เซียวอวี้ไล่ตามคนมาตลอดทางจนถึงตำหนักหย่งเหอ เขาเห็นกับตาว่านักฆ่าหญิงผู้นั้นเข้าไปในตำหนักบรรทม จึงสาวเท้าตามเข้าไปบนพื้นมีเลือดหยดอยู่หลายหยดยาวไปจนถึงห้องอาบน้ำสายตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นคมปลาบทันใดนั้นประตูของห้องอาบน้ำก็เปิดออกเป็นฮองเฮา“ฝ่าบาททรงเสด็จมา เหตุใดจึงไม่มีคนมารายงาน?”หญิงสาวห่อหุ้มร่างกายด้วยชุดนอนบาง ๆ อย่างผู้ที่เพิ่งจะอาบน้ำเสร็จ ใบหน้าแดงเปล่งปลั่ง ปลายผมมีหยดน้ำ เท้าคู่นั้นเหยียบลงบนพรมเปอร์เซียที่ทำมาจากผ้าแคชเมียร์โดยตรง เหนือข้อเท้าเล็กบอบบางมีชายกระโปรงที่ถูกลมพัดจนโบกพลิ้ว เผยให้เห็นน่องขาที่กระชับได้รูปอย่างคลุมเครือใบหน้าที่เยือกเย็นของเซียวอวี้มีสีอื่นวาบผ่านมาแล้วหายไปทันทีเขามองไปด้านหลังนางปราดหนึ่งยามที่เพิ่งจะเดินไปด้านหน้าสองสามก้าว จังหวะที่เดินผ่านฮองเฮาไปเขาก็ถูกนางใช้มือเดียวจับแขนเอาไว้“ฝ่าบาท ข้างในยังไม่ได้ทำความสะอาดเพคะ”ควับ---ทันใดนั้นเซียวอวี้พลันคว้าจับไหล่ของนาง แล้วกดนางเข้ากับกำแพงด้านหลังสายตาดุดันโหดร้ายราวกับเหยี่ยวของเขามองใบหน้าของนางอย่างสงสัย“อาบน้ำอยู่ตลอดงั้นหรือ?”ยามที่เขามองประเมินเฟิ่งจิ่วเหยียน เ
หลังจากงานเลี้ยงเหล่าแม่ทัพจบลง เซียวอวี้ก็ยังต้องปรึกษากิจธุระเรื่องการยอมสวามิภักดิ์ของรัฐเหลียงกับแม่ทัพแต่ละภาคส่วนอีกด้วยเหตุนี้เฉียวม่อจึงยังรั้งอยู่ในเมืองหลวงอีกหลายวัน และต้องเข้าวังอยู่หลายครั้งนางมักจะเข้าไปในห้องทรงพระอักษรบ่อย ๆ เหล่านางสนมจึงเริ่มหึงหวงยามเช้าพอไปน้อมคารวะที่ตำหนักหย่งเหอ ก็มาบ่นต่อหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน“ต่อให้เป็นแม่ทัพ ถึงอย่างไรก็เป็นสตรี เหตุใดจึงไม่รู้จักหนักเบาเช่นนี้!”“แม่ทัพน้อยเมิ่งผู้นั้น ยามนี้เป็นถึงคนโปรดของฮ่องเต้ อย่างไรพวกเราก็เทียบไม่ติด”“ฝ่าบาทไม่ค่อยเสด็จมาที่วังหลัง แต่กลับทรงประทับอยู่กับเมิ่งเฉียวม่อผู้นั้นอยู่เป็นประจำ วันนี้ยังไปขี่ม้ายิงธนูที่สนามม้าหลวงด้วยนะ ฮองเฮาเพคะ เกรงว่าวังหลังจะต้องมีพี่น้องเพิ่มมาอีกคนแล้ว”ปฏิกิริยาของเฟิ่งจิ่วเหยียนคือการดื่มชาอย่างนิ่งเฉยนางไม่แน่ใจในความคิดของเซียวอวี้นัก ทว่าเฉียวม่อที่ทุ่มเทความคิดเพื่อที่จะได้เป็นแม่ทัพหญิง ย่อมไม่คิดที่จะเข้าวัง“หากพวกเจ้าไม่มีอะไรทำก็ไปคัดกฎวังเถิด”เมื่อเหล่านางสนมได้ยินก็พลันเงียบปากทันทีหลังจากพวกนางกลับกันไปแล้ว นางสนมเจียงยังคงรั้งอยู่ต่อ แ
ยามอยู่ต่อหน้าฮ่องเต้ ความจริงที่เฉียวม่อสามารถพูดได้มีไม่มากนางทำความเคารพเฟิ่งจิ่วเหยียน“ฮองเฮาทรงอธิษฐานขอพรให้เหล่าทหาร หม่อมฉันจึงคิดว่า ไม่ว่าเยี่ยงไรก็ต้องขอบพระทัยพระนางด้วยตนเอง“เมื่อครู่ตอนอยู่สนามม้าหลวงกับฝ่าบาท จึงกล่าวถึงคำขอที่ไม่เหมาะสมนี้“ฮองเฮา หม่อมฉันขอคารวะท่านด้วยน้ำชาจอกนี้แทนสุรา”เฟิ่งจิ่วเหยียนมีสีหน้าเรียบนิ่ง“ท่านแม่ทัพ เกรงใจแล้ว”เซียวอวี้พูดออกมาทันที“อฐิษฐานขอพรเพียงเรื่องเล็กน้อย เหล่าทหารเสียสละเลือดเนื้อสู้ศึกต่างหากคือเรื่องจริง ฮองเฮาไม่คู่ควรกับคุณงามความดีนี้หรอก”เหลียนซวงอยากโต้กลับมากฮองเฮานำทัพไปทำสงครามที่ชายแดนแท้ ๆ ผลกลับกลายเป็นว่าคุณงามความดีนี้ตกไปอยู่ที่เฉียวม่อเสียอย่างนั้นเฉียวม่อกล่าวเหมือนให้ความเที่ยงตรง“ฝ่าบาท หากไม่มีคำอธิษฐานขอพรของฮองเฮา พวกข้าก็คงไม่สามารถเอาชนะกองทัพรัฐเหลียงได้รวดเร็วขนาดนี้”น้อยคนนักที่จะกล้าโต้แย้งฝ่าบาทเช่นนี้ซ้ำยังเป็นอิสตรีทว่าเซียวอวี้ไม่เพียงไม่ลงโทษ ยังเห็นด้วย“หากเจ้าบอกว่าฮองเฮาทำคุณงามความดี ย่อมเป็นเช่นนั้น”เท่านี้ก็ดูออกแล้วว่าเขาเชื่อใจและโปรดปรานยอดแม่ทัพหญิงม
เฟิ่งเวยเฉียงฟื้นคืนสติ นี่เป็นข่าวดีอย่างยิ่งหลังจากที่เฟิ่งจิ่วเหยียนทราบเรื่องนี้ ก็ออกจากวังไปในคืนนั้นยามราตรีเงียบสงัด ไฉ่เยว่เปิดประตูเรือน ให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเข้ามาข้างในจากนั้นไฉ่เยว่ก็ยืนเฝ้าอยู่ข้างนอกภายในเรือนเฟิ่งเวยเฉียงนั่งเหม่อลอยบนเตียง ยามเห็นคนใส่หน้ากาก ก็จำไม่ได้ว่าเป็นใครจนกระทั่งเฟิ่งจิ่วเหยียนถอดหน้ากากออก น้ำตาของเฟิ่งเวยเฉียงพลันเอ่อล้น“ท่านพี่…”เฟิ่งจิ่วเหยียนก้าวเท้าเร็ว ๆ ไปที่เตียงเฟิ่งเวยเฉียงนั่งอยู่ตรงนั้น กอดเอวของนางเอาไว้ แล้วร้องไห้ออกมายกใหญ่“ท่านพี่! เป็นท่าน...เป็นท่านจริง ๆ ใช่ไหม!”เฟิ่งจิ่วเหยียนควบคุมอารมณ์พลุ่งพล่านเอาไว้ ยกมือขึ้นตบหลังของเวยเฉียงเบา ๆ“ข้าเอง ข้ากลับมาแล้ว”เฟิ่งเวยเฉียงฟื้นขึ้นมาได้ไม่นาน จึงยังเลื่อนลอย ไม่รู้ว่าที่ผ่านมาโลกภายนอกเกิดอะไรขึ้นบ้างนางจะใช้เวลาส่วนใหญ่นั่งเหม่อลอยเพียงลำพังไฉ่เยว่ถามอะไร นางก็ไม่ตอบพอเห็นท่านพี่ของตนเอง จึงเหมือนมีชีวิตชีวาขึ้นมาบ้างเฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งลง เช็ดน้ำตาบนหน้าให้นางเองกับมือเวยเฉียงผอมลงเยอะมากนางเห็นแบบนั้นก็รู้สึกสงสาร“เราออกจากเมืองหลวง ไปที
ในยามรัตติกาล บริเวณสถานที่พักแรมเงียบสงัดเฉียวม่อเดินไปหยุดตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหยียน ด้วยรอยยิ้มยินดี“ศิษย์พี่ ท่านมาได้อย่างไร!”เฟิ่งจิ่วเหยียนยกมือขึ้น วางบนไหล่ของนางเบา ๆเฉียวม่อแสร้งทำเป็นนิ่งไม่หลบหลีก ดวงตาทั้งสองข้างทอประกายดีใจ พร้อมกับมองมาที่นางเฟิ่งจิ่วเหยียนปัดใบไม้บนไหล่ของนาง ดวงตาเบื้องหลังหน้ากาก ปรากฏแววเย็นยะเยือก“มาส่งเจ้า”เฉียวม่อเหมือนยกภูเขาออกจากอก ขอบตาพลันรื้นไปด้วยหยาดน้ำ“ศิษย์พี่ ข้า ข้านึกว่า…เรื่องในงานเลี้ยงรับรองแม่ทัพ ท่านยังเข้าใจข้าผิด ข้าคิดว่าท่านจะไม่สนใจใยดีข้าอีกแล้ว…”นางกอดเฟิ่งจิ่วเหยียนไว้อย่างตื้นตัน “ศิษยพี่!”เฟิ่งจิ่วเหยียนเม้มริมฝีปากจนกลายเป็นเส้นตรง มือที่วางแนบข้างลำตัว กำเข้าหากันจนกลายเป็นกำปั้นต่อมา นางก็ผลักเฉียวม่อออก จดจ้องดวงตาของอีกฝ่าย แล้วเอ่ยถาม“จริงหรือ ไม่ได้โกหกข้าแน่นะ”เฉียวม่อพยักหน้าอย่างหนักแน่น“แน่นอน! ศิษย์พี่ ข้ามีอะไรก็บอกท่านมาตลอด! ท่านวางใจได้ แม้นตอนนี้ข้าจะเป็นแม่ทัพน้อยเมิ่ง แต่ตำแหน่งนี้ยังคงเป็นของท่านวันยังค่ำ ข้ากับอาจารย์และอาจารย์หญิงต่างเฝ้ารอให้ท่านกลับมา“ข้าจะไม่ยึดครองตั
เฟิ่งจิ่วเหยียนเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษร แล้วทำความเคารพอย่างไม่ถือตัวและไม่ถ่อมตน“ถวายบังคมฝ่าบาท”หลิวซื่อเหลียงเหลือบมองฮองเฮา สีหน้าของนางดีขึ้นมาก ดูไม่เหมือนคนไม่สบาย ทว่าแววตานั้นกลับดูเย็นชากว่าปกติ ทอแววเยือกเย็นห้ามเข้าใกล้เซียวอวี้ดึงความสนใจจากสาส์นร้องทุกข์ เงยหน้ามองนาง แล้วเอ่ยถาม“มีเรื่องอะไร”“ฝ่าบาท หม่อมฉันอยากกลับไปเยี่ยมเยือนบ้านเพคะ”ในเมื่อสงสัยว่าเฉียวม่อคือบุคลคลลึกลับผู้นั้น ก็ต้องไปสืบหาหลักฐานประการแรก หากไม่มีหลักฐาน ย่อมไม่มีคนเชื่อนางประการที่สอง เพราะความสัมพันธ์ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมากับเฉียวม่อ จึงไม่อยากปรักปรำนางหากอยู่ในวังต่อไป ก็ไม่มีความหมายอันใดเฟิ่งจิ่วเหยียนหลุบตาลง รอคำตอบของเซียวอวี้ทว่าชายหนุ่มกลับมองสำรวจมาที่นาง แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมยากที่จะโต้แย้ง“เจ้าเป็นฮองเฮา ไม่ควรออกจากวังไปโดยพลการ หากคิดถึงครอบครัว ให้พวกเขาเข้าวังมาก็ได้”หัวใจของเฟิ่งจิ่วเหยียนหล่นวูบเดิมนางวางแผนไว้ว่าจะอาศัยข้ออ้างออกจากวังไปเยี่ยมบ้าน โดยใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบตบตา ไม่กลับมาที่นี่อีก ไม่คาดคิดเลยว่าเซียวอวี้จะเข้มงวดเช่นนี
ในตอนนั้นอดีตรัชทายาทลอบทำร้ายพี่ชาย จึงถูกฮ่องเต้องค์ก่อนลดสถานะเหลือเพียงสามัญชน ตามหลักแล้ว งานเลี้ยงไหว้พระจันทร์ เขาไม่มีคุณสมบัติเข้าร่วมไทฮองไทเฮาได้ยินความคิดเห็นของมู่หรงฉานครั้งแรก ก็ไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งมู่หรงฉานอ่อนโยนดุจสายน้ำ ดวงตาทอแววบริสุทธิ์อย่างมีเมตตา ราวกับว่าสามารถคลี่คลายความบาดหมางทุกอย่างในโลกได้ นางโน้มน้าวว่า“ท่านเคยบอกกับหม่อมฉัน ฝ่าบาทเคยตรัส ว่ายอมมีโอรสคนเดียว ดีกว่ามีหลายคนแล้วแก่งแย่งกัน“เห็นไทฮองไทเฮากังวลเรื่องนี้ หม่อมฉันก็พลอยเศร้าไปด้วย“จึงมีความเห็นว่า บางทีอาจจะใช้ประโยชน์จากอดีตรัชทายาท เพื่อรื้อฟื้นความสัมพันธ์ฉันพี่น้องกับฝ่าบาท เช่นนี้ ฝ่าบาทอาจจะเปลี่ยนความคิด ว่าการมีโอรสหลายองค์ต่างหากคือความสุข หากมีโอรสเพียงองค์เดียว คงโดดเดี่ยวเกินไป”เมื่อไทฮองไทเฮาได้ฟัง ก็รู้สึกว่าสมเหตุสมผลหากฝ่าบาทพูดสิ่งใดอย่างมั่นเหมาะแล้ว ย่อมไม่เปลี่ยนคำง่าย ๆ หากเขาตั้งใจว่าจะมีโอรสเพียงองค์เดียวจริง ๆ เช่นนั้นเด็กคนนี้ มีความเป็นไปได้สูงว่าต้องกำเนิดมาจากฮองเฮา ฉานเอ๋อร์ก็จะไม่หลงเหลือโอกาสอะไร“ข้าจะคิดดูอีกที”แม้นนางจะยินยอมให้อดีตรัชทาย
เซียวจั๋วอดีตรัชทายาท เขาอยู่ในชุดสามัญชนสีคราม ช่างดูขัดตากับพระราชวังอันโอ่อ่าหรูหราแห่งนี้เหลือเกิน ราวกับหมอกควันที่จู่ ๆ ลอยมาบนยอดเขาสูงเขายืนอยู่ด้านนอกตำหนักฉือหนิง อาจจะรอให้ไทเฮาเรียกเข้าเฝ้าวันนี้สภาพอากาศไม่ดีนักเมฆดำลอยมาเป็นระยะ เงาดำมืดสลัวปกคลุมบนตัวเขาลมพัดแรงจนชายเสื้อเปิด ทั้งพัดเข้าไปในแขนเสื้อกว้าง จนพองตัว ทำให้แขนเสื้อที่ปะชุนของเขายิ่งเห็นเด่นชัดเหลียนซวงมองเซียวจั๋วด้วยสีหน้าฉงน ในความทรงจำของนาง เขาเป็นคนมีชาติตระกูลสูงศักดิ์ไม่เป็นรองใคร ทว่าตอนนี้กลับ...เฟิ่งจิ่วเหยียนสังเกตเห็นท่าทางใจลอยของเหลียนซวงสำหรับเรื่องที่เหลียนซวงอาศัยแค่เงาด้านข้างก็จำอดีตรัชทายาทผู้นี้ได้นั้น นางไม่ได้ถามให้มากความในตอนนี้ ยังคงเดินหน้าต่อไปโดยไม่สนใจทว่าเหลียนซวงกลับรู้สึกกังวลใจ จึงเตือนด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา“ฮองเฮา นั่นคืออดีต...”“ข้ารู้” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยน้ำเสียงเรียบ และส่งสายตาให้นางเป็นการตักเตือนหากแม้แต่ตนเองยังรู้สึกผิดจนไม่กล้าเดินหน้า คนอื่นจะยิ่งนำไปพูดจนบิดเบือนความจริง“ฮองเฮา” องครักษ์เฝ้าประตูทำความเคารพอย่างนอบน้อมเซียวจั๋วได้ยินเสียงนั้
หนานฉีทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน มิใช่การกระทำที่ชาญฉลาดสงครามที่แคว้นต่าง ๆ ล้อมโจมตีหนานฉี ต้องสูญเสียกำลังทหารจำนวนมาก ทั้งสองฝ่ายต่างจำเป็นต้องพักฟื้นและฟื้นฟูเป่ยเยี่ยนกล้าเคลื่อนทัพไปทางใต้ เป็นเพราะไม่มีอุปสรรค สามารถยึดครองแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้งได้โดยไม่สูญเสียกำลังทหารแม้แต่นายเดียวแม้ว่าหนานฉีจะไม่พอใจเป่ยเยี่ยนมากเพียงใด ก็ไม่อาจประกาศสงครามโดยไม่ไตร่ตรองถึงแม้คืนที่ผ่านมารุ่ยอ๋องจะหลับไม่เต็มที่ สมองก็ยังคงตื่นอยู่เขาคัดค้านการส่งกองทัพออกไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยนอย่างเด็ดขาดแม่ทัพอาวุโสหลี่ไม่พอใจ“ท่านอ๋อง ขอบังอาจถามว่าตอนนี้ฮ่องเต้ทรงประทับอยู่ที่ใด?”รุ่ยอ๋องมีท่าทีลังเล เรื่องเช่นนี้ คงต้องมอบให้ฮ่องเต้ตัดสินพระทัยในที่ประชุม รุ่ยอ๋องเอ่ยอย่างไม่รีบร้อน“ท่านแม่ทัพอาวุโสหลี่ ข้ารู้ว่าท่านปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะต่อต้านเป่ยเยี่ยน ทว่าเรื่องนี้สุดท้ายแล้วมิใช่หนานฉีควรจะเข้าไปยุ่งเกี่ยว“การส่งกองทัพไปช่วยแคว้นซีหนี่ว์เพื่อขัดขวางแคว้นเสี่ยวโจวกับแคว้นเจิ้ง เป็นเพราะเรากับแคว้นซีหนี่ว์เป็นพันธมิตรกัน หากส่งกองทัพไปทำสงครามกับเป่ยเยี่ยน พวกเราจะใช้เหตุผลใ
หร่วนฝูอวี้สวมอาภรณ์ผ้าโปร่งบางเบา เดินออกมาจากด้านหลังฉากกั้นทันทีรุ่ยอ๋องจ้องมองนางตาไม่กะพริบ เหงื่อในฝ่ามือก็ยิ่งออกมาก“ข้า ข้ายังมีเอกสารทางการ...”เขาไม่มีประสบการณ์เลย จำต้องดูจากสมุดภาพทว่าคำพูดนี้ เขาไม่อาจเอ่ยออกมาได้ดวงตาของหร่วนฝูอวี้หรี่ลงทันที สายตาราวกับสัตว์ป่าที่ออกล่าเหยื่อ“เอกสารทางการ? ข้าว่า เจ้าคงคิดจะหนีกระมัง!”นางก้าวเท้ายาวมาข้างหน้า พร้อมกับข่มขู่: “มาถึงสถานที่ของข้าแล้ว ก็อย่าคิดว่าจะออกไปได้!”พูดจบ นางก็ตรงไปแบกคนขึ้นมาทันทีรุ่ยอ๋องไม่คาดคิดเลยว่า จะเป็นเหตุการณ์เช่นนี้!ศีรษะของเขาคว่ำลง เมื่อเลือดสูบเข้า ก็มีแต่ความว่างเปล่าไม่ว่าจะอย่างไร ก็ไม่ควรเป็นเช่นนี้?อย่างน้อยเขาก็เป็นบุรุษ!ตึง!หร่วนฝูอวี้โยนเขาลงบนเตียง ไม่ทะนุถนอมแม้แต่น้อยจากนั้นด้วยความรวดเร็วและง่ายดาย นางก็ถอดเข็มขัดบนตัวของรุ่ยอ๋องออกมาในที่สุดรุ่ยอ๋องก็ได้สติกลับมา รีบคว้าปกคอเสื้อของตนเองไว้“เจ้าช้าก่อน...”นางร้อนใจจนไม่อาจทนไหว!หร่วนฝูอวี้นั่งอยู่บนเอวของเขา กดมือทั้งสองข้างของเขาวางไว้ข้างศีรษะทั้งสองด้านมองเห็นบุรุษที่ยามปกติมีระเบียบแบบแผน เยือกเ
“เจ้าคิดจะ...มีลูกกับข้า?” คิ้วของรุ่ยอ๋องขมวดปมแน่น จ้องมองหร่วนฝูอวี้ที่อยู่ตรงหน้า ดูเหมือนจะทำตัวไม่ถูกเหตุใดจู่ ๆ นางถึงมีความคิดเช่นนี้ได้?เพียงเพื่อจะได้เป็นครอบครัวเดียวกันกับฮองเฮาหรือ? หร่วนฝูอวี้ยังคงจับปกเสื้อของเขาอยู่ พร้อมกับมองสำรวจเขาด้วยท่าทางของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า“พวกเราเป็นสามีภรรยากัน มีลูกแล้วจะอย่างไร?“เจ้ายังจะเรื่องมากอีกรึ?”รุ่ยอ๋องส่ายศีรษะอย่างแข็งเกร็ง“ข้าเพียงรู้สึกว่า...”นี่ไม่ปกติเขาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะมีคนขัดขวางการกระทำที่ขาดสติของหร่วนฝูอวี้ได้นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การจะมีลูกนั้น มีความหมายอย่างไร“ข้าไม่ใช่คนใจง่ายเช่นนั้น” รุ่ยอ๋องผลักนางออกไปโดยแสร้งทำเป็นสุขุมเยือกเย็น พร้อมกับหันหลังให้นาง สายตามองไปยังที่ไกล ๆ“ใจง่ายรึ?” หร่วนฝูอวี้หัวเราะด้วยความโมโห เช่นนั้นก็เท่ากับว่านางเป็นคนใจง่ายรึ?บุรุษสุนัขผู้นี้ ปากช่างร้ายกาจนัก!“ถ้าเช่นนั้นข้าก็จะไปหาคนอื่น!”หร่วนฝูอวี้พูดได้ทำได้ รุ่ยอ๋องจึงรีบคว้าแขนของนางไว้“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ?!”นางเป็นพระชายาของเขา จะมีสัมพันธ์กับชายอื่นได้อย่างไร?หร่วนฝูอวี้เกลียดท่าทางลั
ด้านนอกห้องทรงพระอักษรเซียวอวี้ยืนอยู่ด้วยสีหน้าคร่ำเคร่งได้ยินว่าเสนาบดีที่ช่วยปกครองเหล่านี้ต้องการทำตามโอวหยางเหลียน ใช้ความตายมาข่มขู่จิ่วเหยียนวิธีนี้ช่างชั่วร้ายยิ่งนักจนกระทั่งตอนที่เห็นพวกนางเดินออกมา และไม่มีบาดแผลแม้แต่น้อย เซียวอวี้ถึงค่อยโล่งใจเหล่าเสนาบดีทำเป็นมองไม่เห็นเขา มีเพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่มองเขาด้วยแววตาที่แฝงความรู้สึกซับซ้อนฮ่องเต้ฉีเสด็จมาที่แคว้นซีหนี่ว์ด้วยพระองค์เอง คิดดูแล้วก็คงกังวลพระทัยว่าประมุขแคว้นจะทรงหวั่นไหว ไม่เสด็จกลับไปหนานฉีอีกเห็นได้ชัดว่า พวกเขาเป็นเช่นเดียวกัน ไม่อาจคาดเดาจิตใจของประมุขแคว้นได้ช่างน่าเศร้าจริง ๆเมื่อเปรียบเทียบเช่นนี้ หูย่วนเอ๋อร์ก็รู้สึกสบายใจโดยไม่รู้ตัวยิ่งไปกว่านั้นคำพูดแต่ละคำของประมุขแคว้นนั้นมีความหมายอันลึกซึ้ง สิ่งที่พวกนางพยายามจะรักษาไว้ อย่างมากเพียงชั่วชีวิตเดียวนี่เหมือนกับการที่หมอรักษาโรค รักษาที่ปลายเหตุมิได้รักษาที่ต้นเหตุเมื่อครู่ประมุขแคว้นเอ่ยกับพวกนางมากมาย ทำให้พวกนางเข้าใจว่า ต้นเหตุที่แคว้นซีหนี่ว์ไม่อาจสร้างความยิ่งใหญ่ได้ ก็คือ “บาดแผลภายใน”การกดขี่บุรุษภายในแคว้นมากเกินไป
เสนาบดีที่ช่วยปกครองต่างก็เป็นคนสนิทของอดีตประมุข แต่ละคนล้วนเป็นเสาหลักสำคัญของราชสำนักพวกนางยืนอยู่นอกห้องทรงพระอักษร ถึงอายุจะต่างกัน ทว่าล้วนมีความจงรักภักดีและกล้าหาญ“พวกหม่อมฉันขอเข้าเฝ้าประมุขแคว้น!”เฟิ่งจิ่วเหยียนนั่งอยู่บนบัลลังก์มังกรในห้องทรงพระอักษร ด้วยสายตาที่แน่วแน่นางจ้องมองเงาร่างของแต่ละคนที่อยู่ด้านนอกตำหนัก ความแน่วแน่ในดวงตาเจือความหม่นหมอง“ให้พวกนางเข้ามา”ไม่นาน เหล่าเสนาบดีก็ทยอยกันเข้ามาด้านใน หูย่วนเอ๋อร์ที่บาดเจ็บหนักนอนอยู่บนแคร่หามนั้นเห็นเด่นชัดที่สุดเฟิ่งจิ่วเหยียนวางฎีกาที่อยู่ในมือลง กวาดตามองพวกนางแวบหนึ่ง“ต้องการจะพูดสิ่งใด?”“ท่านประมุขแคว้น พวกหม่อมฉันทราบแล้ว เหตุใดใต้เท้าโอวหยางถึงสิ้นใจ” ลมหายใจของหูย่วนเอ๋อร์สงบนิ่ง ทว่ามองเห็นบาดแผลภายในไม่รุนแรงเสนาบดีคนอื่น ๆ จึงเอ่ยต่อ“ใต้เท้าโอวหยางทำเพื่อความมั่นคงของแผ่นดินแคว้นซีหนี่ว์ นางอาศัยความตาย ขอร้องให้ประมุขแคว้นทรงอยู่ที่แคว้นซีหนี่ว์ต่อไป!”สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนดูสงบนิ่ง มิได้เอ่ยขัดจังหวะคำพูดของพวกนางหูย่วนเอ๋อร์ลุกขึ้นนั่งอย่างยากลำบาก หันไปโน้มศีรษะให้เฟิ่งจิ่วเห
การตายของโอวหยางเหลียน สำหรับหูย่วนเอ๋อแล้ว เป็นการสูญเสียที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง ในบรรดาขุนนางใหญ่ของราชสำนัก พวกนางทั้งสองมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันที่สุด ที่สำคัญกว่านั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นกะทันหันเกินไป หูย่วนเอ๋อร์มิได้เตรียมใจไว้เลย สาวใช้ตอบอย่างระมัดระวัง “บ่าวรู้เพียงว่า ใต้เท้าโอวหยางกินยาพิษฆ่าตัวตายเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์ไม่เชื่อ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยดี ไฉนใต้เท้าโอวหยางกลับมาฆ่าตัวตาย? “ต้องมีคนวางแผนสังหารนางเป็นแน่! เรื่องนี้ ท่านประมุขแคว้นทราบหรือไม่!” สาวใช้ผงกศีรษะ “ตอนที่ใต้เท้าโอวหยางเกิดเรื่อง ท่านประมุขแคว้นก็อยู่ที่จวนโอวหยางเจ้าค่ะ” หูย่วนเอ๋อร์มีน้ำตาคลอหน่วย รู้สึกเสียใจที่ตนเองบาดเจ็บ จึงไม่สามารถออกไปสอบสวนเรื่องนี้ด้วยตัวเอง การตายของโอวหยางเหลียน มิใช่เพียงหูย่วนเอ๋อร์ที่ตกตะลึงสงสัย ยังสร้างความวุ่นวายในราชสำนักด้วย ในการประชุมราชสำนักวันรุ่งขึ้น หัวข้อที่เหล่าขุนนางเอ่ยถึง ส่วนใหญ่เป็นเรื่องของโอวหยางเหลียน เสนาบดีสามรัชสมัยผู้นี้ ไม่มีผลงานอะไรยิ่งใหญ่แต่ก็ทำงานอย่างหนักหน่วง ควรได้รับการเชิดชูหลังสิ้
เมื่อหมอหลวงมาถึง โอวหยางเหลียนก็เสียชีวิตจากพิษแล้ว เหล่าคนรับใช้ในจวนต่างคุกเข่าลงกับพื้น ส่งเสียงร้องไห้ดังระงมไม่ขาดสาย “ใต้เท้า——” สายตาของเฟิ่งจิ่วเหยียนจดจ้องไปบนเตียง ที่มีโอวหยางเหลียนนอนอยู่บนนั้น ที่จากไปอย่างเด็ดเดี่ยว ยอมตายเพื่อตักเตือน โอวหยางเหลียนทำเช่นนี้ ทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนต้องรับภาระที่หนักหน่วง “ฝังศพอย่างสมเกียรติ” เฟิ่งจิ่วเหยียนเอ่ยสั้น ๆ จบ พลันลุกขึ้นและเดินออกไป เสียงร้องไห้ทางด้านหลังนั้น ราวกับลอยเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาของนาง เซียวอวี้ยืนอยู่ที่ข้างประตู ยื่นมือให้นางจับไว้อย่างมั่นคง การตายของโอวหยางเหลียน เปรียบเหมือนก้อนหินขนาดใหญ่ที่ถูกโยนลงทะเลสาบ สร้างแรงกระเพื่อม แต่ก็สงบลงในที่สุด เขาหาได้สนใจความเป็นหรือตายของโอวหยางเหลียนไม่ สนใจเพียงสุขภาพของจิ่วเหยียนเท่านั้น สีหน้าของนางดูมิสู้ดีเลย “กลับวังก่อนเถิด” เขาตัดสินใจแทนนาง ในรถม้า เฟิ่งจิ่วเหยียนเงียบจนน่าใจหาย เซียวอวี้ไม่ได้รบกวนนาง เพียงอยู่เคียงข้างนาง และคอยเป็นที่พึ่งพิงให้นางเสมอ หลังจากกลับมาถึงวัง คนทั้งสองนั่งอยู่ข้างเตียง
โอวหยางเหลียนมองเห็นความหวั่นไหวในใจของเฟิ่งจิ่วเหยียน นี่คือสิ่งที่คนอื่นมองไม่เห็น “ตั้งแต่เยาว์วัยท่านก็แตกต่างจากผู้หญิงทั่วไปในหนานฉี “ท่านกำเนิดมาเพื่อแคว้นซีหนี่ว์เพคะ “ท่านก็คงจะคิดด้วยว่า หนานฉีกดขี่สตรีที่มีความสามารถเกินไป “แต่ท่านมิอาจเปลี่ยนแปลงมันได้ “ท่านประมุขแคว้น ท่านเคยคิดหรือไม่ หากท่านให้กำเนิดองค์หญิงรัชทายาท ในแคว้นซีหนี่ว์แห่งนี้ นางจะกลายเป็นประมุขแคว้น ทว่าในหนานฉี นางจะเป็นเพียงองค์หญิง แม้จะได้รับความโปรดปราน แต่ไม่อาจหลีกหนีชะตากรรมของการช่วยเหลือสามีและดูแลบุตรได้ “ในหนานฉี ผู้หญิงทุกคนไม่สามารถเป็นแม่ทัพหญิงเช่นท่านได้ ฮ่องเต้ฉีองค์ปัจจุบันหลักแหลมกว่าใครอย่างมิต้องสงสัย แต่ทายาทรุ่นหลังเล่า? ท่านประมุขแคว้น ท่านไม่คิดเพื่อตัวเอง ก็ต้องคิดถึงลูก ๆ ของท่านด้วยเพคะ!” เฟิ่งจิ่วเหยียนหาได้ตกอยู่ในกับดักชั่วร้ายที่โอวหยางเหลียนสร้างขึ้น ใบหน้าของนางแน่วแน่ “สิ่งที่เจ้าพูด ล้วนอ้างแต่มุมมองของผู้หญิง “ลองคิดอีกมุม หากเราให้กำเนิดองค์ชาย สถานการณ์ของเขาในแคว้นซีหนี่ว์ ก็ไม่ต่างกับสถานการณ์ขององค์หญิงในหนานฉี”
หูย่วนเอ๋อร์ถูกลอบสังหาร โอวหยางเหลียนจึงเสนอให้เซียวอวี้เป็นผู้นำทัพ นี่ยิ่งทำให้เฟิ่งจิ่วเหยียนเกิดความสงสัยอย่างเลี่ยงมิได้ นางหันกลับไปมองที่โอวหยางเหลียน “เราคิดว่า เจ้าเหมาะที่จะปกป้องเมืองมากกว่าพระสวามี” มีความแปลกประหลาดในแววตาของโอวหยางเหลียน “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยินดีจะไปเพคะ!” นางรับคำสั่งอย่างง่ายดาย หาได้มีพิรุธไม่ เฟิ่งจิ่วเหยียนมิได้ต้องการให้โอวหยางเหลียนเป็นผู้นำทัพจริง ๆ ดวงตาของนางมืดมน กล่าวอย่างสื่อความนัย “ท่านป้าอายุมากแล้ว จะทำเรื่องเช่นนั้นได้อย่างไร “เมื่อผ่านพ้นวันเกิดปีที่แปดสิบแล้ว มิลองเกษียณแล้วกลับบ้านเกิด มีชีวิตบั้นปลายที่ดีเล่า” ตามกฎระเบียบของแคว้นซีหนี่ว์ เมื่อขุนนางมีอายุครบเจ็ดสิบห้าปี ก็สมควรเกษียณและกลับบ้านเกิด ม่านตาของโอวหยางเหลียนเบิกกว้าง “ท่านประมุขแคว้น หม่อมฉันยังทำได้...” เฟิ่งจิ่วเหยียนลดเสียงลง “นี่คือเกียรติยศสุดท้ายที่เราจะมอบให้ท่าน” ทั้งเรื่องซูถงและการลอบสังหารหูย่วนเอ๋อร์คืนนี้ หากจะบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโอวหยางเหลียน นางหาได้เชื่อไม่ นางได้จัดสาย