจริงหรือ?“ท่านแม่ เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่มาก ข้ากลัว”น้ำเสียงเจิ้งจีสั่นเทาหลิวอิ๋งลูบใบหน้านาง พูดเตือนนาง
ในพระราชโองการที่ประมุขแคว้นซีหนี่ว์ให้กับเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น เขียนบันทึกไว้อย่างชัดเจน ขอเพียงนางยินยอม ก็สามารถเป็นประมุขแคว้นซีหนี่ว์ได้ทุกเมื่อเฟิ่งจิ่วเหยียนถือพระราชโองการไว้ ในใจรู้สึกว้าวุ่นตลอดเวลาที่ผ่านมา นางคิดเพียงว่าตนเองคือคนของแคว้นหนานฉี เพื่อปกป้องแผ่นดิน ตายอยู่บนสนามรบ ก็ไม่ตำหนิเสียใจทว่าตอนนี้...ประมุขแคว้นซีหนี่ว์รู้นิสัยของนางเป็นอย่างดี รู้ว่านางไม่มีทางรับอำนาจปกครองแคว้นซีหนี่ว์“เด็กดี พระราชโองการฉบับนี้ เป็นสิ่งรับประกันที่ป้าให้กับเจ้า ให้อนาคตเจ้ามีทางถอย”บนโลกนี้ การมีชีวิตอยู่ของสตรีนั้นยากลำบากมีเพียงแคว้นซีหนี่ว์ เป็นผืนแผ่นดินของสตรีในความรู้สึกส่วนตัว นางยังคงคาดหวังให้จิ่วเหยียน สามารถกลับมาสู่ตระกูลทว่าอย่างไรนี่ก็เป็นเพียงความหวังจิ่วเหยียนกับฮ่องเต้ฉีเป็นสามีภรรยาที่รักใคร่กัน กำลังเป็นช่วงเวลาที่ตัวติดกันเป็นปาท่องโก๋ แยกจากกันไม่ได้นายหญิงเฟิ่งคาดเดาได้ว่าในพระราชโองการมีอะไร สีหน้าแสดงออกถึงตกตะลึง“พี่สาว ท่านคิดอยากที่จะ...”ประมุขพูดขัดนาง“ซู่ยวน ให้เด็กตัดสินใจเองเถอะ”จากนั้นก็หันไปสั่งมั่วซิน“เราเหนื่อยแล้ว
อารมณ์ประมุขแคว้นซีหนี่ว์แปรปรวนอย่างมาก บวกกับความปรารถนาที่เฝ้ารอคอยมานานเป็นจริง...การได้หาเจอน้องสาวที่แท้จริง เหมือนเชือกที่รัดแน่น ขาดกะทันหัน ร่างกายทนรับไม่ไหวในที่สุดหมอหลวงผู้ติดตามเฝ้าอยู่ด้านข้างเตียง ให้การรักษาอย่างเร่งด่วนด้านนอกห้อง เฟิ่งจิ่วเหยียนรออยู่เป็นเพื่อนนายหญิงเฟิ่งนายหญิงเฟิ่งยังคงถามย้ำอยู่หลายรอบ“จิ่วเหยียน ข้าคือซู่ยวนจริง ๆ หรือ? คราวนี้ไม่ได้ตรวจสอบผิดจริง ๆ หรือ?”เฟิ่งจิ่วเหยียนอดทน เล่าความจริงกับนางฟังซ้ำแล้วซ้ำเล่าต่อให้นายหญิงเฟิ่งเตรียมใจตั้งแต่แรก ก็ยังคงไม่สามารถยอมรับสิ่งที่เปลี่ยนแปลงนี้จากที่นางเป็นคนแคว้นหนานฉี กลายเป็นคนแคว้นซีหนี่ว์ กระทั่งยังกลายเป็นน้องสาวของประมุขทว่าลูกชายลูกสาวของนาง ล้วนอยู่ที่แคว้นหนานฉีต่อไปนางจะทำอย่างไร?และพี่สาวที่นางเพิ่งรู้ความจริง เวลานี้ยังคงเสี่ยงอยู่ตรงประตูนรก...นายหญิงเฟิ่งรู้สึกใจหาย จิตใจกระสับกระส่ายเฟิ่งจิ่วเหยียนจับมือของนางไว้แน่น ปลอบโยนอย่างไร้เสียงนายหญิงเฟิ่งเอียงศีรษะมองนาง แล้วค่อยผ่อนคลายเล็กน้อย“จิ่วเหยียน ประมุขจะไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สามารถใ
ก่อนที่ชายลึกลับจะปล่อยเจิ้งจี ได้ป้อนยาเม็ดหนึ่งใส่ปากของนางเจิ้งจีอยากคายออกมา กลับถูกเขาบีบคางไว้ ยังเม็ดนั้นจึงไหลลงคอไปหลิวอิ๋งมองเห็นกับตา ร้อนรุ่มอยู่ในใจ“เจ้าเอาอะไรให้นางกิน!”ฝ่ายชายพูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ “แน่นอนว่าเป็นยาพิษ ชีวิตลูกสาวของเจ้าอยู่ในมือพวกเรา”สายตาเจิ้งจีเต็มไปด้วยความหวาดกลัวนางกลัวตายนางอยากมีชีวิตอยู่“ท่านแม่ ท่านแม่ช่วยข้าด้วย!”ท่าทีหลิวอิ๋งเต็มไปด้วยความโกรธ“ข้าได้ตอบตกลงทำงานให้พวกเจ้าแล้ว ไยยังต้องทำร้ายลูกสาวข้า! ยาถอนพิษล่ะ! ยาถอนพิษอยู่ที่ใด?”ฝ่ายชายหัวเราะเสียงดัง“ยาถอนพิษ? จะให้เจ้าตอนนี้ได้อย่างไร? หลังจากทำงานสำเร็จแล้ว พวกเจ้าสองแม่ลูกก็จะปลอดภัยเอง ทว่าตอนนี้ พวกเจ้าว่าง่ายเชื่อฟังจะดีที่สุด!”แววตาของเขาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ฆ่าคนได้อย่างไม่กะพริบตาหลิวอิ๋งเกลียดแค้นจัดทว่า ถูกคนอื่นควบคุม ทำได้เพียงก้มหัว……แคว้นซีหนี่ว์ช่วงเวลานี้ อาการป่วยของประมุข ไม่มีร่องรอยว่าจะดีขึ้นเลยสุขภาพของนานย่ำแย่อย่างมาก แม้แต่ยาก็ไม่สามารถย่อยได้ส่วนงานราชกิจ นางมอบหมายให้กับขุนนางหลายคนที่ไว้ใจนางใช้ข้ออ้างไปรักษาตัว
เมื่อเทียบกับบุตรสาวที่มีความมั่นใจ หลิวอิ๋งกลับมีแต่ความกังวลใจนางรู้สึกอยู่ตลอดว่า เรื่องทั้งหมดแฝงกลิ่นอายความไม่ชอบมาพากลโดยเฉพาะกับราชทูตเหล่านั้นที่หายตัวไปอย่างกะทันหัน...เพล้ง!ขณะที่สาวใช้ยกน้ำชาออกมา เจิ้งจีสะบัดแขนเสื้อแรงเกินไป จึงมิทันระวังทำถ้วยชาหก จนลวกมือตนเองก่อนหน้านี้เจิ้งจีอยู่ที่พระราชวังแคว้นซีหนี่ว์ เป็นนายที่ผู้คนมากมายต้องให้ความเคารพ หากมีสิ่งใดมิราบรื่นเพียงเล็กน้อย จะมิยอมทนเด็ดขาด ตอนนี้แทบจะกลายเป็นสัญชาตญาณ นางจึงฟาดฝ่ามือออกไปอย่างทันควัน“เพียะ!” สาวใช้ปรากฏรอยแดงบนใบหน้าขึ้นมาทันที พลันรีบก้มศีรษะและขออภัยเจิ้งจีตอบโต้ฉับไว: “พวกรนหาที่ตาย ยกชาไม่เป็นหรืออย่างไร? มือข้าถูกลวกจนเป็นแผลแล้ว รีบไปนำยามาเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งรู้สึกหงุดหงิดใจ จึงตำหนิบุตรสาว“พอแล้ว แค่เรื่องเล็กน้อยเท่านั้น”ถึงอย่างไรก็เป็นจวนขององค์หญิงใหญ่เจิ้งจีรู้สึกคับแค้นใจ จึงยื่นมือไปตรงหน้ามารดา“ท่านแม่ เป็นเรื่องใหญ่แล้วเจ้าค่ะ! ท่านดูมือของข้าสิ! ประเดี๋ยวก็ต้องเข้าวังไปพบฝ่าบาทแล้ว มือของข้ากลายเป็นเช่นนี้ ฝ่าบาททรงมิพอพระทัยจะทำอย่างไร!”มือนับเป็นใบหน้าที่
หนานฉี เมืองหลวงหลิวอิ๋งยังคงมิได้ข่าวคราวของราชทูตคนอื่น ๆ ในใจยิ่งกระวนกระวายในช่วงหลายวันที่ผ่านมานางวนเวียนไปที่จวนรุ่ยอ๋อง เพื่อสอบถามความคืบหน้าทว่า บัดนี้ก็ยังมิได้รับข่าวคราวใด ๆภายในโรงพักแรมเจิ้งจีเห็นมารดากลับมา คำพูดแรกมิใช่แสดงความห่วงใย แต่เป็นการเร่งรัด“ท่านแม่ ฝ่าบาทเสด็จกลับวังแล้ว เมื่อใดพวกเราถึงจะได้เข้าวัง?”สีหน้าหลิวอิ๋งอยู่ในอาการเหม่อลอยเจิ้งจีถามอีก: “ท่านป้ายังมิได้ตอบจดหมายพวกเรา และส่งสาส์นตราตั้งฉบับใหม่มาให้อีกหรือเจ้าคะ? ท่านแม่?”หลิวอิ๋งเรียกสติกลับมา พลันกุมมือบุตรสาวไว้แน่น“ท่านป้าของเจ้ามิมีทางเมินเฉยพวกเรา ถึงอย่างไรข้าก็เป็นน้องสาวแท้ ๆ ของนาง! พวกเราจะเข้าวังไปพบฝ่าบาทได้เลยโดยตรง!”เดิมคิดว่ารุ่ยอ๋องมีความสามารถที่จะตามหาราชทูตได้ มิคาดคิดว่า เขาที่ดูเหมือนเป็นคนเข้าหาได้ง่าย ที่จริงแล้วกลับรับปากนางแบบขอไปทีตลอดสองแม่ลูกจึงมุ่งหน้าไปยังพระราชวังเพื่อขอเข้าเฝ้าฮ่องเต้ภายในวังเซียวอวี้เพิ่งกลับเข้าวัง ขณะกำลังตรวจดูสาส์นกราบทูลในห้องทรงพระอักษร องครักษ์ก็เข้ามารายงาน---หลิวอิ๋งคนที่อ้างว่าเป็นราชทูตแคว้นซีหนี่ว์มาขอเข้าเฝ