แรงกระแทกของก้อนหินยักษ์เช่นนั้น สามารถทำให้รถม้าพังทลายได้อย่างแน่นอน เสียงตะโกนของเฉินจี๋ฟังเสมือนลำคอถูกฉีกขาดไป ดังสะท้อนก้องอยู่ในหุบเขาที่เงียบงัน ในช่วงเวลาวิกฤต เซียวอวี้กำลังมีความคิดจักลงจากรถม้า ทว่าสตรีที่อยู่ข้างกายได้ก้าวนำหน้าเขาไปหนึ่งก้าว คว้าจับมือเขาไว้ และพาเขากระโดดออกไปข้างนอกรถม้าด้วยกัน ปฏิกิริยาว่องไวเช่นนี้ ย่อมแสดงให้เห็นว่านางได้คาดการณ์ถึงอันตรายของก้อนหินยักษ์ที่กำลังกลิ้งตกลงมา ก่อนที่เฉินจี๋จะรับรู้ได้ เกือบจะเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับพวกเขากระโดดลงจากรถม้า รถม้าก็พลันถูกทำลายจนแตกกระจาย! ม้าเองก็ตื่นตระหนก หลังหลุดจากเชือกบังเหียน ก็วิ่งเตลิดจนพลัดตกจากหน้าผาไป มีเพียงคนทั้งสามที่ติดอยู่ระหว่างหินยักษ์สองก้อน เดินหน้าต่อไปมิได้ ถอยหลังยิ่งไร้หนทาง เฉินจี๋กำกระบี่ยาวไว้แน่น คุ้มครองอยู่เบื้องหน้าของเซียวอวี้ สายตากวาดมองไปรอบ ๆ อย่างระแวดระวัง “นายท่าน ต้องมีคนซุ่มโจมตีอยู่ในที่ลับเป็นแน่ขอรับ!” เซียวอวี้ลดสายตามองลงไป——พบว่าฮองเฮายังคงจับมือของเขาไว้ ท่วงท่าเฉกเช่นเดียวกับเฉินจี๋ ใช้สายตาที่เฉียบคมกวาดมองไปโด
เฟิ่งจิ่วเหยียนเผชิญหน้ากับสายตาเย็นยะเยือกของบุรุษผู้นั้น “ข้าจักไปหา...” เซียวอวี้ขัดจังหวะคำพูดของนางอย่างเย็นชา ออกคำสั่งว่า “อยู่ที่นี่ ห้ามไปไหน” สิ้นคำพูดนี้ เขาพลันหมดสติลงไป ทว่าเขายังจับข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้แน่น เสมือนศพที่แข็งตัวแล้ว แม้นเกิดอันใดขึ้นก็แยกออกไปมิได้ เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องออกแรงอย่างมากมาย ค่อย ๆ ง้างนิ้วของเขาออกทีละนิ้ว จึงสามารถดึงข้อมือออกมาได้ ทว่ารอบข้อมือของนางมีรอยแดงประทับอยู่ แสดงให้เห็นว่าเขาใช้ความแข็งแกร่งมากเพียงใด…… เฟิ่งจิ่วเหยียนกำลังจะก้าวเท้าออกจากธรณีประตูลานบ้าน คู่สามีภรรยาชรายกน้ำร้อนเดินมาพอดี จึงบังเอิญเห็นเข้า พลันเร่งรีบตามมาขวางนางเอาไว้ และถามอย่างกังวลใจ “เฮ้! ช้าก่อน! แม่นาง เจ้า...เจ้าจะไปแล้วหรือ?” เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้สึกพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง พวกเขาช่างเดาแม่นจริง ๆ หญิงชรากล่าวว่า “แม่นาง เจ้าไปไม่ได้! หากว่าเจ้าไปแล้ว คนผู้นั้น...คนผู้นั้นตายลงไปเล่า พวกเราสองชราจักไปตามหาใครมารับผิดชอบได้?” พวกเขากลัวว่านางจะหนีเอาตัวรอดเพียงลำพัง แล้วทิ้งปัญหาใหญ่ให้พวกตนจั
การปรากฏตัวอย่างกะทันหันของเซียวอวี้ ได้ทำลายแผนการหลบหนีของเฟิ่งจิ่วเหยียน ใบหน้าของนางคงไว้ซึ่งความเงียบสงบ “ทางเดินขึ้นเขานั้นยากลำบาก ข้าจึงอยากไปสอบถามจากชาวบ้าน ถึงเส้นทางไปหาหมอในเมือง” เด็กน้อยหยิบตะกร้าไม้ไผ่ขึ้นมา แล้วส่งคืนให้เฟิ่งจิ่วเหยียน ปากเล็กเอ่ยด้วยความไร้เดียงสาจริง ๆ “พี่สาว แค่มองก็รู้แล้วว่าทางเดินขึ้นเขานั้นเดินง่ายมากขอรับ” เซียวอวี้จ้องมองนางด้วยสายตาเฉียบคม อยากเห็นว่านางจะอธิบายอย่างไร เฟิ่งจิ่วเหยียนไม่ได้พูดมากนัก เพียงย้อนถามพวกเขาแทน “ทั้งสองคนออกมาทำไม” เด็กน้อยคนนั้นชี้ไปที่เซียวอวี้ “ผู้ชายของท่าน บอกให้ข้าพาเขามาหาท่าน พี่สาว พวกท่านรักกันดีจริง ๆ เหมือนกับพ่อแม่ของข้าเลย มิอยากอยู่ห่างกันสักก้าวเดียว!” เซียวอวี้มีรอยยิ้มคลุมเครือฉายบนใบหน้า “ดีมากจริง ๆ ” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจมลง หลังจากนั้น การขึ้นเขาเก็บยาพังลง และมิได้เดินทางเข้าเมืองด้วย ทั้งสามคนกลับไปที่บ้านชาวนาพร้อมกัน เมื่อเข้ามาในห้องแล้ว ทันใดนั้นเซียวอวี้คว้าข้อมือของเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้ สายตาเย็นชากดดัน “เจ้าค
ในขณะที่นักฆ่าลงมือโจมตี เฟิ่งจิ่วเหยียนคิดอยากผุดลุกขึ้นมา กลับถูกเซียวอวี้คว้าจับเอวไว้ แล้วถูกบังคับให้แนบชิดกับตัวเขาเช่นนั้น ส่วนเขาพลันพลิกตัวขึ้นมาอยู่ด้านบน ตรึงนางไว้ใต้ร่างแทน ท่ามกลางความมืดมิด นางมองเห็นใบหน้าเขามิชัดเจน สัมผัสได้เพียงความเป็นปรปักษ์แผ่ซ่านออกจากกายเขาเท่านั้น ฟับ—— เขาเพียงแค่ยกมือข้างหนึ่งขึ้น พลังภายในอันแข็งแกร่งก่อตัวเป็นคลื่นอากาศ ซัดใส่นักฆ่าที่อยู่นอกม่านเตียงจนล้มคว่ำ ตุบ! ตุบตุบ! พวกนักฆ่าร่วงลงที่พื้นทีละคน พลันตระหนักได้ว่าผู้คนที่อยู่หลังม่านเตียงมิได้สลบ รีบตะโกนว่า “โจมตีพร้อมกัน!” พลันได้เห็น บุรุษผู้หนึ่งเดินออกจากในม่าน บุรุษผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่ อาบเอิบด้วยพลังกดขี่ “โจมตีพร้อมกันหรือ พอดีเลย มิได้ลงมือสังหารใครด้วยตัวเองนานมากแล้วเช่นกัน” เซียวอวี้กระชับหมัดให้แน่น หลังจากนั้นเคลื่อนไหวดุจวารี ปล่อยหมัดชกไปที่หน้าอกของนักฆ่าผู้หนึ่ง ผลที่ตามมาติด ๆ คือนักฆ่าผู้นั้นล้มลงสิ้นท่าบนพื้น ภายในม่านเตียง เฟิ่งจิ่วเหยียนพลันลุกขึ้นนั่ง ในเวลาเดียวกับที่หน้าต่างเปิดออก ล
เฟิ่งจิ่วเหยียนเร่งรีบลุกขึ้นยืน ยกม่านขึ้นแล้วเดินออกไป พลางยกมือเช็ดมุมปากด้วยความรังเกียจ พยายามข่มกลั้นความโกรธในใจ ใบหน้าเย็นชายิ่งนัก หากเขามิใช่จักรพรรดิ รับประกันได้ว่าจักต้องโดนต่อยสักหมัดเป็นแน่แท้ เซียวอวี้ก็ยกม่านขึ้นและเดินออกมา ท่ามกลางความมืดมิด สายตาจับจ้องมองไปที่นาง จากนั้นคว้าจับแขนของนางไว้ บังคับให้นางหันมาเผชิญหน้ากับตัวเอง “ในเมื่อวางแผนจนได้สมใจแล้ว ก็ทำให้มันจบ ๆ ไปเถอะ” เฟิ่งจิ่วเหยียนยิ่งอยู่ยิ่งรำคาญ นางควบคุมอารมณ์ที่ขุ่นมัว แล้วเปิดปากเอ่ยอย่างสงบ “ท่านคงเข้าใจเรื่องใดผิดไปกระมัง ระหว่างข้าและท่าน มิเคยมีการวางแผนเพื่อให้ได้มา” นัยน์ตาของเซียวอวี้หดเกร็ง เผลอกระชับมือที่จับแขนของนางให้แน่นขึ้น จนกระทั่งกระดูกข้อนิ้วสีขาวปูดออกมา เขายิ้มหยัน “เพียงเพื่อช่วยเรา เจ้าสามารถยอมสละชีวิตได้ “ปากก็พร่ำพูดแต่ว่า อยากเป็นภรรยาของเรา...” เฟิ่งจิ่วเหยียนทนฟังไม่ไหวอีกแล้ว พลันเอ่ยโต้แย้งโดยตรง “ที่ช่วยท่าน ย่อมเห็นแก่ฐานะของท่าน มิต่างจากขุนนางช่วยเหลือฮ่องเต้ หรือว่ายามที่องครักษ์มาช่วยเหลือ ต้อง
ภายในเรือนของชาวนา ลมหายใจแห่งความตายพัดผ่านเข้ามาใกล้เฉินจี๋รีบตอบว่า“ฮองเฮาอยู่ในห้องด้านข้าง!”ทว่ารอเมื่อเขาเข้าไปในห้องด้านข้างพร้อมกับฝ่าบาท ข้างในกลับไม่มีใครสักคนเฉินจี๋อึ้งตะลึงเขาเห็นอย่างชัดเจนว่า ฮองเฮาเข้ามาในนี้สายตาของเซียวอวี้ มองไปยังหน้าต่างด้านหลังเขาที่ปกติสุขุมใจเย็น หลังจากรู้ว่าเฟิ่งจิ่วเหยียนหนีไปแล้ว แววตาฉายแววดั่งคลื่นพายุโหมกระหน่ำอยากที่จะ ฆ่าคน……ผ่านไปสามวันข้างนอกเมืองอวิ๋นในสถานที่พักแรมแห่งหนึ่งโต๊ะติดข้างหน้าต่าง มีคนสองคนนั่งอยู่“ท่าน...นายท่าน พวกเราออกจากเมืองอวิ๋นแล้ว หลังจากนี้จะไปทางไหนต่อขอรับ?” อู๋ไป๋เกือบขานเรียกผิดคนที่สวมหน้ากากตรงหน้าเขา แต่งตัวสวมชุดบุรุษ ก็คือเฟิ่งจิ่วเหยียนนางดื่มน้ำไปหลายคำ แล้วก็พูดขึ้นมาด้วยเสียงต่ำว่า“ไปรับเวยเฉียง แอบส่งตัวไปยังชายแดนเหนือ”“ขอรับ”จากนั้นเฟิ่งจิ่วเหยียนก็วางถ้วยชา พร้อมถามขึ้นมาว่า “จัดการศพเรียบร้อยแล้วหรือยัง?”อู๋ไป๋ผงกศีรษะ พูดตอบนางด้วยเสียงต่ำ“ตามที่ท่านรับสั่ง ให้หาศพที่รูปร่างคล้ายกับท่าน สวมอาภรณ์ของท่าน โยนเข้าไปในป่า หลังจากพวกเขาเห็นศพที่หถูกหมาป่าก
ฮูหยินเฟิ่งตกตะลึงจิ่วเหยียนหนีไปแล้วจริง ๆ หรือ นางไร้น้ำใจขนาดนี้จริงหรือ ทิ้งพ่อแม่แท้ๆ ของตนเอง...นายท่านเฟิ่ง พรวดลุกขึ้นมา เหมือนมีแผนการแล้ว“จะต้องเป็นเมิ่งฉวีตาเฒ่าคนนั้นแน่ ข้าจะไปเขียนจดหมาย ถามเขาดูว่า เขาอยากจะทำอะไรกันแน่!”จิ่วเหยียนเป็นลูกสาวของเขา ตอนนั้นเพียงแค่ฝากเลี้ยงไว้ในตระกูลเมิ่งตอนนี้นางเติบโตแล้ว แต่งงานแล้ว ตระกูลเมิ่งก็ควรที่จะตัดสัมพันธ์กับนางหลังจากนายท่านเฟิ่งออกไปแล้ว ดวงตาฮูหยินเฟิ่งเต็มไปด้วยน้ำตาเทียบกับความพร่ำบ่น มากยิ่งกว่านั้นคือนางเป็นกังวลยังไงก็เป็นลูกสาวของนาง นางเป็นกังวลว่า จิ่วเหยียนจะไปที่ใด สุขสบายดีไหมในห้องหนังสือนายท่านเฟิ่งกำลังจะหยิบพู่กันขึ้นมา พ่อบ้านบุกเข้ามาอย่างกะทันหัน สีหน้าเหมือนไว้ทุกข์ให้ทายาท“นายท่าน เกิดเรื่องแล้ว”ความวัวยังไม่หาย ความควายเข้ามาแทรกแต่สำหรับนายท่านเฟิ่งแล้ว ต่อให้มีเรื่องใหญ่แค่ไหน ก็ไม่หนักหนาสาหัสเท่าฮองเฮาหนีไปแล้วพ่อบ้านปิดประตูอย่างระแวดระวัง จากนั้นก็รายงานด้วยเสียงเบาว่า“นายท่าน คุณหนูเวยเฉียงหายไปแล้ว แม้แต่สาวใช้ไฉ่เยว่ก็ไม่เห็นแล้ว!”นายท่านเฟิ่งโกรธจนคิ้วขมวดเป็นเส
เฟิ่งจิ่วเหยียนหันตัว โยนคนที่อยู่ใกล้นางที่สุดผ่านบนไหล่ตูม!คนนั้นกระแทกบนโต๊ะ ถล่มตกลงพื้นพร้อมกับโต๊ะที่แตกหัก เสียงกรีดร้องดังไม่หยุด“อ้าก...”คนอื่นเห็นดังนี้แล้วก็รวมตัวต่อสู้พร้อมกันแต่ไม่นาน พวกเขาทั้งหมดล้มกองลงบนพื้นอย่างระเกะระกะ ร้องโอดโอยอย่างเจ็บปวดเฟิ่งจิ่วเหยียนยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสบาย ข้างหลังหน้ากาก ดวงตาคู่นั้นเต็มไปด้วยความเยือกเย็นอาฆาตทหารกลุ่มนั้นพูดเตือนนางว่า“เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายพวกเรา? พวกเราเป็นคนของค่ายทหารเป่ยต้า แม่ทัพน้อยเมิ่งเคยได้ยินไหม พวกเราล้วนเป็นทหารของนาง! ค่ายทหารเป่ยต้า เจ้ากล้ามีเรื่องด้วยหรือ!”เฟิ่งจิ่วเหยียนพูดขึ้นมาด้วยเสียงเย็นชา“กฎค่ายทหารเป่ยต้านั้นเข้มงวด ปล่อยให้พวกเจ้ารังแกเอาเปรียบผู้หญิงบริสุทธิ์ได้อย่างไร”ทหารกลุ่มนั้นส่งเสียงหัวเราะเย้ย“พวกเราปกป้องดินแดน มีคุณงามความดี! นี่ล้วนเป็นสิ่งที่พวกเราควรได้!”“ใช่! หากไม่มีพวกเรา คนรัฐเหลียงคงโจมตีมาตั้งแต่แรกแล้ว! ยังจะมีชีวิตที่สงบเหมือนอย่างตอนนี้ได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนหิ้วคนหนึ่งขึ้นมาด้วยมือข้างเดียว จับปกเสื้อของเขาไว้ด้วยสายตากดดัน“งั้นก็ตามข้าไปยังค่
ตำหนักเซี่ยวเสียนหนิงเฟยที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องอยู่นั้น พลันทุบปิ่นปักผมในมือลง ทำเอานางกำนัลที่กำลังทำผมให้อยู่ถึงกับหวาดผวารีบคุกเข่าลงไปในทันที“พระสนมใจเย็น ๆ ก่อนนะเพคะ!”หนิงเฟยมองดูตัวเองในคันฉ่อง ด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึกซับซ้อนวันนี้เป็นวันเกิดอายุครบยี่สิบปีของนางหลังจากที่ใช้ชีวิตทุกข์ทรมานและเศร้าโศกมานานหลายปี ใบหน้านี้หาได้หลงเหลือความเป็นสตรีในวัยแรกแย้มเอาไว้ไม่ จำเป็นต้องใช้เครื่องประทินโฉมต่าง ๆ มากมาย ถึงได้มองดูมีความเปล่งประกายงดงามออกมานางที่มีตำแหน่งเป็นถึงนางสนม หากแต่หาได้เคยร่วมบรรทมกับฮ่องเต้ไม่ บอกไปผู้ใดจักไปเชื่อฮองเฮาที่มาทีหลังแต่มีสถานะที่มั่นคง นางก็หาได้อันใดไม่ ในยามนี้นางยังมาถูกสตรีเช่นมู่หรงฉานที่เพิ่งแต่งเข้ามาได้ไม่ครบหนึ่งปีแซงหน้าไปอีก!ทั้งยังเป็นในวันเกิดของนางอีก...หนิงเฟยยังคงเอ่ยถามด้วยท่าทีไม่อยากจะเชื่อว่า“ฝ่าบาทเรียกตัวให้จิ้งกุ้ยเหรินมาร่วมบรรทมจริง ๆ หรือ?”สาวใช้ที่คุกเข่าอยู่บนพื้น รีบร้อนพยักหน้าลงในทันที“เพ...เพคะ”นางรู้ดีว่าพระสนมไม่พอใจ แต่ก็มิกล้าเอ่ยโป้ปดออกมาเรื่องที่จิ้งกุ้ยเหรินถูกเรียกให้
เฟิ่งจิ่วเหยียนรู้ดีกว่าผู้ใด ปืนหอกไฟแบบใหม่นั้นดูเหมือนว่าจะสามารถใช้การได้ดี แต่แท้จริงแล้ว หาได้ง่ายดายเช่นนั้นไม่สิ่งที่เฉียวม่อมองว่าเป็นสมบัติอันล้ำค่าจนนำไปเป็นของตัวเอง แท้จริงแล้วล้วนเป็นสิ่งไร้ค่าสำหรับนางในขณะเดียวกัน ผู้คนภายในกรมศัสตราวุธต่างก็พากันล้อมดูภาพพิมพ์เขียวแผ่นนั้นสายตาของพวกเขาพลันเปล่งประกายออกมา ทั้งยังเอ่ยชมเชยออกมาไม่ขาดปากว่า“เมิ่งเฉียวม่อผู้นี้นับว่าเป็นวีรสตรีจริง ๆ ! นางสามารถวาดพิมพ์เขียวออกมาได้งดงามจริง ๆ !”“กรมศัสตราวุธของพวกเรามิได้มีของดี ๆ แบบนี้มานานแล้ว! แจ้งข่าวแก่ช่างฝีมือทุกนายว่า เรื่องอื่นมิจำเป็นต้องสนใจ รีบสร้างปืนหอกไฟแบบใหม่ขึ้นมาเสียก่อนเถอะ!”“ข้าตั้งหน้าตั้งตารอคอยยิ่งนัก!”หลังจากที่ได้เห็นภาพพิมพ์เขียวนั้น คำชื่นชมสรรเสริญเยินยอที่มีต่อเฉียวม่อก็เพิ่มขึ้นมาในทันทีสตรีที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ใต้หล้านับว่าหาได้ยากยิ่งนักนับว่าโชคดีที่นางเกิดและเติบโตในหนานฉีปืนหอกไฟหรือมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่าปืนฉับพลัน ปืนลำสั้นจักยาวประมาณหนึ่งนิ้ว และปืนลำกล้องยาวจักยาวถึงเจ็ดนิ้วรูปร่างภายนอกดูเหมือนท่อยาว ๆ หลังจากที่มีการ
เมื่อเฉียวม่อเห็นฝ่าบาทเดินออกจากตำหนักหย่งเหอไปนั้น นางจึงรีบติดตามไปในทันทีนางที่เป็นเพียงองครักษ์อารักขาประตูนั้น โดยปกติแล้วหากมิได้มีพระราชโองการเรียกตัวย่อมมิอาจเข้ามาในวังได้ในฐานะที่นางเป็นสตรีนั้น เกรงว่าไม่ว่าจักมียศถาบรรดาศักดิ์ใหญ่โตเพียงใด ก็มิอาจเข้าร่วมการว่าความหรือการประชุมเพื่อพูดคุยเรื่องบ้านเมืองได้หากว่ากันแล้ว นางมีโอกาสน้อยมากนักที่จะได้พบฮ่องเต้ยามที่นางอยากจะเอ่ยเรื่องบางอย่างออกมานั้น กลับเห็นนัยน์ตาที่แดงก่ำทั้งสองข้างของฮ่องเต้เข้าเสียก่อน ราวกับอยากจะสังหารผู้ใดก็ไม่ปานนางพลันรู้สึกหวาดผวาไปในทันที ความประทับใจที่ฝ่าบาทมีให้แก่นางนั้น อย่างมากที่สุดคือท่าทีเข้มงวดหรือใบหน้าที่มีรอยยิ้ม หาได้น่ากลัวเท่ากับวันนี้ไม่“เรื่องใด?” กลิ่นอายที่แผ่ออกมาทั่วร่างของเซียวอวี้ราวกับประติมากรรมน้ำแข็งก็ไม่ปาน สามารถแช่แข็งความอบอุ่นโดยรอบที่หลงเหลืออยู่เฉียวม่อที่ได้สติกลับมานั้น นางจึงรีบยกมือขึ้นคำนับในทันที“หม่อมฉันมีพิมพ์เขียวอาวุธที่หม่อมฉันอยากจะนำมาถวายแด่ฝ่าบาทเพคะ!”ลมหนาวที่พัดผ่านหน้าทำเอารู้สึกความเจ็บปวดขึ้นมาในฐานะฮ่องเต้ของแผ่นดินนั้น
เซียวอวี้หยิบถุงหอมขึ้น เขาสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่างในทันทีเขาจ้องมองไปที่เฟิ่งจิ่วเหยียนเพื่อมิให้นางคิดทำอะไรบุ่มบ่ามในขณะเดียวกัน ก็ส่งเสียงสั่งการไปยังด้านนอกตำหนักว่า“เชิญหมอหลวง!”ไม่นานนัก หมอหลวงชราที่เป็นผู้ดูแลเรื่องการตั้งครรภ์ของฮองเฮาก็รีบมาในทันทีเขารู้ดีว่าฮองเฮาหาได้ตั้งครรภ์ไม่หมอหลวงเพียงแค่ดมถุงหอมก็สามารถสรุปออกมาได้ว่า“ทูลฝ่าบาท สิ่งนี้คือกลิ่นหลิงหลิงพ่ะย่ะค่ะ มีส่วนช่วยในการส่งเสริมการไหลเวียนโลหิต”เมื่อเอ่ยถึงตรงนี้หาได้พบความผิดปกติไม่คำพูดของหมอหลวงหลังจากนั้นกลับขยายความออกมาในทันที“ทว่า ของสิ่งนี้มีกลิ่นเหมือนกับกลิ่นชะมด หากสตรีมีครรภ์สัมผัสได้สูดกลิ่นเข้าไปเป็นเวลานานนั้น ย่อมส่งผลต่อทารกในครรภ์ จนนำไปสู่การตกเลือดหรืออาจทำให้ทารกในครรภ์ตายได้พ่ะย่ะค่ะ! มิต้องเอ่ยถึงสตรีตั้งครรภ์เลย แม้แต่สตรีปกติทั่วไปก็มิเหมาะที่จะพกถุงหอมนี้”เฟิ่งจิ่วเหยียนลอบกำหมัดแน่นอยู่ในแขนเสื้อของตนเองเจอจนได้...ดวงตาของเซียวอวี้ค่อย ๆ มืดครึ้มลง ราวกับว่าแสงสว่างที่ค่อย ๆ มอดดับไป ทั้งยังเจือไปด้วยความหนาวเย็น ทำเอาผู้คนนึกหวาดกลัวจนตัวสั่นไปในทันทีทว่า
เมื่อได้ยินว่าเฉียวม่อเป็นลม สายตาของเซียวอวี้พลันเปลี่ยนไปในทันทีพลางขมวดคิ้วเป็นปม เพื่ออดกลั้นน้ำเสียงที่เจือไปด้วยความโมโหเอาไว้ พร้อมเอ่ยตำหนิเฟิ่งจิ่วเหยียนออกมาว่า“เจ้าทำได้ ‘ดี’ ยิ่ง!”เซียวอวี้จึงสั่งให้คนไปอุ้มเฉียวม่อเข้าไปพักที่ตำหนักข้าง ทั้งยังเรียกตัวให้หมอหลวงเข้ามาตรวจดูอาการของนางในขณะเดียวกันก็ออกคำสั่ง ห้ามคนภายในตำหนักหย่งเหอแพร่งพรายเรื่องราวในวันนี้ออกไปไม่นานนัก เฉียวม่อจึงตื่นขึ้นมาภายในตำหนักที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นมีนางกำนัลสาวใช้ที่รอปรนนิบัตินางอยู่ภายในตำหนักนั้น“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านรู้สึกดีขึ้นบ้างหรือไม่เจ้าคะ?” นางกำนัลเอ่ยถามด้วยความเป็นกังวลเฉียวม่อหาได้เป็นลมจริง ๆ ไม่นางเพียงแค่อดทนรอไม่ไหวเท่านั้นในยามนี้นางกำลังนอนอยู่บนเตียง พลางแสดงท่าทีเหนื่อยอ่อนแรงออกมาให้เห็น“พยุงข้า...ขึ้นมา ข้ายังคุกเข่าไม่ครบหนึ่งชั่วยาม...”ตึก!นางทำเหมือนขาทั้งสองข้างได้ถูกแช่แข็งเอาไว้ แม้แต่จะลุกขึ้นยืนยังไม่ไหว เมื่อนางลุกขึ้นมานั้นร่างกายจึงล้มลงไปบนพื้นในทันทีนางกำนัลจึงเข้ามาช่วยพยุงนางลุกขึ้นโดยไว“ใต้เท้าเมิ่ง ท่านมิต้องเป็นกังวลไปเจ้าค่ะ
เฉียวม่อคุกเข่าท่ามกลางลมหนาวที่พัดเข้ากระดูมานานกว่าครึ่‘ชั่วยาม เมื่อเห็นฝ่าบาทเสด็จมานั้น นางจึงรีบหันหน้าไปหาด้วยท่าทีไร้หนทางในทันทีมิคิดเลยว่า ฝ่าบาทหาได้หันมามองนางสักตาเดียวไม่ พลางเดินดุ่ม ๆ เข้าไปด้านในตำหนักแทนเฉียวม่อจ้องมองไปยังแผ่นหลังของฝ่าบาท พลางกำหมัดที่แดงก่ำจากความหนาวเย็นเอาไว้แน่นศิษย์พี่มิได้ชมชอบฝ่าบาท นางรู้ดีแล้วฝ่าบาทเล่า?ฝ่าบาทดูเหมือนจะ...ชอบศิษย์พี่มากทว่า ไม่ว่าจะชมชอบสตรีมากเพียงใดก็ตาม พระองค์ก็คงมิยอมให้สตรียื่นมือเข้ามายุ่งเรื่องราวในราชสำนักอย่างแน่นอน ทั้งยังมิยินยอมให้นางมารังแกท่านแม่ทัพภายใต้การบังคับบัญชาของตนเองอีกด้วย!ภายในตำหนักในเมื่อเซียวอวี้เข้ามานั้น เขาก็ไล่คนอื่น ๆ ให้ออกไปในทันที ซันหมัวมัวหันกลับไปมองฮองเฮาด้วยท่าทีหมดหนทาง พลางใช้สายตาสื่อออกมาวว่า “ผู้ใดให้ท่านมิฟังคำข้า เกิดเรื่องแล้วใช่หรือไม่” เฟิ่งจิ่วเหยียนลุกขึ้นยืนทำความเคารพ ทว่า บนใบหน้าหาได้มีท่าทีตื่นตระหนกหรือรู้สึกผิดอันใดไม่“ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ”เซียวอวี้พลางถามด้วยท่าทีดุดัน“เหตุใดต้องลงโทษแม่ทัพเมิ่งให้นั่งคุกเข่าด้วย?”เซียวอวี้มิได้เอ่ยต่
เฉียวม่อที่ยืนมาโดยตลอดนั้น เมื่อได้ยินเฟิ่งจิ่วเหยียนออกคำสั่งให้ตนเองคุกเข่าลง นางถึงกับชะงักไปในทันทีแววตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนฉายแววเย็นชา“ข้าสั่งให้เจ้าคุกเข่า เจ้าย่อมมิอาจยืนได้ ตนเองเป็นถึงขุนนางของราชสำนัก แม้แต่กฏเช่นนี้ยังมิรู้งั้นหรือ?”เฉียวม่อรู้สึกจุกอกขึ้นมาในทันทีไม่ว่านางจักเอ่ยเล่นลิ้นออกมาอย่างไร ย่อมมิอาจอยู่เหนืออำนาจของราชสำนักไปได้ ก่อนหน้านั้นเป็นเพราะศิษย์พี่เอ็นดูนาง อย่าว่าแต่ให้คุกเข่าเลย แม้แต่ให้ยืนนาน ๆ ศิษย์พี่ก็หาให้นางทำเช่นนั้นไม่ความห่างของระดับชั้นนี้ ทำเอาเฉียวม่อมิอาจรับได้ นางยืนนิ่งมิขยับเช่นนั้นอยู่นานเมื่อได้ยินคำสั่งของเฟิ่งจิ่วเหยียนนั้น องครักษ์ของวังหลวงจึงได้เข้ามาในตำหนักเฉียวม่อที่เห็นสถานการณ์เช่นนั้น พลันนึกไปถึงศิษย์พี่ยามที่อยู่ในค่ายทหาร เพียงแค่ร้องเรียกคำเดียว บรรดาเหล่าทหารก็จะก้าวออกมารับคำสั่งในทันทีนี่คืออำนาจเป็นแม่ทัพนั้นมีอำนาจ ฮองเฮาก็มีอำนาจเช่นกันเฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยออกมาด้วยท่าทีดุดันว่า“เมิ่งเฉียวม่อกระทำตัวต่อเราด้วยความหยาบคาย ลากออกไปคุกเข่าสักหนึ่งชั่วยามเสีย”ทหารองครักษ์รับคำสั่งพวกเขาหาได
ไทฮองไทเฮาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้เป็นอย่างยิ่ง“เจ้าแต่งเข้าวังมาก็นานแล้ว หากยังมิได้เข้าร่วมบรรทมกับฝ่าบาทอีกใช้ได้ที่ใดกัน?”เดิมทีพระนางตั้งใจจะเป็นธุระจัดการเรื่องนี้ให้ ทว่า ฝ่าบาทที่มิใส่ใจเรื่องนี้จึงได้แต่พยายามบ่ายเบี่ยงมาโดยตลอดในเมื่อฝ่าบาทสามารถทำให้ฮองเฮาตั้งครรภ์ได้แล้วนั้น เช่นนี้พระองค์ย่อมมิอาจหาเรื่องปฏิเสธไปได้อีกอีกทั้ง เขาที่เคารพรักเสด็จย่าเช่นนางมาโดยตลอดในยามที่เพิ่งจัดพิธีมงคลสมรสไปได้ไม่นานนั้น ฮองเฮาก็ยังเป็นสตรีพรหมจรรย์อยู่ หากแต่เป็นพระนางที่ออกคำสั่ง จึงทำให้ฝ่าบาทและฮองเฮาได้เข้าหอเช่นนี้การถวายตัวของฉานเอ๋อร์นั้น ไทฮองไทเฮาจึงมั่นใจเป็นอย่างยิ่งใบหน้าสวยงามของมู่หรงฉานพลันแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อย ก่อนจะหลุบตาลงพลางตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า“หม่อมฉันน้อมรับฟังคำของท่านเพคะ”ถึงแม้ท่าทีของมู่หรงฉานจักดูอ่อนโยนเรียบร้อย ทว่า นัยน์ตากลับฉายแววความทะเยอทะยานออกมาแต่งเข้าวังมาในฐานะสนม ประสูติพระโอรส เดิมทีทั้งหมดล้วนแต่เป็นเป้าหมายของนางทว่านางถูกเรื่องราวของตระกูลมารดาฉุดรั้งเอาไว้เท่านั้นในยามนี้ก็ปล่อยให้ฮองเฮามีอำนาจเหนือกว
ซุนหมัวมัวที่มิอาจควบคุมความอยากรู้อยากเห็นของตนเองได้นั้น จึงแกะจดหมายประจำตระกูลของฮองเฮาออกมาน่าแปลก เนื้อหาด้านในจดหมายเป็นเพียงเนื้อหาปกติทั่วไปที่สื่อถึงความเป็นห่วงเป็นใยเท่านั้นจดหมายเช่นนี้เหตุใดจึงต้องลอบส่งออกจากวังไปด้วยเล่า?หาได้เป็นเรื่องที่จำเป็นไม่เมื่อกลับมาคิด ๆ ดูแล้วนั้น บางทีอาจจะเป็นแผนการที่ฮองเฮาลอบทดสอบความสามารถของนางดูก็เป็นได้ ว่านางจักสามารถใช้การได้หรือไม่ซุนหมัวมัวจึงรีบทำตามรับสั่ง พลางนำจดหมายลอบส่งไปที่ประตูทิศตะวันออกในทันทีทางด้านประตูทิศตะวันออกนั้นมีคนรอรับจดหมายอยู่แล้วไม่นานนัก อู๋ไป๋จึงได้รับจดหมายในทันทีเนื้อความในจดหมายแม้จักดูธรรมดาไปนัก แต่แท้จริงแล้วเป็นการจัดเรียงข้อความลับท่านแม่ทัพน้อยมักจะชอบใช้ “สามสี่หนึ่งห้า”นั่นก็คือ วงคำที่เกี่ยวข้องในแต่ละประโยคออกมา เมื่อนำความหมายมาเชื่อมโยงกันนั้น ก็จักแปรเปลี่ยนเป็นความหมายแท้จริงที่ต้องการจะสื่อ——[เฉียวม่อมีคนให้ความช่วยเหลือ สืบหา]เมื่ออู๋ไป๋อ่านจบแล้วนั้น เขาก็จัดการเผาจดหมายทิ้งในทันที……ภายในตำหนักหย่งเหอวันแรกของปีเช่นนี้ เหล่าบรรดานางสนมทั้งหลายย่อมมาแสดงควา