ฮูหยินเฟิ่งตกตะลึงจิ่วเหยียนหนีไปแล้วจริง ๆ หรือ นางไร้น้ำใจขนาดนี้จริงหรือ ทิ้งพ่อแม่แท้ๆ ของตนเอง...นายท่านเฟิ่ง พรวดลุกขึ้นมา เหมือนมีแผนการแล้ว“จะต้องเป็นเมิ่งฉวีตาเฒ่าคนนั้นแน่ ข้าจะไปเขียนจดหมาย ถามเขาดูว่า เขาอยากจะทำอะไรกันแน่!”จิ่วเหยียนเป็นลูกสาวของเขา ตอนนั้นเพียงแค่ฝากเลี้ยงไว้ในตระกูลเมิ่งตอนนี้นางเติบโตแล้ว แต่งงานแล้ว ตระกูลเมิ่งก็ควรที่จะตัดสัมพันธ์กับนางหลังจากนายท่านเฟิ่งออกไปแล้ว ดวงตาฮูหยินเฟิ่งเต็มไปด้วยน้ำตาเทียบกับความพร่ำบ่น มากยิ่งกว่านั้นคือนางเป็นกังวลยังไงก็เป็นลูกสาวของนาง นางเป็นกังวลว่า จิ่วเหยียนจะไปที่ใด สุขสบายดีไหมในห้องหนังสือนายท่านเฟิ่งกำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมา พ่อบ้านบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน สีหน้าเหมือนไว้ทุกข์ให้ทายาท“นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว”ความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรกแต่สำหรับนายท่านเฟิ่งแล้ว ต่อให้มีเรื่องใหญ่แค่ไหน ก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่าฮองเฮาหนีไปแล้วพ่อบ้านปิดประตูอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็รายงานด้วยเสียงเบาว่า“นายท่าน คุณหนูเวยเฉียงหายไปแล้ว แม้แต่สาวใช้ไฉ่เยว่ก็ไม่เห็นแล้ว!”นายท่านเฟิ่งโกรธจนคิ้วขมวดเป็นเส
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันตัว โยนคนที่อยู่ใกล้นางที่สุดผ่านบนไหล่ตูม!คนนั้นกระแทกบนโต๊ะ ถล่มตกลงพื้นพร้อมกับโต๊ะที่แตกหัก เสียงกรีดร้องดังไม่หยุด“อ้าก...”คนอื่นเห็นดังนี้แล้วก็รวมตัวต่อสู้พร้อมกันแต่ไม่นาน พวกเขาทั้งหมดล้มกองลงบนพื้นอย่างระเกะระกะ ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ข้างหลังหน้ากาก ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอาฆาตทหารกลุ่มนั้นพูดเตือนนางว่า“เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายพวกเรา? พวกเราเป็นคนของค่ายทหารเป่ยต้า แม่ทัพน้อยเมิ่งเคยได้ยินไหม พวกเราล้วนเป็นทหารของนาง! ค่ายทหารเป่ยต้า เจ้ากล้ามีเรื่องด้วยหรือ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา“กฎค่ายทหารเป่ยต้านั้นเข้มงวด ปล่อยให้พวกเจ้ารังแกเอาเปรียบผู้หญิงบริสุทธิ์ได้อย่างไร”ทหารกลุ่มนั้นส่งเสียงหัวเราะเย้ย“พวกเราปกป้องดินแดน มีคุณงามความดี! นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรได้!”“ใช่! หากไม่มีพวกเรา คนรัฐเหลียงคงโจมตีมาตั้งแต่แรกแล้ว! ยังจะมีชีวิตที่สงบเหมือนอย่างตอนนี้ได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนหิ้วคนหนึ่งขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว จับปกเสื้อของเขาไว้ด้วยสายตากดดัน“งั้นก็ตามข้าไปยังค่
“ทำไมเจ้าก็สงสัยนาง?” ฮูหยินเมิ่งค่อนข้างแปลกประหลาดใจคนที่เฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ใจที่สุด ก็มีแต่อาจารย์หญิงนางเล่าเรื่องเกี่ยวกับเวยเฉียงให้ฟังทุกอย่าง และอธิบาย เหตุผลที่นางสงสัยเฉียวม่อฮูหยินเมิ่งฟังแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะผงกหัว“เจ้าคิดแบบนี้ ก็ใช่ว่าไม่มีเหตุผล”“หากเฉียวม่อ หมายปองตำแหน่งแม่ทัพน้อยเมิ่งตั้งแต่แรก งั้นนางก็ต้องกันเจ้าออกไป ลงมือทำร้ายเวยเฉียง บีบบังคับให้เจ้ากลับไป”“หากเป็นฝีมือของนางจริงๆ ถือเป็นการกระทำที่โหดเหี้ยมอำมหิตอย่างที่สุด!”ฮูหยินเมิ่งอย่างไรก็คาดคิดไม่ถึง เรื่องของเวยเฉียง ก็เป็นฝีมือของเฉียวม่อยัยเด็กคนนี้ นับตั้งแต่เมื่อไหร่ กลายเปลี่ยนเป็นคนโหดเหี้ยมอำมหิตขนาดนี้!อารมณ์จิตใจเฟิ่งจิ่วเหยียนซับซ้อน“ข้าก็ไม่อยากสงสัยนาง แต่เรื่องทุกสิ่งอย่าง ล้วนพุ่งความน่าสงสัยไปที่นาง”ฮูหยินเมิ่งเห็นด้วย“ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง เดิมข้าคิดว่ารอตรวจสอบได้ผลชัดเจนแล้ว ค่อยบอกกับเจ้า“ตอนนี้ สู้บอกกับเจ้าเสียเลย“ข้าสงสัยว่า เรื่องที่กองทัพมังกรพยัคฆ์ถูกทำลายล้าง เฉียวม่อต้องมีส่วนร่วมทำอะไรสักอย่างแน่ ช่วงหลายวันก่อน ข้าได้แอบสืบเรื่องนี้มาตลอด น่าเสียดายที
ตรงมุมหนึ่งของกำแพง มีร่องรอยเก่ากับใหม่ผสานกันอย่างไม่ถูกต้องเฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้ทำอะไรในทันที แสร้งทำเป็นตรวจดูเสร็จ แล้วก็ขอตัวกลับ พูดเน้นย้ำอาสะใภ้หกว่า ห้ามเอาเรื่องของนางไปบอกใครหลังจากดึกดื่น นางแอบเข้ามาในห้องทางทิศตะวันตกอีกครั้งหลังจากดันสิ่งของที่วางกองรวมกันอยู่ออกไป ก็พบว่าบนพื้นหลวมๆ เมื่อจัดการกับดินบนนั้นแล้ว ก็พบไม้กระดานสี่เหลี่ยมชิ้นหนึ่งเมื่อดันไม้กระดานนั้นขึ้นมา ก็เป็นเส้นทางใต้ดินนางใช้เพียงพับไฟส่องสว่าง แล้วก็คิดเข้าใจทันที เฉียวม่อย้ายสิ่งของหลายหีบนั้นเข้าไปในจวนแม่ทัพได้อย่างไรวันถัดมาเฟิ่งจิ่วเหยียนมาหาฮูหยินเมิ่งอีกครั้งไม่รอให้นางนำเรื่องที่พบเมื่อวานบอกกับอาจารย์หญิง ฮูหยินเมิ่งก็ชิงพูดเรื่องลับเรื่องหนึ่งขึ้นมาก่อน“นี่เป็นจดหมายด่วนจากพ่อของเจ้า เดิมนั้นส่งให้อาจารย์ของเจ้า ฉันเอามาดูก่อน เจ้าเองก็ดูด้วย”แววตาฮูหยินเมิ่ง เต็มไปด้วยความหนักใจเฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ไม่ดีขึ้นมาทันทีเมื่อเปิดจดหมายดู ค่อยรู้ว่า ฮ่องเต้ทรราชคนนั้น ไม่เชื่อว่านางตายแล้ว บีบบังคับให้นายท่านเฟิ่งส่งคนมาให้ฮูหยินเมิ่งจับมือข้างหนึ่งของนางไว
เฉียวม่อพบแหล่งที่มาสิ่งของที่เป็นของกลาง พิสูจน์ว่าเป็นของที่ได้มาจากกลุ่มโจรปล้นสุสานเพื่อซ่อนสิ่งที่ได้มาเป็นพิเศษพวกนี้ จึงขนส่งไปยังจวนแม่ทัพเดิมคิดว่าสถานที่อันตรายที่สุดก็คือสถานที่ปลอดภัยที่สุด คิดไม่ถึงว่าเจ้าหน้าที่ทหารจะกล้าค้นจวนแม่ทัพเมิ่งฉวีไร้ความผิดถูกปล่อยตัวออกมา ข้าหลวงผู้ตรวจการนำความจริงของคดีนี้ กราบทูลฝ่าบาทที่อยู่ห่างไกลถึงเมืองหลวงเรื่องนี้ ดูเหมือนจะผ่านไปเสียแบบนี้แล้วและเรื่องที่แม่ทัพน้อยเมิ่งช่วยพ่อของตนเองไว้ กลายเป็นเรื่องเล่าอย่างน่าชื่นชมภายในค่ายทหารจวนแม่ทัพถูกปลดปล่อยวันที่แม่ทัพเมิ่งกลับมา ฮูหยินเมิ่งกับเฉียวม่อรอรับอยู่ตรงหน้าประตูจวน“ท่านพ่อ!” เฉียวม่อร้องเรียกอย่างตื่นเต้น วิ่งเร็วยิ่งกว่าฮูหยินเมิ่งฮูหยินเมิ่งมองเงาแผ่นหลังของนางด้วยสายตาหม่นหมอง พร้อมเงียบไปอยู่นานตอนกลางคืนฮูหยินเมิ่งกับเฟิ่งจิ่วเหยียนนัดเจอกันนางค่อนข้างไม่เข้าใจ“เฉียวม่อคิดอยากทำอะไรกันแน่?”วางแผนใหญ่โตขนาดนี้ มีผลประโยชน์ต่อนางอย่างไร?เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาว่า“บางที นางรู้ว่าท่านกำลังสืบเรื่องกองทัพมังกรพยัคฆ์”ฮูหยินเมิ่งเข้าใจขึ้นมาทันท
ในตำหนักจื้อเฉิน พระราชวังเฉินจี๋เดินเข้ามาอย่างรวดเร็ว แสดงออกถึงความร้อนใจอย่างเห็นได้น้อยครั้ง“ฝ่าบาท มีข่าวแจ้งมาว่า ฮองเฮาอยู่ชายแดนเหนือ!”เวลาต่อมา มีคนหนึ่งเดินออกมาจากในม่านบัง รอบกายเต็มไปด้วยความโกรธที่รุนแรง ราวกับชูร่าในนรก ภายใต้เงาร่างสูง แสงแดดแลดูหม่นหมองแววตาเซียวอวี้กำลังก่อตัวพร้อมกับพายุฝนที่ใกล้เข้ามาในความมืด สีหน้าเยือกเย็นอย่างที่สุดเขารู้อยู่แล้ว นางไม่มีทางตายหนีไปยังชายแดนเหนือหรือจักรพรรดิตรัสสั่งขึ้นมาพร้อมความขุ่นเคืองว่า “เจ้าพาคนจำนวนหนึ่ง ไปยังชายแดนเหนือ”พูดถึงตรงนี้ เขาก็เปลี่ยนความคิดผู้หญิงคนนั้นมีความสามารถอย่างยิ่ง รับมือได้หนึ่งต่อร้อย เฉินจี๋ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง……ในที่ว่าราชการนายท่านเฟิ่งเหม่อลอย เตรียมพร้อมกับการถูกประหารแล้วใครใช้ให้เขามีลูกสาวอกตัญญูเล่านางสนใจแต่เพียงความอิสรเสรี ทำให้ทุกคนในตระกูลต้องตายเพื่อนางไม่ง่ายกว่าจะรอจนถึงว่าราชการเสร็จสิ้น เดิมเขาคิดว่า ฝ่าบาทจะมีรับสั่งให้เขาอยู่ต่อ เพื่อทำการลงโทษเขาสุดท้าย เหมือนฝ่าบาทจะจำที่นัดหมายไว้หนึ่งเดือนไม่ได้ จบการว่าราชการเสร็จก็ออกไปเลยนายท่านเฟิ่ง
ผู้ชายที่อยู่ในห้องค่อยๆ หันมา จับจ้องมองดูเฟิ่งจิ่วเหยียนอย่างเยือกเย็นชาริมฝีปากของเขาแฝงไปด้วยความเลือดเย็น ส่วนที่กระตุกขึ้นมาเล็กน้อยแฝงไปด้วยความหนาวเหน็บ“ที่นี่สุขสบายกว่าพระราชวังหรือ”คำพูดประโยคนี้พูดขึ้นมาอย่างสบายอารมณ์ เฟิ่งจิ่วเหยียนกลับรู้สึกได้ถึง ความขุ่นเคืองจัดที่เขาอดกลั้นไว้ก็ถูกนางในฐานะที่เป็นฮองเฮาหนีไปแล้วถือเป็นการเหยียบย่ำเกียรติของเขาที่เป็นกษัตริย์กับสามีเซียวอวี้ก้าวเท้าเดินมา ค่อยๆ เข้าใกล้นางนางไม่ได้ก้าวถอยหลัง และก็ไม่มีความคิดที่จะหนีไปชายหนุ่มหยุดชะงักตอนอยู่ห่างจากนางหนึ่งก้าว รูปร่างสูงใหญ่ราวกับเมฆดำบดบังแสงอาทิตย์ ทำให้เกิดเงาใหญ่โตบนใบหน้าของนางทันใดนั้น เขาเอื้อมมือดึงม่านคลุมหน้าของนางออกนิ้วเรียวยาวยังคงวางอยู่บนแก้มของนาง ลูบไล้ไปตามกรามของนาง ในที่สุดก็หยุดตรงใต้คางของนาง“ทำไมต้องหนี?”น้ำเสียงของเขาลาวยาวนุ่มนวล ราวกลับก่อนการฆาตกรรม ที่กำลังล้อเหยื่อเล่น กลั่นแกล้งอย่างโหดเหี้ยมเฟิ่งจิ่วเหยียนสบกับสายตาของเขาอย่างไม่หวาดกลัว“เพราะหวาดกลัว”ทันใดนั้น ฝ่ามือใหญ่ของชายหนุ่มบีบคอของนางไว้ มองดูนางอย่างเยือกเย็นชา
เฉียวม่อตรงไปยังกระโจมหลักของฮ่องเต้กับฮองเฮาแม่ทัพเมิ่งกำลังให้การต้อนรับด้วยตนเองเฉียวม่อกลับมองเห็น ศิษย์พี่ที่นั่งอยู่ด้านข้างฝ่าบาท ริมฝีปากค่อนข้างแดง ยังมีรอยช้ำบนผิว เห็นได้ชัดว่า...เกิดจากการจูบอย่างรุนแรงและแววตาของฝ่าบาท เหลือบมองดูศิษย์พี่อยู่บ่อยครั้ง ราวกับให้ความสนใจนางเป็นอย่างยิ่งนี่ไม่ใช่ภาพที่เฉียวม่อคาดคิดไว้ฝ่าบาทจับตัวนางสนมที่หลบหนีได้ ควรลงโทษอย่างสาหัสถึงจะถูกและจากที่นางสังเกตเห็นได้จากเมื่อตอนที่ไปยังเมืองหลวงก่อนหน้านี้ เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทไม่ชอบศิษย์พี่ส่วนศิษย์พี่...ศิษย์พี่ไม่อยากกลับพระราชวังไม่ใช่หรือ น่าจะต่อต้านถึงจะถูก!ระหว่างพวกเขา เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้ากันได้ดีถึงขนาดนี้!เฉียวม่ออดกลั้นเก็บความสงสัยมากมายไว้ แล้วถวายบังคมอย่างฝืนยิ้ม“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท ฮองเฮา”“ไม่ต้องมากพิธี”สิ่งที่เซียวอวี้ป่าวประกาศต่อภายนอกก็คือ เดิมครั้งนี้ฮองเฮาก็เดินทางมาพร้อมกับเขา เดินทางมาให้กำลังใจพวกทหาร แต่เพราะทนการเดินทางไกลอย่างเหน็ดเหนื่อยไม่ไหว จึงพักอยู่ในที่พักแรมเป็นการชั่วคราวรถม้าของนางจึงมาถึงช้ากว่าเขาการอธิบายนี้มีพิรุธ แต่ก็ไ
ราชทูตจากเป่ยเยี่ยนที่รักตัวกลัวตายนั้น เขาย่อมรู้ดีว่านิสัยของอดีตฮ่องเต้เป็นคนเช่นไร จึงมิคิดหาเรื่องเดือดร้อนให้กับตนเองเขารีบพาทหารทั้งหลายที่ถูกถอดชุดเกราะปลดอาวุธกลับเป่ยเยี่ยนไปในทันที มิคิดรั้งอยู่หนานฉีเลยแม้แต่วินาทีเดียวเมื่ออดีตฮ่องเต้เห็นทุกคนออกไปกันหมดแล้วนั้น เขาถึงรู้สึกตัวขึ้นมาได้ว่า เขาถูกทิ้งเอาไว้ที่นี่แล้วจริง ๆ วินาทีนั้น เขาโกรธโมโหยิ่งนัก พร้อมทั้งไอสังหารที่แผ่ไปทั่วทุกที่“อ๊าก! ตาเฒ่า! ข้าเป็นบุตรแท้ ๆ ของท่าน ท่านกล้าทำเช่นนี้กับข้าเลยหรือ!”เขาทั้งสองข้างพลันคุกลงบนพื้น ก่อนจะร้องคำรามไปมามิต่างอันใดกับสุนัขที่บ้าคลั่ง……แคว้นตงซานที่อยู่ห่างออกไปพันลี้นั้นหลังจากที่ราชทูตทั้งสองกลับมาแล้วนั้น พลางนำข่าวที่ตนเองถูกพวกหนานฉีบังคับให้ทำการค้าขายด้วยมารายงานในทันทีฮ่องเต้แคว้นตงซานที่ได้ยินเช่นนั้น พลันหัวเราะออกมาด้วยความโกรธเกรี้ยว“เรารู้ดีว่า หนานฉีจักไม่ยอมหยุดเพียงเท่านี้แน่!”ราชทูตหลี่หลิงที่นั่งคุกเข่าอยู่บนพื้นนั้น“ฝ่าบาทพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมมิอาจช่วยราชครูกลับมาได้ ทว่า พวกกระหม่อมได้ทิ้งสายลับเพื่อติดตามหาเบาะแสของตงฟางซื่อเอาไว้แ
การที่พวกเขาขอเข้าพบยามมืดค่ำเช่นนี้ เกรงว่าราชทูตเป่ยเยี่ยนเองคงมีเรื่องร้อนใจมากกระมังจางฉี่หยางนำกองทัพที่แข็งแกร่งบุกเข้าโจมตีเป่ยเยี่ยนสงครามในครานี้จึงต้องรีบระงับโดยไว แว่นแคว้นภายในถึงจักสามารถฟื้นตัวได้เสียที……เมืองเซวียนภายในเรือนจำฮ่องเต้เยี่ยนและเหล่าทหารมากมายถูกคุมขังเอาไว้ที่นี่เขามิคิดเลยว่า ตนเองจักถูกพวกหนานฉีจับได้ ทั้งยังถูกคนของตนเองทรยศหักหลังอีก!เขาโกรธเกลียดยิ่งนักเมื่อฮ่องเต้ถูกจับตัวเอาไว้ได้เช่นนี้ กองทัพเยี่ยนที่เหลืออยู่บนภูเขาจิ่วเหลียนย่อมไร้ความสามารถเป่ยเยี่ยนพ่ายแพ้โดยสิ้นเชิงทว่า ฮ่องเต้เยี่ยนหาได้แสดงออกท่าทีว่าตนเองพ่ายแพ้ไม่ หากแต่ยังคงทำตัวหยิ่งจองหอง ยโสโอหังไม่เลิก“เราจักไม่ตาย! พวกเจ้ามิกล้าสังหารเราหรอก!“กองทัพเยี่ยนที่มีทหารนับหมื่นนายนั้น พวกเขาจักยังคงทยอยโจมตีหนานฉีต่อไป จนกระทั่งหนานฉีพ่ายแพ้ราบคาบเป็นหน้ากอง!”นี่คือพระราชโองการที่เขาออกสั่งด้วยตนเอง ก่อนที่เขาจะทยานเข้าสู่ศึกสงครามไม่ว่าอย่างไร เป่ยเยี่ยนกับหนานฉีก็จักรบกันจนตัวตายไปข้างหนึ่ง!ทหารที่เฝ้าห้องขังนั้น ต่างพากันหัวเราะออกมาเสียฉากใหญ่“ทยอยโจ
ในวังหลวงหลังจากรับสำรับมื้อค่ำแล้วนั้น เซียวอวี้ก็มอบของขวัญให้กับตระกูลเฟิ่งมากมาย ทุกคนต่างก็ได้รับกันถ้วนหน้า รวมไปถึงเด็กน้อยวัยสองขวบด้วยเฟิ่งเหยียนเฉินพลันลุกขึ้นยืน“ขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะฝ่าบาท กระหม่อมนึกละอายใจยิ่งนัก!”โจวซื่ออุ้มบุตรสาวของตนเองขึ้นมา ก่อนจะโค้งกายคำนับตามสามีของตนเองเซียวอวี้ที่มีงานราชกิจมากมายรออยู่นั้น หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเสร็จเขาก็ต้องกลับไปที่ห้องทรงพระอักษร ก่อนจะสั่งการให้หลิวซื่อเหลียงส่งตระกูลเฟิ่งออกจากวังไปหลิวซื่อเหลียงที่เป็นข้ารับใช้คนสนิทของฮ่องเต้ การที่ได้เขาช่วยนำออกจากวังหลวงนั้น ถือเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่าบาทให้ความสำคัญกับตระกูลเฟิ่งมากเพียงใดเฟิ่งจิ่วเหยียนเหลือบมองหลานสาวตัวน้อยของนาง ก่อนจะหันกลับไปมองแผ่นหลังของฮ่องเต้ที่เดินจากไปทันใดนั้น แววตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกมากมายจึงฉายชัดขึ้นมาในทันทีตลอดการรับสำรับมื้อค่ำในครานี้ เซียวอวี้ลอบมองดูเด็กน้อยอยู่หลายครั้ง พร้อมรอยยิ้มที่ฉายขึ้นในดวงตาของเขาเสมอสายตานั้น มิต่างอันใดกับเฟิ่งเหยียนเฉินที่มอบให้กับบุตรสาวของตนเองเลยแม้แต่น้อยหากจะกล่าวว่าเฟิ่งจิ่วเหยียน
สีหน้าของนายท่านเฟิ่งเต็มไปด้วยการต่อต้านถึงแม้ว่าเขาจะแต่งงานใหม่อีกครั้ง แต่ก็ยังมีบุปผางามสาวสะพรั่งอีกมากมายให้เลือกสรร อย่างน้อย เขาก็สามารถแต่งกับสตรีที่รู้ความแตกฉานด้านอักษร หรือมีภูมิหลังที่สะอาดสะอ้านบริสุทธิ์ผุดผ่องได้หลิวอิ๋งผู้นี้ หาได้มีคุณสมบัติที่จักมาเป็นนายหญิงของตระกูลเฟิ่งไม่!หากแต่ สตรีที่อยู่ตรงหน้าเขาหาได้มีท่าทีล้อเล่นเลยแม้แต่น้อย ก่อนจะใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปที่ใบหน้าของเขาราวกับเต็มไปด้วยความรักใคร่“นายท่าน สามีของข้าเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่ข้ามิเคยลืมท่านเลยสักวันเดียว“ในเมื่อพี่สาวข้าหย่าขาดกับท่านเช่นนี้ เช่นนั้นพวกเรากลับมาอยู่ด้วยกันดีหรือไม่ ในครานี้ มิมีผู้ใดขัดขวางพวกเราได้อีกแล้ว”ทั่วร่างของนายท่านเฟิ่งพลันเหงื่อแตกไปในทันที ก่อนจะผลักนางออกไป“ใครเคยอยู่กับเจ้ากัน! เจ้าออกไปให้ห่างจากข้าเดี๋ยวนี้!”หลิวอิ๋งในยามนี้ จัดการยากกว่าในปีนั้นยิ่งนัก!เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่มารดาของเขามิยินยอมให้นางแต่งเข้าจวนมา!ดวงตาของหลิวอิ๋งพลันหรี่ลงเล็กน้อย คล้ายกับท่าทีที่พร้อมจะทุบหม้อข้าวหม้อแกงทุกอย่างทิ้งไป“ท่านไม่อยากแต่งกับข้างั้นหรือ?“
ด้านนอกประตูวังนั้นหลิวอิ๋งและบุตรสาวของนางถูกไล่ออกไปทันทีไม่ว่าพวกนางจะเอ่ยย้ำว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮามากเท่าไหร่เหล่าองครักษ์พลางกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ว่า: “ฮองเฮามีรับสั่งว่า ไม่พบ!”สาวใช้ของพวกนางพลันก้าวเข้าไปข้างหน้า ก่อนจะซักถามพวกเขาว่า“มีตาหามีแววไม่! พวกเจ้ามิได้ไปแจ้งให้ฮองเฮาทราบอย่างแน่นอนเลย!”องครักษ์ที่ทำหน้ารักษาประตูวังจึงชักอาวุธออกมา“หากกล้าก่อเรื่องที่หน้าประตูวัง คงมิอยากจะมีชีวิตอยู่แล้วใช่หรือไม่!”เมื่อหลิวอิ๋งและอีกสองคนเห็นสถานการณ์ที่อยู่ตรงหน้า พวกนางจึงค่อย ๆ ล่าถอยออกไปแต่โดยดีทว่า พวกนางหาได้คิดยอมแพ้ไม่!เจิ้งจีบุตรสาวของนางพลันเป็นเดือดเป็นร้อนไปในทันที ก่อนจะจับแขนมารดาของตน พลางเอ่ยถาม“ท่านแม่ ฮองเฮามิให้พวกเราเข้าพบเช่นนี้ พวกเราจักทำเช่นไรกันดีเจ้าคะ? แคว้นพันธมิตรต่างก็เปิดเส้นทางการค้าขายมากมาย โดยเฉพาะแคว้นตงซาน จำนวนพ่อค้าหลวงเองก็มีจำกัด พวกเรามิอาจปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของผู้อื่นได้นะเจ้าคะ”สายตาอของหลิวอิ๋งพลันเจือไปด้วยความเย็นชาเล็กน้อย เผยให้เห็นท่าทีสงบและฉลาดหลักแหลม“ไม่ต้องรีบร้อนไป ในเมื่อคนเป็นลูกมิยอมใ
เมื่อต้องมาเผชิญหน้ากับการปรากฏตัวของท่านน้าหญิงของตนเองเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเหยียนจึงสั่งให้คนไปตรวจสอบตัวตนของนางมาเสียก่อนการสืบหาในครานี้ กินเวลาไปเกือบทั้งวันด้านนอกประตูวัง ยังมีแม่ลูกคู่หนึ่งยืนอยู่ พร้อมด้วยสาวใช้ของนางเมื่อเหล่าองครักษ์เห็นว่านางเรียกตนเองว่าเป็นเครือญาติของฮองเฮานั้น พวกเขาก็หาได้กล้าทำอะไรไม่ พลางพาพวกนางไปพักที่ศาลาเพื่อรอฮองเฮาเรียกตัวเข้าพบใกล้พลบค่ำหว่านชิวพลันเดินเข้ามาภายในตำหนักในขณะเดียวกัน เฟิ่งจิ่วเหยียนที่กำลังอ่านจดหมายจากท่านอาจารย์ของนาง เนื้อหาพลันระบุเอาไว้ ชายแดนเหนือได้ทำการวางแนวป้องกันแบบใหม่ลงไปแล้ว มิกลัวว่าฝั่งเป่ยเยี่ยนจะลอบเข้ามาโจมตีอีกต่อไปหว่านชิวพลางโค้งกายคำนับ“ฮองเฮาเพคะ สืบพบแล้วเพคะ สตรีผู้นี้มีนามว่า ‘หลิวอิ๋ง’ เป็นท่านน้าหญิงของพระองค์จริง ๆ เพคะ ทว่า...” หว่านชิวพลันเปลี่ยนหัวเรื่อง “องครักษ์ยังสืบพบอีกว่า มารดาของท่านได้ทำการตัดสายสัมพันธ์กับตระกูลเดิมไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว ท่านน้าหญิงของฮองเฮาผู้นี้ มิทราบว่าสมควรจักให้พบหรือไม่ให้พบดีเพคะ”เฟิ่งจิ่วเหยียนวางจดหมายในมือของนางลง ก่อนจะสั่งการว่า“เจ้าไปที่
เจียงหลินจึงเอ่ยอธิบายก่อน: “สำหรับเส้นทางการค้าลับนั้น ตระกูลเจียงเองก็เคยใช้งานเช่นเดียวกัน ทว่า เรื่องมนุษย์โอสถนั้น หาได้เกี่ยวข้องอันใดกับตระกูลเจียงไม่”เรียวนิ้วของเฟิ่งจิ่วเหยียนพลันเขี่ยไปที่รอบปากจอกสุรา สายตาของนางหาได้สนใจสิ่งใดไม่“เล่าต่อเถิด ว่าเรื่องเป็นมาเช่นไร”เจียงหลินพลันกัดฟันเอ่ยออกมา“ข้ากลัวว่าท่านจักเป็นกังวล จึงมิกล้าเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาให้ท่านฟัง”“เส้นทางการค้าลับนั้นมีมานานนับหลายสิบปีแล้ว การค้าของตระกูลเจียงนั้นมีบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้งานพวกเขาบ้าง“สิ่งที่ข้าสืบพบก็คือ ไม่กี่ปีที่ผ่านมานั้นการค้าของพวกมนุษย์โอสถรุ่งเรืองยิ่งนัก ทว่า มิรู้เพราะเหตุใดช่วงนี้ราวกับพวกเขาได้ยินข่าวลืออะไรบางอย่าง จึงไม่มีการเคลื่อนไหวใด ๆ มานานแล้ว“ข้าเองก็ได้ส่งคนไปซุ่มรอตรวจสอบอยู่ หากพบว่ามีการค้าขายเกี่ยวกับมนุษย์โอสถเมื่อใดนั้น ย่อมต้องแจ้งให้ท่านทราบอย่างแน่นอน“ทว่า ในยามนี้หาได้พบสิ่งใดไม่”หลังจากเฟิ่งจิ่วเหยียนได้ฟังจนจบแล้วนั้น อย่างน้อยนางก็มั่นใจได้เรื่องหนึ่งว่า มนุษย์โอสถไปมาระหว่างแคว้นตงซานกับหนานฉีจริง ๆ ……ช่วงนี้ นับตั้งแต่ฮ่องเต้จนไปถึงขุนน
ปั้ง!ถานไถเหยี่ยนยกมือขึ้นข้างหนึ่ง หยวนจั้นที่ตกใจจนมิทันได้ป้องกันตนเองนั้น ก็ถูกกำลังภายในอันแข็งแกร่งกระแทกออกไปในทันทีหยวนจั้นที่ได้สติกลับมานั้น จึงปรับสมดุลกำลังภายในในร่างกายของตนเองให้มั่นคง ทว่า ก็ยังไม่อาจยืนหยัดได้อย่างมั่นคงนักร่างกายของหยวนจั้นซวนเซถอยหลังไปสองสามก้าว พร้อมทั้งแผ่นหลังที่ไปกระแทกเข้ากับประตูห้องขังที่อยู่ด้านหลังเขาเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองนั้น พลันเห็นว่าถานไถเหยี่ยนได้ทำลายกุญแจประตูห้องขัง ก่อนจะค่อย ๆ เดินเข้ามาหาเขา...หยวนจั้นเอามือกุมหน้าอกของตนเองเอาไว้ ดวงตาค่อย ๆ หรี่ลง พร้อมด้วยเปลือกตาของเขาที่สั่นไหวไปเล็กน้อยคนผู้นี้ มีความสามารถล้ำลึกถึงเพียงนี้เลยหรือ?เพียงไม่กี่อึดใจเดียว ถานไถเหยี่ยนก็เดินมาหยุดอยู่เบื้องหน้าของเขา พลางยกมือขึ้นมาวางบนไหล่ของหยวนจั้นหยวนจั้นที่คิดว่าถานไถเหยี่ยนจะลงมือกับตนเองนั้น กลับเห็นว่าเขาเพียงแค่ปัดฝุ่นออกจากหัวไหล่ให้ตนเองเท่านั้นเสมือนกับว่า เขายังคงเป็นอาจารย์ที่เต็มไปด้วยความอ่อนโยนในความทรงจำของเขาอยู่จากนั้น ถานไถเหยี่ยนพลันจัดแจงอาภรณ์ที่เต็มไปด้วยรอยยับให้เรียบร้อย พวกเขาราวกับศิษย์อาจารย์ที
หลังจากจับกุมพัศดีได้นั้น เขาหาได้มีท่าทีสำนึกผิดไม่“ฮองเฮาพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยทำสิ่งใดผิดไปงั้นหรือ…”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดมองเขาไม่ นัยน์ตาที่เต็มไปด้วยความเย็นชาพลางกล่าวออกมาว่า“ในฐานะพัศดีนั้น กลับกระทำการรับสินบน ติดต่อกับศัตรูต่างแคว้น ย่อมต้องถูกโทษประหาร!”พัศดีพลันมีสีหน้าซีดเผือดไปในทันทีเหตุใดถึง?ฮองเฮาทรงทราบว่าเขาลอบทำสิ่งใดเช่นนั้นหรือ?ผู้ใดเป็นคนทรยศเขากัน!พัศดีพลันรีบก้มลง พร้อมโขกหัวลงบนพื้นเพื่อ ร้องขอความเมตตา“ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ ข้าน้อยมิกล้าอีกแล้ว! ฮองเฮาได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วยเถิด ได้โปรด...”เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้คิดฟังเรื่องไร้สาระจากเขาไม่ พลางหันไปสั่งการกับเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคุกเทียนเหลาว่า“ข้าจักให้เวลาพวกเจ้าสามวัน ไปทำการสืบค้นเหล่าผู้ใต้บังคับบัญชาของเจ้าเสีย”“พ่ะย่ะค่ะ!” เจ้าหน้าที่ที่เป็นผู้รับผิดชอบนั้นพลันก้มหน้าลงด้วยความละอายใจเฟิ่งจิ่วเหยียนจึงหันไปกล่าวกับพัศดีคนอื่น ๆ ที่ยืนเนื้อตัวสั่นเทาว่า“ภายในสามวันนี้ หากผู้ใดยอมสารภาพออกมาแต่โดยดี จักได้รับโทษสถานเบา หากว่าทำการสืบหาตัวมาได้เมื่อใดนั