เมื่อได้ยินว่าเฉียวม่อเป็นลม สายตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนไปในทันทีพลางขมวดคิ้วเป็นปม เพื่ออดกลั้นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโมโหเอาไว้ พร้อมเอ่ยตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาว่า“เจ้าทำได้ ‘ดี’ ยิ่ง!”เซียวอวี้จึงสั่งให้คนไปอุ้มเฉียวม่อเข้าไปพักที่ตำหนักข้าง ทั้งยังเรียกตัวให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูอาการของนางในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง ห้ามคนภายในตำหนักหย่งเหอแพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปไม่นานนัก เฉียวม่อจึงตื่นขึ้นมาภายในตำหนักที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมีนางกำนัลสาวใช้ที่รอปรนนิบัตินางอยู่ภายในตำหนักนั้น“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” นางกำนัลเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเฉียวม่อหาได้เป็นลมจริง ๆ ไม่นางเพียงแค่อดทนรอไม่ไหวเท่านั้นในยามนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียง พลางแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนแรงออกมาให้เห็น“พยุงข้า...ขึ้นมา ข้ายังคุกเข่าไม่ครบหนึ่งชั่วยาม...”ตึก!นางทำเหมือนขาทั้งสองข้างได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังไม่ไหว เมื่อนางลุกขึ้นมานั้นร่างกายจึงล้มลงไปบนพื้นในทันทีนางกำนัลจึงเข้ามาช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยไว“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านมิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ
เซียวอวี้หยิบถุงหอมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันทีเขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพื่อมิให้นางคิดทำอะไรบุ่มบ่ามในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสียงสั่งการไปยังด้านนอกตำหนักว่า“เชิญหมอหลวง!”ไม่นานนัก หมอหลวงชราที่เป็นผู้ดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ของฮองเฮาก็รีบมาในทันทีเขารู้ดีว่าฮองเฮาหาได้ตั้งครรภ์ไม่หมอหลวงเพียงแค่ดมถุงหอมก็สามารถสรุปออกมาได้ว่า“ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้คือกลิ่นหลิงหลิงพ่ะย่ะค่ะ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หาได้พบความผิดปกติไม่คำพูดของหมอหลวงหลังจากนั้นกลับขยายความออกมาในทันที“ทว่า ของสิ่งนี้มีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นชะมด หากสตรีมีครรภ์สัมผัสได้สูดกลิ่นเข้าไปเป็นเวลานานนั้น ย่อมส่งผลต่อทารกในครรภ์ จนนำไปสู่การตกเลือดหรืออาจทำให้ทารกในครรภ์ตายได้พ่ะย่ะค่ะ! มิต้องเอ่ยถึงสตรีตั้งครรภ์เลย แม้แต่สตรีปกติทั่วไปก็มิเหมาะที่จะพกถุงหอมนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนลอบกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตนเองเจอจนได้...ดวงตาของเซียวอวี้ค่อย ๆ มืดครึ้มลง ราวกับว่าแสงสว่างที่ค่อย ๆ มอดดับไป ทั้งยังเจือไปด้วยความหนาวเย็น ทำเอาผู้คนนึกหวาดกลัวจนตัวสั่นไปในทันทีทว่า
เมื่อเฉียวม่อเห็นฝ่าบาทเดินออกจากตำหนักหย่งเหอไปนั้น นางจึงรีบติดตามไปในทันทีนางที่เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูนั้น โดยปกติแล้วหากมิได้มีพระราชโองการเรียกตัวย่อมมิอาจเข้ามาในวังได้ในฐานะที่นางเป็นสตรีนั้น เกรงว่าไม่ว่าจักมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด ก็มิอาจเข้าร่วมการว่าความหรือการประชุมเพื่อพูดคุยเรื่องบ้านเมืองได้หากว่ากันแล้ว นางมีโอกาสน้อยมากนักที่จะได้พบฮ่องเต้ยามที่นางอยากจะเอ่ยเรื่องบางอย่างออกมานั้น กลับเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน ราวกับอยากจะสังหารผู้ใดก็ไม่ปานนางพลันรู้สึกหวาดผวาไปในทันที ความประทับใจที่ฝ่าบาทมีให้แก่นางนั้น อย่างมากที่สุดคือท่าทีเข้มงวดหรือใบหน้าที่มีรอยยิ้ม หาได้น่ากลัวเท่ากับวันนี้ไม่“เรื่องใด?” กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งก็ไม่ปาน สามารถแช่แข็งความอบอุ่นโดยรอบที่หลงเหลืออยู่เฉียวม่อที่ได้สติกลับมานั้น นางจึงรีบยกมือขึ้นคำนับในทันที“หม่อมฉันมีพิมพ์เขียวอาวุธที่หม่อมฉันอยากจะนำมาถวายแด่ฝ่าบาทเพคะ!”ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าทำเอารู้สึกความเจ็บปวดขึ้นมาในฐานะฮ่องเต้ของแผ่นดินนั้น
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีกว่าผู้ใด ปืนหอกไฟแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะสามารถใช้การได้ดี แต่แท้จริงแล้ว หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่สิ่งที่เฉียวม่อมองว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าจนนำไปเป็นของตัวเอง แท้จริงแล้วล้วนเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับนางในขณะเดียวกัน ผู้คนภายในกรมศัสตราวุธต่างก็พากันล้อมดูภาพพิมพ์เขียวแผ่นนั้นสายตาของพวกเขาพลันเปล่งประกายออกมา ทั้งยังเอ่ยชมเชยออกมาไม่ขาดปากว่า“เมิ่งเฉียวม่อผู้นี้นับว่าเป็นวีรสตรีจริง ๆ ! นางสามารถวาดพิมพ์เขียวออกมาได้งดงามจริง ๆ !”“กรมศัสตราวุธของพวกเรามิได้มีของดี ๆ แบบนี้มานานแล้ว! แจ้งข่าวแก่ช่างฝีมือทุกนายว่า เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องสนใจ รีบสร้างปืนหอกไฟแบบใหม่ขึ้นมาเสียก่อนเถอะ!”“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยยิ่งนัก!”หลังจากที่ได้เห็นภาพพิมพ์เขียวนั้น คำชื่นชมสรรเสริญเยินยอที่มีต่อเฉียวม่อก็เพิ่มขึ้นมาในทันทีสตรีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ใต้หล้านับว่าหาได้ยากยิ่งนักนับว่าโชคดีที่นางเกิดและเติบโตในหนานฉีปืนหอกไฟหรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปืนฉับพลัน ปืนลำสั้นจักยาวประมาณหนึ่งนิ้ว และปืนลำกล้องยาวจักยาวถึงเจ็ดนิ้วรูปร่างภายนอกดูเหมือนท่อยาว ๆ หลังจากที่มีการ
ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั้น พลันทุบปิ่นปักผมในมือลง ทำเอานางกำนัลที่กำลังทำผมให้อยู่ถึงกับหวาดผวารีบคุกเข่าลงไปในทันที“พระสนมใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ!”หนิงเฟยมองดูตัวเองในคันฉ่อง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของนางหลังจากที่ใช้ชีวิตทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมานานหลายปี ใบหน้านี้หาได้หลงเหลือความเป็นสตรีในวัยแรกแย้มเอาไว้ไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ มากมาย ถึงได้มองดูมีความเปล่งประกายงดงามออกมานางที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางสนม หากแต่หาได้เคยร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ไม่ บอกไปผู้ใดจักไปเชื่อฮองเฮาที่มาทีหลังแต่มีสถานะที่มั่นคง นางก็หาได้อันใดไม่ ในยามนี้นางยังมาถูกสตรีเช่นมู่หรงฉานที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ครบหนึ่งปีแซงหน้าไปอีก!ทั้งยังเป็นในวันเกิดของนางอีก...หนิงเฟยยังคงเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า“ฝ่าบาทเรียกตัวให้จิ้งกุ้ยเหรินมาร่วมบรรทมจริง ๆ หรือ?”สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบร้อนพยักหน้าลงในทันที“เพ...เพคะ”นางรู้ดีว่าพระสนมไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยโป้ปดออกมาเรื่องที่จิ้งกุ้ยเหรินถูกเรียกให้
ณ ตำหนักหย่งเหอ การที่จิ้งกุ้ยเหรินได้ร่วมบรรทม ฮองเฮาไร้ซึ่งปฏิกิริยาใด ๆ กลับเป็นซุนหมัวมัวที่ร้อนใจจนอยู่ไม่เป็นสุข หากว่าจิ้งกุ้ยเหรินก็ตั้งครรภ์พระโอรสด้วย ฮองเฮาก็มิใช่ผู้เดียวที่ได้ครอบครองความโปรดปรานจากฝ่าบาท! ยิ่งไปกว่านั้นจิ้งกุ้ยเหรินกับหรงเฟยดูคล้ายกันราวกับแกะ บัดนี้ฝ่าบาทยังแสดงความปรารถนาต่อนาง เกรงว่าในวันข้างหน้าจะต้องเต็มไปด้วยความโปรดปรานนางอย่างแน่นอน เหตุใดฮองเฮายังมีอารมณ์ไปเยือนตำหนักฉือหนิง เพื่อร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฟยอีกเล่า! ตำหนักฉือหนิง ไทเฮา ฮองเฮาและเหล่านางสนมร่วมงานเลี้ยงวันคล้ายวันเกิดของหนิงเฟย ทว่าช่างไร้ความครื้นเครง เนื่องจากหัวใจของใครหลายคนลอยไปอยู่ที่ตำหนักฟางเฟยแล้ว สุราชั้นยอดที่ดื่มนี้ช่างไร้รสชาติ ไทเฮาเคยผ่านการเป็นนางสนมมาก่อน ย่อมทราบความคิดของพวกนาง นางเอ่ยอย่างมีความนัย “ในเมื่อได้เข้าวังกันแล้ว ทุกคนจึงเปรียบเสมือนเป็นพี่น้องกัน สมควรมีความปรารถนาดีต่อกัน จึงจะทำให้วังหลังแห่งนี้เกิดความสามัคคีได้ และเมื่อนั้นฝ่าบาทจึงสามารถทุ่มเทกับราชกิจในพระราชวังส่วนหน้าได้อย่า
“ฮองเฮาเพคะ” นางสนมเจียงเดินออกมาจากหลังต้นไม้ พร้อมแววตาที่หนักอึ้ง เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยถามอย่างสงบนิ่ง “มีธุระอันใด?” นางสนมเจียงผงกศีรษะด้วยความลังเลใจ หลังจากนั้น นางก็เดินตามเฟิ่งจิ่วเหยียนไปที่ตำหนักหย่งเหอด้วยกัน เมื่อก้าวเข้าสู่ห้องโถงชั้นในแล้ว นางสนมเจียงพลันรีบร้อนคุกเข่าลงต่อหน้านางทันที “ฮองเฮา ท่านได้โปรดช่วยหม่อมฉันด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่ตรงนั้น ด้วยความเงียบสงบอย่างยิ่ง “อยากร่วมบรรทมด้วยหรือ?” น้ำเสียงของนางเย็นยะเยือก นางสนมเจียงพลันกัดริมฝีปาก และพยักหน้าอย่างยากลำบาก นางหันหน้าระบายความในใจต่อเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยน้ำตาคลอหน่วย “หม่อมฉันมิรู้วิธีต่อสู้เพื่อแย่งชิงความโปรดปรานเลย “จิ้งกุ้ยเหรินเข้าวังช้ากว่าหม่อมฉัน กลับสามารถ...กลับสามารถได้ร่วมบรรทมแล้ว หม่อมฉันไม่อยากยอมรับจริง ๆ “ฮองเฮาเพคะ ในราตรีนี้หนิงเฟยใช้วาจาหยาบคายก็จริง ทว่านางมิได้พูดเกินความจริงเลย บัดนี้ท่านกำลังตั้งครรภ์ มิอาจร่วมบรรทมด้วยได้ ย่อมจะมีคนถือโอกาสนี้ปีนขึ้นที่สูงกว่า “แทนที่จะ...แทนที่จะให้ผู้อื่นได้ประโยชน์ มิสู
เฟิ่งจิ่วเหยียนมิทราบสาเหตุที่ตัวเองหมดสติ เมื่อตื่นขึ้นมา พลันได้เห็นเซียวอวี้นั่งอยู่ข้างเตียง ด้วยสีหน้าบึ้งตึง และประกายตาคมกริบกว่าเดิม “ตื่นแล้วรึ?” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง เจือกลิ่นอายสังหาร นางมองเลยออกไป จึงได้เห็นเหลียนซวงคุกเข่าอยู่บนพื้น ยังมีเสียงกรีดร้องโหยหวนติดต่อกันอยู่นอกตำหนัก ลอยทะลุเข้ามาในโสตของนาง หนึ่งในนั้นมีซุนหมัวมัวที่ถูกทรมานอย่างหนักด้วย นางถูกโบยด้วยไม้ ปากก็ร้องตะโกนขอความเป็นธรรม “ฝ่าบาท บ่าวมีความภักดีต่อฮองเฮาอย่างสุดซึ้ง! ฝ่าบาทเพคะ——บ่าวไม่มีเหตุผลที่จะทำร้ายพระโอรสเลย...” เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องการลุกขึ้น กลับได้ยินเซียวอวี้กล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มลึก “นอนลง!” นางรู้สึกสับสน ทว่ายังรู้สึกได้ชัดเจนถึงร่างกายที่อ่อนแรงมาก ราวกับถูกถ่ายเลือดออกมา... น้ำเสียงของเซียวอวี้มิต่างจากกรวดทราย ที่ประสานกับความหนาวเหน็บของเหมันตฤดู “หากว่าเจ้ากำลังตั้งครรภ์บุตรอยู่จริง ๆ วันนี้คงรักษาชีวิตไว้มิได้” เฟิ่งจิ่วเหยียนย่นคิ้วเบา ๆ ร้ายแรงถึงเพียงนั้นเชียวหรือ? เหลียนซวงก็เงยหน้า
ระยะทางของคุกเทียนเหลานั้นอยู่ใกล้กับพระราชวังเป็นอย่างมากหากเกิดเหตุการณ์นักโทษแหกคุกเมื่อใดนั้น ทางราชวังก็สามารถเข้าจัดการและควบคุมได้ในทันทีในยามนี้ บริเวณพื้นที่เปิดโล่งของคุกเทียนเหลานั้น เฉียวม่อกำลังถูกคุ้มกันโดยกองทัพอินทรีเหิน นางอาศัยการต่อสู้ของพวกเขาเพื่อให้เหลือหนทางสีเลือดให้กับตนเอง นับตั้งแต่แหกคุกจนมาถึงที่ตรงนี้ได้นั้น นางได้จะทะลวงเกราะป้องกันด่านที่สามแล้วด้านหน้าคือด่านสุดท้ายของการหลบหนีในครานี้ขอเพียงแค่นางสามารถทะลวงออกไปจนถึงประตูหลักได้เมื่อใดนั้น นางก็จะสามารถหลบหนีออกไปได้สำเร็จเหล่าเจ้าหน้าที่ในราชสำนักมีมากมายนัก ในมือพลันถือโล่ถือหอกเอาไว้ แปลงขบวนเป็นกำแพงมนุษย์เพื่อต้านทานการโจมตีของเหล่ากองทัพอินทรีเหินในขณะเดียวกัน รอบด้านทั้งสี่พลันถูกโอบล้อมไปด้วยกำแพงสูงและหอคอยปราการ ด้านบนกำแพงมีพลธนูยืนรออยู่นับไม่ถ้วน พวกเขาง้างคันธนูจนสุดสาย พร้อมทั้งลูกธนูนับหมื่นที่พุ่งลงมาในทันทีเหล่ากองทัพอินทรีเหินที่มากกว่าสองร้อยนายนั้น พวกเขาใช้ร่างของตนเองคุ้มกันเฉียวม่อเอาไว้ด้วยวิชาระฆังทองคุ้มกาย ฝ่าการโจมตีออกไปด้วยความยากลำบากพวกเขาที่เคยผ่านสน
เมื่อฮูหยินเฟิ่งต้องมาเผชิญหน้ากับฝ่าบาทเป็นครั้งแรกเช่นนี้ ทำเอานางรู้สึกไม่สบายใจเป็นอย่างยิ่งถึงแม้เซียวอวี้จักอนุญาตให้นางนั่งลงก็ตาม ทว่า นางคล้ายกับตนเองนั่งอยู่เบาะที่มีเข็มก็ไม่ปานแม้แต่ชาที่ข้ารับใช้รินให้นั้น นางก็ยังมิกล้าแตะต้องเมื่อเห็นฮูหยินเฟิ่งมีท่าทีตื่นเต้นเช่นนี้ เซียวอวี้จึงเอ่ยขึ้นมาว่า“มิต้องตระหนกถึงเพียงนั้น เราเพียงแค่อยากจะถามอะไรบางอย่างเท่านั้น หลังจากที่ฮองเฮาเกิดออกมาแล้วถูกส่งไปยังตระกูลเมิ่งนั้น เรื่องของนางพวกเจ้ารู้มากเท่าใดกัน”เมื่อเซียวอวี้เอ่ยถามเรื่องนี้ขึ้นมา ทำเอาฮูหยินเฟิ่งยิ่งตื่นตระหนกมากขึ้นไปอีกนางพลันลุกขึ้นพร้อมเอ่ยปฏิเสธออกมาในทันที“ฝ่าบาทเพคะ หม่อมฉันมิทราบว่าผู้ใดเอ่ยเรื่องราวไร้สาระเช่นนี้ขึ้นมา ทว่า ฮองเฮาได้รับการเลี้ยงดูอยู่ภายในตระกูลเฟิ่งมาโดยตลอดเพคะ หาได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเมิ่งไม่!”แววตาของเซียวอวี้พลันมืดครึ้มลงเมื่อเห็นปฏิกิริยาของฮูหยินเฟิ่งเป็นเช่นนี้แล้ว เกรงว่าถามไปคงมิได้คำตอบอะไรกลับมาเท่าใดนักหากเค้นถามต่อไป เกรงว่าจักให้นางเป็นลมไปได้เซียวอวี้จึงออกคำสั่งเสียงเข้มมาว่า“ส่งตัวฮูหยินเฟ
ในห้องทรงพระอักษรหลิวซื่อเหลียงนำยาทาแผลน้ำร้อนลวกมาวางบนโต๊ะแล้วเขาหูตาว่องไว แค่เห็นฮองเฮาอยู่ด้านในด้วย ไม่ต้องรอได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ก็ถอยพรวดพราดออกไปแล้วเซียวอวี้นั่งลงตรงนั้นและวางมือไว้บนโต๊ะเฟิ่งจิ่วเหยียนอยู่ตรงข้ามกับเขา เริ่มจากพับแขนเสื้อของเขาขึ้นมาก่อน ถึงมองเห็นตำแหน่งทั้งหมดที่ถูกน้ำร้อนลวกตอนอยู่ที่ค่ายทหารนางก็ทำแผลใส่ยาอยู่เป็นประจำ ท่าทางจึงดูคล่องแคล่วแค่ผ่านไปชั่วพริบตาเดียวเท่านั้น นางก็เงยหน้าขึ้น“เสร็จแล้วเพคะ”เซียวอวี้: รวดเร็วเพียงนี้เชียวหรือ?เมื่อเห็นนางจะลุกขึ้น เขาพลันมองไปทางสาส์นกราบทูลที่วางกองอยู่บนโต๊ะ“ไปหยิบสาส์นกราบทูลมา เราจะพูดแล้วเจ้าก็เขียน”เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกแปลกใจ “ฝ่าบาท วังหลังไม่ควรยุ่งเกี่ยวกับราชกิจเพคะ”ยิ่งไปกว่านั้นจักให้นางเขียนแทนด้วยซ้ำ สีหน้าของเซียวอวี้ดูเรียบเฉย “ทั้งหมดเป็นสาส์นกราบทูลที่ไม่มีแก่นสาร ไม่ได้สลักสำคัญอะไร”สาส์นกราบทูลในแต่ละวันที่เป็นเรื่องสำคัญจริง ๆ มีน้อยมากส่วนใหญ่เป็นเรื่องไร้แก่นสารที่ไม่มีผลใด ๆ เดิมทีเฟิ่งจิ่วเหยียนคิดว่าเขาพูดเกินจริง ทว่าหลังจากพลิกดูตามคำขอของเขา ถึ
บนเตียงนั้นมีพื้นที่คับแคบ เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่มีที่ให้ถอยหนีเซียวอวี้จับเอวของนางไว้ เพื่อให้นางอยู่ในพื้นที่จำกัดนางหันศีรษะหลบหลีกการจูบของเขา ก็ยิ่งทำให้เขาไม่เหลือความอดทนทันใดนั้นเขาจับคางของนางไว้ และมองเข้าไปในดวงตาของนางด้วยสายตาเยือกเย็น “หลบอะไร? หือ?”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนสงบนิ่งไม่หวั่นไหว มือสองข้างกำหมัดไว้แน่นเซียวอวี้เริ่มโมโห เขาพลันก้มศีรษะลงประกบริมฝีปากของนาง ไม่เหลือพื้นที่ว่างให้นางหายใจผ่านไปไม่นาน การหายใจของเขาเริ่มหอบถี่ ฝ่ามือใหญ่เคลื่อนมาทางด้านหน้าตัวนางแค่ดึงเบา ๆ สายรัดเอวก็หลุดออกฝ่ามือร้อนผ่าวของเขาวางทับอยู่บนหน้าท้องที่กระชับและแบนราบของนาง โดยมีอาภรณ์กั้นอยู่หลายชั้นริมฝีปากบางของเขาเคลื่อนมาข้างใบหูของนาง เหมือนจูบเหมือนขบกัด ทั้งอมติ่งหู พร้อมเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า“มีองค์ชายให้กับเรา...”คำพูดนี้หาใช่จะหารือกับนาง แต่เป็นคำสั่งที่แข็งกร้าวเซียวอวี้เริ่มเกิดอารมณ์เคลิบเคลิ้ม เขาดึงอาภรณ์ของนางอย่างขาดสติเฟิ่งจิ่วเหยียนเอียงศีรษะ และหันหน้าไปทางผ้าม่านข้างเตียงแววตาของนางเฉยชาและคิ้วขมวดแน่น“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เต็มใจจะร
ราชทูตของเป่ยเยี่ยนพยายามขู่เข็ญ ตลอดทั้งวันจะเฝ้ารออยู่แต่ในกรมศัสตราวุธพวกเขาค้นพบคลังสมบัติห้องหนึ่ง ทว่ากลับถูกห้ามไม่ให้เข้าไปด้านใน หัวหน้าราชทูตสงเหยียนจึงไม่พอใจอย่างมาก“ฮ่องเต้ฉีทรงรับปากแล้วว่า จะให้พวกข้าเยี่ยมชมปืนหอกไฟนั่น พวกเจ้ากล้าดีอย่างไรมาขัดขวาง!”หัวหน้ากรมศัสตราวุธเดินมาขออภัยด้วยตนเอง“ท่านราชทูต ปืนหอกไฟนั้นยังสร้างไม่เสร็จสมบูรณ์ โปรดรออีกสักสองสามวัน”สงเหยียนมองออกว่าพวกเขามีเจตนาจะถ่วงเวลา ทว่าหนานฉีก็ยอมอ่อนข้อให้แล้ว หากเป่ยเยี่ยนบีบบังคับมากเกินไป เกรงว่าผลที่ได้จะตรงข้ามกับที่คาดหวังถึงอย่างไรก็แค่รอเพิ่มอีกสองสามวัน เขามีเวลาเหลือเฟือ ก่อนจะกลับ สงเหยียนเอ่ยประโยคหนึ่งที่มีความหมายเป็นนัย ๆ ว่า “ไม่ว่าจะหลบหน้าอย่างไรก็ไม่มีทางหลบพ้นได้”หลังเขาจากไป คนในกรมศัสตราวุธต่างพากันเหงื่อตกเย็นวาบเป่ยเยี่ยนข่มเหงมากเกินไปแล้ว!ในเวลากลางคืนภายในตำหนักหย่งเหอเซียวอวี้ทานอาหารมื้อค่ำร่วมกับเฟิ่งจิ่วเหยียน เขาพูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในกลางวัน น้ำเสียงฟังดูอ่อนโยน“เมิ่งเฉียวม่อทำความผิดไว้มาก ถึงแม้ครั้งนี้นางจะสร้างความดีความชอบ เราก็จะไม่
องค์หญิงใหญ่จะทรงรู้ได้อย่างไร นางดูถูกฮองเฮา ทว่าพิมพ์เขียวของปืนหอกไฟนั้นก็เป็นเฟิ่งจิ่วเหยียนที่วาดขึ้นมานางมั่นใจว่าเฉียวม่อสามารถแก้ไขได้ คาดไม่ถึงว่าเฉียวม่อไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจะต้องเริ่มลงมืออย่างไรก่อนหน้านี้เฉียวม่อแค่คิดจะคว้าโอกาสนี้เพื่อออกจากคุกเทียนเหลาตอนนี้นางเกิดลังเลขึ้นแล้วโดยเฉพาะได้ยินฮ่องเต้ทรงตรัสว่า: “สิ่งที่เราต้องการคือไร้ข้อผิดพลาด มิเช่นนั้นเจ้าจะถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง”แววตาของเซียวอวี้ดูเย็นชา ไม่ยอมให้โอกาสำหรับต่อรองเฉียวม่อจึงกระวนกระวายใจหากคิดแค่อยากจะลองดูเท่านั้นคงไม่สำเร็จแน่องค์หญิงใหญ่รู้สึกร้อนใจ“ฝ่าบาท เมิ่งเฉียวม่อต้อง...”ก่อนที่คำว่า “ทำได้” จะหลุดออกมา ก็ได้ยินเฉียวม่อเอ่ยด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“หม่อมฉัน...ทำไม่ได้”องค์หญิงใหญ่ตกใจอย่างมากเมิ่งเฉียวม่อพูดสิ่งใด?!เหตุใดถึงทำไม่ได้? ก็แค่เพิ่มกลไกบางอย่างลงในพิมพ์เขียวเดิมเท่านั้น สำหรับแม่ทัพน้อยเมิ่งผู้องอาจคงไม่ยากกระมัง!แผ่นหลังของเฉียวม่อเต็มไปด้วยเหงื่อนางไม่สามารถถูกเพิ่มโทษขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่มั่นใจเต็มร้อยเพคะ”แววตาของเฟิ่งจิ่วเหยี
ราชทูตสงเหยียนเตรียมตัวมาอย่างดี เขาเอ่ยอธิบาย“ฮ่องเต้ฉี ฮ่องเต้เราส่งราชทูตนำของขวัญวันเกิดมาถวายให้ท่านโดยเฉพาะ แต่น่าเสียดายระหว่างทางเจอกับนักฆ่าจนได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องเสียเวลาอยู่หลายวัน“กระหม่อมมาถึงช้าไป ท่านคงไม่ถือสากระมัง?”เหตุผลนี้ฟังดูไม่ขึ้นเลย เห็นกันอยู่ว่าเจตนามาถึงช้า เพราะจะรอให้ปืนหอกไฟสร้างเสร็จก่อน ค่อยเข้ามาแทรกแซง!ชาวเป่ยเยี่ยนช่างอดทนเสียจริงเหล่าขุนนางหนานฉีรู้สึกผิดอย่างมากหากรู้ว่าจะเป็นเช่นนี้แต่แรก กลุ่มคนในกรมศัสตราวุธคงจะไม่รีบร้อนถึงเพียงนี้ถ่วงเวลาเขาไปสักหนึ่งปีหรือครึ่งปีก็คงดี!เซียวอวี้เย้ยหยัน“ราชทูตช่างมีหูตาเฉียบไวยิ่งนัก”สงเหยียนดูเหมือนเคารพนอบน้อม“ฮ่องเต้ฉีทรงชมเกินไปแล้ว!”จากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาที่หัวข้อสำคัญ “ฮ่องเต้ฉี กระหม่อมจะเข้าชมปืนหอกไฟได้เมื่อใดพ่ะย่ะค่ะ? หนานฉีเป็นแคว้นใหญ่ คิดว่าคงมีจิตใจกว้างขวางดั่งมหาสมุทร ไม่เหมือนกับแคว้นเล็กอย่างตงเว่ย”เหล่าขุนนางในที่นั้นต่างกระวนกระวายใจทุกคนรู้ดีว่า “มังกรไฟ” ที่แคว้นตงเว่ยสร้างขึ้นมานั้น ตกเป็นเป้าสายตาของมหาอำนาจอย่างเป่ยเยี่ยน และทำเช่นเดียวกันคืออ้างว่าข
ภายในคุกเทียนเหลาเฉียวม่อถูกคุมขังทันทีโดยไม่มีโอกาสแก้ตัวต่อหน้าธารกำนัลชุดแม่ทัพที่ดูองอาจน่าเกรงขามแต่เดิมถูกถอดออก และเปลี่ยนเป็นชุดนักโทษสีขาวหม่นแทนแววตาของนางแฝงด้วยความไม่ยินยอม เมื่อนางเห็นเฟิ่งจิ่วเหยียน สีหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นหมองคล้ำเมื่อไม่มีผู้คนอยู่โดยรอบ เฉียวม่อจึงเอ่ยถามออกมาตามตรง“ศิษย์พี่ ท่านไม่นึกถึงความผูกพันในอดีตสักนิดเลยหรือ!“เห็นข้ามีจุดจบในสภาพเช่นนี้ ท่านมีความสุขใช่หรือไม่!“ท่านใช้วิธีใดกันแน่ นึกไม่ถึงว่าฝ่าบาททรงไม่ติดใจเอาความเรื่องที่ท่านหลอกลวงเบื้องสูง!”ทันใดนั้น เฉียวม่อนึกบางอย่างขึ้นมาได้ นางมองเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยสายตาเหยียดหยาม พร้อมกับเย้ยหยัน“ข้ารู้แล้ว ท่านคงพยายามใช้ท่าทางยั่วยวนตอนอยู่บนเตียง ปรนนิบัติฮ่องเต้จนสบายพระทัยเป็นแน่!“ใช่แล้ว สตรีในวังหลังก็ไม่ต่างจากโสเภณีในหอนางโลม! “เพื่อชื่อเสียงลาภยศจึงขายเรือนร่างของตนเอง“ถึงแม้จะไม่ใช่บุรุษที่ชื่นชอบก็รื่นรมย์กับเรือนกายของเขาได้!“ศิษย์พี่ ข้านึกไม่ถึงจริง ๆ ว่าท่านจะเหยียบย่ำตนเองเช่นนี้“ตอนที่ท่านนอบน้อมเอาอกเอาใจฝ่าบาท ท่านเคยนึกถึงพี่ใหญ่ต้วนบ้างหรือไม่
องค์หญิงใหญ่ไม่อาจยอมรับการกระทำหลอกลวงเบื้องสูงของเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ นี่ถือเป็นการลบหลู่ทั้งราชวงศ์!สายตาของเซียวอวี้ทอดมองไปยังเฟิ่งจิ่วเหยียนด้วยท่าทีแน่วแน่“หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยให้ผู้คนทั่วหล้ารับรู้ นั่นถึงจะเสื่อมเสียชื่อเสียงของราชวงศ์“อีกอย่างนางก็เป็นบุตรสาวของตระกูลเฟิ่งเช่นกัน จึงไม่ถือว่าขัดขืนพระประสงค์ของฮ่องเต้องค์ก่อน”องค์หญิงใหญ่รู้สึกแปลกใจ“ฝ่าบาท ท่าน...ท่านคิดจะไม่สืบสวนใช่หรือไม่?”นี่ก็ไร้สาระสิ้นดี!สิ่งที่ตระกูลเฟิ่งทำผิดเป็นโทษร้ายแรงหลอกลวงเบื้องสูง!การเลือกฮองเฮาถือเป็นคำสั่งของฮ่องเต้ตระกูลเฟิ่งเหตุใดจึงกล้าเปลี่ยนตัวเจ้าสาว!สิ่งที่ทำให้นางประหลาดใจที่สุดคือ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้จะปล่อยวางเรื่องนี้อย่างง่ายดาย“ฝ่าบาท ข้าไม่เห็นด้วย! “องค์หญิงใหญ่ยืนกรานหนักแน่นกว่านางจะพบหลักฐานว่าฮองเฮาอภิเษกสมรสแทนนั้นไม่ง่ายเลย จะให้ปล่อยผ่านไปได้อย่างไรนางไม่ชอบฮองเฮาผู้นี้อย่างมาก ทั้งใส่ร้ายแม่ทัพน้อยเมิ่ง ล่อลวงฮ่องเต้ และยังละโมบในทรัพย์สินสตรีเช่นนี้มีแต่จะทำร้ายฮ่องเต้เท่านั้น!เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่สนใจว่าองค์หญิงใหญ่จะมีเจตนาร้ายต่อนางหรือไ